คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter VII: Acceptance
--------------------------------------------
Chapter VII: Acceptance
I've been alone too many nights
Too proud to tell you when you're right
A little patience would have helped me then
A lot like the break has been the common standard
All the angels above the earth I prayed
Said this message right into her head
There’s certain things in life I cannot take
And I will wait
I hope you know I care
Yamaha—Delta Spirit
บรรยาการอบตัวเขากำลังหดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก...
ทั้งเขม่าควันสีดำสิ่งที่หลงเหลือจากการเผาไหม้หรือการระเบิด... และซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่องที่เสียหายจากการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด...
บางครั้งเขาก็แอบสงสัยว่าตัวเองอาจคิดผิดที่เริ่มต้นสงครามครั้งนี้...
ดูจากความเสียหายของทั้งสองฝั่งแล้ว ไม่มีใครหรอกจะชนะสงครามอย่างแท้จริง
ฟรานซิส บอนเนฟอย เดินจากบริเวณแนวหน้าที่ตรึงกำลังทหารเยอรมันไว้ไม้ให้เขามาถึงในปารีส มองภาพบ้านเมืองรอบตัวที่พังพินาศอย่างน่าใจหาย สภาพของเขาเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ชุดเครื่องแบบสีฟ้าตอนนี้มีแต่รอยสีดำแต้มจากเขม่าควัน หน้าตาอันหล่อเหลาของเขาและทรงผมที่เขาภาคภูมิใจก็มีสภาพไม่ต่างจากเสื้อมากนัก...
...ต้องรีบกลับไปเสริมหล่ออย่างด่วน...
เดินผ่านถนนอิฐที่เต็มไปด้วยเศษดินและฝุ่นจากควันไฟ มาจนถึงประตูบ้านของตัวแทนประเทศฝรั่งเศส ชายร่างสูงผมทองล้วงกระเป๋าจะหยิบกุญแจทว่าเมื่อไขประตูแล้วกลับพบว่ามันไม่ได้ล็อกตั้งแต่ต้น...
เหตุการณ์นี้ทำให้ฟรานซิสเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ... เพราะแม้ว่าเขาจะพาใครต่อใครมาบ้านตัวเองเยอะจนนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยให้กุญแจไว้กับใคร...
ยกเว้น... อาเธอร์ เคิร์กแลนด์... หนุ่มชาวอังกฤษประเทศเพื่อนบ้านที่เหมือนจะรู้ที่ซ่อนกุญแจเขาเองแล้วถือวิสาสะเข้าบ้านเขาโดยไม่คำนึงถึงการขออนุญาตมากกว่า...
ยิ้มเล็กๆในใจเมื่อรู้ว่าคู่อริมาหาก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในบ้านเพื่อพบกับชายคนที่เขากำลังคิดถึงนั่งจิบชาทำหน้าหงุดหงิดรออยู่ในห้องรับแขก ทำตัวตามสบายเสร็จสรรพเหมือนกับอยู่บ้านตัวเอง
ชายชาวอังกฤษยกแก้วขึ้นจิบชาอีกรอบก่อนจะเอ่ยทักเขา
“กว่าจะมาได้นะ ฉันรอนายจนชาเย็นชืดหมดแล้ว”
พูดพลางส่งกาน้ำชาใกล้ๆมาให้เขาพร้อมกับแก้วชาข้างๆขณะที่เขากำลังนั่งลงข้างๆชายชาวอังกฤษ
“เยอรมันรุนแรงกับคุณพี่ไปหน่อยน่ะ หมอนั่นคงโกรธที่โดนคุณพี่แกล้งเมื่อวันก่อนล่ะมั้ง โฮะๆๆ”
ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ... ต้องยอมรับว่าชาเป็นอย่างเดียวที่ใครๆไว้ใจให้คุณผู้ดีคนนี้ทำได้โดยไม่ต้องกลัวความปลอดภัยของชีวิต
แสดงสีหน้ารำคาญๆกับเสียงหัวเราะของเขา อาเธอร์ก็ยังไม่ละทิ้งนิสัยเก่า หรืออาจจะบวกกับความหงุดหงิดที่ต้องนั่งรอเอ่ยต่อ
“สมน้ำหน้า อย่างนายโดนซะมั่งก็ดี”
ประโยคที่ทำให้ฟรานซิส ยิ่งแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมรับคำ
“คุณสุภาพบุรุษ คงไม่ได้มาหาคุณพี่วันนี้แค่เพราะสมน้ำหน้าใช่มั้ยล่ะ”
รู้สึกตะหงิดๆเล็กน้อยที่โดนหาเรื่องทั้งๆที่เขายังไม่ได้เริ่มต้นกวนประสาทคนข้างๆเลยซักนิด... สงสัยคงจะเคืองเขาจากครั้งที่แล้ว...
“ก็อาจจะ ขึ้นอยู่กับการกระทำของนาย”
ชายชาวฝรั่งเศสมองอังกฤษอย่างงงๆกับคำตอบที่ไม่ได้อยู่ในความคาดหมาย ทั้งๆที่ปกติเขาจะดูออกว่าคนข้างๆเขาต้องการอะไรแต่ดูเหมือนครั้งนี้จุดประสงค์ของอดีตศัตรูเก่าของเขาจะลึกลับกว่าที่คิด...
“แล้วจากการกระทำของคุณพี่ เธอคิดว่ายังไงล่ะ”
อังกฤษเสหันหน้าไปทางอื่นหลบสายตาก่อนจะเอ่ย
“ก็ได้ยินมาว่าปารีสโดนระเบิดหนัก”
ฟรานซิสนั่งเท้าคางจ้องคนข้างๆด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าตั้งใจมากรอฟังประโยคถัดไปที่ชายชาวอังกฤษเว้นช่วง
“ฉันก็แค่... เป็นพันธมิตรที่ดี มาเช็คดูว่านายเป็นไงบ้าง”
คนพูดยังคงพูดต่อโดยไม่สนใจชายชาวฝรั่งเศสที่เริ่มแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
คำว่า พันธมิตรที่ดี สะกิดใจชายชาวฝรั่งเศส... น่าสงสัยว่าชายคนที่ชื่ออาเธอร์ เคิร์กแลนด์รู้จักการทำหน้าที่เป็นพันธมิตรที่ดีตั้งแต่ตอนไหนกัน...
“ถ้านายตายไป ฉันก็เสียเปรียบแย่... ก็แค่มาให้แน่ใจว่าฉันจะชนะเท่านั้นแหละ!
เหตุผลที่เผยออกมาแบบกึ่งจริงใจกึ่งประชดประชันนั้นทำให้คนแก่กว่าหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆกับความปากไม่ตรงกับใจที่เป็นนิสัยของชายผู้ดีเก่ามาแต่ไหนแต่ไร สร้างความรำคาญและหงุดหงิดให้แก่ผู้ถูกหัวเราะ
“มีอะไรน่าขำ!”
อาเธอร์ เคิร์กแลนด์กอดอกตัวเองพร้อมหันกลับมามองหน้าชายชาวฝรั่งเศส ทว่าคนถูกถามไม่ยอมบอกเหตุผลกลับเอ่ยต่อ
“โฮะๆๆ เป็นห่วงคุณพี่ก็บอกมาเถอะน่า”
“ฉันไม่เคยเป็นห่วงนาย!!”
แม้จะได้รับคำตอบแบบทันทีทันใดแต่ ฟรานซิส บอนเนฟอยก็ไม่ยอมแพ้
“แต่ก็ขอบคุณนะอังกฤษ ที่เป็นห่วงคุณพี่ด้วย ซาบซึ้งมากๆเลยล่ะ”
พูดพลางส่งสายตาวิ้งๆให้กับคนข้างๆ ทำให้อังกฤษหน้าแดงด้วยความโกรธ ก่อนจะกำหมัดทุบโต๊ะทำให้ฟรานซิสยิ่งหัวเราะ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!!!”
“หรออ แต่คุณพี่อุตส่าห์ชมนะ...”
ส่งยิ้มกลับไปอย่างกวนๆทำให้คนข้างๆยิ่งหน้าแดงมากขึ้นไปอีก
“เรื่องของนาย!!!”
“โถ่ ไม่เล่นกับคุณพี่ซักนิดเลยหรอ”
“ไม่มีวัน!!”
ฟรานซิสหัวเราะหนักขึ้นกับกิริยาท่าทางของคนข้างๆ เคยคิดว่ามันจะง่ายกว่ามั้ยถ้าอาเธอร์ยอมพูดอะไรที่ตัวเองคิดออกมาแต่ก็นะ... โลกคงแตกถ้าวันนั้นมาถึง...
“โฮะๆๆ คุยกับนายนี่สนุกดีจริงๆ”
ฟรานซิสจบประโยคด้วยท่าทางกวนประสาท พร้อมกับรวอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สร้างความไม่พอใจให้แก่ชายชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก...
ทำให้ อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ กัดฟันอย่างค้นใจ... คิดหาวิธีการแก้เผ็ด...
ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้เพียงชั่วครู...
“ฟรานซิส ความจริงแล้วฉันมีเรื่องยังไม่ได้บอกนาย”
ชายชาวฝรั่งเศสหันหน้ากลับมาหาอังกฤษทันทีที่จบประโยค อาเธอร์ไม่เคยเรียกเขาเล่นๆด้วยชื่อจริง... ประกอบกับสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงแล้วทำให้เจ้าของบ้านต้องหันหน้ามาฟังอย่างตั้งใจ
“ไม่ได้บอกคุณพี่ว่า?”
หันหน้ากลับมาหาคนพูดด้วยท่าทางจริงจังเช่นเดียวกัน
“สายสืบฉันได้ข่าวมาว่าอิตาลีกำลังจะเข้าร่วมกับเยอรมัน”
ฝรั่งเศสชะงักไปเล็กน้อย... สิ่งที่อังกฤษพูดมานั้นมีความเป็นไปได้มาก... เพราะดูจากท่าทางสนิทสนมกันของสองคนนั้นแล้ว... แต่อิตาลีมีสนธิสัญญากับเขาอยู่... ไม่น่าจะผิดสัญญา...
“นายแน่ใจ?”
หันหน้ากลับมาสบนัยน์ตาสีเขียวนั่นเพื่อย้ำให้แน่ใจ... จริงอยู่ว่าตอนนี้ฝ่ายเขามีพวกมากกว่า... แต่ถ้าอิตาลีที่เพิ่งรวมชาติสำเร็จมีอาวุธใหม่ๆครบครันนั่นไปอยู่ฝั่งเยอรมันเขาเองก็ลำบากใจเหมือนกันเพราะอิตาลีมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศส เท่ากับว่าเขาจะโดนรุมจากสองด้าน...
...คุณพี่ต้องแย่แน่ๆ...
ฟรานซิสทำหน้าเครียดเมื่อคิดคำณวนถึงผลเสียของตัวเองเมื่ออิตาลีเปลี่ยนฝั่ง ในขณะที่ชายชาวอังกฤษกลับกลั้นหัวเราะยิ้มอยู่ในใจอย่างสะใจ...
...ฟรานซิสเนี่ยก็เชื่อคนง่ายเหมือนกันนะเนี่ย...
ปฏิกิริยาที่เล็ดลอดมาให้เขาเห็นของอาเธอร์ทำให้ชายชาวฝรั่งเศสหันกลับมามองอย่างสงสัย... และเริ่มเอะใจคิดว่าตัวเองถูกหลอก...
...อาเธอร์ เคิร์กแลนด์... ไม่นึกมาก่อนว่าจะมาไม้นี้...เอาเถอะคราวนี้จะยอมปล่อยให้ไปก่อน...
หัวเราะในลำคออย่างถูกใจที่คนตรงหน้าหลอกเขาได้ก่อนจะพูดต่อ
“คุณสุภาพบุรุษจะเริ่มกวนประสาทคุณพี่มากไปละนะ บอกมาดีกว่าว่าจริงๆแล้วมาหาคุณพี่เพราะอะไร”
ชายชาวอังกฤษเสหน้าหันไปมองทางอื่นอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด
“ฉันก็แค่มาดูจริงๆว่านายเป็นไง”
ฟรานซิสเกือบจะเผยรอยยิ้มจริงใจของตนให้คนตรงหน้าได้เห็น ทว่ากลับต้องเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งเพราะประโยคต่อมาของชายตัวเล็กกว่า
“ถ้ายังไง... ฉันจะได้ลองถามอเมริกาให้ช่วย”
นั่นสินะ... อเมริกา... เจ้าเด็กคนโปรดของอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร... คนที่เป็นมหาอำนาจใหม่ตอนนี้ ผู้ซึ่งยังไม่สนใจอำนาจหรือสงคราม... คงจะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดที่เขาอยาจะชวนมาร่วมมาก...
...คนที่ช่างต่างกับคนข้างๆเขาที่เลี้ยงเด็กคนนั้นมาซะจริง...
ชายชาวฝรั่งเศสรู้สึกหมดอารมณ์คุยจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นสัญญาณให้ชายชาวอังกฤษรู้ว่ามาอยู่นานเกินไปแล้ว อาเธอร์ขมวดคิ้วอย่างสงสัยเล็กน้อยที่จู่ๆฟรานซิสก็ไล่เขากลับทั้งๆที่ปกติออกจะชอบยื้อให้อยู่ต่อนานๆด้วยการกระทำที่ตรงกันข้ามนั่น
“ฮ้าวว~ ง่วงนอนจังเลย เมื่อคืนคุณพี่แทบไม่ได้นอนเลยแหละ โฮะๆๆ”
เพราะมัวแต่อยู่ในสนามรบ... นั่นคือเหตุผลที่แท้จริง แม้น้ำเสียงเขาจะแสดงออกเหมือนเป็นอย่างอื่น...
อาเธอร์ที่ยังคงงงอยู่เล็กน้อยก่อนจะเริ่มเข้าใจความหมายแล้วพูดตอบอย่างหงุดหงิด
“เออ! ฉันก็กะไว้แล้วว่านายจะเป็นแบบนี้! ไม่น่าหวังอะไร!”
ลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย อาเธอร์ เคิร์กแลนด์รีบคว้าเสื้อที่พาดอยู่บนเก้าอี้เดินออกไปที่ประตู
“อุตส่าห์หวังดีจะมาช่วย... ไม่น่าเสียเวลาเลย”
ชายชาวอังกฤษพูดอย่างประชดประชันทิ้งท้าย ทิ้งให้ฟรานซิสยืนมองตามด้วยความงง...
...อาเธอร์หวังอะไรกับอดีตศัตรูอย่างเขา...
คนที่อยู่ใกล้กันตลอดแต่ไม่เคยคุยกันดีๆได้เกิน3ประโยคเนี่ยหรอคาดหวังอะไรกับเขา...
ชายชาวฝรั่งเศสได้แต่ยืนงงอย่างสงสัยต่อไป...
.
.
.
ชายชาวเยอรมัน-ปรัสเซียน หันซ้ายหันขวามองบรรยากาศรอบตัวอย่างปกติ ทหารฝั่งเขาใส่เครื่องแบบปกติ เดินปกติ รบปกติ...
แต่เขากลับรู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ปกติ...
...ตั้งแต่สายตาของรัสเซียคราวนั้น เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างดูไม่ปกติ...
มองต้นไม้หลายๆต้องที่ยังคงเหลือตออยู่ มองเครื่องบินที่บินผ่านหัวเขาไป...
...มันต้องมีอะไรซักอย่าง...
หันมามองคนข้างๆเขา ชายใส่แว่นชาวออสเตรียที่ยืนขมวดคิ้วเหมือนปกติขณะที่ยืนมองทอดสายตาออกไปยังนอกค่าย...
ทุกอย่างก็ดูปกติ... แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันไม่ปกติ?
“นายว่ามะ ทหารรัสเซียแปลกๆไปช่วงนี้”
จู่ๆออสเตรียก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบทำให้ชายชาวเยอรมันหันหน้ามาหาด้วยความงง
...เขาว่าทหารรัสเซียก็ยังปกตินะ... แต่มันต้องมีอะไรซักอย่างที่ไม่เหมือนเดิม...
“เหมือนจะถอยกลับไปมากขึ้น ถอยไปเรื่อยๆด้วย... หวังว่าจะไม่ใช่แผนการอะไรอีก...”
ปรัสเซียซึ่งไม่ได้ฟังที่ออสเตรียพูดเท่าไหร่ อยู่ดีๆก็ถอนหายใจ...
“เฮ้อ...”
“นายถอนหายใจทำไม”
แต่ออสเตรียซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีกว่าสนใจชายชาวเยอรมันหันหน้ามาถาม
“นายว่ามั้ยว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
ออสเตรียทำหน้างงในคำตอบของเพื่อนสนิท... เมื่อกี๊ก็พูดอยู่ว่าทหารรัสเซียแปลกๆ...?
...สงสัยจะมัวแต่คิดเรื่องของตัวเองอีกตามเคย...
“ก็ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี๊ว่าทหารรัสเซียแปลกๆ”
“ไม่ใช่... ไม่ใช่ทหารรัสเซีย... มันต้องมีอย่างอื่นแปลกๆ...”
ออสเตรียไม่รู้จะทำหน้ายังไงตอบเพื่อนจึงเลือกที่จะยืนเฉยๆหันหน้าไปทางอื่นชมนกชมไม้รอบตัวดีกว่ามาไขปริศนาอารมณ์ประหลาดๆของปรัสเซีย
แต่หันกลับไปไม่นานออสเตรียก็กลับมาพูดต่อ
“เออปรัสเซียนายเห็นรัสเซียบ้างมั้ย ช่วงนี้”
ประโยคนั้นทำให้ กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ทำตาโตเหมือนนึกอะไรออกก่อนจะหันหน้ามาหาออสเตรียแล้วตอบอย่างดีใจ
“ฉันรู้แล้วมีอะไรแปลก!”
ออสเตรียทำหน้ารำคาญๆที่นอกจากตัวเองจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ยังต้องมาอยู่กับปรัสเซียที่อยู่ในอารมณ์ทำตัวบ้าๆบอๆนี่
“ก็รัสเซียไง! ฉันไม่เห็นหน้าหมอนั่นมาหลายวันแล้ว!”
ออสเตรียได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจให้กับคนที่เป็นเพื่อน... สรุปว่ามันไม่ได้ฟังเขาตั้งแต่ต้นเลยสินะ...
“เออ! ก็ฉันพูดอยู่นี่ไง!”
ชายชาวออสเตรียจึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างหงุดหงิดๆ
“เคะเซะเซะเซะ พูดว่า?”
แต่ปรัสเซียกลับตาหน้ากวนประสาทใส่เขาทำให้ออสเตรียหมดอารมณ์คุยด้วยหันหน้าเตรียมตัวกลับเขาไปในเตนท์
“ช่างเหอะ... เฮ้อ...”
บางทีชายชาวออสเตรียก็คิดกับตัวเองเล่นๆว่า...
...มีเพื่อนแบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนคงจะดีกว่า... นับวันปรัสเซียพาลจะทำให้เขาบ้าบอไปด้วย...
ทิ้งให้ชายชาวปรัสเซียนยังคงจมอยู่กับความสงสัยของตัวเองว่ารัสเซียหายไปไหน...
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทหันหน้าไปเห็นทหารฝ่ายตรงข้ามรีบวิ่งกลับไปยังค่ายทหารฝั่งตัวเองหลายคนทำให้เขาเกิดความคิดอยากแอบตามไปอย่างลับๆเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งนั้นกันแน่...
เห็นทหารในเครื่องแบบรัสเซียหลายคนกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทำให้ความสงสัยมีชัยชนะสูงสุดในความคิดของเขา ชายชาวปรัสเซียจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นไป
พร้อมกับบอกตัวเองตลอดถึงสาเหตุที่ตามไปเป็นเพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น...
...ไม่ใช่ความเป็นห่วงเลยซักนิด...
ด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญของกิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ทำให้เขามาถึงยังค่ายทหารของฝ่ายตรงข้าม...
ทุกอย่างเหมือนปกติยกเว้นทหารที่ประจำอยู่ ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ทหารเฝ้าเหมือนลูกน้องๆบอสในเกมเฝ้าอยู่เท่านั้น แต่ตัวบอสหรือตัวเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาหายไป...
คำถามคือหายไปไหน...? ในเวลาสงครามแบบนี้รัสเซียมีอย่างสำคัญกว่าการชนะด้วยหรอ?
มองไปรอบๆบริเวณเห็นทหารหลายคนรีบขึ้นรถ ส่งเสียงเอะอะโวยวายในภาษาที่เขาไม่เข้าใจวิ่งวุ่นวายเป็นกองทัพ...
ทำให้เขาเพิ่งรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่คนเดียว... ในฝั่งศัตรู... อย่างลืมตัว...
คิดเสียใจที่ตัวเองไม่ได้สนใจเพื่อนชาวออสเตรีย ชวนให้มาด้วย... ถึงแม้ออสเตรียจะทำอะไรไม่ค่อยได้แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ามาอยู่คนเดียวในฝั่งศัตรู...
ปรัสเซียเกาหัวตัวเองอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าจะไปสืบเรื่องนี้ต่อยังไง ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงในเมื่อตัวเองตัดสินใจมาแบบไม่วางแผนแบบนี้...
แต่ปกติเขาก็หาทางออกได้ทุกทีล่ะน่า... ดังนั้นครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน...
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทหันไปมองหาหนทางก่อนจะต้องตกใจเมื่อทางออกของเขาดูเหมือนจะมาเร็วกว่าที่คิดด้วยมือที่กำลังปิดปากเขาอยู่ตอนนี้ กับอ้อมแขนที่ล็อกคอเขาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้...
“อ่อยยย โอ้ยยยยย”
ถึงแม้จะพูดไม่ได้แต่เขาก็ยังพยายามนะ... ทว่าดูเหมือนว่าคนจับเขาเหมือนจะไม่สนใจที่ประโยคที่เขาต้องการจะสื่อ กลับลากเขาไปอีกทางนึง... หรือเรียกให้ชัดๆว่าเต้นท์ๆหนึ่งมากกว่า...
“ชู่ว...”
คนซึ่งกำลังลากเขาอยู่ตอนนี้ก้มลงมากนะซิบที่ข้างหูเขาเป็นสัญญาณให้เงียบขณะที่เขาพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมนี่
...จะงับมือมันดีมั้ยเนี่ย บังอาจเอามือสกปรกมาปิดปากท่านปรัสเซียสุดออวซั่มคนนี้...
เหมือนคนแปลกหน้าคนนี้จะรู้ความคิดเขา ชายคนนี้จับเขาให้หันหน้าไปทางกองทัพรัสเซียที่กำลังวุ่นวายอยู่ก่อนจะกระชับแขนที่คอเขาให้แน่นขึ้น
“ถ้าคุณยังไม่อยากโดนใครจับได้ก็อย่าเพิ่งโวยวายนะครับ”
...รู้สึกว่าเสียงมันคุ้นๆแฮะ... ทั้งลักษณะการพูด...
ด้วยเหตุผลที่เห็นทหารฝ่ายตรงข้ามอยู่เยอะแยะกิลเบิร์ต ไวร์ชมิทจึงยอมทำตามคำสั่งชายแปลกหน้าอย่างผิดนิสัย แต่ระหว่างทางจู่ๆทหารกลุ่มหนึ่งก็เอะอะโวยวายทำให้ไอ้คนที่กำลังเขาอยู่นี่ต้องก้มลงโดยพาเขาก้มลงไปด้วย...
ทให้เขาได้เห็นหน้ามันชัดๆ...
ใบหน้าคุ้นเคยที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายวันกับดวงตาสีม่วงที่จ้องมาที่เขานั่นทำให้เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนแปลกๆ...
เมื่อคนตรงหน้าเขาไม่มีรอยยิ้มไร้เดียงสาแบบปกติ... มีเพียงแต่แววตาที่จ้องเขาตรงๆ จ้องมาที่เขาคนเดียว...
ทุกอย่างเหมือนเป็นภาพสโลโมชั่นหยุดให้เขาเห็นหน้ารัสเซียชัดๆต่างคนต่างจ้องกันเหมือนโลกนี้มีคนอยู่แค่สองคนของเขากับไอ้คนตรงหน้าเขาคนนี้เท่านั้น...
ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะสิ้นสุดลงเมื่อทหารของฝั่งรัสเซียวิ่งผ่านไป...
ทำให้มือของเข้าถูกดึงขึ้นไปแล้วโดนลากไปยังจุดหมายเดิมแทน...
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงเตนท์ๆหนึ่งในกองทัพของทหารรัสเซีย ภายในเตนท์มีโต๊ะกลมๆวางอยู่ตรงกลาง มีเตียงนอนติดเตนท์อีกฝั่งหนึ่ง มีแผนที่วางระเกะระกะกับเสื้อผ้าชุดทหารซึ่งเป็นโค้ชตัวยาวของชายเจ้าเตนท์ผู้ชื่อว่า อีวานส์ บรากินส์กี้ วางอยู่หลายตัว...
ชายชาวปรัสเซียนทำตัวเองให้เหมือนกับอยู่บ้านโดยการเริ่มนั่งที่เตียงนอนของคนที่ตอนนี้ไมม่แม้แต่จะคิดว่าเป็นศัตรูทั้งๆที่ทำสงครามกันอยู่ทันที...
ชายชาวรัสเซียจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มาทำอะไรที่นี่?”
ปรัสเซียเงยบหน้าขึ้นตอบอย่างฉะฉาน
“มาดูว่าพวกนายมีแผนอะไร!”
รัสเซียเลิกคิ้ว เหมือนไม่พอใจในคำตอบซึ่งไม่ค่อยแก้ความสงสัยได้เท่าไหร่ทำให้เขาต้องเอ่ยถามเพิ่ม
“แผนอะไร?”
ปรัสเซียเริ่มไม่อยากพูดต่อ หันหน้าไปทางอื่นแทนสบตาชายชาวรัสเซียอย่างปกติก่อนจะพูดส่งๆเหมือนโดนบังคับให้พูด
“เห็นนายหายไปหลายวัน”
รัสเซียจึงเริ่มเข้าใจที่ฝ่ายตรงข้ามพูด... กลับมาทำหน้าตาไร้เดียงสาต่อแบบที่รางวัลออสก้าคงต้องตกเป็นของนายคนนี้แน่นอน...
“แล้วคุณปรัสเซียมาคนในเดียวในกองทัพของผมแบบนี้ คิดดีแล้วหรอครับ”
แม้กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทจะกังวลไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะกลับยังไงแต่ก็ยังดื้อตอบชายชาวรัสเซียกลับอย่างท้าทาย
“ฉันคนเดียวก็ล้มกองทัพกระจอกๆของนายได้ทั้งกองทัพอยู่แล้ว!”
ประโยคที่ทำให้รอยยิ้มของรัสเซียเปลี่ยนจากไร้เดียงสาเป็นเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆชายชาวเยอรมันแล้วก้มหน้าลงกระซิบข้างหู...
“คุณแน่ใจอย่างนั้นจริงๆหรอครับ...”
พร้อมกับมือนั่นที่วางลงบนเอวเขา... ทำให้ปรัสเซียเริ่มกลัวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต... เหมือนเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเมื่อตอนเจอรัสเซียในสนามรบครั้งแรก...
ก่อนที่ อีวาน บรากินส์กี้จะก้าวถอยหลังหันหน้าไปไอเหมือนคนป่วยไม่สบาย...
นั่นทำให้ปรัสเซียเลิกคิ้วอย่างแปลกใจและยั้งใจตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้
“นายป่วยเป็นเหมือนคนอื่นด้วยหรอ”
ทำให้รัสเซียหันกลับมาฝืนยิ้มให้เขาก่อนจะตอบ
“นิดหน่อยน่ะครับ”
ปรัสเซียทำหน้าไม่อยากเชื่อกลับไปก่อนจะหันไปเห็นหนังสือพิมพ์ขาวดำที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นภาพความวุ่นวายในจตุรัสกลางเมืองที่มอสโควคนดูวิ่งวุ่นเหมือนมีสงครามกลางเมือง...
หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้ทหารรัสเซียถอยไปเรื่อยๆ...?
เพราะรัสเซียมีปัญหาภายในหรือนี่? ดูจากสภาพคนข้างๆเขาที่กลับมือยืนไออีกครั้งก็คงจะจริง...
“นายมีสงครามกลางเมืองหรอ?”
หันหน้าไปถามด้วยความสงสัย ยืนกรานที่จะถามแม้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะตอบ
...ก็แน่ล่ะใครจะไปอยากตอบเรื่องปัญหาของตัวเองกับศัตรู ให้ศัตรูรู้จุดอ่อน...
“ถ้าคุณปรัสเซียอยากรู้จริงๆล่ะก็... ใช่ครับ”
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทลูบคางตัวเองเก๊กท่าเหมือนกำลังคิดอะไรซีเรียสจริงจังอยู่ก่อนจะพูดต่อ
“แต่นายกำลังมีสงคราม อย่างงี้ไม่มีทั้งศึกภายนอกภายในเลยหรอ”
ถามเหมือนกับทั้งคู่ไม่ใช่ศัตรูกัน... หวังว่าชายชาวรัสเซียจะตอบทั้งๆที่เป็นข้อมูลที่คงไม่มีใครบ้าบอกศัตรู...
...แต่รัสเซียดูเหมือนว่ารัสเซียจะไม่ได้คิดอย่างคนปกติ...
“ครับ... ประชาชนประท้วงไม่พอใจสงคราม กำลังมีคนปฏิวัติ”
ชายชาวปรัสเซียมองหน้ารัสเซียก่อนจะเบ้ปากส่ายหน้าเป็นเชิงแสดงความเสียใจและเห็นใจรัสเซียที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
ฝ่ายรัสเซียที่หายจากอาการไอติดต่อกันอย่างต่อเนื่องแล้วจึงพูดถามบ้าง
“คุณปรัสเซียคิดจริงๆหรอว่าจะออกได้ออกไปจากที่นี่ง่ายๆ? หลังจากรู้เรื่องพวกนี้แล้ว”
“คิด”
ตอบอย่างมั่นใจมาก...
“ฝีมือฉันแน่กว่านายอยู่แล้ว”
คำตอบที่ทำให้รัสเซียยิ้มอย่างสนใจ... คิดถึงแผนการทำให้คนตรงหน้าเขาเสียใจกับคำพูดของตัวเอง
“แต่ผมคงไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ...”
ปรัสเซียยักไหล่อย่างกวนประสาทเป็นเชิงว่าไม่สนใจ ทว่าอาการนั้นกลับทำให้รัสเซียยิ่งได้ใจ เดินเข้ามาใกล้ชายชาวปรัสเซียเรื่อยๆ
“อย่างน้อยก็ตอนนี้”
ว่าพลางเดินเข้ามาใหล้ชายชาวปรัสเซียแล้วก้มล้มประทับริมฝีปากลงบนปากของคนตัวเล็กกว่าที่มัวแต่อึ้งเลยไม่ได้ขัดขืน
มือของชายชาวปรัสเซียเอื้อมขึ้นไปโอบรอบคอคนตัวสูงกว่าโดยอัตโนมัติทำให้มือข้างที่ว่างของรัสเซียเลื่อนลงมายังเอวของกิลเบิร์ต ไวร์ชมิท
เฮ้ย... เขากำลังทำอะไรอยู่วะ...
จิตใต้สำนึกของปรัสเซียเหมือนจะเพิ่งทำงาน... นึกสงสัยในการกระทำของตัวเอง ก่อนจะกลับมาสั่งการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งโดยการผลักชายที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ออกไป...
ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปยังชายชาวรัสเซีย ในขณะที่รัสเซียส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้แก่เขา
ทำหน้าแบบนั้น... หลังจากที่มันจูบเขาเนี่ยนะ?...
“รัสเซีย! นายทำอะไร!”
...คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก 5 ขวบอยู่รึไงวะ?...
รัสเซียแสร้งทำหน้าเหรอหราเหมือนการกระทำเมื่อกี๊ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนจะตอบพร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ
“ครับ? ก็จูบคุณปรัสเซียไงครับ”
ตอบด้วยอารมณ์แบบว่ากิลเบิร์ตโง่เต็มที่ที่ถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊นี้เรียกว่าอะไร..
ปรัสเซียได้แต่มองรัสเซียด้วยอารมณ์ที่แยกไม่ถูกระหว่างช็อคหรือโกรธจึงยกมือปิดปากเงียบปล่อยให้รัสเซียยืนยิ้มด้วยใบหน้าที่แสดงออกว่าพอใจมาก...
“เป็นยังไงครับฝีมือผม?”
...อ๋อ ที่มันจูบเขาเพราะจงใจจะท้าทายอำนาจเขาใช่มะ? เหอะๆ... ได้~ ได้เลย... ในที่สุดความโกรธในใจเขาก็มีชัยชนะเหนืออาการช็อค
“ไม่ได้ครึ่งนึงของฉันหรอก!”
ว่าก่อนจะฉุดให้คนตัวสูงกว่าโน้มลงมาจูบเขาอีกครั้งหนึ่งคราวนี้มีชายที่ชื่อกิลเบิร์ต ไวร์ชมิทเป้นคนคุมเกม...
...หึหึ ให้มันรู้ซะบ้าง บังอาจมาลองดีกับท่านปรัสเซียคนนี้...
สายตาของรัสเซียมองมาที่ชายชาวปรัสเซียอย่างตกใจหลังขากลับมาจ้องตากันอีกครั้ง อาจจะเพราะไม่คิดว่าปรัสเซียจะทำถึงขนาดนี้ หรือไม่ก็สมองยังปรับตัวไม่ทันว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ
ทำให้คราวนี้ปรัสเซียเป็นฝ่ายยิ้มอย่างพึงพอใจบ้าง...
“เห็นมะ ฝีมือระดับนี้ ฉันออกไปได้สบายๆอยู่แล้ว”
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ยิ้มกรุ่มกริ่มทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมาจากเต้นท์... แล้วหายเข้าไปในสีเขียวของป่า
ทิ้งให้ชายชาวรัสเซียจมอยู่กับความคิดของตัวเอง...
ว่าบางที... นี่อาจจะเป็นแค่ความฝันที่เขาคิดไปเอง... ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง...
...เขากำลังคิดขึ้นเองว่าปรัสเซียเพิ่งจูบเขา...
...ว่าคนที่เขาคอยมองมาเนิ่นนานเกินกว่าจะระบุเวลาได้ชัดเจนเริ่มยอมรับเขา...
...ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชายชาวปรัสเซียคืบหน้าขึ้นอย่างที่เขาคาดไม่ถึง...
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เสียดายหรือเสียใจว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว... ไม่ว่าสงครามจะเป็นอย่างไรหรืออะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ตาม...
อะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ปรัสเซียยอมรับเขา...
.
.
.
ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี ชายคนหนึ่งกำลังนั่งผิงไออุ่นดับความหนาวจากกองไฟใกล้ตัวบนขอนไม้... สงคราม สนามรบ... คาดหวังอะไรที่มันสะดวกสบายไม่ได้จริงๆ...
ใช้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องที่กองไฟอย่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองทบทวนเรื่องราวระหว่างตัวเขากับชายอีกคนหนึ่ง คิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองหน้าแดง ภาพชายตัวเล็กกว่าเขาเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงถือปืนยืนอยู่ข้างหน้าเขาปรากฏขึ้นในหัว
“เว่~ เค้าไม่ยอมให้ทำอะไรลุดวิกหรอก!”
ไม่น่าเชื่อ คนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าทำอะไรเองไม่เป็นนอกจากทำอาหารก็สามารถปกป้องเขาได้...
...เขาปล่อยให้อิตาลีมาปกป้องตัวเองได้ยังไงนะ... เจ้าบ๊องนั่นคือคนที่เขาสมควรจะปกป้องแท้ๆ... เขาคือฝ่ายที่สมควรจะปกป้องต่างหาก... เขานี่งี่เง่าๆจริงๆ...
แล้วไหนจะเรื่องความฝันที่ยังคงเป็นปัญหาค้างคาใจอีก... แม้จะยังไม่รู้ว่าตกลงเด็กผู้ชายชุดน้ำเงินคนนั้นที่เขาฝันถึงคือตัวเขาเองอย่างที่เขาสงสัย หรือคือใคร มีความสำคัญอะไรกับอิตาลีกันแน่แต่เขาก็มีความรู้สึกว่าเขากำลังจะได้รู้เองในอีกไม่ช้า...
เด็กที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้น ผมสีน้ำตาลเฉดเดียวกับเฟลิเซียโน่... ทั้งสีตา... ท่าทาง ลักษณะคำพูด...
“เธอบอกให้ฉันรอ ฉันก็รอ แต่ฉันรอมานานมากแล้วรู้มั้ย”
กับประโยคที่แม้จนวันนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจในการกระทำของคนพูด...
จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเองซักพัก ทันใดนั้นอะไรบางอย่างก็เคลื่อนไหวผ่านสายตาเขา เรียกให้เขาหันหน้าไปจ้องตรงมุมมืดของค่ายทหาร บริเวณพุ่มไม้สีเขียวซึ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังสะกิดให้พุ่มไม้ไหว...
แสงจันทร์สะท้อนอะไรเงินๆวิบวับเข้าสายตาเขา...
ปืนหรอ... หรือระเบิด หรืออะไร...
ก่อนจะเกิดควันสีเทาขึ้นรอบพุ่มไม้และกระจายมาทางเขา... ทำให้ลุดวิก ไวร์ชมิทเบิกตากว้าง รีบลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะส่งเสียงเตือนคนอื่นในกองทัพ...
ทว่ายังไม่ทันที่ชายชาวเยอรมันจะทำอะไรควันสีเทาก็ล้อมรอบตัวเขาพร้อมกับเสียงๆหนี่งที่ดังออกมาจากพุ่มไม้
เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี... เป็นเสียงของคนที่เขากำลังนึกถึงอยู่... เสียงของคนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา...
ลุดวิกรีบตรงดิ่งไปยังพุ่มไม้นั้นตามเสียงเรียกที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน...
“ลุดวิก... ช่วยเค้าด้วยย”
กวาดสายตาหาต้นเสียงอย่างร้อนใจ... ไม่ว่าเขาจะเคยเป็นใคร มีความสำคัญอะไรกับเฟลิเซียโน่แต่หน้าที่ปกป้องเฟลิเซียโน่ต้องเป็นของเขา...
...เพราะหากชายตัวเล็กติงต๊องคนนั้นเป็นอะไรไปเขาคงจะอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้อีก...
...ราวกับว่าตัวเองเคยทำพลาดมาแล้ว... เคยทำผิดสัญญาอะไรซักอย่างกับชายตัวเล็กคนนั้น...
ซึ่งเขาจะไม่มีวันทำให้ตัวเองผิดหวังอีกโดยเด็ดขาด...
...ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้เลย...
.
.
.
ความคิดเห็น