คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter VI: Daydream Fighters
--------------------------------------------------------
Chapter VI: Daydream Fighters
Now that we have got what's left
Lost my rights when I was young
Taken by the ones I trust
Long before I knew of love
All the things I understood
Fighting for the greater good
Now tell me why this feels so wrong
Feels so wrong, to hold this gun
Now look what I've become
Garands - YOUNG THE GIANT
“เฟลิเซียโน่!!!! เจ้างั่ง!! มัวแต่ทำอะไรอยู่ สายแล้วนะ!!!”
เสียงคุ้นๆของใครบางคนดังขึ้นจากที่ไกลๆทำให้เขาหมุนตัวเปลี่ยนมุมอย่างรำคาญๆ
“เฟลิเซียโน่!! ฉันเรียกครั้งสุดท้ายแล้วนะ!! ถ้านายไม่ตื่นก็เดินไปเองนะ!!”
ทว่าชายคนที่ชื่อเฟลิเซียโน่กลับเอาหมอนที่หนุนอยู่ดึงขึ้นมาทับหัวด้วยหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยกั้นเสียงรบกวนออกไปได้
“โว้ยยยยยย!! เฟลิเซียโน่!!!!!”
แต่ก็ไม่สำเร็จ...
นั่นทำให้ชายชาวอิตาลีลืมตาโพล่งขึ้นมาเมื่อระลึกขึ้นได้ว่าเสียงที่เรียกเขาอยู่นั่นเป็นเสียงของใคร...
...วันนี้เขาต้องไปประชุมกับเจ้านายนี่นา...
...แล้วเขาก็รับปากโรวีโน่ไปเมื่อคืนว่าจะไปด้วย...
“เว่~ แป๊บนึงนะ พี่ชาย~~!!!”
ตะโกนเสร็จก็รีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งลงบันไดกระโดดขึ้นรถคันสีแดงยี่ห้องดังสินค้าส่งออกของอิตาลีที่พี่ชายนั่งเป็นคนขับอยู่ก่อนแล้ว
“ช้าได้อีกจริงๆ เจ้างั่ง!”
พี่ชายหันใบหน้าหงุดหงิดที่ดูบึ้งกว่าปกติมาทางเขาขณะพูด ก่อนจะใส่แว่นตาดำกันแดดแล้วสตาร์ทรถ...
...พี่ชายเนี่ย... ไม่ว่ายังไงก็แต่งตัวเท่ห์เสมอเลยนะ...
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ฮะ ช้าจริงๆ... ฮึ่ย... นายฟังบอสบ่นไปคนเดียวเหอะ”
พี่ชายเขาบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด แต่สายตาก็ยังจ้องไปยังถนนอย่างตั้งใจพลางเร่งสปีดความเร็วขึ้นเรื่อยๆตามนิสัย
เขาจึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างแทน...
คิดถึงเรื่องเดิมๆที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาต้องอยู่คนเดียวแล้วก็อดห้ามความคิดของตัวเองไม่ให้คิดไม่ได้...
นับตั้งแต่วันนั้นที่สวน... เขาก็หลบหน้าเยอรมันมาตลอด ด้วยความรู้สึกผิดที่เขาคิดเอาเยอรมันไปเป็นตัวแทนของคนรักเก่าที่ตายไปนานแล้ว...
...แต่ดูจากท่าทางของลุดวิกแล้ว เฟลิเซียโน่คนนี้ก็คงจะคิดผิดอีกตามเคย...
คงจะเป็นอย่างที่ปรัสเซียว่า
...คนตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไงกัน...
ถอนหายใจอย่างปลงๆกับความหวังลมๆแล้งๆของตัวเองเบาๆทว่าก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากโสตประสาทการได้ยินของคนที่นั่งข้างๆได้
“ถอนหายใจทำไม”
แม้ว่าพี่ชายเขาจะไม่ได้เป็นคนอ่อนโยนให้เห็นหรือลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ความใจดีและเป็นห่วงที่อยู่ลึกๆภายในจิตใจของตัวแทนอิตาลีใต้ก็อดทำให้เขายิ้มน้อยๆไม่ได้
“ไม่มีไรหรอก เว่~”
โรวีโน่หันหน้ามาทางเขาแวบนึง ส่งสายตาคาดคั้นให้
“หวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องไอ้คนบ้ามันฝรั่งนั่นนะ ไม่งั้นฉันจะสั่งมาเฟียไปเก็บมัน”
เฟลิเซียโน่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่ชายที่ปกติจะเดาสุ่มมั่วไม่เคยตรงเรื่องแต่คราวนี้กลับเดาถูก ทำให้เฟลิซียโน่ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด
“มะ... ไม่ใช่ซักหน่อย เว่~”
แต่คนเป็นพี่เหมือนจะรู้ดีกว่า... มือกำพวงมาลัยแน่นก่อนจะเอ่ยบ่นคนบ้ามันฝรั่งที่ตัวเองประนาม
“เนี่ยนะ... ฉันเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปยุ่งกับมัน มันทำอะไรนายฮะ! ไอ้พวกนี้เนี่ยไว้ใจไม่ได้...”
เฟลิเซียโน่ขมวดคิ้ว ในใจคิดหาวิธีทางเปลี่ยนเรื่องเพื่อหยุดประโยคบ่นของพี่ชาย
“...นายจำไม่ได้รึไง ทั้งคนพี่คนน้องแหละ โดยเฉ...”
“ทำไมพี่ชายถึงไม่ชอบลุดวิกขนาดนั้นอ่ะ”
คราวนี้คนที่เงียบกลับเป็นโรวีโน่... ที่หันกลับไปจ้องถนนอย่างตั้งใจเหมือนไม่ได้ยินที่น้องชายพูด
ทำให้เฟลิเซียโน่เริ่มสงสัย เอามือสะกิดพี่ชายแล้วถามย้ำ
“ลุดวิกเคยทำอะไรไว้หรอ?”
แต่คนเป็นพี่ก็ยังเงียบ ยังคงตั้งใจกับการขับรถต่อไปทำให้เฟลิเซียโน่สะกิดหนักขึ้น
“นี่โรวี่ๆๆ ลุดวิกทำไรไว้หรออ”
นั่นทำให้คนซึ่งอารมณ์เสียง่ายเป็นปกติอยู่แล้วหมดความอดทน... หักพวกมาลัยเลี้ยวรถจอดข้างทาง...
ปล่อยบอสรอไปซักพักก่อนแล้วกัน... ยังไงเขาสองคนก็ไม่โดนตัดเงินเดือนอยู่แล้ว...
“นายอยากจะรู้จริงๆหรอ”
โรวีโน่มองหันมามองหน้าน้องชายนิ่งๆหลังจากที่จอดรถข้างทาง... ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตาจริงจังอย่างที่หาได้ค่อนข้างยาก
“เว่~ อยากรู้”
บุคคลผู้เป็นพี่ยังคงจ้องหน้าน้องชายนิ่งๆ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ...
“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับ... โฮลี่โรมัน... นายจะอยากฟังหรอ?”
พี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง และจ้องมาที่เขาอย่างเป็นห่วง
“เว่~ ยิ่งอยากฟังเลย”
เขาตอบพร้อมกับพยักหน้ารับคำพี่ชาย...
“เฮ้อ... นายนี่มัน... ฉัน... เฮ้ออออ...”
เฟลิเซียโน่จมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย... เรื่องที่จะเล่านี่มันอธิบายยากขนาดนั้นเลยหรอ...
“ฟังนะ... ฉันก็ไม่ได้รู้มาด้วยตัวเองหรอก... แต่ว่าเจ้างั่งสเปนเล่าให้ฟัง...”
เมื่อคนข้างๆเอ่ยถึงสเปนทำให้อิตาลีแย้มรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย แม้จะกำลังฟังเรื่องเครียดของตัวเองอยู่ก็ตาม...
“นั่นแหละ... เจ้านั่นเล่าให้ฟังว่า...จริงๆแล้ว... โฮลีโรมันตายแล้ว...”
รอยยิ้มของเขาหุบลงทันทีที่ได้ยินพี่ชายพูดเรื่องเดิมๆ เขาได้ยินคนย้ำเรื่องนี้กับเขามาไม่รู้กี่คนแล้ว... แม้จะผ่านมานานหลายร้อยปี... ความรู้สึกหลังจากฟังประโยคนั้นก็ไม่ค่อยจะต่างกันเลยซักนิด...
“...แต่ตัวแทนของโฮลีโรมัน... เจ้าบ้ามั่นฝรั่งหมายเลข 1 เก็บไปเลี้ยง...”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ชายชาวอิตาลีคนน้องก็หันไปมองพี่ชายอย่างงงๆ
ใครคือเจ้าบ้ามันฝรั่งหมายเลข 1
แล้วประโยคนี้หมายความว่ายังไง?
โรวีโน่ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้างงของน้องชาย ก่อนจะพูดเสริมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็หมายความว่าไอ้เด็กผมทองนั่นยังไม่ตายไงเล่า!”
เฟลิเซียโน่ก็ยังคงมองมาที่พี่ชายอย่างงงๆ...
“แล้วใครคือเจ้าบ้ามันฝรั่งหมายเลข 1 อ่ะ”
คนที่เป็นพี่ชายกำหมัดแน่น ทุบคอนโซลรถด้วยท่าทางโมโหๆ
“ก็ปรัสเซียไงเจ้างั่ง!”
อิตาลีเรียบเรียงข้อมูลในหัวใหม่อย่างงงๆ...
เด็กผมทองคนนั้นยังไม่ตาย... โฮลีโรมันตายแล้วแต่เด็กผมทองคนนั้นยังไม่ตาย... ตัวแทนของโฮลีโรมันยังไม่ตาย... แต่ถูกเจ้าบ้ามันฝรั่งเก็บไปเลี้ยง เจ้าบ้ามันฝรั่งนั่นคือปรัสเซีย...
...แล้ววคนที่อยู่กับปรัสเซียตอนนี้คือ... ลุดวิก...
ลุดวิก = ตัวแทนโฮลีโรมัน
...ลุดวิกคือคนรักเก่าของเขา...
“เว่~~~! ทำไมพี่ชายไม่บอกเค้าตั้งแต่แรกล่ะว่าโฮลีโรมันยังไม่ตาย!!”
เฟลิเซียโน่หัวเราะอย่างดีใจเมื่อรู้ความจริง... สรุปแล้วสิ่งที่เขาคิดก็เป็นความจริงหรอเนี่ย... ลุดวิกก็คือคนรักเก่าของเขาจริงๆด้วย...
“ก็... หมอนั่นจำนายไม่ได้นิ่... ปรัสเซียเจ้างั่งสเปนว่าถ้ารู้ว่าคนที่ตัวเองรักความจำเสื่อม จำเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ บอกตายไปเลยน่าจะดีกว่า...”
โรวีโน่พูดพลางหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง... รู้สึกโล่งอกนิดๆที่อย่างน้อยปฏิกิริยาของเฟลิเซียโน่คือดีใจ...
...อย่างน้อยเจ้างั่งน้องชายเขาคงหายเศร้าไปได้ซักพัก...
“เว่~ ปรัสเซียงี่เง่า”
แล้วสองพี่น้องวากาสก็หลุดเสียงหัวเราะขำหลังจากเฟลิเซียโน่จบประโยค...
ชายชาวอิตาลีคนน้องยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน...
อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าลุดวิกคือโฮลีโรมัน... คือคนรักเก่าของเขา... คนที่สัญญากับเขาว่าจะกลับมา คือคนที่เขารักษาสัญญาและยังคงรออยู่จวนถึงปัจจุบัน...
...ไม่ว่ายังไงเขาก็จะรอ...
...เขาจะไม่ยอมแพ้อีกอย่างเด็ดขาด...
.
.
.
ณ กลางสนามรบแห่งหนึ่งซึ่งเป็นลานดินกว้าง รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวต้นเล็กใหญ่มีคนจำนวนมากซึ่งแต่งตัวแตกต่างกันสองแบบกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย...
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท กำลังทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด นั่นคือการต่อสู้อยู่บนลานดินกว้างแห่งนี้ หลบซ้ายหลบขวาอย่างคล่องแคล่วก่อนจะก้มหลบปืนปลายดาบของฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบมีดที่เสียบอยู่แถวๆรองเท้าบูทขึ้นมาจัดการกับศัตรูคนข้างหน้า...
ทำซ้ำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆราย...
คนพวกนี้ไม่เหมาะมาเป็นคู่ต่อสู้กับท่านปรัสเซียผู้เก่งกาจเลยซักนิด....
คิดในใจก่อนจะกรอกตาเมื่อมีเหยื่อรายใหม่วิ่งมาสู้กับเขา...
...ไม่ได้คิดก่อนทำกันเลยรึไงนะ จริงๆแล้วดูจากหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าไม่ควรมาต่อกรด้วย...
...ฝีมือมันคนละชั้นกันน่ะ...
กิลเบิร์ต ไวร์ชมิทเสียเวลาในการชื่นชมตัวเองไปครู่หนึ่งก่อนจะสังเกตุเห็นทหารฝ่ายเดียวกับตนรีบวิ่งเข้ามาหา
“ท่านครับ แนวตรงที่ออสเตรียปะทะกับรัสเซียเริ่มแย่แล้วครับ!”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ทหารเพิ่งมารายงาน ปรัสเซียก็ทำหน้าเบ้พลางบ่นพึมพำ
“เนี่ยน้า... เอาคุณชายไปสู้กับไอ้ซาดิสม์นั่น... ต้องให้ฉันลงมือเองอยู่เรื่อย”
เดินตามทหารคนที่มาเรียกไปเรื่อยๆ สายตาของกิลเบิร์ตสำรวจรอบสนาม... คนฝั่งเขาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ แย่จริงๆอย่างที่ทหารฝั่งเขาว่า...
นี่ขนาดไม่ใช่หน้าหนาว ถ้าหน้าหนาวคงรบกันไม่ได้... ถึงจะฝืนสู้ต่อฝ่ายเขาที่ทนความหนาวได้น้อยกว่าก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างน้อยดินแดนนี้ก็ได้ชื่อว่าดินแดนที่ไม่เคยมีใครเอาชนะได้นี่นะ...
เมื่อเดินมาได้ซักพักภาพคนสองคนซึ่งกำลังสู้กันอยู่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาเขา...
ชายสวมแว่นผมสีน้ำตาลเข้มในสภาพดูไม่คุณชายอย่างที่ควรเท่าไหร่นักเนื่องจากกำลังแพ้อย่างราบคาบให้แก่ชายร่างสูงในเสื้อโค้ชตัวยาวสีน้ำตาลกับท่อแป๊บในมือ...
แพ้ตั้งแต่รัสเซียยังไม่ใช้อาวุธ... ออสเตรียนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ...
คิดได้อย่างนั้นปรัสเซียจึงตะโกนขึ้นช่วยเพื่อน
“เฮ้! รัสเซีย! เลิกรังแกเจ้าแว่นได้แล้ว!”
เขาตะโกนไปทางชายตัวใหญ่ก่อนที่ปฏิกิริยาตอบกลับจะเป็นการหันหน้ากลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ปรัสเซีย... ในที่สุดก็โผล่มาซักทีนะครับ ผมกำลังรออยู่เลย”
ยิ้มหน้าบานให้เขา ก่อนจะเลิกสนใจออสเตรียที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น ก้าวท้าวมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ทันตั้งตัว... รัสเซียก็ยกท่อแป๊บขึ้นมาทำให้เขาต้องยกมือที่ถือดาบขึ้นกันอย่างตกใจ
“เฮ้ย อะไรของนาย! อย่างน้อยให้ตั้งตัวก่อนซักนิดสิ!”
รัสเซียกลับยิ่งยิ้มอย่างโรคจิต
“นี่มันสงครามนะครับปรัสเซีย... ผมไม่เคยปรานีศัตรูครับ”
ปรัสเซียจ้องตอบอย่างหงุดหงิด
“ไม่ออวซั่มเลยซักนิด”
ประโยคนั้นทำให้รัสเซียยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เหมือนคนๆนี้จะยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆเวลาอยู่กับเขา... ทำอย่างกับเขาเป็นของเล่นบังคับไปมาได้ตามใจชอบอย่างนั้นแหละ...
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบแต่กลับใช้ท่อแป๊บท่อเดิมฝาดเขาเข้ามาไม่ยั้งจนเขาต้องหลบแล้วหลบอีก ทำให้ปรัสเซียเริ่มถอยจนรู้สึกว่าตัวเสียเปรียบแบบยอมไม่ได้จึงยกเท้าขึ้นถีบคนตรงหน้าโดยสัญชาตญาน
ถึงจะไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์แต่มันก็สำเร็จ!
ยิ้มกรุ่มกริ่มในใจเมื่อเห็นรัสเซียลงไปนอนกองกับพื้น เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆชายตัวใหญ่เพื่อจะซ้ำอีกรอบแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาชายคนที่เขาตั้งใจจะปะทุษร้ายกลับลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
พลางปัดฝุ่นดินออกจากเสื้อโค้ชตัวยาวอย่างทะนุถนอม...
“แย่จังเลยนะครับ... เสื้อผมเปื้อนหมดเลย”
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเหมือนเด็กถูกรังแก...
เอ่อ... อืม... เมื่อคิดถึงอดีตของคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ตอนนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าบรรดาผู้เคยถูกคนตรงหน้าเขารุกรานทั้งหลายจะมีปฏิกิริยาอะไรกับสายตาแบบนี้...
...มันไม่ได้เข้าเล้ย...
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อฝ่ายตรงข้ามเขาก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง... คราวนี้ดูมุ่งมันว่าจะล้มเขาให้ได้มากกว่าเดิมการกระทำผิดกับสายตาเมื่อชั่วครู่ลิบลับ...
ฝันไปเหอะ คนอย่าง กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ไม่แพ้ง่ายๆโว้ยย!
ยกมือขึ้นกันท่อแป๊บไปอีกซักพักคู่ต่อสู้ของเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มอ่อนแรงลง เขายิ้มอย่างได้ใจก่อนจะเริ่มโจมตีหนักขึ้นๆในขณะที่อีกฝ่ายกลับกลายเป็นฝ่ายถอยบ้าง
ให้มันรู้ซะบ้างว่าสู้อยู่กับใคร หึหึ...
ขณะที่ปรัสเซียกำลังพยายามรุกอย่างเต็มที่นั้น ชายชาวรัสเซียกลับแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทำให้ชายชาวเยอรมันเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย...
สายตาไม่ไว้วางใจอย่างนั้น... แสดงว่าที่ถอยเมื่อกี๊นี้เป็นแผนใช่มั้ย...
ทันใดนั้น รัสเซียก็ทิ้งท่อแป๊บลงแล้วหันมาคว้ามาทั้งสองข้างของปรัสเซียแทน ก่อนจะเหวี่ยงคนตัวเล็กกว่าไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้เขาร้องด้วยเสียงที่ไม่ค่อยออวซั่มเท่าไหร่กลับไปอย่างตกใจ...
“เฮ้ยย! ไรอ่ะ!”
เขาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก... พยายามขยับมือที่อยู่ภายใต้การบังคับของชายตัวใหญ่กว่า
“เห็นหน้าคุณปรัสเซียแล้วผมรู้สึกอยากทำอะไรซักอย่าง...”
ปรัสเซียเอียงหัว ถลนตา ทำหน้างงกลับ... ห้ะ... ทำอะไร...
ฝ่ายตรงข้ามยังคงจ้องเขากลับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาแบบเดิมพร้อมกับมือสองข้างที่จับข้อมือเขาไม่ให้เขาขยับไปไหนได้แม้ว่าเขาจะพยายามดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อฟังประโยคนั้นของรัสเซียจบก็ตาม...
...มันชักจะเริ่มแปลกๆนะ...
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อคนตรงหน้าเขาก็โน้มหน้าลงมา... ทำให้เขานึกได้... ไอ้หมอนี่จะจูบเขาอย่างนั้นหรอ... นี่มันคุกคามทางเพศชัดๆ!!!
ไม่ยอมโว้ยยย!!!
คิดได้ดังนั้นปรัสเซียยังยกเท้าขึ้นถีบรัสเซียลงไปนอนกองกับพื้นเป็นรอบที่สองของวัน...
ตั้งใจจะเดินหนีจากเหตุการณ์แปลกๆนี่ไปที่อื่นทว่ากลับมีมือของบางคนคว้าที่ข้อเท้าของเขาทำให้เขาล้มลงไปนอนข้างๆเจ้าตัวปัญหานั่น ก่อนที่อีกฝ่ายจะผลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนตัวเขาอย่างไว แขนสองข้างของรัสเซียรับน้ำหนักตัววางอยู่ข้างหัวของชายชาวเยอรมัน
เฮ้ย ได้ข่าวว่านี่มันสนามรบนะเว่ย!!
...รัสเซียเป็นโรคจิตอย่างไม่ต้องสงสัย...
เมื่อรู้สึกถึงความใกล้ขึ้นเรื่อยๆของใบหน้าคนข้างบนชายชาวปรัสเซียนจึงหลับตาปี๋อย่างกลัวๆถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา...
แม้จะไม่อยากยอมรับว่านักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่างปรัสเซียจะโดนคุกคามแต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาทำอะไรไอ้บ้าข้างบนไม่ได้จริงๆ แค่ขยับตัวยังทำไม่ได้...
ทว่าหลังจากหลับตาไปซักพักกลับรู้สึกว่ามีแต่ความว่างเปล่า...
ลืมตาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ารัสเซียกลับมายืนขึ้นเหมือนเดิมแล้ว พร้อมกับส่งยิ้มไร้เดียงสาแบบปกติให้เขา...
...แต่กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ไม่ปกติเท่าไหร่... เหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง...
“ผมว่าวันนี้เราพอแค่นี้กันดีกว่า... เหนื่อยและ”
คนตัวสูงพูดพลางบิดตัวไปมาแสดงให้เห็นว่าเมื่อยมากแล้วก็เหนื่อยอย่างที่พูด...
ความจริงแล้วปรัสเซียยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว... ยอมรับตามรัสเซียว่าเหนื่อยไปคงจะดีแล้ว...
“งั้นก็... ไว้เจอกันนะครับ”
หันมาโบกมือให้เขาก่อนจะหันเตรียมมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นฝั่งของศัตรูเขา...
แต่ด้วยความรู้สึกสงสัยในการกระทำของชายชาวรัสเซียทำให้เขาต้องรั้งชายชาวรัสเซียไว้ไม่ให้เดินกลับไป
“ทำไมเมื่อกี๊นายไม่ทำอะไรฉัน?”
ถามนี่ไม่ใช่เพราะอยากให้ทำหรอกนะ!
ทว่ารัสเซียกลับส่งรอยยิ้มไร้เดียงสานั่นกลับมาแล้วพูดสั้นๆ
“ความลับ”
ชายชาวปรัสเซียขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก...
กล้าเดินหนีท่านปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรอ!!
“เฮ้! รัสเซีย! กลับมาตอบก่อนเซ่!”
ทว่าคนที่เดินหนีเขากลับเพียงแค่เดินห่างไปเรื่อยๆ... แต่ก็ทิ้งท้ายเป็นคำพูดไว้ให้เขาได้หน้าแดงเล่นๆ
“ก็นายยังไม่เต็มใจ ไม่อยากบังคับ”
กิลเบิร์ตชะงักกับคำตอบเบาๆนั่นอยู่ครูหนึ่งก่อนจะคิดในใจ...
รัสเซียที่ปกติอยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เคยลังเลแม้ว่าต้องฆ่าหรือทรมาณใครเนี่ยนะ...
...ที่บอกว่าไม่อยากบังคับเขา...
บางทีมันคงจะโรคจิตจริงๆอย่างที่เขาคิด...
.
.
.
ท่ามกลางความวุ่นวายของการต่อสู้ ณ อีกมุมหนึ่งของสนามที่ผู้คนกำลังฆ่าฟันอยู่นั้น ชายสองคนกลับมีอารมณ์จะพูดกันไปพลางสู้ไปพลาง...
คนหนึ่งมีผมสีทองยาวประบ่าที่ตัวเองภาคภูมิใจว่างดงามกว่าใคร กับดวงตาสีฟ้าซึ่งส่องประกายท้าทายไปยังคนที่กำลังสู้อยู่ด้วย ในขณะที่ปากขยับไปเรื่อยๆอย่างท้าทาย
“เยอรมันเด็กน้อยคลั่งไคล้มันฝรั่งจริงๆอย่างที่คนอื่นพูดรึเปล่าน้า~”
ขณะที่ชายผู้ถูกเรียกว่าเยอรมันกำด้ามปืนแน่นกัดฟันข่มอารมณ์ไม่ให้เอาปืนฟาดหัวคนตรงหน้าที่กำลังล้อเลียนเขาอยู่นี่
นอกจากนั้นยังมีประโยคประเภท
“คุณพี่สงสัยจริงๆน้า~ ว่าเยอรมันชอบเรื่องอย่างว่าแบบโหดๆจริงรึเปล่า~”
“ถ้าอยากสนุกกับคุณพี่ก็มาได้นะไม่ต้องเกรงใจ”
หรือ
“เยอรมันกิ๊กกับอิตาลีอยู่จริงรึเปล่าอ่า~ บอกหน่อยได้มะคุณพี่อยากรู้”
พลางส่งรอยยิ้มและสายตากวนประสาทนั่นให้เขาไม่หยุด จนเขาไม่มีสมาธิที่จะสู้อย่างถูกต้อง...
...แล้วยังท่าทางส่งจูบนั่นอีก...
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงเคยอยู่กับพี่ชายเขาได้...
...และน่าสงสัยว่าเมื่อสงครามจบลงก็คงจะกลับมารวมหัวกันให้เขาปวดหัวเหมือนเดิม...
เยอรมันกัดฟันอย่างหงุดหงิดแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรตอบโต้ฝรั่งเศสไปเพราะถึงจะไล่ยิงหรือฟันดับหรือใช้อาวุธอะไรก็ตามแต่คนตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีความคิดที่จะหยุดพูดง่ายๆ
...สงสัยถ้าปาระเบิดแล้วยังจะวิ่งกลับมาพูดให้เขาฟังอยู่มั้ย...
แต่เขาตอนนี้ก็ไม่มีระเบิดอยู่กับตัวให้ทดลองซะด้วยสิ...
ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง แม้เขาจะกำลังชนะอยู่ บุกฝรั่งเศสจนถอยร่นเกือบจะถึงปารีสแต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าทางด้านพี่ชายเขากับออสเตรียจะเป็นยังไงบ้าง...
ภาวนาให้กิลเบิร์ตไม่เกิดเล่นพิเรนท์อะไรขึ้นมาก็แล้วกัน...
ชายชาวเยอรมันพยายามคิดเรื่องอื่นไปด้วยขณะสู้กับชายชาวฝรั่งเศสเพื่อกลบเสียงของฟรานซิสไม่ให้ลอดเข้ามาในโสตประสาทของเขาได้...
ทว่าทันใดนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหัวน้ำตาลๆสีเดิมที่เพิ่งเห็นไม่กี่วันที่ผ่านมาก่อนที่คนๆนั้นจะวิ่งหนีเขาไป...
เฟลิเซียโน่มาทำอะไรที่นี่อีกแล้ว...
ส่วนลึกในใจของเขากลับภาวนาให้ชายชาวอิตาลีมาหาเขาอย่างไม่มีเหตุผล...
ไม่มีเหตุผลเพราะอิตาลีจะมาเขาทำไมกัน...
ยังไม่นับรวมเรื่องในฝันเขาอีก...
เขานี่ท่าจะเป็นเอามาก...
ลุดวิกเหมือนสติหลุดออกไปชั่วขณะ ทำให้ชายชาวฝรั่งเศสได้ใจกำลังจะโจมตีแต่ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไรตัวแทนประเทศอิตาลีก็ปรากฏตัวขึ้นขั้นกลางระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส...
“เว่~ ลุดวิก!”
พูดก่อนจะเดินเข้ามากอดชายชาวเยอรมันที่ยืนนิ่งไม่ขยับตัวพร้อมกับหน้าแดง...
ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ทำให้ฝรั่งเศสยิ้มอย่างขำๆแล้วคิดเอ็นดูในใจ...
ในขณะที่ความคิดของชายคนที่ถูกเรียกว่าลุดวิกกำลังตีกันอย่างบ้าคลั่ง... เหมือนสมองหยุดทำงานอย่างอื่นไปชั่วขณะ
เฟลิเซียโน่มาหาเขา... เฟลิเซียโน่มาหาเขา...
“ไงอิตาลี่ ไม่คิดมากอดคุณพี่มั่งหรอ โฮะๆๆ”
ทว่าสิ่งที่ฝรั่งเศสได้ตอบกลับเป็นเพียงแค่รอยยิ้มอย่างปกติของชายชาวอิตาลี่เท่านั้น...
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอิตาลีคงทำตามที่สั่งทุกอย่างเดินเข้าไปกอดอย่างไม่รู้เรื่องอะไร...
“นะ... นายมาหาฉันทำไม...”
ลุดวิกก้มลงถามเฟลิเซียโน่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาทั้งๆที่หน้ายังแดงอยู่
“เว่~ เขาแค่อยากมาเยี่ยมเฉยๆ วันนั้นยังคุยกันได้ไม่กี่คำเอง”
คำตอบของเฟลิเซียโน่ทำให้ขมวดคิ้วอย่างงงๆ...
...ก็อิตาลีเองไม่ใช่หรอที่วิ่งหนีเขาไปวันนั้น...
ทำไมคนตรงหน้าเขาถึงทำให้เขาตั้งคำถามได้มากมายขนาดนี้นะ...
ด้วยท่าทางที่เหมือนชายผมทองกับชายหัวน้ำตาลจะอยู่ในโลกส่วนตัวสองคนของตัวเองทำให้ฟรานซิสหงุดหงิดที่โดนเมิน...
นี่เขาเป็นส่วนเกินชัดๆ...
ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้แล้วยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์...
“นี่ พวกนาย!”
พูดเสร็จก็ยกปืนสั้นของที่อยู่ในมือตัวเองมาเล็งไปยังอิตาลีซึ่งยืนอยู่หน้าเยอรมันทำให้ทั้งคู่เงยหัวขึ้นมามองฝรั่งเศสอย่างตกใจ
“นายยังอยู่ในสนามรบนะเยอรมัน... บอกไว้เผื่อจะลืม”
เยอรมันเหมือนตั้งสติได้ก้าวเท้าขึ้นมายืนบังหน้าอิตาลีซึ่งยังคงมองหน้าฝรั่งเศสอย่างงงๆ
“นายเห็นคนรอบตัวนายที่กำลังตายอยู่นี่มั้ย”
เมื่อพูดถึงคำว่าตายเหมือนจะไปสะกิดกลไกอะไรบางอย่างในตัวเฟลิเซียโน่ ทำให้ชายชาวอิตาลีตัวสั่นเกาะหลังที่พึ่งคือชายที่ย้ายมายืนอยู่ข้างหน้าแน่น...
“คนพวกนี้ตายเพราะเผลอหยุดระวังตัวไปเพียงชั่วครู่... ก็เหมือนนาย”
ลุดวิก ไวร์ชมิททำหน้าเครียดทันที่ฝรั่งเศสจบประโยคก่อนจะยกมือข้างที่ถือปืนเล็งไปที่ชายชาวฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน...
“นายเพิ่งจะมาจริงจังคิดได้ตอนนี้เนี่ยนะ”
ก่อนที่ปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ใช่... ตอนนี้ไง... เพราะนายมีจุดอ่อน...”
ก่อนจะย้ายปืนมาเล็งที่เฟลิเซียโน่วากาสซึ่งเกาะอยู่ข้างๆชายชาวเยอรมัน
ทำให้เยอรมันยิ่งทำหน้าเครียดดึงเฟลิเซียโน่เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตัวเองอย่างพยายามปกป้อง
“นายอาจจะทำอะไรฉันได้... แต่ปรัสเซียไม่ปล่อยนายไปแน่”
ฟรานซิสเริ่มกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อชายชาวเยอรมันเอ่ยชื่อปรัสเซีย...
...จริงอยู่ว่าหากเขาทำอะไรคนตรงหน้าอดีตเพื่อนของเขาที่ติดสถานะสงครามกันอยู่ตอนนี้คงจะจัดการกับเขาอย่างไม่ปราณีโดยไม่ต้องสงสัย...
แต่การที่เยอรมันยอมให้ฝรั่งเศสทำร้ายตัวเองได้เพราะอิตาลีเป็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่า...
ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมก่อนจะเลื่อนนิ้วชี้มาที่ไกปืน ในขณะที่ชายชาวเยอรมันฝั่งตรงข้ามซึ่งสังเกตเห็นเขาก็ทำแบบเดียวกัน
แต่ก่อนที่จะได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอิตาลีก็ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลแกมเหลืองให้เขาเห็น ก่อนจะหยิบปืนอีกกระบอกที่เอวของคนตัวสูงกว่าขึ้นมาเล็งที่เขาเช่นเดียวกัน...
...เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆสำหรับฟรานซิส บอนเนฟอย...
“เว่~ เค้าไม่ยอมให้ทำอะไรลุดวิกหรอก!”
ในขณะที่ลุดวิกก้มลงมองเฟลิเซียโน่อย่างงงๆ...
...เฟลิเซียโน่มีด้านนี้ด้วยหรอ...
นอกจากนี้ยังไม่อะไรอย่างอื่นแอบซ่อนให้เขาประหลาดใจได้อยู่อีกใช่มั้ย...
ฟรานซิสซึ่งพอใจกับผลงานของตัวเองจึงยิ้มแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกับพูด
“โฮะๆๆ ตกลงพวกนายกิ๊กกันจริงๆด้วยสินะ...”
ประโยคนั้นทำให้ลุดวิกที่ตอนแรกทำหน้างงกับเสียงหัวเราะของฝรั่งเศสที่หัวเราะทั้งๆที่ตัวเองเสียเปรียบ ก่อนจะคิดได้ว่าทุกอย่างเป็นแค่การแกล้งของคนแก่กว่า...
ลุดวิกไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดีระหว่างเขินกับประโยคที่ฟรานซิสพูดหรือหงุดหงิดที่ตัวเองโดนแกล้ง...
ในขณะที่ชายชาวอิตาลีกลับก้มหน้าลงทำให้เขาไม่เห็นว่ากำลังโกรธหรือกำลังเขินอยู่...
“โฮะๆๆ งั้นวันนี้พอแค่นี้แหละ คุณพี่มีความสุขและโฮะๆ”
ก่อนที่สายตาของลุดวิกซึ่งมองตามฟรานซิสที่เดินจากไปจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง...
เหมือนกับผมสีน้ำตาลเส้นนึงซึ่งไม่เคยหวีให้เรียบได้เอกลักษณ์ของผู้สืบเชื้อสายโรมัน...
...ผมสีน้ำตาลเส้นนั้นค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นรูปหัวใจ...
หมายความว่าเฟลิเซียโน่กำลังเขินอยู่งั้นหรอ...
จึงก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆด้วยความสงสัย...
ภาพที่ปรากฏในสายตาของลุดวิกคือใบหน้าหวานซึ่งแม้จะมองไม่ถนัดเพราะกำลังก้มอยู่มีสีแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด...
...เขาได้เห็นเฟลิเซียโน่เขินครั้งแรก...
นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้อีกต่อไปว่าคนตรงหน้าเขาคนนี้...
.
.
.
...น่ารัก...
ความคิดเห็น