ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic : Hetalia / APH] Unforgettable Memories

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter V: A Sweet Nightmare

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 58


    -----------------------------------------


    Chapter V: A Sweet Nightmare

     


    “No matter how much suffering you went through, you never wanted to let go of those memories.” 

     

    ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดทรมาณมามากแค่ไหน คุณก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยความทรงจำเหล่านั้นไป...

     

    ― Haruki Murakami

     

              4 สิงหาคม 1914

     

    ท่ามกลางเสียงอึกทึกของเสียงระเบิดและเสียงปืน... ฝุ่นควันจากการลั่นไกเพื่อให้สิ่งเล็กๆที่สามารถปลิดชีวิตผู้คนมากมายได้ทำงาน ท่ามกลางความวุ่นวายของการต่อสู้ เขามองผู้คนรอบตัวล้มไปทีละคนสองคนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที...

     

                ตอนนี้ สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว... จากความขัดแย้งหลายๆอย่างของหลายๆประเทศได้ทำให้ต่างคนต่างรวมตัวกันเป็นพรรคเป็นพวก แล้วหันหน้าเข้าหากันด้วยอาวุธและการใช้กำลังแทนการเจรจา เขาเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลต้นเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น...

     

     

                เขาเห็นหญิงสาวผมสีคาราเมลเพียงคนเดียวในสนามรบวิ่งไปวิ่งมาระหว่างค่ายทหารของฝั่งเธอกับแถวแนวหน้า... ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้...

     

                หญิงสาวคนนั้นคือ เบลเยี่ยม... ตัวแทนของประเทศที่เขากำลังบุกโจมตีเพื่อตีล้อมไปยังฝรั่งเศส...

     

                เขาเห็นผู้ชายตัวเล็กผมสีบลอนด์อีกคนในชุดทหารสีเขียวถือปืนต่อสู้อยู่อย่างมุ่งมั่น และคิ้วอันเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้แม้จะมองมาจากระยะไกล

     

    อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ได้ยื่นข้อเสนอกับเขา... ให้เยอรมันถอนทัพออกจากเบลเยี่ยมที่ประกาศตัวเป็นกลาง แต่เบลเยี่ยมเป็นวิธิทางเดียวที่เขาจะชนะฝรั่งเศสได้จากการล้อมสองด้านเข้าสู่ในกลางของฝรั่งเศสคือปารีส ทำให้เขาต้องปฏิเสธคำขาดของอังกฤษไปทำให้องักฤษเข้าร่วมสงครามในฝ่ายตรงข้ามกับเขา...

     

    ซึ่งผู้ที่ร่วมรบฝ่ายเดียวกับเขาและพี่ชายในครั้งนี้มีแต่ออสเตรียเท่านั้น... ชายคนที่เขาตามหามาตลอดหลายเดือน ตัวแทนประเทศอิตาลีซึ่งพยายามหลบหน้าเขา ประกาศตัวเป็นกลาง ยังไม่มีท่าทีว่าจะเข้าร่วมสงคราม

     

    สถานการณ์ขณะนี้... คือ สิ่งที่ทุกคนกังวลและภาวนาคาดหวังไว้ว่าจะไม่เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว...

     

    .

     

    .

     

    .

    3 วันก่อนหน้านี้

     

                รัชทายาทออสเตรีย-ฮังการี่ถูกกบฏเซอร์เบียสังหาร! ยังไงฉันก็ยอมไม่ได้! ให้อภัยเจ้าหมอนั่นไม่ได้เด็ดขาด!!”

     

                น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของออสรเตรียดังลั่นห้องรับแขกบ้านสองพี่น้องไวร์ชมิท โดยมีฮังการี่ยืนอยู่ข้างๆอย่างที่ดูอารมณ์เสียไม่แพ้กัน ในมือของหญิงสาวถือกระทะเหล็กกำไว้แน่น

     

                ใจเย็นๆก่อนน่าออสเตรีย ถ้านายบุกเซอร์เบียตอนนี้เท่ากับว่าจะต้องเกิดสงคราม จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตนะ

     

                เขาพยายามทำให้ชายใส่แว่นใจเย็นลงทว่าดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเมื่ออดีตนักเปียโนยังคงพูดต่อไป

     

                ใช่ไง! หมอนั่นต้องวางแผนไว้อยู่แล้วแน่ๆ ไอ้รัสเซียนั่นด้วย! คอยหนุนหลังให้พวกเซอร์เบียก่อกบฏ!!”

     

                ลุดวิกถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมแม้แต่จะฟังที่เขาพูด... ถ้าออสเตรียเปิดสงครามกับเซอร์เบียตอนนี้จะต้องมีปัญหากับรัสเซียด้วย ซึ่งรัสเซียทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสก็อาจจะขยายใหญ่กลายเป็นสงครามที่แม้เขาจะร่วมมือกับออสเตรียก็ยังหาหนทางชนะยาก

     

                ...ยังไม่นับอังกฤษที่จ้องจะเล่นงานเขาอยู่ห่างๆอีก...

     

                ออสเตรีย... ฉันว่าเราจะเสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบนะ...

     

                ออสเตรียเปลี่ยนจากยืนตะโกนอย่างโมโหไปที่แกรนด์เปียโนสีดำตัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับแขก ก่อนจะบรรเลงเพลงของโมสาทด้วยทำนองอันเกรี้ยวกราดในการระบายอารมณ์โกรธอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ...

     

                แรงของนิ้วที่กระแทกบนคีย์เปียโนทำให้เสียงของเครื่องดนตรีกลบเสียงพูดอะไรก็ตามของเยอรมันไปมิด... เหมือนเป็นสัญญาณจากออสเตรียไปในตัวว่าไม่ต้องการได้ยินข้อเสนอใดๆจากปากของพันธมิตรเพียงประเทศเดียวอีก...

     

              เยอรมันถอนหายอีกครั้งอย่างอ่อนใจก่อนที่ทหารแต่งตัวในเครื่องแบบของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี่จะวิ่งเข้ามาเพื่อรายงานเหตุการณ์

     

                ขออนุญาตครับ ตอนนี้กองทัพของเราได้รุกล้ำเข้าไปในเขตของเซอร์เบียแล้ว คำสั่งต่อไปของท่านคืออะไรครับ

     

                แม้ทหารผู้รายงานข่าวคนนั้นจะพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงเปียโนเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะได้ยินชัดเจนในหูของชายใส่แว่นชาวออสเตรีย โรเดริคหยุดเล่นเปียโนก่อนจะสั่งทหาร

     

                งั้นก็กรุณาโจมตีไม่ยั้งได้เลยครับ

     

                เป็นการประกาศเลือกเส้นทางที่เขาไม่สามารถหวนกลับมาได้...

     

               

    สายตาของทุกคนเปลี่ยนจากทหารผู้มารายงานไปยังชายผมสีขาวที่เดินสะลึมสะลืมลงบันไดมาในสภาพเสื้อยืดสีขาวกับบ็อกเซอร์ ซึ่งเป็นชุดนอน...

     

    ชายชาวปรัสเซียเดินเข้ามายังห้องต้นเหตุของเสียงเปียโนกระแทกกระทั้นก่อนหน้านี้เพื่อพบกับสาเหตุของเสียงที่ปลุกให้เขาตื่นจากนิทราอันแสนสุข

     

                เจ้าแว่นน! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? อ่าว หวัดดีฮังการี่

     

                ส่งเสียงเอะอะโวยวายตามแบบฉบับของปรัสเซียก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มกวนประสาทให้สาวชาวฮังกาเรี่ยนที่ส่งรอยยิ้มอันตรายกลับมาพร้อมกับเคาะกระทะในมือเบาๆ

     

                นายเล่นเปียโนหนวกหูจนฉันตื่น เกิดไรขึ้นอ่ะ

     

                ปรัสเซียถามพร้อมกับหันหน้าไปมองออสเตรียซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แกรนด์เปียโนยังเหลือเค้าความหงุดหงิดเล็กน้อย

     

                ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย

     

                นั่นคือคำตอบจากปากของชายชาวเยอรมันคนน้อง หรือลุดวิก ไวร์ชมิท ไม่ใช่ออสเตรีย แต่ปฏิกิริยาตอบรับของกิลเบิร์ตคือใบหน้าเหรอหราเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบ

     

                เคะเซะเซะเซะ... สงคราม!... แล้วไง?

     

                ทำหน้างงๆหลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจจากรอบตัวดังขึ้นเมื่อเขาพูดจบประโยคก่อนที่ฮังการี่จะเป็นคนอธิบายความรู้สึกของคนอื่นในห้องขณะนั้นแก่ปรัสเซีย

     

                ก็สงครามไง! มีส่วนไหนที่นายไม่เข้าใจอีกห๊ะ?! หรือนายไม่เข้าใจคำว่าสงคราม ต้องให้อธิบาย? คนสู้กัน คนตายน่ะ

     

                ปรัสเซียนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่โซฟาข้างๆจุดที่ลุดวิกยืนอยู่แล้วนั่งวางมาด

     

                ก็น่าสนุกดีนิ่! ใครจะกล้ามาเป็นศัตรูกับปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ไม่มีหรอก เคะเซะเซะเซะ!”

     

              ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะข้างโซฟาก็ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่รับคือบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างปรัสเซีย...

     

                ฮัลโหล... ปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่พูด อะไรนะ! ไม่อยากพูดกับฉันงั้นหรอ!!”

     

                ด้วยความรู้หน้าที่ และความเคยชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆในบ้านไวร์ชมิท ลุดวิกจึงแย่งโทรศัพท์จากมือปรัสเซียขึ้นพูดแทน

     

                ครับ? ครับ ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบียแล้ว... เยอรมันคงต้องร่วมด้วย... ครับ ประกาศได้เลยครับ

     

                ลุดวิกเงยหน้าหันมามองกิลเบิร์ตที่แม้จะบ่นพึมพำทำนองว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมแต่ก็นั่งจ้องเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะละสายตาไปสบตากับออสเตรียที่จ้องเขาอยู่เช่นเดียวกันขณะพูด แล้วจึงวางสาย

     

                เยอรมันประกาศสงครามร่วมกับออสเตรีย

     

                หลังจากจบประโยค ออสเตรียส่งรอยยิ้มให้เขาเล็กน้อย ในขณะที่ฮังการี่ถอนหายใจแล้วยิ้มอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ต้องสู้อยู่ฝ่ายเดียวในสงคราม เยอรมันยังคงทำหน้าเครียดแต่เปลี่ยนจากการยืนมานั่งลงบนโซฟาข้างๆกิลเบิร์ตแทน...

     

                ทำไมพวกนายดูไม่ออวซั่มกันเลย... อย่างกังวลไปไอ้น้องชาย! ยังไงปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่กับเยอรมันที่ยิงใหญ่น้อยกว่านิดนึงต้องชนะอยู่แล้ว!! ไม่มีใครกล้าสู้กับความออวซั่มของเราหรอก!!”

     

                ลุดวิกทำท่าจะเถียงแต่ก็ถูกขัดขึ้นโดยนายทหารคนเดิมที่วิ่งมาในสภาพเหงื่อโชกเหมือนรีบมาก ในมือถือโทรเลข 2 ฉบับหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งได้รับมาอย่างสดๆร้อนๆ

     

                ฮังการี่ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดเป็นคนเดินไปรับกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะก้มลงอ่านออกเสียงให้ทุกคนในห้องได้ยิน

     

                ถึงเยอรมัน ปรัสเซีย และออสเตรีย ฮังการี่... คุณพี่กับพรรคพวกได้รวมตัวกันมาเพื่อแก้แค้นแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พวกนายทั้งหลายจงยอมแพ้ซะเถอะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน

     

                ฮังการี่เงยหน้าจากโทรเลขฉบับแรกขึ้นมามองทุกคนในห้อง มองหน้าลุดวิกที่สายตาแสดงออกถึงความเครียดหนักกว่าเดิม สายตาของออสเตรียที่ดูหงุดหงิดจากการเข้ามายุ่งอย่างไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยของฝรั่งเศส และสายตากับท่าทางของปรัสเซียที่ดูจะกระตือรือร้นกับสงครามมากที่สุดในห้องนี้...

     

              เกิดความเงียบขึ้นในห้องชั่วขณะ...

     

                ฮังการี่รู้สึกถึงแรงสะกิดเล็กน้อยที่ข้างแขนจึงหันไปมองทหารคนเดิมที่ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ด้วยมือสั่นๆ หญิงสาวผมน้ำตาลจึงคลี่กระดาษแผ่นนั้นแล้วอ่านออกเสียงอีกครั้ง

     

                เสียใจด้วย พวกนายตอบกลับช้าเกินไป! ดังนั้นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น คุณพี่กับรัสเซียขอประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี่ แล้วเจอกันในสนามรบนะจ๊ะ โฮะๆๆ

     

                การเลียนแบบเสียงหัวเราะฝรั่งเศสของฮังการี่นั้นกลับเหมือนต้นฉบับได้อย่างน่าตกใจ... แต่ทว่าคนในห้องต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง... ใช้ความคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า...

     

                ลุดวิก ไวร์ชมิท คิดถึงเรื่องกลยุทธการเอาชนะ... คิดว่าจะทำยังไงให้ชนะเร็วที่สุดเพื่อให้เสียกำลังพลน้อยสุด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด

     

                โรเดริค เอลเดสไตน์คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองควบคุมประเทศที่กำลังกบฏอยู่ตอนนี้ได้ด้วยการก่อสงครามครั้งนี้ และผลประโยชน์ที่เขาจะได้หากชนะสงคราม

     

                ในขณะที่ กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท คิดว่าจะใช้ดาบเล่มไหนดี และจะกำจัดคนในสนามรบด้วยวิธีใดดีถึงจะดูเท่และยิ่งใหญ่ที่สุด...

     

                ฮังการี่มองชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในห้องต่างคนต่างใช้ความคิดอย่างปลงๆ ได้แต่ภาวนาในใจว่าฝั่งเธอจะได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้

     

              ก่อนที่ปรัสเซียจะทำลายความเงียบ

     

                นี่ๆ ลุดวิก ดาบเล่มไหนที่ฉันใช้แล้วเท่ห์ที่สุดอ่ะ?

     

                ชายชาวเยอรมันผู้ชื่อลุดวิก คนถูกเรียกถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ดังๆคิดอย่างลำบากใจถึง

    คำตอบและวิธีการตอบแบบอธิบายให้กิลเบิร์ตฟังยังไงดีว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครสู้กันด้วยดาบกันแล้ว... ถ้ามีถือดาบมุ่งหน้ามาทางเขา เขาคงใช้ปืนยิงตั้งแต่มันชักดาบออกมาแล้ว...

     

                ...พี่ชายเขาไปอยู่ไหนมา...

     

                แต่กลับมีเสียงๆหนึ่งตอบแทนเขา

     

                คนงี่เง่ายังไงก็ยังจะงี่เง่าอยู่วันยังค่ำ... เขาเลิกใช้ดาบกันหมดแล้ว กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท

     

    นั่นคือออสเตรียที่ยืนขึ้นหันหน้าเตรียมตัวออกจากบ้านของสองพี่น้องชาวเยอรมันกลับบ้านตัวเอง

     

     

                ประโยคนั้นทำให้สาวชาวฮังกาเรี่ยนหลุดขำและเรียกเสียงโวยวายจากคนถูกพาดพิงได้เป็นอย่างดี

     

                รู้หรอกน่า!!! ก็แค่ถามไม่ได้หรือไง!! ใช้ดาบไม่ดีตรงไหน คลาสสิคจะตาย! เท่ห์อีกต่างหาก!! พวกนายนั่นแหละที่คิดไม่ถึงเอง เทียบรัศมีฉันไม่ได้เลยซักนิด!”

     

              ฮังการี่ยิ่งหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้ฟังคำตอบของปรัสเซีย แต่ก็เดินตามออสเตรียออกจากห้องไป ทิ้งให้ปรัสเซียนั่งโวยวายแก้ตัวอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดิมข้างเยอรมันที่คิดในใจอย่างสิ้นหวัง...

     

                ดูจากคนรอบตัวเขาตอนนี้แล้ว...

     

                ...เขายังจะมีโอกาสฝันถึงชัยชนะอยู่บ้างมั้ยนะ?...

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

                ในขณะที่ทุกคนกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบ...

     

    ชายชาวเยอรมันวิ่งหลบลูกกระสุนเหล็กไปตามบังเกอร์และตามพุ่มไม้ พลางส่งสายตาสอดส่องหาหัวสีน้ำตาลๆนั่นที่เหมือนจะปรากฏขึ้นให้เขาเห็นเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา... ชายรูปร่างเพรียวสมส่วน ตัวไม่สูงมากผมสีน้ำตาลแดงในชุดเครื่องแบบสีฟ้าเพิ่งวิ่งผ่านเขาไปเมื่อกี๊นี้ ถ้าเขาไม่ตาฝาด...

     

                แต่เขาชักไม่แน่ใจความคิดของตัวเอง... เพราะ เฟลิเซียโน่ วากาส จะมาทำอะไรในที่แห่งนี้ในเมื่อประเทศอิตาลียังไม่มีท่าทีใดว่าจะเข้าร่วมสงคราม...

     

              ยังไม่นับรวมอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าชายชาวอิตาลีเหมือนกำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่...

     

                ทันใดนั้นสายตาของลุดวิกก็เหลือบไปเห็นผมเส้นหนึ่งโผล่มาจากหลังพุ่มไม้ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก... หงอนโค้งๆที่กำลังสั่นน้อยๆคาดว่าคงมาจากความกลัวโดนจับได้ของเจ้าของทำให้ชายชาวเยอรมันรีบสาวเท้าไปยังจุดๆนั้น

     

                เบื้องหลังของพุ่มไม้ปรากฏชายในชุดเครื่องแบบทหารสีฟ้า ตัวสั่นงกๆกอดปืนที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าตัวคนถือไว้แน่น

     

                ลุดวิกก้มลงให้อยู่ระดับเดียวกับอิตาลีก่อนจะสะกิดเรียก

     

                เฟลิเซียโน่...

     

                หวา~! อย่าทำไรเค้าเลยนะ เค้าไม่เกี่ยวด้วยนะ! ขอร้องล่ะ!”

     

                ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับหลับตาปี๋ซุกหัวตัวเองเข้าไปในพุ่มไม้ให้ใกล้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

                เอ่อ... ฉันเอง... ฉันไม่ทำไรนายหรอก

     

                หลังจากจบประโยคของลุดวิก เฟลิเซียโน่จึงลืมตาขึ้นช้าก่อนจะทำสีหน้าดีใจ

     

                เว่~ ลุดวิกเองหรอ... เค้าก็ตกใจหมด นึกว่าเป็นทหารคนอื่นเว่~”

     

                เฟลิเซียโน่ดูจะหายจากอาการกลัวหันกลับมานั่งคุกเข่าลงบนพื้นแล้วจ้องหน้าเขา

     

                นายมาทำอะไรที่นี่?

     

                ชายผมน้ำตาลแย้มรอยยิ้มกว้างแบบเดิมก่อนจะตอบ

               

                คุณพี่ฝรั่งเศสบอกให้มาหาเว่~ เค้าก็เลยต้องมา แต่ว่าหาคุณพี่ไม่เจอก็เลยต้องวิ่งไปวิ่งมา

     

                เยอรมันชมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ถึงสาเหตุการมาที่นี่ของอิตาลี... แล้วฝรั่งเศสอยู่แถวนี้ด้วยหรอ? เขาไม่ยักจะรู้...

     

                แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นที่เขาสงสัยคือ อิตาลีที่ประกาศตัวว่าเป็นกลางทั้งๆที่ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับเขาและออสเตรียอ้างว่าออสเตรียเป็นคนเริ่มสงครามก่อนเลยไม่เข้าร่วมด้วยนั้น มีสาเหตุอะไรที่ต้องไปติดต่อธุระกับฝั่งศัตรูอย่างฝรั่งเศส

     

              “แล้วนายมาหาฝรั่งเศส... ทำไม?

     

              อิตาลีสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้...

     

                เว่~ เขาต้องไปแล้วล่ะ ลุดวิก~ ไว้เจอกันใหม่น้า~”

     

                แต่แทนที่จะตอบลุดวิก เฟลิเซียโน่กลับรีบลุกขึ้นแล้วพูดแทน ชายผมสีน้ำตาลวิ่งอย่างรวดเร็วไปทางบริเวณที่มีทหารฝั่งศัตรูของเขาเยอะๆ ด้วยสปีดการวิ่งแบบชาวอิตาลีทำให้เฟลิเซียโน่หายวับไปในพริบตา...

     

                ลุดวิกขมวดคิ้วประมวลผลเหตุการณ์อย่างงงๆ... เขาเจออิตาลีที่เหมือนจะพยายามหลบหน้าเขาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแต่อีกฝ่ายก็ดูคุยกับเขาดีในตอนแรก ไม่เหมือนการกระทำก่อนหน้านี้ที่หลังจากทิ้งให้เขายืนงงอยู่ในสวน เฟลิเซียโน่ก็ดูเหมือนจะพยายามทำตัวเองให้หายไปจากชีวิตเขาด้วยการไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเป็นเวลาหลายเดือน

     

                ทั้งๆที่เมื่อกี๊นี้ก็คุยกับเขาปกติดี... แต่พอถามถึงเรื่องที่ตอบไม่ได้ ก็หนีไปอีกซะแล้ว...

     

                ถ้าไม่พูดอธิบายแล้วเขาจะเข้าใจได้ยังไงกัน...?

     

                ชายชาวเยอรมันได้แต่เก็บความหงุดหงิดและความสงสัยไว้ในใจขณะอยู่ในสนามรบ ทว่าก็ยังอดคิดอยู่ตลอดไม่ได้...

     

                ...ว่าทำไมเรื่องของชายชาวอิตาลีถึงมีอิทธิพลกับความคิดเขาขนาดนี้...

     

                เป็นไปได้หรอ... ที่เขาจะรู้สึกอะไรกับคนๆนึงทั้งๆที่ระยะเวลาการเจอกันไม่กี่อาทิตย์แต่รู้สึกเหมือนกับเคยอยู่ด้วยกันมาหลายทศวรรษ...

     

                ...เขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลนี่เอาซะเลย...

     

    .

     

    .

     

    .

     

              ในค่ายทหาร อีกมุมหนึ่งบริเวณเต้นท์ของฝ่าย เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี่ หรือเรียกรวมๆว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง

     

                ชายชาวปรัสเซียนั่งหมุนปากกาในมือเล่น มองแผนที่บนโต๊ะกับอุปกรณ์บอกตำแหน่งต่างๆของทั้งฝ่ายตัวเองและศัตรูที่วางระเกะระกะทับอยู่บนแผนที่... มีนกตัวเล็กสีเหลืองเกาะเดินไปเดินมาอยู่บนบ่า

     

                กิลเบิร์ต ทำไมนายไม่ไปช่วยลุดวิกล่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้

     

                ฮังการี่โผล่หน้ามาจากประตูเต้นท์เล็กน้อย ส่งสายตาให้ปรัสเซียด้วยความสงสัยว่าคนที่ปกติจะตื่นเต้นกับสงครามแล้วก็ชอบรุกรานคนอื่นบ่อยๆในอดีตนั้น มีปัญหาอะไรเกิดอะไรขึ้นถึงมานั่งอยู่เฉยๆแทนที่จะสนุกกับโอกาสได้ออกแรงอย่างที่เจ้าตัวดูเหมือนจะตื่นเต้นในตอนแรก

     

                ขี้เกียจ...

     

                นั่นคือคำๆเดียวเป็นคำตอบหลุดมาจากปากของกิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ทำให้ฮังการี่ต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับความไม่มีเหตุผลจนเกินไปของคนที่อาจจะเรียกได้ว่าเพื่อนแล้วเดินมานั่งข้างๆ

     

                เกิดอะไรขึ้นกิลเบิร์ต?

     

                ชายคนที่ถูกเรียกชื่อจ้องนัยน์ตีแดงมาที่หญิงสาวชาวฮังการี่... สภาพของปรัสเซียคือเสื้อเหมือนไปคลุกฝุ่นมามีรอยดำเป็นจุดๆ ประกอบกับรอยเลือดของทหารฝั่งศัตรูทำให้ดูน่ากลัวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

     

                ฉัน... แค่ขี้เกียจ

     

                ฮังการี่ที่นั่งข้างๆปรัสเซียกุมขับกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะเริ่มพูด

     

                นี่ฟังนะ... นายเกิดจะขี้เกียจ หรืออะไรของนายก็แล้วแต่ แต่ยังไงก็ขอบคุณแล้วกันที่นายเลือกเข้าข้างฉันกับออสเตรีย

     

                กิลเบิร์ตนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

     

                ฉันไม่ได้เลือก ลุดวิกเลือก

     

                หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆรับประโยคของปรัสเซีย

     

    นั่นแหละ เหมือนกันแหละ... ที่ฉันจะบอกคือนายจะมานั่งเฉยๆอยู่ตรงนี้ทำไม มีคนอื่นเยอะแยะที่ต้องการนาย อยากให้นายช่วย

     

                ฮังการี่ทิ้งช่วงเว้นวรรคประโยค แล้วพูดต่อ

     

                ออสเตรียก็ด้วย... ฉันก็ด้วย... ที่อยากให้นายช่วย

     

                พูดเสร็จก็ตบไหล่กิลเบิร์ตสองสามที แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างๆชายชาวปรัสเซียไปยังประตูเต้นท์ก่อนจะตะโกนทิ้งท้าย

     

                ไหนนายบอกอยากหั่นเจ้ารัสเซียนั่นเป็นชิ้นๆไง! นี่ไงโอกาสของนาย มัวรออะไรอยู่ล่ะ!”

     

                เหมือนประโยคนี้ของฮังการี่จะได้ผล เพราะกิลเบิร์ตผงกหัวขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วหันไปส่งยิ้มน้อยๆให้กับหญิงสาว

     

                ทว่าในใจกลับสะดุดกลับประโยคสุดท้ายของฮังการี่...

     

                ...ก็เพราะรัสเซียนี่แหละเขาถึงได้ไม่มีอารมณ์อยากจะสู้...

     

                เขากำลังรู้สึกว่าอยากจะสู้กับรัสเซีย แต่ก็ไม่อยากสู้กับรัสเซีย... ฟังดูงงๆใช่มะ...

     

     ทั้งๆที่เขาตั้งใจไว้ว่าอยากจะฆ่าไอ้หมอนั่นตั้งนานแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ

     

                รวมถึงครั้งนี้ด้วยที่จู่ๆเขาก็เกิดจะไม่มีอารมณ์อยากสู้ขึ้นมา... ทั้งๆที่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนทำสัญญากับรัสเซีย ตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่น่าจะมีผลอะไรกับความรู้สึกเกลียดขี้หน้าหมอนั่นตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาหรือเปลี่ยนความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างเขากับชายคนนั้นได้...

     

                ภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มโรคจิตนั่นปรากฏในความคิดของเขา... ก่อนที่กิลเบิร์ตจะตัดสินใจลุกเดินตามฮังการี่ออกไปข้างนอก...

     

                ...บางทีถ้าล้มรัสเซียศัตรูที่ไม่น่าจะเก่งเท่าไหร่ของเขาได้เขาอาจจะรู้คำตอบ...

     

                ภาวนาให้เขาล้มมันได้ก็แล้วกัน... บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาทำสำเร็จ...

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

                เขากำลังยืนอยู่ในบ้านตกแต่งแบบโบราณๆหลังหนึ่ง อยู่ตรงกลางห้องสี่เหลี่ยมที่มีวอลเปเปอร์และส่วนที่มีไม้ฉลุแบบโบราณ เฟอร์นิเจอร์รอบตัวเขาเป็นแบบเดียวกับภาพวาดแถวๆยุคเรเนซองก์ที่เคยเห็นมาในพิพิธภัณฑ์...

     

                เขาเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงสีเขียว มีผ้าโผกหัวสีขาวคลุมเส้นผมสีน้ำตาลแดงไว้ ยืนหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง หันหลังให้เขา...

     

                เว่~ ป่านนี้พี่ชายจะเป็นยังไงบ้างนะ...

     

                ได้ยินเด็กผู้หญิงคนนั้นบ่นพึมพำ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กผู้หญิง เดาจากเสียงอุทานๆประหลาดๆอันเป็นเอกลักษณ์นั่น เขาคงคิดว่าเด็กคนนี้คืออิตาลี เวเนเชียโน่ แน่ๆ

     

                ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กก็หมุนตัวหันหน้ามาทางเขา ทำให้เขาสะดุ้งอย่างตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอิริยาบทอย่างกระทันหันนั่นแต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่สนใจเขาเท่าไหร่...

     

                เว่~ วาดรูปดีก่า

     

                แล้วเด็กตัวเล็กนั่นก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าไม้โบราณเปิดตู้หยิบผ้าใบ ขาตั้ง กับถาดสีออกมานั่งวาดรูปอยู่กลางห้องข้างๆจุดที่เขายืนอยู่...

     

                ลุดวิกมองอย่างงงๆแล้วก็รู้สึกแปลกๆว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง...

     

                เขามองไปรอบห้องเพื่อหาทางออกก่อนที่สายตาจะมาหยุดที่ประตูห้องของเด็กผู้หญิงคนนี้... ซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย

     

                ...เด็กคนนี้ไม่ระวังตัวจริงๆ...

     

                ด้วยความหวังดีชายลุดวิกจึงเดินไปที่ประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่ตั้งใจจะปิดให้ทว่าเขาก็ตกตกใจเมื่อเมื่อเขาไม่สามารถสัมผัสกับประตูได้...

     

                มือของเขาจับลูกบิดไม่ได้... เหมือนกับว่ามือของเขาโปร่งแสง ไม่มีร่าง

     

                นั่นทำให้เขาต้องก้มลงมองตัวเองที่เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง ยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่เห็นได้อย่างชัดเจนในขณะที่ตัวเขาเหมือนโปร่งแสง...

     

                เฮ้ย... มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!

     

              เขามองไปรอบๆห้องอย่างตกใจก่อนที่สายตาจะมาอยู่ตรงจุดๆเดิมนั่นคือประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่เขาเห็นนัยน์ตาสีฟ้าสีเดียวกับเขาและผมสีทองสีเดียวกับเขาแอบอยู่หลังประตูที่แง้มนั้น...

     

                เด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ในชุดซึ่งเหมือนถูกตัดอย่างดีแตกต่างกับเด็กผู้หญิงในห้อง สีน้ำเงิน ใส่หมวกสีน้ำเงินสีเดียวกับชุด... เปิดประตูที่แง้มอยู่นั้นก้าวท้าวเข้ามาในห้อง...

     

                หวา~! โฮลี่โรมัน~”

     

                เด็กคนที่ท่าทางเหมือนอิตาลีทำท่าตกใจเมื่อหันมาเห็นบุคคลผู้เข้ามาใหม่ ก่อนจะวางมือจากรูปภาพที่กำลังวาดแล้วเดินมาคนที่ถูกเรียกว่าโฮลี่โรมัน

     

                อ่ะ... เอ่อ... ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ... ขอโทษนะ

     

                เด็กผู้ชายตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตกักเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มจากคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี รวมถึงรอยยิ้มจากเขา... คนที่ยืนมองอยู่ด้วย

     

                เว่~ แล้วโฮลี่โรมันมีอะไรหรอ

     

                โฮลี่โรมันชี้ไปที่รูปภาพซึ่งเด็กตัวเล็กผมน้ำตาลวาดค้างไว้ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นหลบสายตา

     

              “สอนฉันวาดรูปหน่อย...

     

                ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆเด็กชายคนที่พูด

     

                เธอว่าอะไรนะ เว่~ ได้ยินไม่ชัดอ่า

     

                เด็กชายในชุดสีน้ำเงินจึงหันหน้ามาสบตาเด็กหญิงด้วยใบหน้าที่แดงกว่าเดิมเล็กน้อย มือกำกางเกงสีน้ำเงินของตัวเองแน่นแล้วพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ

     

                อิตาลี สอนฉันวาดรูปหน่อยได้มั้ย

     

                ทว่าหลังจากจบประโยคคนที่ช็อคกลับเป็นเขา... ชายชาวเยอรมันที่ชื่อลุดวิก...

     

    ... เด็กผู้หญิงคนนี้คืออิตาลีหรอ... เป็นไปไม่ได้..

     

                เมื่อลุดวิกเริ่มรู้สึกถึงความไม่จริงในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ทำให้เขาก้าวถอยหลังเพื่อหนีไปซักที่ที่ไม่ใช่ที่นี่ สถานที่ที่เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง...

     

                ...เขาไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ นี่ไม่ใช่ยุคของเขา...

     

                แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเด็กผมทองจ้องนัยน์ตาสีฟ้าสีเดียวกับสีที่เขามองเห็นในตาของตัวเองบนกระจกทุกวันมายังเขา

     

                ...เขาควรจะหายตัวได้ในนี้เหมือนตอนแรกไม่ใช่หรอ...

     

                คิดอย่างสับสนพลางสบตากับเด็กผู้ชายคนนั้นเช่นเดียวกับที่เด็กผู้ชายคนนั้นจ้องกลับมาที่เขา...

     

              ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกแทนด้วยความมืดมิดและภาพห้องนอนที่แสนคุ้นเคยของเขากลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

     

                ลุดวิก ไวร์ชมิทตื่นขึ้นจากความฝัน... เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผมสีทองที่ยุ่งเหยิงจากการนอน... ชายชาวเยอรมันลุกจากเตียงขึ้นมาล้างหน้าในห้องน้ำ...

     

                นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองฝันทันทีที่ตื่นนอน...

     

              เด็กสองคน... อิตาลี กับโฮลี่โรมัน... บ้านยุคเก่าๆกับ ความรู้สึกแปลกๆนี่...

     

                ด้วยความสงสัยที่สั่งสมมานานบวกกับความตกใจที่ทำให้เขาคิดว่าต่อให้กลับไปนอนก็คงนอนไม่หลับทำให้ลุดวิกตรงดิ่งไปยังส่วนที่เป็นห้องสมุดเก่าของบ้าน...

     

              อย่างน้อยเขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือโฮลี่โรมัน...

     

                หลังจากนั้นที่สำคัญที่สุดคือ... คนคนนี้สำคัญยังไงกับอิตาลีกันแน่...

     

    .

     

    .

     

    .

     

                    จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (เยอรมัน: Heiliges Römisches Reich (HRR), ละติน: Imperium Romanum Sacrum (IRS), อังกฤษ:Holy Roman Empire) เป็นการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ ในยุโรปกลางในสมัยกลางมาจนถึงยุโรปสมัยใหม่ตอนต้นภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ปฐมจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิคือจักรพรรดิออตโตที่ 1 ผู้เข้าพิธีราชาพิเศก...

     

                    จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการพยายามฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 476 หลังจากการสละราชสมบัติของโรมิวลัส ออกัสตัส พระจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้าย แต่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิโรมันในยุคโบราณเหมือนกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งเป็นจักรวรรดิโรมันในสมัย...

     

              ทว่าไม่ว่าจะเปิดหนังสือกี่เล่ม อ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่าลุดวิกก็ยังไม่เข้าใจว่าโฮลี่โรมันหรือจักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์นี่คือใคร และสำคัญยังไงกับอิตาลี...

     

                แม้ว่าเขาจะสงสัยว่ามันคือตัวเขาในอดีต... แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้ว่านั่นคือเขา...

     

                    ความคิดของเขาต้องการจะสื่ออะไร? เขาต้องการจะบอกอะไรกับตัวเองกันแน่...?

     

                เป็นคำถามที่ลุดวิกได้แต่ถามตัวเองในใจไปขณะเปิดอ่านหนังสือจนเผลอหลับคากองหนังสือจนถึงเช้า...

     

    .

     

    .

     

    .

    --------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×