คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter V: A Sweet Nightmare
-----------------------------------------
Chapter V: A Sweet Nightmare
“No matter how much suffering you went through, you never wanted to let go of those memories.”
ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดทรมาณมามากแค่ไหน คุณก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยความทรงจำเหล่านั้นไป...
4 สิงหาคม 1914
ท่ามกลางเสียงอึกทึกของเสียงระเบิดและเสียงปืน... ฝุ่นควันจากการลั่นไกเพื่อให้สิ่งเล็กๆที่สามารถปลิดชีวิตผู้คนมากมายได้ทำงาน ท่ามกลางความวุ่นวายของการต่อสู้ เขามองผู้คนรอบตัวล้มไปทีละคนสองคนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที...
ตอนนี้ สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว... จากความขัดแย้งหลายๆอย่างของหลายๆประเทศได้ทำให้ต่างคนต่างรวมตัวกันเป็นพรรคเป็นพวก แล้วหันหน้าเข้าหากันด้วยอาวุธและการใช้กำลังแทนการเจรจา เขาเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลต้นเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น...
เขาเห็นหญิงสาวผมสีคาราเมลเพียงคนเดียวในสนามรบวิ่งไปวิ่งมาระหว่างค่ายทหารของฝั่งเธอกับแถวแนวหน้า... ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้...
หญิงสาวคนนั้นคือ เบลเยี่ยม... ตัวแทนของประเทศที่เขากำลังบุกโจมตีเพื่อตีล้อมไปยังฝรั่งเศส...
เขาเห็นผู้ชายตัวเล็กผมสีบลอนด์อีกคนในชุดทหารสีเขียวถือปืนต่อสู้อยู่อย่างมุ่งมั่น และคิ้วอันเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้แม้จะมองมาจากระยะไกล
อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ได้ยื่นข้อเสนอกับเขา... ให้เยอรมันถอนทัพออกจากเบลเยี่ยมที่ประกาศตัวเป็นกลาง แต่เบลเยี่ยมเป็นวิธิทางเดียวที่เขาจะชนะฝรั่งเศสได้จากการล้อมสองด้านเข้าสู่ในกลางของฝรั่งเศสคือปารีส ทำให้เขาต้องปฏิเสธคำขาดของอังกฤษไปทำให้องักฤษเข้าร่วมสงครามในฝ่ายตรงข้ามกับเขา...
ซึ่งผู้ที่ร่วมรบฝ่ายเดียวกับเขาและพี่ชายในครั้งนี้มีแต่ออสเตรียเท่านั้น... ชายคนที่เขาตามหามาตลอดหลายเดือน ตัวแทนประเทศอิตาลีซึ่งพยายามหลบหน้าเขา ประกาศตัวเป็นกลาง ยังไม่มีท่าทีว่าจะเข้าร่วมสงคราม
สถานการณ์ขณะนี้... คือ สิ่งที่ทุกคนกังวลและภาวนาคาดหวังไว้ว่าจะไม่เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว...
.
.
.
3 วันก่อนหน้านี้
“รัชทายาทออสเตรีย-ฮังการี่ถูกกบฏเซอร์เบียสังหาร! ยังไงฉันก็ยอมไม่ได้! ให้อภัยเจ้าหมอนั่นไม่ได้เด็ดขาด!!”
น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของออสรเตรียดังลั่นห้องรับแขกบ้านสองพี่น้องไวร์ชมิท โดยมีฮังการี่ยืนอยู่ข้างๆอย่างที่ดูอารมณ์เสียไม่แพ้กัน ในมือของหญิงสาวถือกระทะเหล็กกำไว้แน่น
“ใจเย็นๆก่อนน่าออสเตรีย ถ้านายบุกเซอร์เบียตอนนี้เท่ากับว่าจะต้องเกิดสงคราม จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตนะ”
เขาพยายามทำให้ชายใส่แว่นใจเย็นลงทว่าดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเมื่ออดีตนักเปียโนยังคงพูดต่อไป
“ใช่ไง! หมอนั่นต้องวางแผนไว้อยู่แล้วแน่ๆ ไอ้รัสเซียนั่นด้วย! คอยหนุนหลังให้พวกเซอร์เบียก่อกบฏ!!”
ลุดวิกถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมแม้แต่จะฟังที่เขาพูด... ถ้าออสเตรียเปิดสงครามกับเซอร์เบียตอนนี้จะต้องมีปัญหากับรัสเซียด้วย ซึ่งรัสเซียทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสก็อาจจะขยายใหญ่กลายเป็นสงครามที่แม้เขาจะร่วมมือกับออสเตรียก็ยังหาหนทางชนะยาก
...ยังไม่นับอังกฤษที่จ้องจะเล่นงานเขาอยู่ห่างๆอีก...
“ออสเตรีย... ฉันว่าเราจะเสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบนะ...”
ออสเตรียเปลี่ยนจากยืนตะโกนอย่างโมโหไปที่แกรนด์เปียโนสีดำตัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับแขก ก่อนจะบรรเลงเพลงของโมสาทด้วยทำนองอันเกรี้ยวกราดในการระบายอารมณ์โกรธอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ...
แรงของนิ้วที่กระแทกบนคีย์เปียโนทำให้เสียงของเครื่องดนตรีกลบเสียงพูดอะไรก็ตามของเยอรมันไปมิด... เหมือนเป็นสัญญาณจากออสเตรียไปในตัวว่าไม่ต้องการได้ยินข้อเสนอใดๆจากปากของพันธมิตรเพียงประเทศเดียวอีก...
เยอรมันถอนหายอีกครั้งอย่างอ่อนใจก่อนที่ทหารแต่งตัวในเครื่องแบบของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี่จะวิ่งเข้ามาเพื่อรายงานเหตุการณ์
“ขออนุญาตครับ ตอนนี้กองทัพของเราได้รุกล้ำเข้าไปในเขตของเซอร์เบียแล้ว คำสั่งต่อไปของท่านคืออะไรครับ”
แม้ทหารผู้รายงานข่าวคนนั้นจะพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงเปียโนเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะได้ยินชัดเจนในหูของชายใส่แว่นชาวออสเตรีย โรเดริคหยุดเล่นเปียโนก่อนจะสั่งทหาร
“งั้นก็กรุณาโจมตีไม่ยั้งได้เลยครับ”
เป็นการประกาศเลือกเส้นทางที่เขาไม่สามารถหวนกลับมาได้...
สายตาของทุกคนเปลี่ยนจากทหารผู้มารายงานไปยังชายผมสีขาวที่เดินสะลึมสะลืมลงบันไดมาในสภาพเสื้อยืดสีขาวกับบ็อกเซอร์ ซึ่งเป็นชุดนอน...
ชายชาวปรัสเซียเดินเข้ามายังห้องต้นเหตุของเสียงเปียโนกระแทกกระทั้นก่อนหน้านี้เพื่อพบกับสาเหตุของเสียงที่ปลุกให้เขาตื่นจากนิทราอันแสนสุข
“เจ้าแว่นน! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? อ่าว หวัดดีฮังการี่”
ส่งเสียงเอะอะโวยวายตามแบบฉบับของปรัสเซียก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มกวนประสาทให้สาวชาวฮังกาเรี่ยนที่ส่งรอยยิ้มอันตรายกลับมาพร้อมกับเคาะกระทะในมือเบาๆ
“นายเล่นเปียโนหนวกหูจนฉันตื่น เกิดไรขึ้นอ่ะ”
ปรัสเซียถามพร้อมกับหันหน้าไปมองออสเตรียซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แกรนด์เปียโนยังเหลือเค้าความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย”
นั่นคือคำตอบจากปากของชายชาวเยอรมันคนน้อง หรือลุดวิก ไวร์ชมิท ไม่ใช่ออสเตรีย แต่ปฏิกิริยาตอบรับของกิลเบิร์ตคือใบหน้าเหรอหราเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบ
“เคะเซะเซะเซะ... สงคราม!... แล้วไง?”
ทำหน้างงๆหลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจจากรอบตัวดังขึ้นเมื่อเขาพูดจบประโยคก่อนที่ฮังการี่จะเป็นคนอธิบายความรู้สึกของคนอื่นในห้องขณะนั้นแก่ปรัสเซีย
“ก็สงครามไง! มีส่วนไหนที่นายไม่เข้าใจอีกห๊ะ?! หรือนายไม่เข้าใจคำว่าสงคราม ต้องให้อธิบาย? คนสู้กัน คนตายน่ะ”
ปรัสเซียนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่โซฟาข้างๆจุดที่ลุดวิกยืนอยู่แล้วนั่งวางมาด
“ก็น่าสนุกดีนิ่! ใครจะกล้ามาเป็นศัตรูกับปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ไม่มีหรอก เคะเซะเซะเซะ!”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะข้างโซฟาก็ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่รับคือบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างปรัสเซีย...
“ฮัลโหล... ปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่พูด อะไรนะ! ไม่อยากพูดกับฉันงั้นหรอ!!”
ด้วยความรู้หน้าที่ และความเคยชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆในบ้านไวร์ชมิท ลุดวิกจึงแย่งโทรศัพท์จากมือปรัสเซียขึ้นพูดแทน
“ครับ? ครับ ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบียแล้ว... เยอรมันคงต้องร่วมด้วย... ครับ ประกาศได้เลยครับ”
ลุดวิกเงยหน้าหันมามองกิลเบิร์ตที่แม้จะบ่นพึมพำทำนองว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมแต่ก็นั่งจ้องเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะละสายตาไปสบตากับออสเตรียที่จ้องเขาอยู่เช่นเดียวกันขณะพูด แล้วจึงวางสาย
“เยอรมันประกาศสงครามร่วมกับออสเตรีย”
หลังจากจบประโยค ออสเตรียส่งรอยยิ้มให้เขาเล็กน้อย ในขณะที่ฮังการี่ถอนหายใจแล้วยิ้มอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ต้องสู้อยู่ฝ่ายเดียวในสงคราม เยอรมันยังคงทำหน้าเครียดแต่เปลี่ยนจากการยืนมานั่งลงบนโซฟาข้างๆกิลเบิร์ตแทน...
“ทำไมพวกนายดูไม่ออวซั่มกันเลย... อย่างกังวลไปไอ้น้องชาย! ยังไงปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่กับเยอรมันที่ยิงใหญ่น้อยกว่านิดนึงต้องชนะอยู่แล้ว!! ไม่มีใครกล้าสู้กับความออวซั่มของเราหรอก!!”
ลุดวิกทำท่าจะเถียงแต่ก็ถูกขัดขึ้นโดยนายทหารคนเดิมที่วิ่งมาในสภาพเหงื่อโชกเหมือนรีบมาก ในมือถือโทรเลข 2 ฉบับหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งได้รับมาอย่างสดๆร้อนๆ
ฮังการี่ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดเป็นคนเดินไปรับกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะก้มลงอ่านออกเสียงให้ทุกคนในห้องได้ยิน
“ถึงเยอรมัน ปรัสเซีย และออสเตรีย ฮังการี่... คุณพี่กับพรรคพวกได้รวมตัวกันมาเพื่อแก้แค้นแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พวกนายทั้งหลายจงยอมแพ้ซะเถอะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
ฮังการี่เงยหน้าจากโทรเลขฉบับแรกขึ้นมามองทุกคนในห้อง มองหน้าลุดวิกที่สายตาแสดงออกถึงความเครียดหนักกว่าเดิม สายตาของออสเตรียที่ดูหงุดหงิดจากการเข้ามายุ่งอย่างไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยของฝรั่งเศส และสายตากับท่าทางของปรัสเซียที่ดูจะกระตือรือร้นกับสงครามมากที่สุดในห้องนี้...
เกิดความเงียบขึ้นในห้องชั่วขณะ...
ฮังการี่รู้สึกถึงแรงสะกิดเล็กน้อยที่ข้างแขนจึงหันไปมองทหารคนเดิมที่ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ด้วยมือสั่นๆ หญิงสาวผมน้ำตาลจึงคลี่กระดาษแผ่นนั้นแล้วอ่านออกเสียงอีกครั้ง
“เสียใจด้วย พวกนายตอบกลับช้าเกินไป! ดังนั้นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น คุณพี่กับรัสเซียขอประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี่ แล้วเจอกันในสนามรบนะจ๊ะ โฮะๆๆ”
การเลียนแบบเสียงหัวเราะฝรั่งเศสของฮังการี่นั้นกลับเหมือนต้นฉบับได้อย่างน่าตกใจ... แต่ทว่าคนในห้องต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง... ใช้ความคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า...
ลุดวิก ไวร์ชมิท คิดถึงเรื่องกลยุทธการเอาชนะ... คิดว่าจะทำยังไงให้ชนะเร็วที่สุดเพื่อให้เสียกำลังพลน้อยสุด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด
โรเดริค เอลเดสไตน์คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองควบคุมประเทศที่กำลังกบฏอยู่ตอนนี้ได้ด้วยการก่อสงครามครั้งนี้ และผลประโยชน์ที่เขาจะได้หากชนะสงคราม
ในขณะที่ กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท คิดว่าจะใช้ดาบเล่มไหนดี และจะกำจัดคนในสนามรบด้วยวิธีใดดีถึงจะดูเท่และยิ่งใหญ่ที่สุด...
ฮังการี่มองชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในห้องต่างคนต่างใช้ความคิดอย่างปลงๆ ได้แต่ภาวนาในใจว่าฝั่งเธอจะได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้
ก่อนที่ปรัสเซียจะทำลายความเงียบ
“นี่ๆ ลุดวิก ดาบเล่มไหนที่ฉันใช้แล้วเท่ห์ที่สุดอ่ะ?”
ชายชาวเยอรมันผู้ชื่อลุดวิก คนถูกเรียกถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ดังๆคิดอย่างลำบากใจถึง
คำตอบและวิธีการตอบแบบอธิบายให้กิลเบิร์ตฟังยังไงดีว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครสู้กันด้วยดาบกันแล้ว... ถ้ามีถือดาบมุ่งหน้ามาทางเขา เขาคงใช้ปืนยิงตั้งแต่มันชักดาบออกมาแล้ว...
...พี่ชายเขาไปอยู่ไหนมา...
แต่กลับมีเสียงๆหนึ่งตอบแทนเขา
“คนงี่เง่ายังไงก็ยังจะงี่เง่าอยู่วันยังค่ำ... เขาเลิกใช้ดาบกันหมดแล้ว กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท”
นั่นคือออสเตรียที่ยืนขึ้นหันหน้าเตรียมตัวออกจากบ้านของสองพี่น้องชาวเยอรมันกลับบ้านตัวเอง
ประโยคนั้นทำให้สาวชาวฮังกาเรี่ยนหลุดขำและเรียกเสียงโวยวายจากคนถูกพาดพิงได้เป็นอย่างดี
“รู้หรอกน่า!!! ก็แค่ถามไม่ได้หรือไง!! ใช้ดาบไม่ดีตรงไหน คลาสสิคจะตาย! เท่ห์อีกต่างหาก!! พวกนายนั่นแหละที่คิดไม่ถึงเอง เทียบรัศมีฉันไม่ได้เลยซักนิด!”
ฮังการี่ยิ่งหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้ฟังคำตอบของปรัสเซีย แต่ก็เดินตามออสเตรียออกจากห้องไป ทิ้งให้ปรัสเซียนั่งโวยวายแก้ตัวอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดิมข้างเยอรมันที่คิดในใจอย่างสิ้นหวัง...
ดูจากคนรอบตัวเขาตอนนี้แล้ว...
...เขายังจะมีโอกาสฝันถึงชัยชนะอยู่บ้างมั้ยนะ?...
.
.
.
ในขณะที่ทุกคนกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบ...
ชายชาวเยอรมันวิ่งหลบลูกกระสุนเหล็กไปตามบังเกอร์และตามพุ่มไม้ พลางส่งสายตาสอดส่องหาหัวสีน้ำตาลๆนั่นที่เหมือนจะปรากฏขึ้นให้เขาเห็นเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา... ชายรูปร่างเพรียวสมส่วน ตัวไม่สูงมากผมสีน้ำตาลแดงในชุดเครื่องแบบสีฟ้าเพิ่งวิ่งผ่านเขาไปเมื่อกี๊นี้ ถ้าเขาไม่ตาฝาด...
แต่เขาชักไม่แน่ใจความคิดของตัวเอง... เพราะ เฟลิเซียโน่ วากาส จะมาทำอะไรในที่แห่งนี้ในเมื่อประเทศอิตาลียังไม่มีท่าทีใดว่าจะเข้าร่วมสงคราม...
ยังไม่นับรวมอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าชายชาวอิตาลีเหมือนกำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่...
ทันใดนั้นสายตาของลุดวิกก็เหลือบไปเห็นผมเส้นหนึ่งโผล่มาจากหลังพุ่มไม้ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก... หงอนโค้งๆที่กำลังสั่นน้อยๆคาดว่าคงมาจากความกลัวโดนจับได้ของเจ้าของทำให้ชายชาวเยอรมันรีบสาวเท้าไปยังจุดๆนั้น
เบื้องหลังของพุ่มไม้ปรากฏชายในชุดเครื่องแบบทหารสีฟ้า ตัวสั่นงกๆกอดปืนที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าตัวคนถือไว้แน่น
ลุดวิกก้มลงให้อยู่ระดับเดียวกับอิตาลีก่อนจะสะกิดเรียก
“เฟลิเซียโน่...”
“หวา~! อย่าทำไรเค้าเลยนะ เค้าไม่เกี่ยวด้วยนะ! ขอร้องล่ะ!”
ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับหลับตาปี๋ซุกหัวตัวเองเข้าไปในพุ่มไม้ให้ใกล้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอ่อ... ฉันเอง... ฉันไม่ทำไรนายหรอก”
หลังจากจบประโยคของลุดวิก เฟลิเซียโน่จึงลืมตาขึ้นช้าก่อนจะทำสีหน้าดีใจ
“เว่~ ลุดวิกเองหรอ... เค้าก็ตกใจหมด นึกว่าเป็นทหารคนอื่นเว่~”
เฟลิเซียโน่ดูจะหายจากอาการกลัวหันกลับมานั่งคุกเข่าลงบนพื้นแล้วจ้องหน้าเขา
“นายมาทำอะไรที่นี่?”
ชายผมน้ำตาลแย้มรอยยิ้มกว้างแบบเดิมก่อนจะตอบ
“คุณพี่ฝรั่งเศสบอกให้มาหาเว่~ เค้าก็เลยต้องมา แต่ว่าหาคุณพี่ไม่เจอก็เลยต้องวิ่งไปวิ่งมา”
เยอรมันชมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ถึงสาเหตุการมาที่นี่ของอิตาลี... แล้วฝรั่งเศสอยู่แถวนี้ด้วยหรอ? เขาไม่ยักจะรู้...
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นที่เขาสงสัยคือ อิตาลีที่ประกาศตัวว่าเป็นกลางทั้งๆที่ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับเขาและออสเตรียอ้างว่าออสเตรียเป็นคนเริ่มสงครามก่อนเลยไม่เข้าร่วมด้วยนั้น มีสาเหตุอะไรที่ต้องไปติดต่อธุระกับฝั่งศัตรูอย่างฝรั่งเศส
“แล้วนายมาหาฝรั่งเศส... ทำไม?”
อิตาลีสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้...
“เว่~ เขาต้องไปแล้วล่ะ ลุดวิก~ ไว้เจอกันใหม่น้า~”
แต่แทนที่จะตอบลุดวิก เฟลิเซียโน่กลับรีบลุกขึ้นแล้วพูดแทน ชายผมสีน้ำตาลวิ่งอย่างรวดเร็วไปทางบริเวณที่มีทหารฝั่งศัตรูของเขาเยอะๆ ด้วยสปีดการวิ่งแบบชาวอิตาลีทำให้เฟลิเซียโน่หายวับไปในพริบตา...
ลุดวิกขมวดคิ้วประมวลผลเหตุการณ์อย่างงงๆ... เขาเจออิตาลีที่เหมือนจะพยายามหลบหน้าเขาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแต่อีกฝ่ายก็ดูคุยกับเขาดีในตอนแรก ไม่เหมือนการกระทำก่อนหน้านี้ที่หลังจากทิ้งให้เขายืนงงอยู่ในสวน เฟลิเซียโน่ก็ดูเหมือนจะพยายามทำตัวเองให้หายไปจากชีวิตเขาด้วยการไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเป็นเวลาหลายเดือน
ทั้งๆที่เมื่อกี๊นี้ก็คุยกับเขาปกติดี... แต่พอถามถึงเรื่องที่ตอบไม่ได้ ก็หนีไปอีกซะแล้ว...
ถ้าไม่พูดอธิบายแล้วเขาจะเข้าใจได้ยังไงกัน...?
ชายชาวเยอรมันได้แต่เก็บความหงุดหงิดและความสงสัยไว้ในใจขณะอยู่ในสนามรบ ทว่าก็ยังอดคิดอยู่ตลอดไม่ได้...
...ว่าทำไมเรื่องของชายชาวอิตาลีถึงมีอิทธิพลกับความคิดเขาขนาดนี้...
เป็นไปได้หรอ... ที่เขาจะรู้สึกอะไรกับคนๆนึงทั้งๆที่ระยะเวลาการเจอกันไม่กี่อาทิตย์แต่รู้สึกเหมือนกับเคยอยู่ด้วยกันมาหลายทศวรรษ...
...เขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลนี่เอาซะเลย...
.
.
.
ในค่ายทหาร อีกมุมหนึ่งบริเวณเต้นท์ของฝ่าย เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี่ หรือเรียกรวมๆว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ชายชาวปรัสเซียนั่งหมุนปากกาในมือเล่น มองแผนที่บนโต๊ะกับอุปกรณ์บอกตำแหน่งต่างๆของทั้งฝ่ายตัวเองและศัตรูที่วางระเกะระกะทับอยู่บนแผนที่... มีนกตัวเล็กสีเหลืองเกาะเดินไปเดินมาอยู่บนบ่า
“กิลเบิร์ต ทำไมนายไม่ไปช่วยลุดวิกล่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ฮังการี่โผล่หน้ามาจากประตูเต้นท์เล็กน้อย ส่งสายตาให้ปรัสเซียด้วยความสงสัยว่าคนที่ปกติจะตื่นเต้นกับสงครามแล้วก็ชอบรุกรานคนอื่นบ่อยๆในอดีตนั้น มีปัญหาอะไรเกิดอะไรขึ้นถึงมานั่งอยู่เฉยๆแทนที่จะสนุกกับโอกาสได้ออกแรงอย่างที่เจ้าตัวดูเหมือนจะตื่นเต้นในตอนแรก
“ขี้เกียจ...”
นั่นคือคำๆเดียวเป็นคำตอบหลุดมาจากปากของกิลเบิร์ต ไวร์ชมิท ทำให้ฮังการี่ต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับความไม่มีเหตุผลจนเกินไปของคนที่อาจจะเรียกได้ว่าเพื่อนแล้วเดินมานั่งข้างๆ
“เกิดอะไรขึ้นกิลเบิร์ต?”
ชายคนที่ถูกเรียกชื่อจ้องนัยน์ตีแดงมาที่หญิงสาวชาวฮังการี่... สภาพของปรัสเซียคือเสื้อเหมือนไปคลุกฝุ่นมามีรอยดำเป็นจุดๆ ประกอบกับรอยเลือดของทหารฝั่งศัตรูทำให้ดูน่ากลัวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ฉัน... แค่ขี้เกียจ”
ฮังการี่ที่นั่งข้างๆปรัสเซียกุมขับกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะเริ่มพูด
“นี่ฟังนะ... นายเกิดจะขี้เกียจ หรืออะไรของนายก็แล้วแต่ แต่ยังไงก็ขอบคุณแล้วกันที่นายเลือกเข้าข้างฉันกับออสเตรีย”
กิลเบิร์ตนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ฉันไม่ได้เลือก ลุดวิกเลือก”
หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆรับประโยคของปรัสเซีย
“นั่นแหละ เหมือนกันแหละ... ที่ฉันจะบอกคือนายจะมานั่งเฉยๆอยู่ตรงนี้ทำไม มีคนอื่นเยอะแยะที่ต้องการนาย อยากให้นายช่วย”
ฮังการี่ทิ้งช่วงเว้นวรรคประโยค แล้วพูดต่อ
“ออสเตรียก็ด้วย... ฉันก็ด้วย... ที่อยากให้นายช่วย”
พูดเสร็จก็ตบไหล่กิลเบิร์ตสองสามที แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างๆชายชาวปรัสเซียไปยังประตูเต้นท์ก่อนจะตะโกนทิ้งท้าย
“ไหนนายบอกอยากหั่นเจ้ารัสเซียนั่นเป็นชิ้นๆไง! นี่ไงโอกาสของนาย มัวรออะไรอยู่ล่ะ!”
เหมือนประโยคนี้ของฮังการี่จะได้ผล เพราะกิลเบิร์ตผงกหัวขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วหันไปส่งยิ้มน้อยๆให้กับหญิงสาว
ทว่าในใจกลับสะดุดกลับประโยคสุดท้ายของฮังการี่...
...ก็เพราะรัสเซียนี่แหละเขาถึงได้ไม่มีอารมณ์อยากจะสู้...
เขากำลังรู้สึกว่าอยากจะสู้กับรัสเซีย แต่ก็ไม่อยากสู้กับรัสเซีย... ฟังดูงงๆใช่มะ...
ทั้งๆที่เขาตั้งใจไว้ว่าอยากจะฆ่าไอ้หมอนั่นตั้งนานแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ
รวมถึงครั้งนี้ด้วยที่จู่ๆเขาก็เกิดจะไม่มีอารมณ์อยากสู้ขึ้นมา... ทั้งๆที่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนทำสัญญากับรัสเซีย ตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่น่าจะมีผลอะไรกับความรู้สึกเกลียดขี้หน้าหมอนั่นตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาหรือเปลี่ยนความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างเขากับชายคนนั้นได้...
ภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มโรคจิตนั่นปรากฏในความคิดของเขา... ก่อนที่กิลเบิร์ตจะตัดสินใจลุกเดินตามฮังการี่ออกไปข้างนอก...
...บางทีถ้าล้มรัสเซียศัตรูที่ไม่น่าจะเก่งเท่าไหร่ของเขาได้เขาอาจจะรู้คำตอบ...
ภาวนาให้เขาล้มมันได้ก็แล้วกัน... บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาทำสำเร็จ...
.
.
.
เขากำลังยืนอยู่ในบ้านตกแต่งแบบโบราณๆหลังหนึ่ง อยู่ตรงกลางห้องสี่เหลี่ยมที่มีวอลเปเปอร์และส่วนที่มีไม้ฉลุแบบโบราณ เฟอร์นิเจอร์รอบตัวเขาเป็นแบบเดียวกับภาพวาดแถวๆยุคเรเนซองก์ที่เคยเห็นมาในพิพิธภัณฑ์...
เขาเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงสีเขียว มีผ้าโผกหัวสีขาวคลุมเส้นผมสีน้ำตาลแดงไว้ ยืนหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง หันหลังให้เขา...
“เว่~ ป่านนี้พี่ชายจะเป็นยังไงบ้างนะ...”
ได้ยินเด็กผู้หญิงคนนั้นบ่นพึมพำ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กผู้หญิง เดาจากเสียงอุทานๆประหลาดๆอันเป็นเอกลักษณ์นั่น เขาคงคิดว่าเด็กคนนี้คืออิตาลี เวเนเชียโน่ แน่ๆ
ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กก็หมุนตัวหันหน้ามาทางเขา ทำให้เขาสะดุ้งอย่างตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอิริยาบทอย่างกระทันหันนั่นแต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่สนใจเขาเท่าไหร่...
“เว่~ วาดรูปดีก่า”
แล้วเด็กตัวเล็กนั่นก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าไม้โบราณเปิดตู้หยิบผ้าใบ ขาตั้ง กับถาดสีออกมานั่งวาดรูปอยู่กลางห้องข้างๆจุดที่เขายืนอยู่...
ลุดวิกมองอย่างงงๆแล้วก็รู้สึกแปลกๆว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง...
เขามองไปรอบห้องเพื่อหาทางออกก่อนที่สายตาจะมาหยุดที่ประตูห้องของเด็กผู้หญิงคนนี้... ซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย
...เด็กคนนี้ไม่ระวังตัวจริงๆ...
ด้วยความหวังดีชายลุดวิกจึงเดินไปที่ประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่ตั้งใจจะปิดให้ทว่าเขาก็ตกตกใจเมื่อเมื่อเขาไม่สามารถสัมผัสกับประตูได้...
มือของเขาจับลูกบิดไม่ได้... เหมือนกับว่ามือของเขาโปร่งแสง ไม่มีร่าง
นั่นทำให้เขาต้องก้มลงมองตัวเองที่เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง ยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่เห็นได้อย่างชัดเจนในขณะที่ตัวเขาเหมือนโปร่งแสง...
เฮ้ย... มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!
เขามองไปรอบๆห้องอย่างตกใจก่อนที่สายตาจะมาอยู่ตรงจุดๆเดิมนั่นคือประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่เขาเห็นนัยน์ตาสีฟ้าสีเดียวกับเขาและผมสีทองสีเดียวกับเขาแอบอยู่หลังประตูที่แง้มนั้น...
เด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ในชุดซึ่งเหมือนถูกตัดอย่างดีแตกต่างกับเด็กผู้หญิงในห้อง สีน้ำเงิน ใส่หมวกสีน้ำเงินสีเดียวกับชุด... เปิดประตูที่แง้มอยู่นั้นก้าวท้าวเข้ามาในห้อง...
“หวา~! โฮลี่โรมัน~”
เด็กคนที่ท่าทางเหมือนอิตาลีทำท่าตกใจเมื่อหันมาเห็นบุคคลผู้เข้ามาใหม่ ก่อนจะวางมือจากรูปภาพที่กำลังวาดแล้วเดินมาคนที่ถูกเรียกว่าโฮลี่โรมัน
“อ่ะ... เอ่อ... ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ... ขอโทษนะ”
เด็กผู้ชายตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตกักเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มจากคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี รวมถึงรอยยิ้มจากเขา... คนที่ยืนมองอยู่ด้วย
“เว่~ แล้วโฮลี่โรมันมีอะไรหรอ”
โฮลี่โรมันชี้ไปที่รูปภาพซึ่งเด็กตัวเล็กผมน้ำตาลวาดค้างไว้ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นหลบสายตา
“สอนฉันวาดรูปหน่อย...”
ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆเด็กชายคนที่พูด
“เธอว่าอะไรนะ เว่~ ได้ยินไม่ชัดอ่า”
เด็กชายในชุดสีน้ำเงินจึงหันหน้ามาสบตาเด็กหญิงด้วยใบหน้าที่แดงกว่าเดิมเล็กน้อย มือกำกางเกงสีน้ำเงินของตัวเองแน่นแล้วพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ
“อิตาลี สอนฉันวาดรูปหน่อยได้มั้ย”
ทว่าหลังจากจบประโยคคนที่ช็อคกลับเป็นเขา... ชายชาวเยอรมันที่ชื่อลุดวิก...
... เด็กผู้หญิงคนนี้คืออิตาลีหรอ... เป็นไปไม่ได้..
เมื่อลุดวิกเริ่มรู้สึกถึงความไม่จริงในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ทำให้เขาก้าวถอยหลังเพื่อหนีไปซักที่ที่ไม่ใช่ที่นี่ สถานที่ที่เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง...
...เขาไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ นี่ไม่ใช่ยุคของเขา...
แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเด็กผมทองจ้องนัยน์ตาสีฟ้าสีเดียวกับสีที่เขามองเห็นในตาของตัวเองบนกระจกทุกวันมายังเขา
...เขาควรจะหายตัวได้ในนี้เหมือนตอนแรกไม่ใช่หรอ...
คิดอย่างสับสนพลางสบตากับเด็กผู้ชายคนนั้นเช่นเดียวกับที่เด็กผู้ชายคนนั้นจ้องกลับมาที่เขา...
ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกแทนด้วยความมืดมิดและภาพห้องนอนที่แสนคุ้นเคยของเขากลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ลุดวิก ไวร์ชมิทตื่นขึ้นจากความฝัน... เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผมสีทองที่ยุ่งเหยิงจากการนอน... ชายชาวเยอรมันลุกจากเตียงขึ้นมาล้างหน้าในห้องน้ำ...
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองฝันทันทีที่ตื่นนอน...
เด็กสองคน... อิตาลี กับโฮลี่โรมัน... บ้านยุคเก่าๆกับ ความรู้สึกแปลกๆนี่...
ด้วยความสงสัยที่สั่งสมมานานบวกกับความตกใจที่ทำให้เขาคิดว่าต่อให้กลับไปนอนก็คงนอนไม่หลับทำให้ลุดวิกตรงดิ่งไปยังส่วนที่เป็นห้องสมุดเก่าของบ้าน...
อย่างน้อยเขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือโฮลี่โรมัน...
หลังจากนั้นที่สำคัญที่สุดคือ... คนคนนี้สำคัญยังไงกับอิตาลีกันแน่...
.
.
.
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (เยอรมัน: Heiliges Römisches Reich (HRR), ละติน: Imperium Romanum Sacrum (IRS), อังกฤษ:Holy Roman Empire) เป็นการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ ในยุโรปกลางในสมัยกลางมาจนถึงยุโรปสมัยใหม่ตอนต้นภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ปฐมจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิคือจักรพรรดิออตโตที่ 1 ผู้เข้าพิธีราชาพิเศก...
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการพยายามฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 476 หลังจากการสละราชสมบัติของโรมิวลัส ออกัสตัส พระจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้าย แต่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิโรมันในยุคโบราณเหมือนกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งเป็นจักรวรรดิโรมันในสมัย...
ทว่าไม่ว่าจะเปิดหนังสือกี่เล่ม อ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่าลุดวิกก็ยังไม่เข้าใจว่าโฮลี่โรมันหรือจักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์นี่คือใคร และสำคัญยังไงกับอิตาลี...
แม้ว่าเขาจะสงสัยว่ามันคือตัวเขาในอดีต... แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้ว่านั่นคือเขา...
ความคิดของเขาต้องการจะสื่ออะไร? เขาต้องการจะบอกอะไรกับตัวเองกันแน่...?
เป็นคำถามที่ลุดวิกได้แต่ถามตัวเองในใจไปขณะเปิดอ่านหนังสือจนเผลอหลับคากองหนังสือจนถึงเช้า...
.
.
.
--------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น