ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter III : Emotion and Actions
---------------------------------------------------------------------------------
Holding Out For A Hero - ELLA MAE BOWEN
ตลอดเวลาที่ผ่านมาชายผู้เป็นตัวแทนประเทศเยอรมันทำงานอย่างไม่เป็นสุข...
ต้นตอสาเหตุของปัญหานั้น ไม่ได้มาจากการทำงานเสร็จไม่ตรงตามเวลา หรือการที่เจ้านายอยากทำในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างปกติ...
สิ่งที่เป็นปัญหาหลักภายในจิตใจของชายชาวเยอรมันวันนี้คือ คนที่ชื่อ เฟลิเซียโน่ วากาส...
หลายวันมานี้ชายชาวอิตาลี่มีความพยายามอย่างยิ่งในการติดต่อกับเขา... ความพยายามที่มีมากเกินจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆ... ทั้งรู้สึกดีใจลึกๆอย่างน่าประหลาด... และ... น่าสงสัย...
เริ่มด้วยการมาหาที่บ้านเพื่อทำพาสต้าในวันที่ 2 ที่เจอกัน
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยพาสต้ากล่องๆที่เจ้าตัวคนให้อ้างว่าทำตามแบบเบ็นโตะของชายชาวญี่ปุ่นผู้เป็นเพื่อนสนิท...
นอกจากนี้ยังมีเพลงอีกหลายเพลงที่อิตาลี่แต่งให้เยอรมันซึ่งทุกครั้งจะเริ่มด้วยคำชม ก่อนจะลงท้ายด้วยคำที่ดูเหมือนจะว่ากัน แล้วจบท้ายด้วยคำชมอีกรอบ... ต่อด้วยจดหมายอีกหลายฉบับกับขนมอีกหลายกล่องซึ่งอิตาลี่ทำส่งมาให้เขาที่บ้านทุกวันด้วยตัวเอง
เขาเคยคิดว่าสิ่งที่อิตาลี่ทำนั้นไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เป็นเพียงแค่ความกระตือรือร้นอย่างไร้เดียงสาของชายชาวอิตาลี่เท่านั้น... ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงนอกเหนือจากนั้น
ทว่าการได้รับที่มากเกินไปกลับทำให้เขาเริ่มคิด... เพราะสิ่งที่เขาทำห้อิตาลี่มีเพียงแต่การให้คำปรึกษาเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องทหาร หรือเรื่องอะไรที่มันจริงจังๆที่มีประโยชน์ต่อประเทศของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น... แต่ที่สิ่งที่อิตาลี่ทำดูเหมือนจะพยายามทำให้เขาประทับใจ...
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาในฐานะที่เป็น “มนุษย์” คนนึง ไม่ใช่ประเทศ...
ความสัมพันธ์นี้ นอกจากกิลเบิร์ตแล้ว... ไม่มีคนอื่นที่เขาจะไว้ใจได้อีก...
ถ้ากิลเบิร์ตอ่านใจเขาได้อาจจะพูดว่า ‘ลุดวิกขี้ระแวง! ดีแต่บ้างาน ไม่เท่เลยซักนิด!’
แต่มีเรื่องที่น่ายินดีคือ กิลเบิร์ต อ่านใจเขาไม่ได้...
นั่นเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดที่เขาสามารถจะหวังได้เพราะหากกิลเบิร์ตอ่านใจเขาได้ เยอรมันคงถึงกาลวิบัติ...
ชายชาวเยอรมันหยุดความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองลงเมื่อมีเสียงจากโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น... ยกหูโทรศัพท์สีดำขึ้นฟังเสียงผู้ช่วยของเขาบอกตารางเวลาและสถานที่ที่เขาต้องไปพลางใช้ดินสอจดโน้ตย่อในเศษกระดาษ
การเป็นประเทศของเขามีข้อดีอยู่อย่างนึงคือไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานตามเวลาประจำ อาจจะอยู่ที่บ้านก็ได้ งานหลักๆก็มีแค่ติดต่อกับประเทศอื่นเท่านั้น... ยกเว้นว่าเจ้านายจะเรียกพบหรือเขาเองอยากจะพบเจ้านาย...
9.15 ประชุมกับบอส
11.20 พักกลางวัน
13.45 เจอออสเตรีย
18.00 อังกฤษนัดพบ
เมื่อเขียนมาจนถึงสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ ชายชาวเยอรมันก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย...
ชายผู้เป็นตัวแทนจาก
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะมีประเทศๆหนึ่งกำลังพัฒนากำลังทหารอย่างรวดเร็วเกินหน้าเกินตาจนมีกองทัพเรือยิ่งใหญ่เทียบเคียงกับประเทศฉายาเจ้าของ 7 มหาสมุทรเก่า... เช่น ประเทศของเขา... เยอรมันนี...
อังกฤษคงอยากจะต่อรองอะไรซักอย่างที่อาจทำให้เขาต้องลดอำนาจของตัวเองลงหรือคงหาสัญญาอะไรบางอย่างมาให้เขาเซ็นเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรอังกฤษได้ หรือไม่ให้เขาขวางทางทำให้อังกฤษเสียผลประโยชน์...
เรื่องนี้ทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนขี้ระแวงที่สุดในโลก.... เพราะขนาดเขายังไม่ได้เริ่มทำอะไร แค่ประเทศพัฒนาเร็วเกินจนต้องขยายอำนาจนิดๆหน่อยๆเท่านั้น... ชายผู้ดีเก่าก็เริ่มอยู่ไม่สุขซะแล้ว...
ถ้ามันจำเป็นจริงๆ... คงห้ามไม่ได้ถ้ามันจะเกิดสงคราม...
ผู้ช่วยของเขาพูดอะไรต่ออีกหน่อยเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ ทว่าเสียงเหมือนเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งดังขึ้นทำให้คนที่เขาคุยอยู่ด้วยต้องรีบรับโทรศัพท์อีกเครื่องแล้วกลับมาพูดกับเขา
“คุณลุดวิกคะ มิสเตอร์วากาส บอกว่ามีเรื่องด่วนค่ะ”
ลุดวิกรีบกดให้สายโอนเข้ามาที่เครื่องโทรศัพท์ของตัวเองพลางยกมือเสยผมสีบลอนด์ที่ตกลงมาปรกหน้าด้วยความรู้สึกร้อนรนอย่างแปลกๆ เมื่อได้ยินว่าเฟลิเซียโน่มีเรื่องด่วน
ความรู้สึกว่าต้องปกป้องคนคนนี้เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ... อาจจะเป็นแค่เพราะความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ชายชาวอิตาลี่ในตอนนี้หรือเป็นบางอย่างลึกๆในใจที่ทำให้เขาไม่อยากให้เฟลิเซียโน่รู้สึกเป็นทุกข์ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
“ฮัลโหล เฟลิเซียโน่ !”
รีบพูดใส่หูโทรศัพท์ทันทีที่สายโอนมา... แม้ในใจจะคิดพยายามบังคับเสียงไม่ให้ฟังดูเหมือนตะคอก แต่ดูเหมือนว่าคงจะคุมได้แค่บางส่วน เดาจากอาการเงียบไปครู่หนึ่งของอีกฝ่าย...
“ลุดวิก~ ลุดวิก! ช่วยด้วยย! มาหาหน่อย ช่วยเค้าด้วยย!”
หัวใจของชายชาวเยอรมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม... แม้ประโยคที่ฟังจะดูประหลาดๆแต่ความกังวลในน้ำเสียงของอิตาลีทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?!”
ลุดวิกรีบเก็บของพลางเขียนโน้ตให้ผู้ช่วยรู้ว่าเขาไปไหน ในใจคิดข้อแก้ตัวกับเจ้านายตนเองเมื่อกลับมา... เขาเองก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบแต่มีเรื่องด่วน หวังว่าเจ้านายคงจะเข้าใจ...
“อยู่ที่บ้านเว่~ ลุดวิก! ช่วยเค้าด้วยย!”
ตั้งใจจะเอ่ยปากถามต่อแต่อีกฝ่ายกลับวางสายไปอย่างรวดเร็วยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับชายชาวเยอรมัน... ลุดวิกจึงตัดสินใจรีบออกจากที่ทำงานหาไฟร์ทเครื่องบินที่เร็วที่สุดไปเพื่อบินไปยังอิตาลี...
.
.
.
10.45
หลังจากใช้เวลานั่งเครื่องมาประมาณ 1 ชั่วโมงบวกเวลาเดินทางอื่นๆเล็กน้อย... ชายชาวเยอรมันก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเดิมที่เขาเพิ่งมาครั้งแรกเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา...
เท่ากับว่านี่เป็นครั้งที่สองที่เขาจะได้เหยียบบนบ้านที่ตกแต่งอย่างงดงามสไตล์โรมันหลังนี้...
ได้กลิ่นแปลกๆจากตัวบ้านทำให้เยอรมันรีบเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปข้างใน... ส่งเสียงหาอิตาลี ทว่าหลังจากเดินผ่านส่วนรับแขกเข้ามาในครัวต้นกำเนิดของกลิ่นก็พบกับซากจานกระเบื้องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้น แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหา เดินเลยมาในส่วนที่กินข้าว จนกระทั่งห้องนั่งเล่นก็ยังไม่พบกับสิ่งมีชีวิตอื่น...
ทีนี้ลุดวิก ไวร์ชมิทเลยยิ่งร้อนใจหนัก... สายตากวาดหาเฟลิเซียโน่พลางตะโกนเรียก
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน...
“...วิก! ...ลุดวิกก! ช่วยด้วยย!”
ซึ่งเป็นเสียงที่คุ้นเคยสำหรับเขา... หลังจากต้องทนฟังชายชาวอิตาลีเรียกชื่อตัวเองด้วยสำเนียงอิตาลีๆนั่นมาตลอดหลายอาทิตย์
รีบวิ่งเข้าไปหาอิตาลีตามเสียงเรียกนั้น ทว่าเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเห็นในสถานการณ์แบบนี้...
ภาพที่ปรากฏในสายตาเขาคือชายชาวอิตาลี่กำลังนั่งลงกับพื้นสนามหญ้าในสวนหลังบ้าน... หัวติดอยู่กับพุ่มไม้ในสวน... คาดว่าผมคงจะไปติดกับกิ่งไม้หรืออะไรซักอย่างแถวๆนั้น ใบหน้าของชายชาวอิตาลีแสดงถึงความเจ็บปวด ใบหน้าที่ดูเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที่นั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของปัญหานี้ในสายตาของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี...
เยอรมันไม่รอช้าคุกเข่าลงให้ใบหน้าของตัวเองอยู่ระดับเดียวกันกับอิตาลี่...
แม้ในใจจะเดือดเต็มที่จากเหตุผลที่ว่าคนตรงหน้าทำให้เขาต้องโดดประชุม เดินทางนั่งเครื่องบินข้ามประเทศอย่างรีบร้อนมาเพื่อปัญหาของคนคนนี้... ซึ่งไม่ได้ด่วนหรือเดือดร้อนที่เขาคิดเลยแม้แต่นิด... แต่ลุดวิกก็ยังเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างใจเย็น...
“นายทำยังไงให้หัวไปติดกับต้นไม้?”
ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ชีวิตเขาจะหนีจากคนประเภทนี้ไม่ได้เลยใช่มั้ย... ทั้งกิลเบิร์ตพี่ชาย แล้วยังมาเฟลิเซียโน่อีก...
ชายชาวอิตาลี่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาของตัวเองได้อีกต่อไป... ร้องไห้ออกมาพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น...
“ก็... เว่~ วันนี้เค้าทำพาสต้าไหม้แหละ... แล้วเสร็จแล้วเค้าก็โทรไปหาพี่ชายโรมาโน่... พี่ชายบอกว่า ไม่ว่างมาหา ให้ไปหาคนอื่นแล้วฝากรถน้ำต้นมะเขือเทศในสวนให้ด้วย”
ลุดวิกฟังคำพูดของเฟลิเซียโน่พลางขมวดคิ้ว... ถ้ารู้ว่าเรื่องจะไร้สาระขนาดนี้เขาคงไม่มาให้เสียเวลา แถมยังต้องโดดประชุมกับบอส... แต่ก็ยังทนฟังอิตาลีพล่าม
“เค้าก็เลยโทรหาลุดวิก... เสร็จแล้วก็เข้ามาในสวน เค้ารดน้ำอยู่ดีๆ ผมก็ไปติดกับพุ่มไม้แหละเว่~”
ยิ่งชายชาวเยอรมันฟังเรื่องที่อิตาลีพูดเท่าไหร่ยิ่งหงุดหงิด... นึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่อิตาลีเล่าก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เขาสงสัย
“แล้ว... นายดึงผมออกมาเองไม่ได้?”
อิตาลีรีบพยักหน้าอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องทำหน้าเบ้เมื่อรู้สึกได้ว่าผมเส้นหนึ่งของตัวเองติดอยู่กับพุ่มไม้...
ถ้าเป็นเส้นอื่นก็คงไม่มีปัญหาหรอก... แต่ผมเส้นที่ไปติดนี่คือผมเส้นเดียวที่ไม้ว่าจะหวีหรือจัดการยังไงก็ยังคงเด้งออกมาจากผมเส้นอื่น
“เว่~ ลุดวิกช่วยเค้าแกะหน่อยได้ป่าว”
คนตัวใหญ่กว่าถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมช่วยแต่โดยดี เริ่มลงมือแกะผมเส้นนั้นออกจากกิ่งไม้... แต่ทันทีที่เขาสัมผัสกับผสเส้นนั้นก็มีเสียงประหลาดๆดังออกมาจากปากอิตาลี...
“อื้อ...”
ประกอบกับหน้าของคนตัวเล็กแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้เยอรมันต้องถามอย่างเป็นห่วง...
“นายไม่สบายรึเปล่า?”
อิตาลีส่ายหน้าเท่าที่จะทำได้เป็นคำตอบพลางขมวดคิ้วอีกทีเมื่อชายชาวเยอรมันแก้ปมอีกปม...
“อื้มม....”
หืม? เฟลิเซียโน่เป็นอะไรน่ะ...? ทว่าชายชาวเยอรมันก็ได้แต่คิดไม่ได้ถามคำถามอื่นไปเมื่อปมปมสุดท้ายถูกแก้จนเสร็จ...
อิตาลี่รีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำทันทีหลังจากนั้น...
ซึ่งชายชาวเยอรมันก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...
หลังจากเหตุการณ์ในสวนหลังบ้านของชายชาวอิตาลี เยอรมันก็กลับเข้ามาในบ้าน มายังภายในครัวเพื่อจัดการกับเศษจานกระเบื้องที่เฟลิเซียโน่ทำแตกไว้ก่อหน้านี้และจัดการกับปัญหาใหญ่ของชาวอิตาลีซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาต้องเดินทางมายังที่แห่งนี้ คือหม้อพาสต้าที่วางอยู่บนเตามีรอยไหม้สีดำอยู่ก้นหม้อ...
เขาจัดการทุกอย่างด้วยความเคยชินจากการจัดการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่กิลเบิร์ตชอบทำไว้...
ที่น่าแปลกคือสิทธิพิเศษที่มีเขาทำความสะอาดบ้านให้ตอนนี้เป็นของอิตาลีด้วย... ทั้งๆที่เขาเพิ่งเจออิตาลีไม่กี่อาทิตย์...
นั่นเป็นหนึ่งในปัญหาในจิตใจเขาทุกวันนี้...
เสียงฝีเท้าของชายเจ้าของบ้านเรียกความสนใจของลุดวิกจาการตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดพื้นขึ้นมามองหน้าเฟลิเซียโน่ พลางยกที่ตักผงขึ้นเทเศษแก้วใส่ถังขยะ ใบหน้าของชายชาวอิตาลีแดงน้อยลงเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อกี๊...
...สงสัยคงเป็นเพราะแดดร้อน...
ชายตัวเล็กส่งรอยยิ้มสดใสให้เค้าก่อนจะเอ่ยต่อตามนิสัยปกติ...
“เว่~ ขอบคุณลุดวิกมากๆเลย ถ้าไม่ได้ลุดวิกเค้าต้องแย่แน่ๆ...”
แค่ผมติดกับพุ่มไม้ กับทำพาสต้าไหม้... ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอิตาลีโดนฝรั่งเศสโจมตีจะเหลือสภาพยังไง... แม้จะคิดในใจอย่างนั้นแต่ชายชาวเยอรมันก็ส่งยิ้มเล็กๆให้ชายชาวอิตาลี...
“เว่~ ไหนๆก็ทำพาสต้าไหม้แล้ว ลุดวิกอยากไปกินข้าวข้างนอกกับเค้ามั้ยเว่~”
เยอรมันยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา... คงจะกลับไปไม่ทันนัดออสเตรีย... จึงพยักหน้าให้อิตาลี่เป็นการตอบรับ เฟลิเซีนโน่ส่งรอยยิ้มแสดงอาการดีใจให้ก่อนจะจับมือเขาคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่พาดอยู่บนเก้าอี้ในห้องครัวนำไปยังประตูบ้าน...
“แถวนี้มีงานโชว์แสดงละครสัตว์ด้วยเว่~ ไปด้วยกันนะๆลุดวิก”
ลุดวิกได้แต่ยิ้มไล่หลังให้ชายชาวอิตาลี หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูให้กับความคิดแบบเด็กๆของคนที่เดินอยู่นำหน้า... แม้เขาจะคิดว่ามันไร้สาระ... เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับการเป็นประเทศเลยซักนิด แต่เมื่ออยู่กับคนข้างหน้าแล้วทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด...
ความคิดที่ว่าจะต้องไปสวนสนุกกับอิตาลีทำให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้...
...คนสองคนไปเที่ยวด้วยกัน... เหมือนไปเดทรึเปล่า?...
แต่ก็ต้องรีบปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลต่างๆนานา ตั้งแต่เขากับเฟลิเซียโน่เป็นผู้ชายทั้งคู่จนกระทั่งเขากับอิตาลีเป็นเพื่อนกันอีกทั้งยังมีงานมากมายข้างหน้าที่ต้องรับผิดชอบเขาไม่ควรทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียสมาธิ...
ทว่าความกังวลหรือความคิดวุ่นวายต่างๆของเขาก็ต้องหยุดลงเมื่ออิตาลีหันมาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสที่ดูมีความสุข... ทำให้คนรอบข้างอย่างเขาต้องยิ้มตามไปด้วย...
จิตใจของเขาสงบอย่างประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มของเฟลิเซียโน่... เพราะฉะนั้นเวลานี้เขาก็ไม่ควรจะคิดเรื่องอื่นนอกจากการมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า...
แล้วสมองด้านความจริงจังซีเรียสกับชีวิตและขี้ระแวงของลุดวิกก็ยอมจำนนให้ความรู้สึกมามีอำนาจเหนือกว่าเป็นครั้งแรก...
...ภายใต้ฝีมือการชักนำของชายเจ้าของผมสีน้ำตาลและรอยยิ้มสดใสที่ชื่อ เฟลิเซียโน่ วากาส...
.
.
.
บรรยากาศงานโชว์คณะละครสัตว์เล็กๆที่จัดขึ้นภายในเมืองเวนิส... เมืองติดริมแม่น้ำที่เป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคนตรึงจิตใจของเขาให้จดจ่ออยู่กับงานเทศกาล
หลังจากเข้ามาในบริเวณของงานเฟลิเซียโน่ลากเขาเข้าไปยังซุ้มต่างๆไม่ว่าจะเป็นซุ้มโชว์มายากล เป่าปี่เรียกงูหรือนักกายกรรมต่างๆ เขาซึ่งกึ่งยอมจำนน กึ่งสมัครใจต้องเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปตามถนนอิฐสีน้ำตาลเข้มชมภาพความสวยงามของตึกน้อยตึกใหญ่ซึ่งทอดยาวเรียงรายอยู่ริมฝั่งไปด้วย...
เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสอะไรแบบนี้... อาจเป็นเพราะเขาสูญเสียความทรงจำวัยเด็กของตัวเองไปทำให้จำไม่ได้ว่าสมัยเด็กเขาเคยได้ทำอะไรแบบนี้รึเปล่าจึ่งทำให้ครั้งนี้กลายเป็นครั้งแรก...
ลากเขาไปตามทางเลียบริมฝั่งแม่น้ำซึ่งมีเรือกอนโดร่าจอดอยู่นับสิบลำ เฟลิเซียโน่ถือสายไหมสีชมพูในมือดึงมือเขาไปมาเปลี่ยนที่แล้วที่เล่าจนมาหยุดอยู่กับซุ้มที่มีตุ๊กตาตัวใหญ่ประดับอยู่หน้าร้าน... และช่องเหลี่ยมๆที่มีลูกโป่งอยู่ข้างในกับลูกดอกหลายๆลูก...
คิดว่าต้องใช้ลูกดอกปาลูกโป่งให้แตกแล้วจะได้ตุ๊กตา...
ฟังเสียงแจ๋วๆของเฟลิเซียโน่ถามกติกาเจ้าของร้านเป็นภาษาอังกฤษเนื่องจากคณะๆนี้เดินทางเป็นคาราวานมาจากอังกฤษ กติกาคือมีลูกดอก 5 ลูก ต้องปาให้โดนลูกโป่งครบทั้ง 5 ลูกถึงจะได้ตุ๊กตา...
เป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีสำหรับ ลุดวิก ไวร์ชมิท...
แต่คำถามคือชายหนุ่มอย่างเขากับเฟลิเซียโน่จะเอาตุ๊กตาไปทำอะไร...?
ดูเหมือนว่าเฟลิเซียโน่จะไม่ได้คิดแบบเขา กลับฉุดแขนเขาอย่างรบเร้าให้เล่นเกมนี้...
“ลุดวิกๆ เล่นให้เค้าหน่อยจิ...”
เขากำลังจะถามด้วยความสงสัยว่าเฟลิเซียโน่จะเอาตุ๊กตาไปทำไม แต่ถูกขัดขึ้นด้วยประโยคต่อมาของเฟลิเซียโน่ที่พูดกับเจ้าของร้าน...
“ถ้าผู้ชายคนนี้ปาเข้าเป้าได้ครบ 10 ดอกปีหน้าจะกลับมาอีกรึเปล่า?”
เป็นครั้งแรกของวันที่เขาได้เห็นดวงตาจริงจังสีน้ำตาลทองนั่นอย่างชัดๆ... แม้จะเห็นชัดแต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตกลงแล้วนัยน์ตาดวงนั้นสีอะไรกันแน่ระหว่าง เหลือง น้ำตาล เขียว หรือทอง...
ประกอบกับน้ำเสียงจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เขาฟังบทสนทนาของชายเจ้าของร้านกับคนข้างตัวเขาอย่างสนใจ
“เด็กๆที่นี่จะได้สนุกกับงานเทศกาลอีก... ยิ่งปีหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างเว่~ ถ้าคุณเจ้าของร้านกลับมาอีกเด็กๆคงจะดีใจมากต่อให้มีสงครามเกิดขึ้น...”
ทั้งเขาและเจ้าของร้านมองไปที่ชายชาวอิตาลีอย่างสนใจ... คนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรนอกจากพาสต้าอย่างอิตาลี่รู้ได้ยังไงว่าอาจจะมีสงคราม? หรือถ้าแม้แต่คนอย่างอิตาลียังสัมผัสถึงบรรยากาศนี้ได้แสดงว่าเขาคงไม่มีหวังกับสันติภาพในอนาคต?
“แต่ว่าเดินทางข้ามประเทศต้องใช้เงินเยอะ... ไม่แน่ว่าปีหน้าจะทำกำไรได้ซักเท่าไหร่ถ้าเกิดสงครามจริงๆ”
เฟลิเซียโน่ทำหน้ายุ่งจากการโดนขัดใจแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อรองกับเจ้าของร้าน...
“เว่~ รู้นะว่าคุณเจ้าของร้านเป็นเจ้าของคาราวานนี้... มาพนันกันมั้ยล่ะเว่~ ให้ผู้ชายคนนี้โยนปา 20 ดอกตรงหมดทุกดอกบวกกับเงินอีกหลายพันลิร่า (ค่าเงินอิตาลีก่อนเป็นยูโร) คุณเจ้าของร้านจะต้องกลับมาปีหน้า”
เจ้าของร้านทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต่อรอง...
“จำนวนเงินน่ะไม่มีปัญหา... แต่การเดินทางมันต้องเหนื่อยต้องเสียเวลา... 30 ดอกเป็นไง?”
...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเข้าไปเกี่ยวในการพนันครั้งนี้... ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลยนะเนี่ย... ชายชาวเยอรมันขยับตัวอย่างอึดอัด...
“เว่~ ต่อให้ต้องปาลูกดอกให้หมดแผงลุดวิกก็ทำได้อยู่แล้ว! จริงมั้ยลุดวิก?”
เฟลิเซียโน่หันมาถามเขาด้วยแววตามั่นใจเต็มที่... เขาได้แต่กลืนน้ำลายอย่างลำบากใจ... แม้จะมั่นใจในฝีมือตัวเองแต่โอกาสพลาดมันก็มีอยู่... ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลยจริงๆ...
คาดว่าชายเจ้าของร้านคงตกลงตั้งแต่รู้จำนวนเงินที่ชายชาวอิตาลีจะจ่ายแล้ว แต่ด้วยความต้องการจะแกล้งเขาหรืออยากรู้ว่าเขามีดีขนาดไหนทำให้ชายเจ้าของร้านหยิบลูกดอกให้เขาตามจำนวนที่จะต้องปา... ลุดวิกมองลูกดอกอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาตั้งสมาธิ...
เอาน่า... แค่ลูกดอกไม่กี่ลูก...
จะนึกว่าลูกโป่งเป็นหน้ากิลเบิร์ตแล้วปาก็แล้วกัน...
เฟลิเซียโน่ที่ยืนอยู่ข้างเขาคอยเชียร์เขาไม่ขาดปาก... ส่งเสียงดีใจทุกลูกที่เขาปาเข้าเป้าพลางเอ่ยปากชมว่า “เว่~ลุดวิกเก่งจังเลย” “เว่~ลุดวิกเก่งที่สุดเลย” “เว่~ลุดวิกเท้เท่ห์” อย่างนั้นอย่างนี้อดทำให้เขายิ้มไปด้วยปาไปด้วยไม่ได้...
ปาไปประมาณ 10 กว่าลูกเริ่มเมื่อย... ส่งสายตาหาเจ้าของร้านเป็นเชิงถามว่าพอได้รึยัง...
แต่สายตาที่เจ้าของร้านส่งกลับมากลับดูโหดเหี้ยมอย่างไม่น่าเชื่อ... และสองพยางค์ที่เอ่ยออกมาว่า “ไม่ได้” กลับดูสะใจอย่างประหลาด...
เมื่อถึงลูกที่ 20 เขาก็เริ่มเมื่อยอย่างจริงจัง... ในขณะที่เฟลิเซียโน่ยังส่งเสียงระดับเดิมอย่างไม่ได้เหนื่อยเลยซักนิดในขณะที่เจ้าของร้านเริ่มมองเขาอย่างชื่นชม...
เขายอมให้เฟลิเซียโน่เลิกพูดชมเขา หรือเจ้าของร้านจ้องเขาด้วยสายตารังเกียจยังดีกว่าให้เขาปาต่อ...
ทว่าเขาก็ยังปาต่อไปเรื่อยๆตามเสียงเชียร์ของเฟลิเซียโน่...
จนกระทั่งดอกสุดท้าย...
ลูกดอกพุ่งเป้าไปที่ลูกโป่งอย่างเหมาะเจาะ ในความคิดของทุกคนที่ตอนนี้คิดว่าต้องเข้าแน่ๆ คนมุงเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ลูกที่ 30 เป็นต้นไป... ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อบมพัดให้ลูกดอกเฉียงจากทิศทางไปเล็กน้อย...
เขาได้ยินเสียงเฟลิเซียโน่สดหายใจลึกๆเข้าปอดทำให้เขาหัวเราะอย่างขำๆในขณะที่ลูกดอกซึ่งเฉียงไปจากทิศทางเดิมห่างไกลจากลูกโป่งไปเรื่อยๆ...
ถึงแม้ลูกนี้จะไม่เข้าแต่สำหรับเขาก็ถือว่าเท่านี้ก็คุ้มแล้ว... กับการได้ยินเสียงเชียร์ของอิตาลีข้างๆกาย... ใบหน้ามีความสุขกับรอยยิ้มของเฟลิเซียโน่...
อย่างน้อยเขาก็มีค่าสำหรับใครซักคน... ความรู้สึกนี้พิเศษมากๆเลยไม่ใช่หรอ?
ลูกดอกเฉียงไปทางกรอบไม้ที่ล้อมรอบลูกโป่ง... ก่อนจะปักลงบนขอบไม้ทำให้ทุกคนหยุดหายใจ...
อุตส่าห์ปามาจนถึงลูกสุดท้าย... แต่ไม่เข้าหรอนี่...
ทว่าเสียงเป๊าะของลูกโป่งแตกก็ทำให้ทุกคนยิ้มอย่างชื่นชมและโล่งใจแทนเฟลิเซียโน่กับเขา... ซึ่งตอนนี้เฟลิเซียโน่กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆ มีสายตามองอย่างชื่นชมผสมกับความขำของชายเจ้าของร้านมองตาม...
“เป็นอันตกลงตามสัญญา...”
ชายเจ้าของร้านพูดพลางยื่นมือมาจับเชคแฮนด์กับเฟลิเซียโน่... ในขณะทีเฟลิเซียโน่หลุดออกจากสถานะดีใจมาเป็นจริงจังชั่วคราว... ยื่นมือจับกับเจ้าของร้าน...
“เว่~ ขอบคุณมากครับ”
หลังจากนั้นทั้งเขาและอิตาลีก็เดินเลียบริมฝั่งแม่น้ำไปยังที่ๆหนึ่งซึ่งชายชาวอิตาลีบอกว่าเป็นที่พิเศษ ซึ่งกำลังจะพาเขาไป...
ลุดวิกก้มลงมองนาฬิกา ตอนนี้ห้าโมงกว่าๆ คงกลับไปไม่ทันนัดกับอังกฤษ... หวังว่าอังกฤษคงจะไม่รอ...
แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ส่องสะท้อนกับผืนน้ำสร้างความสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกให้กับเมืองเวนิสทำให้บรรยากาศในเมืองเหมือนต้องด้วยมนต์สะกดสะท้อนตึกที่ตกแต่งงดงามด้วยความวิจิตรบรรจงด้วยฝีมือเหล่าศิลปินของประเทศแห่งศิลปะอย่างอิตาลี...
ทั้งคู่เดินด้วยกันไปเรื่อยๆจนถึงสวนๆหนึ่งที่มีประตูรั้วกั้นแบบโบราณ คิดว่าคงเป็นเพราะสวนแห่งนี้มีมานานแล้ว... มีเถาวัลย์เลื้อยรอบสวน กับม้านั่งเหล็กดัดสีขาว... บรรยากาศดูเหมาะสมกับการพาคู่รักมานั่งเล่น...
ชายชาวอิตาลีเปิดประตูรั้วเหล็กที่ไม่ได้ล็อกพาเขาเดินเข้ามายังด้านในของสวนผ่านทางเดินอิฐสีขาวจนถึงศาลาไม้เล็กๆตกแต่งด้วยซุ้มต้นไม้และดอกไม้ประดับ...
เขายืนชื่นชมธรรมชาติและความงามของบรรยากาศรอบตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่คนข้างๆเขาจะทำลายความเงียบ...
“จำได้รึเปล่า ตรงนั้นเคยมีประตูด้วย... ตรงทางออกสวน”
เสียงของอิตาลีกลับดูจริงจังอย่างประหลาด ไม่มีคำอุทานแปลกๆที่เขาฟังจนชินหูแทรกในประโยคทำให้ดูผิดปกติเล็กน้อย... แล้วยังคำพูดแปลกๆของอิตาลีทำเขายืนเงียบๆฟังคนข้างตัวพูดประโยคต่อไป...
“ตรงนี้... ที่ที่เธอเคยจูบฉันครั้งแรกไง...”
สายตาของอิตาลีมองไปยังรอบๆสวนเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่รู้... แทนสรรพนามด้วยคำที่เขาไม่เคยได้ยินอิตาลีพูดกับใคร
“รู้มั้ย... จริงๆแล้ววันนี้ฉันไม่ได้โทรหาเธอเพราะทำพาสต้าไหม้หรอก... แต่เพราะอยากเจอหน้าเธอต่างหาก... เธอบอกให้ฉันรอ ฉันก็รอ แต่ฉันรอมานานมากแล้วรู้มั้ย”
หลังจากจบประโยค เฟลิเซียโน่มองเขาด้วยสายตาจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาคาดหวังอะไรบางอย่างจากเขา... ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร ก่อนที่คนเตี้ยกว่าเขาจะหลับตาลงแล้วเข่ยงเท้าเอาริมฝีปากตัวเองมาสัมผัสกับริมฝีปากของเขา...
เขาทำตาโตอย่างตกใจเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมมือมาโอบรอบคอเค้า... จูบเขาอย่างอ่อนโยน... อย่างที่เขาไม่เคยทำกับใครอย่างนี้มาก่อน...
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก... จูบนี้เป็นจูบแรกของเขา...
มือของเฟลิเซียโน่กระชับรอบคอเขาแน่นขึ้น จูบเขาลึกขึ้น... ในขณะที่เขานิ่ง ไม่ตอบสนองด้วยความช็อค... เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดนี่... ไม่เข้าใจเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น... ไม่เข้าใจว่าคนที่กำลังจูบเขาอยู่ตอนนี้เป็นใคร... แต่สัมผัสนี้ก็คุ้นเคยอย่างประหลาด...
เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการของเขา ชายชาวอิตาลีจก็ผละออกลืมตาจ้องเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย...
คนตรงหน้าขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องเขาด้วยสายตางุนงง... ก่อนจะทำตาโตแล้วมองเขาอย่างผิดหวัง...
นั่นคืออะไร...? จูบเขาแล้วมองเขาอย่างผิดหวัง...? ก่อนที่เขาจะเห็นดวงตาคู่นั้นหลบตาเขาแล้วจ้องไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด...
เขายอมให้ดวงตาคู่นี้มองเขาด้วยความผิดหวัง ดีกว่าทำสายตาเจ็บปวดแบบนั้น... เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม... เขาชอบที่จะเห็นอิตาลีหัวเราะมากกว่าร้องไห้...
ได้แต่ส่งสายตาแสดงความสงสัยให้กับอิตาลีแทนคำพูด... เหมือนอิตาลีจะสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ย...
“ฉะ.. เค้า... สับสนอะไรนิดหน่อย! ขอโทษนะลุดวิก!”
ก่อนที่ลุดวิกจะเอ่ยอะไรต่อเฟลิเซียโน่ก็รีบต่อ...
“เข้าใจผิดอะไรนิดหน่อยน่ะ... แหะๆ ขอโทษจริงๆนะ! อย่าสนใจเลย! ขอโทษด้วยต้องไปละ!”
ชายชาวอิตาลีพูดรัวๆก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากสวน...
ทิ้งให้เขายืนมองตามด้วยความงง... สงสัย... และกังวล...
ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ... ทุกอย่างรอบตัวเขาดูคุ้นเคยอย่างประหลาดๆๆแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมาที่นี่ เคยอยู่ตรงนี้หรือจูบกับเฟลิเซียโน่อย่างที่ชายชาวอิตาลีว่า
เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้... ความรู้สึกทั้งหมดที่เขารู้สึก... ทั้งการที่เขารีบร้อนออกจากที่ทำงานด้วยความเป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชายชาวอิตาลี หรือมีความสุขอย่างประหลาดเมื่ออยู่ข้างเฟลิเซียโน่ ได้เห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะ... รอยยิ้มที่ทำให้เขายิ้มได้ และเสียงหัวเราะที่ทำให้เขาหัวเราะตาม...
รวมถึงความรู้สึกประหลาดๆนี่... ที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจเมื่อถูกมองอย่างผิดหวัง... และรู้สึกอยากกอดคนที่เคยอยู่ข้างๆเขาเมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดนั่น...
และความคิดที่เขาหาเหตุผลมาปฏิเสธความรู้สึกนี้ไม่ได้ว่า... เขาอยากคุยกับอิตาลีอีก... อยากสัมผัสริมฝีปากบางๆนั่นอีกรอบด้วยความหวังว่าบางทีอาจจะทำให้เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี่...
บางที... อย่างเช่นตอนนี้... เขาก็รู้สึกว่าอิตาลีใจร้ายที่ทิ้งเขาไว้กับความงงและความสงสัย...
แต่เหนือความรู้สึกอื่นใดทั้งหมด... เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อิตาลีพูดกับเขาแบบนั้น...
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนก็ตาม...
ณ ห้องทำงานของเยอรมัน... ขณะนั้น...
ชายเจ้าของผลสั้นสีบลอนด์ ดวงตาสีเขียว และคิ้วหนา 5 เส้น อันเป็นเอกลักษณ์กำลังเดินวนรอบห้องทำงานของคนที่เขาต้องการมาติดต่ออย่างหัวเสีย...
นี่มันเลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว... การกระทำของเยอรมันคนนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยซักนิด!
เสียมารยาทจริงๆให้แขกมารอก่อน!
ด้วยความอารมณ์เสียทำให้ อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ บ่นต่อว่าชายเจ้าของห้องไปซักพักก่อนจะสะดุ้งตกใจโดยเสียงเปิดประตูของผู้ช่วยชายชาวเยอรมัน...
“มิสเตอร์เคิร์กแลนด์คะ... คุณลุดวิกบอกว่าไม่สามารถมาตามนัดวันนี้ได้เพราะติดธุระอยู่อิตาลีค่ะ”
ความหงุดหงิดเป็นทุนเดิมผสมกับความโกรธที่ลุดวิก ไวร์ชมิทบังอาจผิดนัดทำให้ชายชาวอังกฤษกำหมัดทุบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว...
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะเป็นเท่าไหร่หรอกนะ! ไอ้พันธมิตรกับประเทศเยอรมันเนี่ย! แต่ผิดนัดแบบนี้มันไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!”
หญิงสาวชาวเยอรมันได้แต่กลืนน้ำลายมองตัวแทนประเทศอังกฤษอย่างไม่รู้จะทำยังไง... เจ้านายของเธอเกิดจะผิดนัดสำคัญขึ้นมาทั้งๆที่ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้...
“แล้วเยอรมันจะต้องชดใช้ กับการไม่เห็นค่าความเป็นพันธมิตรของอังกฤษในวันนี้!”
.
.
.
Chapter III: Emotion and Action
Where have all the good men gone
And where are all the gods?
Where's the street-wise Hercules
To fight the rising odds?
Isn't there a white knight upon a fiery steed?
Late at night I toss and turn and dream of what I need
I need a hero
I'm holding out for a hero 'til the end of the night
He's gotta be strong, he's gotta be fast
And he's gotta be fresh from the fight
Holding Out For A Hero - ELLA MAE BOWEN
ตลอดเวลาที่ผ่านมาชายผู้เป็นตัวแทนประเทศเยอรมันทำงานอย่างไม่เป็นสุข...
ต้นตอสาเหตุของปัญหานั้น ไม่ได้มาจากการทำงานเสร็จไม่ตรงตามเวลา หรือการที่เจ้านายอยากทำในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างปกติ...
สิ่งที่เป็นปัญหาหลักภายในจิตใจของชายชาวเยอรมันวันนี้คือ คนที่ชื่อ เฟลิเซียโน่ วากาส...
หลายวันมานี้ชายชาวอิตาลี่มีความพยายามอย่างยิ่งในการติดต่อกับเขา... ความพยายามที่มีมากเกินจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆ... ทั้งรู้สึกดีใจลึกๆอย่างน่าประหลาด... และ... น่าสงสัย...
เริ่มด้วยการมาหาที่บ้านเพื่อทำพาสต้าในวันที่ 2 ที่เจอกัน
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยพาสต้ากล่องๆที่เจ้าตัวคนให้อ้างว่าทำตามแบบเบ็นโตะของชายชาวญี่ปุ่นผู้เป็นเพื่อนสนิท...
นอกจากนี้ยังมีเพลงอีกหลายเพลงที่อิตาลี่แต่งให้เยอรมันซึ่งทุกครั้งจะเริ่มด้วยคำชม ก่อนจะลงท้ายด้วยคำที่ดูเหมือนจะว่ากัน แล้วจบท้ายด้วยคำชมอีกรอบ... ต่อด้วยจดหมายอีกหลายฉบับกับขนมอีกหลายกล่องซึ่งอิตาลี่ทำส่งมาให้เขาที่บ้านทุกวันด้วยตัวเอง
เขาเคยคิดว่าสิ่งที่อิตาลี่ทำนั้นไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เป็นเพียงแค่ความกระตือรือร้นอย่างไร้เดียงสาของชายชาวอิตาลี่เท่านั้น... ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงนอกเหนือจากนั้น
ทว่าการได้รับที่มากเกินไปกลับทำให้เขาเริ่มคิด... เพราะสิ่งที่เขาทำห้อิตาลี่มีเพียงแต่การให้คำปรึกษาเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องทหาร หรือเรื่องอะไรที่มันจริงจังๆที่มีประโยชน์ต่อประเทศของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น... แต่ที่สิ่งที่อิตาลี่ทำดูเหมือนจะพยายามทำให้เขาประทับใจ...
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาในฐานะที่เป็น “มนุษย์” คนนึง ไม่ใช่ประเทศ...
ความสัมพันธ์นี้ นอกจากกิลเบิร์ตแล้ว... ไม่มีคนอื่นที่เขาจะไว้ใจได้อีก...
ถ้ากิลเบิร์ตอ่านใจเขาได้อาจจะพูดว่า ‘ลุดวิกขี้ระแวง! ดีแต่บ้างาน ไม่เท่เลยซักนิด!’
แต่มีเรื่องที่น่ายินดีคือ กิลเบิร์ต อ่านใจเขาไม่ได้...
นั่นเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดที่เขาสามารถจะหวังได้เพราะหากกิลเบิร์ตอ่านใจเขาได้ เยอรมันคงถึงกาลวิบัติ...
ชายชาวเยอรมันหยุดความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองลงเมื่อมีเสียงจากโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น... ยกหูโทรศัพท์สีดำขึ้นฟังเสียงผู้ช่วยของเขาบอกตารางเวลาและสถานที่ที่เขาต้องไปพลางใช้ดินสอจดโน้ตย่อในเศษกระดาษ
การเป็นประเทศของเขามีข้อดีอยู่อย่างนึงคือไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานตามเวลาประจำ อาจจะอยู่ที่บ้านก็ได้ งานหลักๆก็มีแค่ติดต่อกับประเทศอื่นเท่านั้น... ยกเว้นว่าเจ้านายจะเรียกพบหรือเขาเองอยากจะพบเจ้านาย...
9.15 ประชุมกับบอส
11.20 พักกลางวัน
13.45 เจอออสเตรีย
18.00 อังกฤษนัดพบ
เมื่อเขียนมาจนถึงสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ ชายชาวเยอรมันก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย...
ชายผู้เป็นตัวแทนจาก UK หรือเรียกอย่างเจาะจงว่าอังกฤษไม่ได้ติดต่อกับใครมานาน ที่เขาเดาอาจจะเพราะว่าตอนนี้อังกฤษถือเป็นประเทศที่มีอำนาจทางการทหารมากที่สุดประเทศหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพึ่งประเทศอื่น... แต่การที่อังกฤษติดต่อมาหาเขาก่อนแบบนี้แสดงว่าทางนั้นต้องมีปัญหาอะไรซักอย่างเกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วต้องการความช่วยเหลือซึ่งจะต้องเป็นเรื่องที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่าง อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ ทำเองไม่ได้จนต้องขอความช่วยเหลือ...
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะมีประเทศๆหนึ่งกำลังพัฒนากำลังทหารอย่างรวดเร็วเกินหน้าเกินตาจนมีกองทัพเรือยิ่งใหญ่เทียบเคียงกับประเทศฉายาเจ้าของ 7 มหาสมุทรเก่า... เช่น ประเทศของเขา... เยอรมันนี...
อังกฤษคงอยากจะต่อรองอะไรซักอย่างที่อาจทำให้เขาต้องลดอำนาจของตัวเองลงหรือคงหาสัญญาอะไรบางอย่างมาให้เขาเซ็นเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรอังกฤษได้ หรือไม่ให้เขาขวางทางทำให้อังกฤษเสียผลประโยชน์...
เรื่องนี้ทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนขี้ระแวงที่สุดในโลก.... เพราะขนาดเขายังไม่ได้เริ่มทำอะไร แค่ประเทศพัฒนาเร็วเกินจนต้องขยายอำนาจนิดๆหน่อยๆเท่านั้น... ชายผู้ดีเก่าก็เริ่มอยู่ไม่สุขซะแล้ว...
ถ้ามันจำเป็นจริงๆ... คงห้ามไม่ได้ถ้ามันจะเกิดสงคราม...
ผู้ช่วยของเขาพูดอะไรต่ออีกหน่อยเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ ทว่าเสียงเหมือนเสียงโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งดังขึ้นทำให้คนที่เขาคุยอยู่ด้วยต้องรีบรับโทรศัพท์อีกเครื่องแล้วกลับมาพูดกับเขา
“คุณลุดวิกคะ มิสเตอร์วากาส บอกว่ามีเรื่องด่วนค่ะ”
ลุดวิกรีบกดให้สายโอนเข้ามาที่เครื่องโทรศัพท์ของตัวเองพลางยกมือเสยผมสีบลอนด์ที่ตกลงมาปรกหน้าด้วยความรู้สึกร้อนรนอย่างแปลกๆ เมื่อได้ยินว่าเฟลิเซียโน่มีเรื่องด่วน
ความรู้สึกว่าต้องปกป้องคนคนนี้เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ... อาจจะเป็นแค่เพราะความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ชายชาวอิตาลี่ในตอนนี้หรือเป็นบางอย่างลึกๆในใจที่ทำให้เขาไม่อยากให้เฟลิเซียโน่รู้สึกเป็นทุกข์ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
“ฮัลโหล เฟลิเซียโน่ !”
รีบพูดใส่หูโทรศัพท์ทันทีที่สายโอนมา... แม้ในใจจะคิดพยายามบังคับเสียงไม่ให้ฟังดูเหมือนตะคอก แต่ดูเหมือนว่าคงจะคุมได้แค่บางส่วน เดาจากอาการเงียบไปครู่หนึ่งของอีกฝ่าย...
“ลุดวิก~ ลุดวิก! ช่วยด้วยย! มาหาหน่อย ช่วยเค้าด้วยย!”
หัวใจของชายชาวเยอรมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม... แม้ประโยคที่ฟังจะดูประหลาดๆแต่ความกังวลในน้ำเสียงของอิตาลีทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?!”
ลุดวิกรีบเก็บของพลางเขียนโน้ตให้ผู้ช่วยรู้ว่าเขาไปไหน ในใจคิดข้อแก้ตัวกับเจ้านายตนเองเมื่อกลับมา... เขาเองก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบแต่มีเรื่องด่วน หวังว่าเจ้านายคงจะเข้าใจ...
“อยู่ที่บ้านเว่~ ลุดวิก! ช่วยเค้าด้วยย!”
ตั้งใจจะเอ่ยปากถามต่อแต่อีกฝ่ายกลับวางสายไปอย่างรวดเร็วยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับชายชาวเยอรมัน... ลุดวิกจึงตัดสินใจรีบออกจากที่ทำงานหาไฟร์ทเครื่องบินที่เร็วที่สุดไปเพื่อบินไปยังอิตาลี...
.
.
.
10.45 Venice , Italy
หลังจากใช้เวลานั่งเครื่องมาประมาณ 1 ชั่วโมงบวกเวลาเดินทางอื่นๆเล็กน้อย... ชายชาวเยอรมันก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเดิมที่เขาเพิ่งมาครั้งแรกเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา...
เท่ากับว่านี่เป็นครั้งที่สองที่เขาจะได้เหยียบบนบ้านที่ตกแต่งอย่างงดงามสไตล์โรมันหลังนี้...
ได้กลิ่นแปลกๆจากตัวบ้านทำให้เยอรมันรีบเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปข้างใน... ส่งเสียงหาอิตาลี ทว่าหลังจากเดินผ่านส่วนรับแขกเข้ามาในครัวต้นกำเนิดของกลิ่นก็พบกับซากจานกระเบื้องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้น แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหา เดินเลยมาในส่วนที่กินข้าว จนกระทั่งห้องนั่งเล่นก็ยังไม่พบกับสิ่งมีชีวิตอื่น...
ทีนี้ลุดวิก ไวร์ชมิทเลยยิ่งร้อนใจหนัก... สายตากวาดหาเฟลิเซียโน่พลางตะโกนเรียก
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน...
“...วิก! ...ลุดวิกก! ช่วยด้วยย!”
ซึ่งเป็นเสียงที่คุ้นเคยสำหรับเขา... หลังจากต้องทนฟังชายชาวอิตาลีเรียกชื่อตัวเองด้วยสำเนียงอิตาลีๆนั่นมาตลอดหลายอาทิตย์
รีบวิ่งเข้าไปหาอิตาลีตามเสียงเรียกนั้น ทว่าเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเห็นในสถานการณ์แบบนี้...
ภาพที่ปรากฏในสายตาเขาคือชายชาวอิตาลี่กำลังนั่งลงกับพื้นสนามหญ้าในสวนหลังบ้าน... หัวติดอยู่กับพุ่มไม้ในสวน... คาดว่าผมคงจะไปติดกับกิ่งไม้หรืออะไรซักอย่างแถวๆนั้น ใบหน้าของชายชาวอิตาลีแสดงถึงความเจ็บปวด ใบหน้าที่ดูเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที่นั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของปัญหานี้ในสายตาของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี...
เยอรมันไม่รอช้าคุกเข่าลงให้ใบหน้าของตัวเองอยู่ระดับเดียวกันกับอิตาลี่...
แม้ในใจจะเดือดเต็มที่จากเหตุผลที่ว่าคนตรงหน้าทำให้เขาต้องโดดประชุม เดินทางนั่งเครื่องบินข้ามประเทศอย่างรีบร้อนมาเพื่อปัญหาของคนคนนี้... ซึ่งไม่ได้ด่วนหรือเดือดร้อนที่เขาคิดเลยแม้แต่นิด... แต่ลุดวิกก็ยังเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างใจเย็น...
“นายทำยังไงให้หัวไปติดกับต้นไม้?”
ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ชีวิตเขาจะหนีจากคนประเภทนี้ไม่ได้เลยใช่มั้ย... ทั้งกิลเบิร์ตพี่ชาย แล้วยังมาเฟลิเซียโน่อีก...
ชายชาวอิตาลี่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาของตัวเองได้อีกต่อไป... ร้องไห้ออกมาพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น...
“ก็... เว่~ วันนี้เค้าทำพาสต้าไหม้แหละ... แล้วเสร็จแล้วเค้าก็โทรไปหาพี่ชายโรมาโน่... พี่ชายบอกว่า ไม่ว่างมาหา ให้ไปหาคนอื่นแล้วฝากรถน้ำต้นมะเขือเทศในสวนให้ด้วย”
ลุดวิกฟังคำพูดของเฟลิเซียโน่พลางขมวดคิ้ว... ถ้ารู้ว่าเรื่องจะไร้สาระขนาดนี้เขาคงไม่มาให้เสียเวลา แถมยังต้องโดดประชุมกับบอส... แต่ก็ยังทนฟังอิตาลีพล่าม
“เค้าก็เลยโทรหาลุดวิก... เสร็จแล้วก็เข้ามาในสวน เค้ารดน้ำอยู่ดีๆ ผมก็ไปติดกับพุ่มไม้แหละเว่~”
ยิ่งชายชาวเยอรมันฟังเรื่องที่อิตาลีพูดเท่าไหร่ยิ่งหงุดหงิด... นึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่อิตาลีเล่าก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เขาสงสัย
“แล้ว... นายดึงผมออกมาเองไม่ได้?”
อิตาลีรีบพยักหน้าอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องทำหน้าเบ้เมื่อรู้สึกได้ว่าผมเส้นหนึ่งของตัวเองติดอยู่กับพุ่มไม้...
ถ้าเป็นเส้นอื่นก็คงไม่มีปัญหาหรอก... แต่ผมเส้นที่ไปติดนี่คือผมเส้นเดียวที่ไม้ว่าจะหวีหรือจัดการยังไงก็ยังคงเด้งออกมาจากผมเส้นอื่น
“เว่~ ลุดวิกช่วยเค้าแกะหน่อยได้ป่าว”
คนตัวใหญ่กว่าถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมช่วยแต่โดยดี เริ่มลงมือแกะผมเส้นนั้นออกจากกิ่งไม้... แต่ทันทีที่เขาสัมผัสกับผสเส้นนั้นก็มีเสียงประหลาดๆดังออกมาจากปากอิตาลี...
“อื้อ...”
ประกอบกับหน้าของคนตัวเล็กแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้เยอรมันต้องถามอย่างเป็นห่วง...
“นายไม่สบายรึเปล่า?”
อิตาลีส่ายหน้าเท่าที่จะทำได้เป็นคำตอบพลางขมวดคิ้วอีกทีเมื่อชายชาวเยอรมันแก้ปมอีกปม...
“อื้มม....”
หืม? เฟลิเซียโน่เป็นอะไรน่ะ...? ทว่าชายชาวเยอรมันก็ได้แต่คิดไม่ได้ถามคำถามอื่นไปเมื่อปมปมสุดท้ายถูกแก้จนเสร็จ...
อิตาลี่รีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำทันทีหลังจากนั้น...
ซึ่งชายชาวเยอรมันก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...
หลังจากเหตุการณ์ในสวนหลังบ้านของชายชาวอิตาลี เยอรมันก็กลับเข้ามาในบ้าน มายังภายในครัวเพื่อจัดการกับเศษจานกระเบื้องที่เฟลิเซียโน่ทำแตกไว้ก่อหน้านี้และจัดการกับปัญหาใหญ่ของชาวอิตาลีซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาต้องเดินทางมายังที่แห่งนี้ คือหม้อพาสต้าที่วางอยู่บนเตามีรอยไหม้สีดำอยู่ก้นหม้อ...
เขาจัดการทุกอย่างด้วยความเคยชินจากการจัดการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่กิลเบิร์ตชอบทำไว้...
ที่น่าแปลกคือสิทธิพิเศษที่มีเขาทำความสะอาดบ้านให้ตอนนี้เป็นของอิตาลีด้วย... ทั้งๆที่เขาเพิ่งเจออิตาลีไม่กี่อาทิตย์...
นั่นเป็นหนึ่งในปัญหาในจิตใจเขาทุกวันนี้...
เสียงฝีเท้าของชายเจ้าของบ้านเรียกความสนใจของลุดวิกจาการตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดพื้นขึ้นมามองหน้าเฟลิเซียโน่ พลางยกที่ตักผงขึ้นเทเศษแก้วใส่ถังขยะ ใบหน้าของชายชาวอิตาลีแดงน้อยลงเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อกี๊...
...สงสัยคงเป็นเพราะแดดร้อน...
ชายตัวเล็กส่งรอยยิ้มสดใสให้เค้าก่อนจะเอ่ยต่อตามนิสัยปกติ...
“เว่~ ขอบคุณลุดวิกมากๆเลย ถ้าไม่ได้ลุดวิกเค้าต้องแย่แน่ๆ...”
แค่ผมติดกับพุ่มไม้ กับทำพาสต้าไหม้... ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอิตาลีโดนฝรั่งเศสโจมตีจะเหลือสภาพยังไง... แม้จะคิดในใจอย่างนั้นแต่ชายชาวเยอรมันก็ส่งยิ้มเล็กๆให้ชายชาวอิตาลี...
“เว่~ ไหนๆก็ทำพาสต้าไหม้แล้ว ลุดวิกอยากไปกินข้าวข้างนอกกับเค้ามั้ยเว่~”
เยอรมันยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา... คงจะกลับไปไม่ทันนัดออสเตรีย... จึงพยักหน้าให้อิตาลี่เป็นการตอบรับ เฟลิเซีนโน่ส่งรอยยิ้มแสดงอาการดีใจให้ก่อนจะจับมือเขาคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่พาดอยู่บนเก้าอี้ในห้องครัวนำไปยังประตูบ้าน...
“แถวนี้มีงานโชว์แสดงละครสัตว์ด้วยเว่~ ไปด้วยกันนะๆลุดวิก”
ลุดวิกได้แต่ยิ้มไล่หลังให้ชายชาวอิตาลี หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูให้กับความคิดแบบเด็กๆของคนที่เดินอยู่นำหน้า... แม้เขาจะคิดว่ามันไร้สาระ... เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับการเป็นประเทศเลยซักนิด แต่เมื่ออยู่กับคนข้างหน้าแล้วทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด...
ความคิดที่ว่าจะต้องไปสวนสนุกกับอิตาลีทำให้เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้...
...คนสองคนไปเที่ยวด้วยกัน... เหมือนไปเดทรึเปล่า?...
แต่ก็ต้องรีบปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลต่างๆนานา ตั้งแต่เขากับเฟลิเซียโน่เป็นผู้ชายทั้งคู่จนกระทั่งเขากับอิตาลีเป็นเพื่อนกันอีกทั้งยังมีงานมากมายข้างหน้าที่ต้องรับผิดชอบเขาไม่ควรทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียสมาธิ...
ทว่าความกังวลหรือความคิดวุ่นวายต่างๆของเขาก็ต้องหยุดลงเมื่ออิตาลีหันมาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสที่ดูมีความสุข... ทำให้คนรอบข้างอย่างเขาต้องยิ้มตามไปด้วย...
จิตใจของเขาสงบอย่างประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มของเฟลิเซียโน่... เพราะฉะนั้นเวลานี้เขาก็ไม่ควรจะคิดเรื่องอื่นนอกจากการมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า...
แล้วสมองด้านความจริงจังซีเรียสกับชีวิตและขี้ระแวงของลุดวิกก็ยอมจำนนให้ความรู้สึกมามีอำนาจเหนือกว่าเป็นครั้งแรก...
...ภายใต้ฝีมือการชักนำของชายเจ้าของผมสีน้ำตาลและรอยยิ้มสดใสที่ชื่อ เฟลิเซียโน่ วากาส...
.
.
.
บรรยากาศงานโชว์คณะละครสัตว์เล็กๆที่จัดขึ้นภายในเมืองเวนิส... เมืองติดริมแม่น้ำที่เป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคนตรึงจิตใจของเขาให้จดจ่ออยู่กับงานเทศกาล
หลังจากเข้ามาในบริเวณของงานเฟลิเซียโน่ลากเขาเข้าไปยังซุ้มต่างๆไม่ว่าจะเป็นซุ้มโชว์มายากล เป่าปี่เรียกงูหรือนักกายกรรมต่างๆ เขาซึ่งกึ่งยอมจำนน กึ่งสมัครใจต้องเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปตามถนนอิฐสีน้ำตาลเข้มชมภาพความสวยงามของตึกน้อยตึกใหญ่ซึ่งทอดยาวเรียงรายอยู่ริมฝั่งไปด้วย...
เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสอะไรแบบนี้... อาจเป็นเพราะเขาสูญเสียความทรงจำวัยเด็กของตัวเองไปทำให้จำไม่ได้ว่าสมัยเด็กเขาเคยได้ทำอะไรแบบนี้รึเปล่าจึ่งทำให้ครั้งนี้กลายเป็นครั้งแรก...
ลากเขาไปตามทางเลียบริมฝั่งแม่น้ำซึ่งมีเรือกอนโดร่าจอดอยู่นับสิบลำ เฟลิเซียโน่ถือสายไหมสีชมพูในมือดึงมือเขาไปมาเปลี่ยนที่แล้วที่เล่าจนมาหยุดอยู่กับซุ้มที่มีตุ๊กตาตัวใหญ่ประดับอยู่หน้าร้าน... และช่องเหลี่ยมๆที่มีลูกโป่งอยู่ข้างในกับลูกดอกหลายๆลูก...
คิดว่าต้องใช้ลูกดอกปาลูกโป่งให้แตกแล้วจะได้ตุ๊กตา...
ฟังเสียงแจ๋วๆของเฟลิเซียโน่ถามกติกาเจ้าของร้านเป็นภาษาอังกฤษเนื่องจากคณะๆนี้เดินทางเป็นคาราวานมาจากอังกฤษ กติกาคือมีลูกดอก 5 ลูก ต้องปาให้โดนลูกโป่งครบทั้ง 5 ลูกถึงจะได้ตุ๊กตา...
เป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีสำหรับ ลุดวิก ไวร์ชมิท...
แต่คำถามคือชายหนุ่มอย่างเขากับเฟลิเซียโน่จะเอาตุ๊กตาไปทำอะไร...?
ดูเหมือนว่าเฟลิเซียโน่จะไม่ได้คิดแบบเขา กลับฉุดแขนเขาอย่างรบเร้าให้เล่นเกมนี้...
“ลุดวิกๆ เล่นให้เค้าหน่อยจิ...”
เขากำลังจะถามด้วยความสงสัยว่าเฟลิเซียโน่จะเอาตุ๊กตาไปทำไม แต่ถูกขัดขึ้นด้วยประโยคต่อมาของเฟลิเซียโน่ที่พูดกับเจ้าของร้าน...
“ถ้าผู้ชายคนนี้ปาเข้าเป้าได้ครบ 10 ดอกปีหน้าจะกลับมาอีกรึเปล่า?”
เป็นครั้งแรกของวันที่เขาได้เห็นดวงตาจริงจังสีน้ำตาลทองนั่นอย่างชัดๆ... แม้จะเห็นชัดแต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตกลงแล้วนัยน์ตาดวงนั้นสีอะไรกันแน่ระหว่าง เหลือง น้ำตาล เขียว หรือทอง...
ประกอบกับน้ำเสียงจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เขาฟังบทสนทนาของชายเจ้าของร้านกับคนข้างตัวเขาอย่างสนใจ
“เด็กๆที่นี่จะได้สนุกกับงานเทศกาลอีก... ยิ่งปีหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างเว่~ ถ้าคุณเจ้าของร้านกลับมาอีกเด็กๆคงจะดีใจมากต่อให้มีสงครามเกิดขึ้น...”
ทั้งเขาและเจ้าของร้านมองไปที่ชายชาวอิตาลีอย่างสนใจ... คนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรนอกจากพาสต้าอย่างอิตาลี่รู้ได้ยังไงว่าอาจจะมีสงคราม? หรือถ้าแม้แต่คนอย่างอิตาลียังสัมผัสถึงบรรยากาศนี้ได้แสดงว่าเขาคงไม่มีหวังกับสันติภาพในอนาคต?
“แต่ว่าเดินทางข้ามประเทศต้องใช้เงินเยอะ... ไม่แน่ว่าปีหน้าจะทำกำไรได้ซักเท่าไหร่ถ้าเกิดสงครามจริงๆ”
เฟลิเซียโน่ทำหน้ายุ่งจากการโดนขัดใจแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อรองกับเจ้าของร้าน...
“เว่~ รู้นะว่าคุณเจ้าของร้านเป็นเจ้าของคาราวานนี้... มาพนันกันมั้ยล่ะเว่~ ให้ผู้ชายคนนี้โยนปา 20 ดอกตรงหมดทุกดอกบวกกับเงินอีกหลายพันลิร่า (ค่าเงินอิตาลีก่อนเป็นยูโร) คุณเจ้าของร้านจะต้องกลับมาปีหน้า”
เจ้าของร้านทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต่อรอง...
“จำนวนเงินน่ะไม่มีปัญหา... แต่การเดินทางมันต้องเหนื่อยต้องเสียเวลา... 30 ดอกเป็นไง?”
...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเข้าไปเกี่ยวในการพนันครั้งนี้... ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลยนะเนี่ย... ชายชาวเยอรมันขยับตัวอย่างอึดอัด...
“เว่~ ต่อให้ต้องปาลูกดอกให้หมดแผงลุดวิกก็ทำได้อยู่แล้ว! จริงมั้ยลุดวิก?”
เฟลิเซียโน่หันมาถามเขาด้วยแววตามั่นใจเต็มที่... เขาได้แต่กลืนน้ำลายอย่างลำบากใจ... แม้จะมั่นใจในฝีมือตัวเองแต่โอกาสพลาดมันก็มีอยู่... ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลยจริงๆ...
คาดว่าชายเจ้าของร้านคงตกลงตั้งแต่รู้จำนวนเงินที่ชายชาวอิตาลีจะจ่ายแล้ว แต่ด้วยความต้องการจะแกล้งเขาหรืออยากรู้ว่าเขามีดีขนาดไหนทำให้ชายเจ้าของร้านหยิบลูกดอกให้เขาตามจำนวนที่จะต้องปา... ลุดวิกมองลูกดอกอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาตั้งสมาธิ...
เอาน่า... แค่ลูกดอกไม่กี่ลูก...
จะนึกว่าลูกโป่งเป็นหน้ากิลเบิร์ตแล้วปาก็แล้วกัน...
เฟลิเซียโน่ที่ยืนอยู่ข้างเขาคอยเชียร์เขาไม่ขาดปาก... ส่งเสียงดีใจทุกลูกที่เขาปาเข้าเป้าพลางเอ่ยปากชมว่า “เว่~ลุดวิกเก่งจังเลย” “เว่~ลุดวิกเก่งที่สุดเลย” “เว่~ลุดวิกเท้เท่ห์” อย่างนั้นอย่างนี้อดทำให้เขายิ้มไปด้วยปาไปด้วยไม่ได้...
ปาไปประมาณ 10 กว่าลูกเริ่มเมื่อย... ส่งสายตาหาเจ้าของร้านเป็นเชิงถามว่าพอได้รึยัง...
แต่สายตาที่เจ้าของร้านส่งกลับมากลับดูโหดเหี้ยมอย่างไม่น่าเชื่อ... และสองพยางค์ที่เอ่ยออกมาว่า “ไม่ได้” กลับดูสะใจอย่างประหลาด...
เมื่อถึงลูกที่ 20 เขาก็เริ่มเมื่อยอย่างจริงจัง... ในขณะที่เฟลิเซียโน่ยังส่งเสียงระดับเดิมอย่างไม่ได้เหนื่อยเลยซักนิดในขณะที่เจ้าของร้านเริ่มมองเขาอย่างชื่นชม...
เขายอมให้เฟลิเซียโน่เลิกพูดชมเขา หรือเจ้าของร้านจ้องเขาด้วยสายตารังเกียจยังดีกว่าให้เขาปาต่อ...
ทว่าเขาก็ยังปาต่อไปเรื่อยๆตามเสียงเชียร์ของเฟลิเซียโน่...
จนกระทั่งดอกสุดท้าย...
ลูกดอกพุ่งเป้าไปที่ลูกโป่งอย่างเหมาะเจาะ ในความคิดของทุกคนที่ตอนนี้คิดว่าต้องเข้าแน่ๆ คนมุงเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ลูกที่ 30 เป็นต้นไป... ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อบมพัดให้ลูกดอกเฉียงจากทิศทางไปเล็กน้อย...
เขาได้ยินเสียงเฟลิเซียโน่สดหายใจลึกๆเข้าปอดทำให้เขาหัวเราะอย่างขำๆในขณะที่ลูกดอกซึ่งเฉียงไปจากทิศทางเดิมห่างไกลจากลูกโป่งไปเรื่อยๆ...
ถึงแม้ลูกนี้จะไม่เข้าแต่สำหรับเขาก็ถือว่าเท่านี้ก็คุ้มแล้ว... กับการได้ยินเสียงเชียร์ของอิตาลีข้างๆกาย... ใบหน้ามีความสุขกับรอยยิ้มของเฟลิเซียโน่...
อย่างน้อยเขาก็มีค่าสำหรับใครซักคน... ความรู้สึกนี้พิเศษมากๆเลยไม่ใช่หรอ?
ลูกดอกเฉียงไปทางกรอบไม้ที่ล้อมรอบลูกโป่ง... ก่อนจะปักลงบนขอบไม้ทำให้ทุกคนหยุดหายใจ...
อุตส่าห์ปามาจนถึงลูกสุดท้าย... แต่ไม่เข้าหรอนี่...
ทว่าเสียงเป๊าะของลูกโป่งแตกก็ทำให้ทุกคนยิ้มอย่างชื่นชมและโล่งใจแทนเฟลิเซียโน่กับเขา... ซึ่งตอนนี้เฟลิเซียโน่กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆ มีสายตามองอย่างชื่นชมผสมกับความขำของชายเจ้าของร้านมองตาม...
“เป็นอันตกลงตามสัญญา...”
ชายเจ้าของร้านพูดพลางยื่นมือมาจับเชคแฮนด์กับเฟลิเซียโน่... ในขณะทีเฟลิเซียโน่หลุดออกจากสถานะดีใจมาเป็นจริงจังชั่วคราว... ยื่นมือจับกับเจ้าของร้าน...
“เว่~ ขอบคุณมากครับ”
หลังจากนั้นทั้งเขาและอิตาลีก็เดินเลียบริมฝั่งแม่น้ำไปยังที่ๆหนึ่งซึ่งชายชาวอิตาลีบอกว่าเป็นที่พิเศษ ซึ่งกำลังจะพาเขาไป...
ลุดวิกก้มลงมองนาฬิกา ตอนนี้ห้าโมงกว่าๆ คงกลับไปไม่ทันนัดกับอังกฤษ... หวังว่าอังกฤษคงจะไม่รอ...
แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ส่องสะท้อนกับผืนน้ำสร้างความสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกให้กับเมืองเวนิสทำให้บรรยากาศในเมืองเหมือนต้องด้วยมนต์สะกดสะท้อนตึกที่ตกแต่งงดงามด้วยความวิจิตรบรรจงด้วยฝีมือเหล่าศิลปินของประเทศแห่งศิลปะอย่างอิตาลี...
ทั้งคู่เดินด้วยกันไปเรื่อยๆจนถึงสวนๆหนึ่งที่มีประตูรั้วกั้นแบบโบราณ คิดว่าคงเป็นเพราะสวนแห่งนี้มีมานานแล้ว... มีเถาวัลย์เลื้อยรอบสวน กับม้านั่งเหล็กดัดสีขาว... บรรยากาศดูเหมาะสมกับการพาคู่รักมานั่งเล่น...
ชายชาวอิตาลีเปิดประตูรั้วเหล็กที่ไม่ได้ล็อกพาเขาเดินเข้ามายังด้านในของสวนผ่านทางเดินอิฐสีขาวจนถึงศาลาไม้เล็กๆตกแต่งด้วยซุ้มต้นไม้และดอกไม้ประดับ...
เขายืนชื่นชมธรรมชาติและความงามของบรรยากาศรอบตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่คนข้างๆเขาจะทำลายความเงียบ...
“จำได้รึเปล่า ตรงนั้นเคยมีประตูด้วย... ตรงทางออกสวน”
เสียงของอิตาลีกลับดูจริงจังอย่างประหลาด ไม่มีคำอุทานแปลกๆที่เขาฟังจนชินหูแทรกในประโยคทำให้ดูผิดปกติเล็กน้อย... แล้วยังคำพูดแปลกๆของอิตาลีทำเขายืนเงียบๆฟังคนข้างตัวพูดประโยคต่อไป...
“ตรงนี้... ที่ที่เธอเคยจูบฉันครั้งแรกไง...”
สายตาของอิตาลีมองไปยังรอบๆสวนเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่รู้... แทนสรรพนามด้วยคำที่เขาไม่เคยได้ยินอิตาลีพูดกับใคร
“รู้มั้ย... จริงๆแล้ววันนี้ฉันไม่ได้โทรหาเธอเพราะทำพาสต้าไหม้หรอก... แต่เพราะอยากเจอหน้าเธอต่างหาก... เธอบอกให้ฉันรอ ฉันก็รอ แต่ฉันรอมานานมากแล้วรู้มั้ย”
หลังจากจบประโยค เฟลิเซียโน่มองเขาด้วยสายตาจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาคาดหวังอะไรบางอย่างจากเขา... ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร ก่อนที่คนเตี้ยกว่าเขาจะหลับตาลงแล้วเข่ยงเท้าเอาริมฝีปากตัวเองมาสัมผัสกับริมฝีปากของเขา...
เขาทำตาโตอย่างตกใจเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมมือมาโอบรอบคอเค้า... จูบเขาอย่างอ่อนโยน... อย่างที่เขาไม่เคยทำกับใครอย่างนี้มาก่อน...
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก... จูบนี้เป็นจูบแรกของเขา...
มือของเฟลิเซียโน่กระชับรอบคอเขาแน่นขึ้น จูบเขาลึกขึ้น... ในขณะที่เขานิ่ง ไม่ตอบสนองด้วยความช็อค... เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดนี่... ไม่เข้าใจเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น... ไม่เข้าใจว่าคนที่กำลังจูบเขาอยู่ตอนนี้เป็นใคร... แต่สัมผัสนี้ก็คุ้นเคยอย่างประหลาด...
เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการของเขา ชายชาวอิตาลีจก็ผละออกลืมตาจ้องเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย...
คนตรงหน้าขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องเขาด้วยสายตางุนงง... ก่อนจะทำตาโตแล้วมองเขาอย่างผิดหวัง...
นั่นคืออะไร...? จูบเขาแล้วมองเขาอย่างผิดหวัง...? ก่อนที่เขาจะเห็นดวงตาคู่นั้นหลบตาเขาแล้วจ้องไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด...
เขายอมให้ดวงตาคู่นี้มองเขาด้วยความผิดหวัง ดีกว่าทำสายตาเจ็บปวดแบบนั้น... เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม... เขาชอบที่จะเห็นอิตาลีหัวเราะมากกว่าร้องไห้...
ได้แต่ส่งสายตาแสดงความสงสัยให้กับอิตาลีแทนคำพูด... เหมือนอิตาลีจะสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ย...
“ฉะ.. เค้า... สับสนอะไรนิดหน่อย! ขอโทษนะลุดวิก!”
ก่อนที่ลุดวิกจะเอ่ยอะไรต่อเฟลิเซียโน่ก็รีบต่อ...
“เข้าใจผิดอะไรนิดหน่อยน่ะ... แหะๆ ขอโทษจริงๆนะ! อย่าสนใจเลย! ขอโทษด้วยต้องไปละ!”
ชายชาวอิตาลีพูดรัวๆก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากสวน...
ทิ้งให้เขายืนมองตามด้วยความงง... สงสัย... และกังวล...
ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ... ทุกอย่างรอบตัวเขาดูคุ้นเคยอย่างประหลาดๆๆแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมาที่นี่ เคยอยู่ตรงนี้หรือจูบกับเฟลิเซียโน่อย่างที่ชายชาวอิตาลีว่า
เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้... ความรู้สึกทั้งหมดที่เขารู้สึก... ทั้งการที่เขารีบร้อนออกจากที่ทำงานด้วยความเป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชายชาวอิตาลี หรือมีความสุขอย่างประหลาดเมื่ออยู่ข้างเฟลิเซียโน่ ได้เห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะ... รอยยิ้มที่ทำให้เขายิ้มได้ และเสียงหัวเราะที่ทำให้เขาหัวเราะตาม...
รวมถึงความรู้สึกประหลาดๆนี่... ที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจเมื่อถูกมองอย่างผิดหวัง... และรู้สึกอยากกอดคนที่เคยอยู่ข้างๆเขาเมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดนั่น...
และความคิดที่เขาหาเหตุผลมาปฏิเสธความรู้สึกนี้ไม่ได้ว่า... เขาอยากคุยกับอิตาลีอีก... อยากสัมผัสริมฝีปากบางๆนั่นอีกรอบด้วยความหวังว่าบางทีอาจจะทำให้เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี่...
บางที... อย่างเช่นตอนนี้... เขาก็รู้สึกว่าอิตาลีใจร้ายที่ทิ้งเขาไว้กับความงงและความสงสัย...
แต่เหนือความรู้สึกอื่นใดทั้งหมด... เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อิตาลีพูดกับเขาแบบนั้น...
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนก็ตาม...
ณ ห้องทำงานของเยอรมัน... ขณะนั้น...
ชายเจ้าของผลสั้นสีบลอนด์ ดวงตาสีเขียว และคิ้วหนา 5 เส้น อันเป็นเอกลักษณ์กำลังเดินวนรอบห้องทำงานของคนที่เขาต้องการมาติดต่ออย่างหัวเสีย...
นี่มันเลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว... การกระทำของเยอรมันคนนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยซักนิด!
เสียมารยาทจริงๆให้แขกมารอก่อน!
ด้วยความอารมณ์เสียทำให้ อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ บ่นต่อว่าชายเจ้าของห้องไปซักพักก่อนจะสะดุ้งตกใจโดยเสียงเปิดประตูของผู้ช่วยชายชาวเยอรมัน...
“มิสเตอร์เคิร์กแลนด์คะ... คุณลุดวิกบอกว่าไม่สามารถมาตามนัดวันนี้ได้เพราะติดธุระอยู่อิตาลีค่ะ”
ความหงุดหงิดเป็นทุนเดิมผสมกับความโกรธที่ลุดวิก ไวร์ชมิทบังอาจผิดนัดทำให้ชายชาวอังกฤษกำหมัดทุบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว...
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะเป็นเท่าไหร่หรอกนะ! ไอ้พันธมิตรกับประเทศเยอรมันเนี่ย! แต่ผิดนัดแบบนี้มันไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!”
หญิงสาวชาวเยอรมันได้แต่กลืนน้ำลายมองตัวแทนประเทศอังกฤษอย่างไม่รู้จะทำยังไง... เจ้านายของเธอเกิดจะผิดนัดสำคัญขึ้นมาทั้งๆที่ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้...
“แล้วเยอรมันจะต้องชดใช้ กับการไม่เห็นค่าความเป็นพันธมิตรของอังกฤษในวันนี้!”
.
.
.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น