คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter II : Make You Feel My Love
Chapter II: Make you feel my love
When the evening shadows and the stars appear,
And there is no one there to dry your tears,
I could hold you for a million years
To make you feel my love.
I know you haven't made your mind up yet,
But I would never do you wrong.
I've known it from the moment that we met,
No doubt in my mind where you belong.
Make you feel my love – Adele
ในสถานที่ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สีเขียว ที่ศาลาเล็กๆ ตกแต่งด้วยศิลปะแบบที่ปู่โรมันยังหลงเหลือไว้ให้เขาพอทำตามแบบได้อยู่บ้าง ตรงกลางทางดินอิฐสีขาว...
ภาพเหตุการณ์นั้น ฉายซ้ำในหัวเหมือนหนังที่ฉายในโรงหนัง วนไปวนมาอยู่กับฟิล์มม้วนเดิม... ฉายสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถลบออกไปจากทั้งความคิดและใจของเขาได้...
“แล้วเจอกันนะ อิตาลี่! แล้วจะกลับมาเยี่ยมใหม่นะ! ตอนสงครามนี้เลิก...”
มือทั้งสองของเขากุมไม้กวาดอันใหญ่ เขาอยู่ในชุดกระโปรงเมดสีเขียวอ่อน มีผ้าโผกผมสีเดียวกัน กำลังมองตรงไปยังเด็กชายคนหนึ่งในชุดสีน้ำเงินเข้มใส่หมวกเข้าชุดกันซึ่งกำลังส่งรอยยิ้มที่หาได้ยากของเขามาพร้อมกับโบกมือลา...
“อื้ม! ฉันจะรอนะ! แล้วก็จะทำขนมเยอะๆรอเธอกลับมา!”
สัมผัสริมฝีปากของเด็กชายผมสีทองยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก... ความรู้สึกดีหลังจากที่เขาลืมตาขึ้นมาพบกับแววตาจริงจังที่สื่อถึงความรัก ความจริงใจ อย่างที่หาไม่ได้จากคนอื่นทำให้เขาต้องตะโกนย้ำประโยคของตัวเอง
“ เราจะได้กลับมาเจอกันแน่ๆ!”
แย้มรอยยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาให้กับคนที่กำลังเดินตามทหารของประเทศตัวเองไปยังประตูทางออก... รู้สึกว่าดวงตาร้อนๆเหมือนจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้ เตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกับคนคนนั้น... ไม่ใช่การลาครั้งสุดท้ายแบบจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก แต่เป็นการบอกลาเพื่อที่จะได้พบกันใหม่ในวันข้างหน้า...
“... เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน ฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้…”
แม้เขาจะเอ่ยปะโยคเมื่อกี๊ด้วยน้ำเสียงที่เบาลงจนดูเหมือนพูดกับตัวเอง ทว่าดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามยังคงได้ยินประโยคนั้นจึงตะโกนตอบด้วยประโยคที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินใครพูดกับเขา... คำพูดที่ยังคงตรึงความคิดของเขาให้จมอยู่กับคนคนนี้ทั้งๆที่เวลาผ่านมานานหลายร้อยปี...
“ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ศตวรรษ... เธอจะเป็นคนเดียวที่ฉันรักมากที่สุดบนโลกใบนี้...”
.
.
.
บางที ชายหนุ่มผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า กับใบหน้าที่คล้ายๆกับคนรักเก่าของเขาอาจจะเป็นคนคนนั้นที่เขารออยู่เสมอ...
ความหวังที่เหมือนกับเขากำลังหลงอยู่ในความฝันมากกว่าจะเป็นความจริงขึ้นมา...
หากมีโอกาสแม้จะน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่รอคอยมาตลอด จะมีอะไรให้เสียใจได้อีก... นอกเหนือจากความผิดหวัง และความทรมาณจากการรอคอย...
เช้านี้... ตัวแทนแห่งประเทศเยอรมันนีตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกใจจากความฝัน ซึ่งไม่ว่าเขาจะฝันเรื่องที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเดิมๆไปกี่ครั้งความรู้สึกแรกที่เขารู้สึกหลังลืมตาตื่นขึ้นคือความตกใจหรือความช็อค แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ว่าเขาเพิ่งฝันเกี่ยวกับอะไรไปก็ไม่เคยจะกู้เอาความฝันนั้นกลับคืนมาได้ สิ่งเดียวที่เขาจำได้หลังจากตื่นนอนคือความรู้สึกตกใจจนตื่นเท่านั้น...
เดาว่ามันคงเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้ ความตาย หรืออะไรซักอย่างเกี่ยวกับสงคราม...
...ว่าจะคุยกับกิลเบิร์ตเรื่องนี้แต่ก็มีงานทุกที...
ลุกขึ้นจากเตียงตามปกติทว่ากลับมีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นต่างจากวันธรรมดาๆทั่วไปของเขา...
“กิ๊งก่อง...”
เสียงกริ่งประตูบ้านดังขึ้นทำให้เขาโอดครวญอย่างหงุดหงิด...
หวังว่าคงจะไม่ใช่กิลเบิร์ตเมาค้างแล้วเพิ่งกลับบ้าน... พี่ชายเขาน่าจะรู้ดีกว่าการทำให้หงุดหงิดตอนเช้า...
เดินมาถึงประตูหน้าบ้านแล้วเปิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ทำให้เขาต้องถ่อเดินลงมาจากห้องนอนทั้งๆที่ยังเช้าอยู่...
ทว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหลังประตูกลับเป็นบุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอในวันนี้... หรือเร็วๆนี้... เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่พบกันคือ เมื่อวาน...
ชายผมสีน้ำตาลอ่อน ยืนส่งรอยยิ้มกว้างไปจนถึงตาให้เขา... มาในสภาพเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อหนาวบางสไตล์ที่นิยมอยู่ในขณะนี้กับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังหัวแหลม... ดูเหมือนจะมาเที่ยวมากกว่าจะมาติดต่องานกับตัวแทนประเทศอื่น...
“อรุณสวัสดิ์ ลุดวิก~”
เขายืนนิ่ง ไม่ตอบสนองปฏิกิริยาให้กับประโยคของคนที่ยืนฝั่งตรงข้ามของประตู ทำให้ชายชาวอิตาลี่ต้องเอ่ยปากพูดต่อ
“เว่~ ขอเข้าไปข้างในได้มั้ยอ่า มันหนาวอ่า...”
ลุดวิก ไวร์ชมิท หลีกทางให้แขกผู้มาเยือนเข้ามาในบ้าน... โดยยังคงงงกับการกระทำของตัวเองอยู่ เพราะปกติแล้วหากเป็นประเทศอื่นมาเยี่ยมเขาในลักษณะแบบนี้ เขาคงจะถามถึงสาเหตุการมาก่อนจะอนุญาตให้เข้าบ้าน... โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวอย่างนี้... แต่ดูเหมือนอิตาลี่จะเป็นข้อยกเว้น...
“ลุดวิกอยากกินพาสต้าตอนเช้ารึเปล่า? ตั้งแต่ออกจากบ้านยังไม่ได้กินอะไรเลย ขอใช้ครัวได้มั้ยอ่า?”
คนตัวเล็กกว่าเอียงคอถามอย่าง... น่ารัก... ไม่... อย่างประหลาดๆ ในความคิดของเยอรมัน...
ทั้งการกระทำและคำพูด... น่าสงสัยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาในครั้งนี้คืออะไร...
บางที... นี่อาจจะเป็นการทำให้เขาไว้ใจจนตายใจก่อนแล้วค่อยโจมตีเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวทีหลัง
ทั้งท่าทางประหลาดๆนั่น แล้วก็รอยยิ้มสดใสอาจเอาไว้ใช้กลบเกลื่อน บังหน้าไม่ให้เขาเห็นตัวตนที่โหดร้ายแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายใน...
ยังไงอิตาลี่ก็คือสายเลือดของจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่! ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชาวเยอรมันก็ใช้มือจับไหล่ของอิตาลี่เหวี่ยงไปยังกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะใช้แขนสองข้างเท้าเหนือหัวคนตัวเล็กกว่ากันไม่ให้หนีไปไหนได้...
อิตาลี่ช็อค... ลืมตาเผยดวงตาสีน้ำตาลออกทองๆให้เห็นเป็นครั้งแรกของวัน... พร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ว่า
“ล.. ลุดวิก... ค..เค้าทำไรผิดหรอ?”
ลุดวิกยังคงยืนนิ่งในท่าเดิมเพื่อกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา...
ทว่าเมื่อเห็นดวงตาปริ่มน้ำตาของอิตาลี่แล้วก็ไม่สารมารถยืนหยัดความจริงจังได้อีกต่อไป... จำใจถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแต่แน่นอน ยังคงสงสัยในสาเหตุของการมาเยือนของอิตาลี่จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นาย... มาหาฉันทำไม? มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
คนตัวเล็กกว่าแย้มรอยยิ้มสดใสให้เห็นอีกครั้ง ก่อนจะตอบ
“เว่~ ก็ไหนๆเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว ก็เลยอยากรู้จักลุดวิกให้มากขึ้นไง เว่~”
ชาวชาวเยอรมันจ้องตรงไปยังดวงตาของชาวชาวอิตาลี่เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่อาจแอบแฝงอยู่ในคำพูดที่ดูไร้เดียงสานั้น ทว่ากลับพบเพียงแค่ความจริงใจ และความกระตือรือร้นเท่านั้นที่สื่อออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลทอง...
คำว่า เพื่อน สะกิดใจคนตัวแทนประเทศเยอรมัน...
เพื่อน... งั้นหรอ? เขาเองก็ไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน... ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ มีปรัสเซียดูแลเขามา ก็มีอิตาลี่คนนี้นี่แหละที่พูดว่าเป็นเพื่อนเขาคนแรก...
ลุดวิกถอนหายใจอย่างยอมแพ้กับความรอบคอบและความขี้ระแวงของตัวเอง... อนุญาตให้แขกผู้มาเยือนตอนเช้าทำอะไรได้ตามใจชอบ
“ก็ได้... อย่าทำครัวเลอะล่ะ”
ชายชาวอิตาลี่พยักหน้ารับคำก่อนจะยกขึ้นมาตะเบ๊ะเหมือนทหารอย่างตลกๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“รับทราบครับ! ท่านเยอรมัน!”
.
.
.
เสียงดังเอะอะโวยวายในครัวในเวลาที่ติดจะเช้าเกินไปสำหรับชายชาวเยอรมัน... หรือจะเรียกให้เฉพาะเจาะจงคือปรัสเซีย ทำให้ท่านกิลเบิร์ตผู้ยิ่งใหญ่ต้องตื่นจากนิทราอันสุขสงบ...
ใครบังอาจมารุกรานบ้านของเขาแต่เช้ากัน! ใครจะทำให้ลุดวิกเอะอะโวยวายได้นอกจากเขาอีก... เท่าที่เขาเห็นมา มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น... ถ้าเป็นเจ้าแว่นนักเปียโนนั่นมีแต่จะเข้าขากันได้ดีนั่งจิบชากันอย่างสงบสุขเท่านั้นแหละ...
ด้วยความสงสัยทำให้ปรัสเซียลากสังขารตัวเองจากห้องนอนลงมายังห้องครัว... ทำให้เขาเห็นสิ่งที่ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของตัวเอง...
เฟลิเซียโน่ วากาส... ตัวแทนอิตาลี่เหนือ... ประเทศที่เพิ่งรวมชาติที่หมาดๆชื่อเต็มๆว่า สาธารณรัฐอิตาลี
ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นหน้าเด็กคนนี้คือวันที่เขารับลุดวิกมาเลี้ยงเป็นวันแรก... และเท่าที่เขาจำได้ สองคนนี้ยังไม่เคยเจอกันเลยจนกระทั่งเมื่อวาน...
ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? หรือน้องชายเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ... แต่น้องชายเขาไม่น่าใช่คนแบบนั้นนี่นา... แต่อุตส่าห์มีความเกี่ยวข้องเป็นน้องชายของท่านกิลเบิร์ต ออวซั่ม ไวร์ชมิท แน่นอนเชื้อต้องไม่ทิ้งแถว... แต่มาหาที่บ้านตอนเช้าแบบนี้...
แล้วความคิดของกิลเบิร์ตก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นชายชาวอิตาลี่ส่งเสียงทักทายพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้
“อรุณสวัสดิ์~! ปรัสเซีย!”
“โย่! อรุณสวัสดิ์ อิตาลี่!”
เขาส่งสียงตอบอิตาลี่ไป พร้อมกับเดินไปหยิบหนมปังที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์ในครัวเข้าปาก ไม่สนใจกับคำพูดพึมพำของน้องชายที่บ่นว่า มันควรจะเป็น สวัสดีตอนกลางวัน มากกว่าสวัสดีตอนเช้า...
“นายสองคน เป็นแฟนกันแล้วใช่ป่ะ เคะเซะเซะเซะ เก่งมากไอ้น้องชาย เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ”
ประโยคที่จู่ๆปรัสเซียก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น เรียกเลือดทั้งหมดจากร่างกายของลุดวิกให้ขึ้นมาอยู่บนใบหน้า... ในขณะที่ชายชาวอิตาลี่กลับหยิบจานออกมาจากตู้ตักพาสต้าใส่จานอย่างไม่สะทกสะท้าน... อาจจะเป็นเพราะอิตาลี่มัวแต่ตั้งใจทำกับข้าวจนไม่ได้ยินคำพูดของปรัสเซีย หรืออาจจะเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ในจิตใจที่ดูเหมือนไร้เดียงสานั้นจริงๆก็เป็นได้...
“ม.. มมะ ไม่ใช่ซักหน่อย!”
เยอรมันคนน้องต้องรีบหายจากอาการอายมาแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก... คนเจอกันวันเดียวจะเป็นแฟนกันได้ยังไง พี่ชายเขาใช้อะไรคิดกัน!
“อ่าว งั้นอิตาลี่มาทำอะไรแต่เช้าล่ะ”
กิลเบิร์ตพูดพลางงับขนมปังเข้าปากอีกคำแล้วตัดพ้อ
“แล้วพวกนายก็ดูเหมือนสนิทกันนิ่ ปกตินายไม่เคยโวยวายใครนอกจากฉัน แล้วนี่มันอะไรกัน? ยังจะมีความลับกับท่านกิลเบิร์ตพี่ชายสุดออวซั่มได้ลงคอ”
ก่อนจะส่งรอยยิ้มกวนๆให้น้องชาย ชื่นชมผลงานที่ทำให้น้องชายตัวเองหน้าแดงอย่างภาคภูมิใจ พลางสังเกตสีหน้าที่ดูเหมือนดีใจของอิตาลี่กับประโยคของเขาที่บอกว่าปกติลุดวิกไม่เคยโวยวายใครนอกจากเขา...
“เปล่าซักหน่อย! ก็อิตาลี่มาใช้ครัวฉันแล้วทำเลอะ! ก็เหมือนตอนนายทำนั่นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษซักหน่อย”
กิลเบิร์ตสังเกตเห็นแววตาที่เศร้าลงเล็กน้อยของอิตาลี่จากคำว่า “ไม่ได้พิเศษอะไรซักหน่อย” จากปากของลุดวิก...
ชักน่าสนใจแฮะ... เคะเซะเซะเซะ... น้องชายเขานี่เสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย...
น่าเสียดายจริงๆ... ถ้าเขาไม่ได้ทะเลาะกับฟรานซิสหรืออันโตนิโอไม่ได้อยู่ในช่วงขาลงจากสงครามกลางเมือง รวมกัน 3 คนคงมีอะไรสนุกๆให้ทำอีกเยอะ...
กิลเบิร์ตคิดในใจอย่างอารมณ์ดี... ก่อนจะหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่แขวนอยู่ใกล้ๆทางเข้าบ้านเพื่อออกจากบ้านด้วยความไม่อยากขัดจังหวะน้องชายกับแขกผู้มาเยือน... ทว่ากลับชะงักลงด้วยคำพูดประโยคถัดมาของลุดวิก
“กิลเบิร์ต พี่มีนัดกับรัสเซียวันนี้ไม่ใช่หรอ? นี่มันเที่ยงแล้วนะ... ไม่ใช่นัดกินข้าวกลางวันหรอกหรอ”
ปฏิกิริยาจากสมองของกิลเบิร์ตทันทีที่ประโยคของลุดวิกจบลงคือ
โอ้วว ชิทท!! นัดกินข้าวกับ อีวาน บรานกินส์กี้ นี่มันนรกชัดๆ!
ตั้งแต่เซ็นสัญญาครั้งแรกจวบจนปัจจุบันทั้งๆที่เขาจำได้ว่าการนัดกินข้าวระหว่างตัวแทนของประเทศทุกสัปดาห์ไม่ได้อยู่ในสัญญาที่เขาเซ็น ทว่าด้วยคำพูดบังคับแกมข่มขู่ของรัสเซียทำให้ปรัสเซียปฏิเสธไม่ได้จนต้องไปกินข้าวทุกอาทิตย์เป็นธรรมเนียม...
ทุกอาทิตย์...
รัสเซียกับเยอรมันใกล้กันมากเลยนะ...
เมื่อคิดได้ดังนั้น กิลเบิร์ตจึงรีบคว้ากุญแจรถสตาร์ทเครื่องออกจากบ้านโดยมีจุดมุ่งหมายคือรัสเซีย...
ในใจคิดถึงคำพูดประโยคที่รัสเซียพูดกับเขาในการนัดครั้งสุดท้าย
“ขอบคุณที่มาตรงตามเวลานัดวันนี้นะครับ อาทิตย์หน้าพยายามอย่ามาสาย ไม่งั้นผมคงปล่อยคุณกลับบ้านไปไม่ได้... แล้วเจอกันนะครับ”
เขาไม่อยากนึกจริงๆว่ารัสเซียภาคอารมณ์เสียหงุดหงิดจะเป็นยังไง...
.
.
.
ชายชาวเยอรมันคนน้องมองภาพพี่ชายรีบวิ่งออกจากบ้านไปสตาร์ทรถอย่างอ่อนใจ... ใจนึงก็นึกสงสารพี่ชาย อีกใจนึงก็ดีใจด้วยว่าบางทีการนัดกินข้าวกับรัสเซียจะทำให้พี่ชายเป็นคนตรงต่อเวลามากขึ้นและมีความรับผิดชอบมากขึ้นได้บ้าง...
อิตาลี่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานอีกใบของตัวเองเพื่อลงมือรับประทานอาหารกลางวันบนโต๊ะร่วมกับลุดวิก ก่อนจะทำหน้าสงสัยมองควันรถสีดำที่เหลือทิ้งไว้หลังจากที่ปรัสเซียรีบขับรถออกไป
“เสียดายจังเว่~ นึกว่าจะได้กินข้าวกับปรัสเซียซะอีก...”
ลุดวิกยกมือตัวเองขึ้นเสยผมตัวเองอย่างจนใจ...
แม้ว่าเขาจะรักพี่ชายตัวเองมากแค่ไหน... เท่าปริมาณความรักหากมันสามารถจะนับได้นั้น นั่นคือปริมาณที่เขาไม่อยากให้พี่ชายอยู่ใกล้ๆตัวเอง...
.
.
.
กิลเบิร์ตมองนาฬิกาข้อมือตัวเองที่คว้าได้ก่อนออกจากบ้าน... ไม่แน่ใจว่าเป็นนาฬิกาของเขาหรือของลุดวิก... ดูจากความไม่มีสไตล์ด้วยสายหนังสีน้ำตาลเข้ม และหน้าปัดสีทองกรอบเหลี่ยมๆแล้วคงจะเป็นของลุดวิกมากกว่าเป็นของเขา...
เขาออกจากบ้านตอนเกือบๆเที่ยง... นับเวลาขับรถไปสนามบิน รีบหาไฟร์ทจากมิวนิคมามอสโคว กว่าจะเรียกแท็กซี่มาที่ตรอกๆเดิม ตอนนี้เข็มสั้นชี้ที่เลข 4 เข็มยาวชี้ที่เลข 3... อย่างเป็นทางการคือ 16 นาฬิกา 15 นาที... รัสเซียนัดเขาไว้ตอนเที่ยงครึ่ง เท่ากับว่าเขาสายมาเป็นเวลา...
.
.
...เวลาเท่าไหร่ก็ช่างมันเหอะ เอาเป็นว่าเยอะ ขี้เกียจคิด...
คิดได้ดังนั้นชายชาวปรัสเซียก็เดินเข้ามาในบาร์บาร์เดิม กับบรรยากาศเดิมๆ และพบกับผู้ชายคนเดิมซึ่งนั่งอยู่ที่เดิม...
ชายคนนั้นยังคงสวมเสื้อโค้ชยาวและมีผ้าพันคอยาวๆพันรอบคอผืนเดิม ส่งรอยยิ้มมาที่เขาเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ... เหมือนเขาไม่ได้มาสายไปเกือบ 5 ชั่วโมง...
“คุณปรัสเซียคงเหนื่อยมากสินะ... นั่งก่อนสิครับ... เดินทางมาไกล”
ปรัสเซียเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆรัสเซียอย่างระมัดระวัง... จากประสบการณ์อันยาวนานของเขาสอนไว้ว่า อย่าประมาทคนที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร... เพราะนั่นคืออาการก่อนภูเขาไฟจะระเบิด...
“ผมนั่งอยู่เฉยๆมา 5 ชั่วโมงแล้ว เมื่อยมากๆเลย เราออกไปเดินออกกำลังกายกันหน่อยดีมั้ยครับ?”
ปรัสเซียสั่นหัวส่ายหน้ารัวๆอยู่ในใจ... ทว่าจำใจต้องพยักหน้าด้วยความไม่อยากทำให้คนข้างๆหงุดหงิดไปมากกว่านี้... ความรู้สึกของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่ว่า หากมีดาบอยู่กับตัวเขาคงจะแทงคนข้างๆให้ตายกลายเป็นถึงแม้จะมีดาบอยู่กับตัว เขาก็คงจะวิ่งหนี เพราะถึงจะหั่นคนข้างๆเป็นชิ้นๆยังไงมันก็คงจะไม่ตาย...
ด้วยความคิดที่ว่า ทำให้ปรัสเซียต้องจำใจตอบรับ
“ตามความประสงค์ของสหายสุดออวซั่มอย่างนายเลย...”
ปรัสเซียและรัสเซียเดินออกจากบาร์ดังกล่าวเดินลงมายังถนนใหญ่... สัมผัสกับทิวทัศน์อันงดงามยามเย็นของกรุงมอสโควเมืองหลวงแห่งประเทศรัสเซีย...
หรืออาจจะมีเพียงแค่รัสเซียคนเดียวที่ชื่นชมความงามนั้นด้วยรอยยิ้มแสดงออกว่ามีความสุข ในขณะที่ปรัสเซียเหมือนมีรัศมีแห่งความมืดแผ่ออกมาจากร่างเนื่องจากมือของตัวเองต้องไปอยู่ในมือของรัสเซีย...
ใช่... ไอ้คนตัวใหญ่กว่าเขาข้างๆชวนเขาออกมาเดินเล่นเพราะมันนั่งรอจนเมื่อย แต่ไม่ได้หมายความรวมถึงการจับมือนี่ หรือถึงขอเขาก็คงจะไม่อนุญาต...
มันทำลายออร่าความออวซั่มของเขาลงไปมิด... ทำให้เขาดูเหมือนฝ่ายรับไร้เดียงสาไม่มีทางสู้อย่างที่ฟรานซิสชอบพูด...
ซึ่งนั่นตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงกับเขา... กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท... ตรงข้ามตั้งแต่ข้อแรกที่บอกว่าเขาเป็นฝ่ายรับ... ไม่มีใครบังอาจหยามศักดิ์ศรีเขามาได้เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ชายชาวรัสเซียคนนี้เป็นคนแรกที่กล้าท้าทายอำนาจ!
เขาพยายามแกะมือของตัวเองออกจากไอ้เจ้าของมือปลาหมึกนี่... มันไม่ได้เข้ากันเล้ย ผู้ชายตัวสูงสองคนเดินจูงมือกันบนถนนในกรุงมอสโคว... อย่างน้อยถ้าเขาจะเดินก็ต้องไม่ใช่กับไอ้คนข้างๆนี่... น่าจะเป็นประเทศตัวเล็กๆหน้าหวานๆอย่างอิตาลี่หรือแม้กระทั่งออสเตรีย เขายังทำใจได้มากกว่า...
ดีกว่าคนที่ไม่ว่ายังไงเขาก็ดูเสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด...
ปรัสเซียยังไม่ล้มเลิกความพยายามของตัวเองพลางบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด... ในขณะที่รัสเซียเผยรอยยิ้มสะใจขึ้นมาเพียงชั่ววินาทีนึงที่อย่างน้อยเขาก็ได้เก็บค่าที่ต้องทำให้เขารอนานจากการจับมือนี่...
ทว่าในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น... สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนม้านั่งข้างทางที่เขากำลังจะเดินไปถึงโดยไม่มีผู้ใหญ่นั่งอยู่ข้างๆ...
รัสเซียปล่อยมือจากปรัสเซียที่ทำหน้าดีใจทันทีที่มือตัวเองเป็นอิสระ เดินตรงเข้าไปหาเด็กหญิงคนนั้นซึ่งกำลังร้องไห้น้ำตาไหลเปื้อนใบหน้าหวานๆ น่ารักๆของเธอด้วยท่าทางเป็นมิตร...
รัสเซีย... กับท่าทางเป็นมิตร... ดูเข้ากันไม่ได้เท่าไหร่... นั่นไม่เท่ากับการที่รัสเซีย กับคำว่าช่วยเด็กผู้หญิงหลงทางอยู่ในประโยคเดียวกัน...
รัสเซียคนที่กดขี่ข่มเหงลัตเวียเด็กผู้ชายตัวเล็กเนี่ยนะจะช่วยเด็กผู้หญิง?
กิลเบิร์ตคิดในใจอย่างฉงนสงสัย... พลางเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่คนที่กำลังถามข้อมูลจากเด็กผู้หญิงเป็นภาษารัสเซีย...
เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกจนเขาคิดว่าต้องเอาไปเขียนในสมุดไดอารี่เล่มที่ 1228 ของเขาเลยดีเดียว...
ชายชาวปรัสเซียนทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆเนื่องจากไม่เข้าใจภาษารัสเซีย มองชายชาวรัสเซียจูงมือพาเด็กหญิงไปตามถนน ถามคนเดินผ่านไปผ่านมาถึงเรื่องที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะของผู้ปกครองของเด็กหญิง
ทันใดนั้น ผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังในชุดเสื้อโค้ชตัวยาวและหมวกทรงแบบรัสเซียก็วิ่งมาทางอีวาน... เธอก้มลงพูดกับเด็กหญิงก่อนจะกอดคนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นลูกสาวของหญิงคนนั้นแนบตัว... เด็กหญิงหัวเราะอย่างดีใจเมื่อเจอแม่... ผู้หญิงคนนั้นพูดรัวๆในภาษารัสเซียกับอีวาน... คาดว่าน่าจะเป็นคำขอบคุณ
และสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏขึ้น... อีวาน บรานกินส์กี้ แย้มรอยยิ้มจริงใจให้กับสองแม่ลูกคู่นั้น... รอยยิ้มที่คนซึ่งอยู่มาเป็นร้อยเป็นพันปีไม่เคยเห็น ในขณะที่สองแม่ลูกคู่นี้เพิ่งจะเจอชายชาวรัสเซียแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกลับได้รับ...
ช่างน่าประหลาดใจอะไรเช่นนี้...
กิลเบิร์ตมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก... เขาเพิ่งได้เห็นอีกด้านหนึ่งของชายชาวรัสเซียที่ได้ชื่อว่าโหดร้าย ซาดิสม์ และโรคจิต...
คนคนนี้มีจุดอ่อนอยู่ที่เด็กผู้หญิงหรอเนี่ย...
ไม่ได้เข้ากันเล้ย...
กิลเบิร์ตคิดพลางส่ายหน้าให้กับความไม่น่าเชื่อนี้ ในใจคิดว่ารัสเซียก็เป็นคนดีอยู่บ้างแม้จะเพียงเสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่ดูเหมือนจะไม่มีของรัสเซีย...
แต่ก็ต้องคิดใหม่เมื่อมือมือเดิมกับตอนแรกกลับมาจับมือเขาอีกครั้ง...
เขาเปลี่ยนใจแล้ว... บางทีนี่อาจจะเป็นแค่การสร้างภาพให้เขารู้สึกดีกับฝ่ายตรงข้ามเหมือนในหนังน้ำเน่าที่ลุดวิกชอบนั่งดู...
ซึ่งปกติแล้วพระเอกจะเป็นฝ่ายทำให้นางเอกประทับใจ... ไม่ ไม่ ไม่ๆๆ... เขาไม่ใช่นางเอกในหนังเรื่องนี้แน่ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ประทับใจกับการกระทำครั้งนี้เลยซักนิด!
ท่านกิลเบิร์ต ไวร์ชมิท คนนี้จะไม่ยอมตกเป็นฝ่ายรับของใครเป็นอันขาด ! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... กับ อีวาน บรานสกินส์กี้ คนนี้...
ไม่มีวัน !
ทางด้านอีกฝ่ายหนึ่งของกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรกัน...
“คนออวซั่มอย่างฉัน จัดการเรื่องของตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่เหมือนนาย ต่อให้เป็นร้อยเป็นพันปีก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยน”
“ฉันหวังว่านายจะไม่ได้หมายถึงคนคนนั้นอย่างที่ฉันสงสัย ไม่งั้น แม้แต่ความรักจากประเทศแห่งความรักอย่างฉันก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้”
“อัลซาส-ลอเรน เป็นของฉัน นายรู้ดีตั้งแต่ก่อนจะทำสงคราม”
.
.
.
หลังจากการทะเลาะกันระหว่างเขา ฟรานซิส บอนเนฟอย ตัวแทนแห่งประเทศฝรั่งเศส กับเพื่อนสนิทชาวเยอรมัน-ปรัสเซียน ประโยคคำพูดในวันนั้น ยังคงติดอยู่ในหัวของเขามาจนถึงวันนี้...
คนคนนั้น ที่เพื่อนสนิทของเขาว่าว่าต่อให้ผ่านไปเป็นร้อยเป็นพันปีนั้นความสัมพันธ์ก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยน ก็ดูเหมือนจะเป็นจริงอย่างที่ปรัสเซียว่า...
จริงๆแล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะโกรธเพื่อนด้วยซ้ำไป...
แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ควรจะมาพูด...
รวมถึงคดีเก่าที่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนสนิท ชนะเขาในสงครามครั้งสุดท้าย หรือสงคราม Franco-Prussian War ที่มีเจ้านายคนใหม่ของสองพี่น้องไวร์ชมิทอย่าง บิสมาร์ก เป็นผู้นำ...
ผิดจากปกติที่เขามักจะไม่ถือสาเอาความอะไรกับเพื่อนชาวปรัสเซียคนนี้... ทว่าครั้งนี้เหมือนว่าศักดิ์ศรีของความเป็นชาวฝรั่งเศสของเขาจะชนะเหนือจิตสำนักการให้อภัยของตัวเอง...
เขาจะพิสูจน์ให้ปรัสเซียเห็น... ว่าประเทศแห่งความรักอย่างเขาจะสามารถเอาชนะใจของ คนคนนั้น ได้ไม่เหมือนที่ปรัสเซียกล่าวหา...
อาจจะเป็นเพียงเพราะเขาต้องการรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง หรืออาจจะเป็นความต้องการของเขาเองลึกๆในใจ...
ใครจะไปสนใจกันล่ะ? ในเมื่อสุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาได้คือผลประโยชน์... ทั้งจาก คนคนนั้น ได้กอบกู้ศักดิ์ศรีคืนจากคำสบประมาทของปรัสเซีย เผลอๆอาจจะได้แคว้นนั้นที่ทำรายได้มหาศาลให้แก่เขาคืน...
.
.
.
แล้วเพื่อนสนิทของเขาจะต้องเสียใจ... ที่มาดูหมิ่นคนรักศักดิ์ศรีและได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ยโสโอหังที่สุดอย่างเขา...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น