คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter I : Engraved Memories
------------------------------------------------------
Chapter I: Engraved Memories
And the hardest part
Was letting go, not taking part
Was the hardest part
And the strangest thing
Was waiting for that bell to ring
It was the strangest start
I could feel it go down
Bittersweet, I could taste in my mouth
Silver lining the cloud
Oh and I
I wish that I could work it out
The Hardest Part – Coldplay
น้องชายของเขากำลังคุยอย่างจริงจังกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนของเขา...
ท่าทางของลุดวิกบ่งบอกถึงระดับความเป็นการเป็นงานที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาในการคุย... น่าสงสัยว่าน้องชายเขาจะเครียดไปมากกว่านี้อีกซักเท่าไหร่ ดูจริงจังเกินไปสำหรับเขา คนที่ไม่คิดจะทำอะไรเป็นจริงเป็นจังนอกจากจะอยู่ในสนามรบ...
แม้ตัวเองเขาจะมีปัญหาอยู่แล้ว จากคำพูดที่ล้ำเส้นไปพาดพิงถึง คนคนหนึ่ง ที่ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของเขาจะยังสนใจถึงขนาดยกขึ้นมาพูดไม่ได้ หรือ คำถามที่ลุดวิกถามเขาเมื่อกี๊ว่า ใครคืออิตาลี่ เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดในการแกล้งลุดวิก กับอีกคนที่เรียกได้ว่าโตขึ้นมากับเขา... ออสเตรีย...
คิดได้อย่างนั้น กิลเบิร์ต ออวซั่ม ไวร์ชมิท ก็ทำการแย่งโทรศัพท์มาจากน้องชายเพื่อพูดกับเพื่อนตัวเองที่ไม่ได้คุยกันมานานถึง 10 ชั่วโมง...
“โรเดริคคคคคคค!
.
.
.
หนาว...
สัมผัสความเย็นจากเกล็ดน้ำแข็งไม่มีสีบนพื้น... สมัยที่ยังไม่มีตึกรามบ้านช่องทำด้วยอิฐใหญ่โต หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความอบอุ่นได้ สมัยที่ยังไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้า... มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าเท่านั้นที่ส่องสว่างยามค่ำคืน...
จะต้องนอนอยู่ตรงนี้อีกนานแค่ไหน...
เปลือกตาของเขาใกล้จะปิดลงเต็มที... ทั้งความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้จากสงครามประกอบกับความหนาวของอากาศในฤดูเหมันยามค่ำคืน... อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะไม่รอดจากคืนนี้ แม้จะรู้ว่าตัวเองจะตายไม่ได้เนื่องจากเป็นประเทศ แต่ความทรมาณที่ได้รับทำให้อยากลืมความเจ็บปวดและความหนาวทั้งหมดนี้ไปให้พ้นๆซะ...
...ไปให้พ้นจากศัตรูที่เขาสู้ด้วยมาอย่างยาวนาน...
ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะปิดลง ภาพของคนๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา เด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา... ผู้มีผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาล้อมรอบด้วยกรอบแว่น... สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับเขาก็ปรากฏขึ้น
“นาย... ลุกไหวมั้ย?”
เสียงเล็กๆเอ่ยถามเขา เขาพยักหน้าให้คำตอบคนตรงหน้าที่ย่อตัวลงนั่งคุกเขาพยายามช่วยเขาให้ลุกขึ้นจากพื้นหิมะ
“นายคือประเทศเหมือนฉันใช่รึเปล่า ฉันรู้สึกได้ว่านายเป็นแบบเดียวกับฉัน”
พยายามฝืนลุกขึ้นยืน ใช้แขนพาดทิ้งน้ำหนักลงที่คนข้างตัว ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า... อย่างน้อยเขาก็รอดตายแล้ววันนี้
“ฉัน ออสเตรีย... นายล่ะ?”
คนข้างๆเขาพยายามแบกเขาเดินไปเรื่อยๆแม้จะแสดงอาการเหนื่อยออกมาเล็กน้อย... เดาได้ไม่ยากว่าผู้ช่วยเหลือเขาเป็นคนไม่ค่อยได้ทำงานหนักนัก ดูเหมือนศิลปิน... มากกว่าจะเป็นนักรบ
“...ฉันชื่อ ปรัสเซีย...”
.
.
.
นับตั้งแต่ความช่วยเหลือในครั้งนั้น... ปรัสเซียก็เป็นเพื่อนกับออสเตรียเรื่อยมา...
จนกระทั่ง...
“ฮังการี่... นี่ปรัสเซีย...”
ชายคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทเขา ปัจจุบันมีอำนาจมากขึ้นจนสามารถควบคุมประเทศเล็กๆต่างๆไว้ใต้อำนาจตัวเองได้มากมาย คนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนสนิทกำลัง แนะนำไม้เบื่อไม้เมาของเขา คนที่เขาเคยเข้าใจว่าเป็นผู้ชายมาตลอด... ความจริงที่ว่าเขาสู้กับผู้หญิงมาโดยตลอดนั้นทำให้คนบ้าศักดิ์ศรีอย่างเขาอดโวยวายไม่ได้
“ฮังการี่เป็นผู้หญิงหรอ?????”
คนที่ถูกเรียกว่าฮังการี่หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจพร้อมกับส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจให้กับอดีตศัตรูทำให้ผมสีน้ำตาลที่ตัดสั้นประบ่าที่อาจจะเป็นสาเหตุของความเข้าใจผิดสะบัดไปตามหน้า...
“งี่เง่าจริงๆ...”
“ฉันไม่ผิดนะ! นายดู ผู้หญิงอะไรจะหุ่นอย่างนั้น! ผมก็สั้นเหมือนผู้ชาย แถมยังใส่ชุดเกราะถือดาบ! ตอนแรกเธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิง!!”
ปรัสเซียเถียงอ้างเหตุผลต่างๆนานา พลางหันไปขอคำยืนยันจากฮังการี่ท้ายประโยค ทว่าก็ยังเรียกความเห็นใจจากออสเตรียไม่ได้
“มีแต่คนงี่เง่าอย่างนายเท่านั้นแหละที่แยกระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงไม่ออก...”
“นายกล้าว่าปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้ยังไง! วันๆนั่งเล่นแต่เปียโน เทียบรัศมีฉันไม่ได้เลยซักนิด!”
“อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฮังการี่เป็นผู้หญิงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ไม่เหมือนนาย...”
เขาอ้าปากจะโวยวายถียงแต่ก็ต้องหุบปากฉับด้วยเห็นว่าทหารของตัวเองวิ่งเข้ามา
“ท่านกิลเบิร์ตขอรับ... ท่านนายพลเรียกประชุมขอรับ”
แม้จะลังเลเล็กน้อยที่ต้องลาเพื่อนเก่าซึ่งนานๆจะมีโอกาสได้เจอซักครั้ง แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เขาต้องเอ่ยปากบอกลาอย่างช่วยไม่ได้
“งั้นฉันไปล่ะ... เดี๋ยวท่านปรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่จะกลับมาเยี่ยมเยียนพวกนายใหม่คราวหน้า”
ส่งรอยยิ้มกวนๆให้ก่อนจะหันหลังเดินจากมา...
โดยไม่รู้ว่า การพบกันครั้งนั้นจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างปรัสเซีย และออสเตรียที่มีความทรงจำที่ดีด้วยกัน ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น...
“ปรัสเซีย ฉันจะแต่งงานกับฮังการี่”
เกิดความเงียบขึ้นทันทีที่ออสเตรียพูดประโยคนั้นจบ... ความเงียบกับคนพูดมากดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้แต่ดูเหมือนจะมีข้อยกเว้นในสถานะการณ์แบบนี้...
ความรู้สึกของเขาต่อออสเตรียไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ออสเตรียเป็นเหมือนเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ไว้ใจได้สำหรับเขา... เป็นคนที่ใกล้ชิดมากและไม่น่าเชื่อว่าจะต้องมีวันนึงที่เพื่อนคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสงครามและวิบากกรรมต่างๆมาด้วยกันจะเปลี่ยนสถานะไป... แต่งงาน
ความหวงเพื่อนเกิดขึ้นในใจ... อาจจะเป็นมากกว่าความหวงแบบเพื่อนธรรมดา หรืออาจจะเป็นแค่ความช็อค...
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจน... หรืออธิบายได้ว่าความรู้สึกโกรธ และผิดหวังในขณะนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
“ห้ะ? แต่งงานกับยัยคนที่ถือกระทะไล่ตีหัวคนอื่นนั่นน่ะนะ? นายคิดได้ไง...”
ออสเตรียขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำเรียกแทนชื่ออนาคตเจ้าสาวของเขา แต่ก็ไม่ว่าอะไรในประโยคถัดไป
“ฉันกับอลิซเบธามีบอสคนเดียวกันมาตั้งนานแล้ว... มันก็เหมือนแต่งงานการเมืองน่ะ นายก็รู้นิ่ว่าเวลารวมประเทศสองประเทศก็เหมือนอยู่ในสถานะ... สามี-ภรรยา”
สีหน้าของออสเตรียแดงขึ้นเล็กน้อยหลังจากพูดสองคำท้ายประโยค พลางใช้นิ้วดันแว่นตาขึ้นกลบเกลื่อน
จากสีหน้าของออสเตรียทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเองก็แอบมีใจให้กับฮังการี่... ความรู้สึกแปลกๆทำให้เขาต้องเอ่ยตอบตัดบท และจากมา
“งั้นขอให้นายโชคดีละกัน...”
นั่นคือคำพูดประโยคสุดท้ายของเขาที่พูดกับออสเตรีย ก่อนที่สงครามอีกหลายครั้งหลายคราระหว่างเขากับเพื่อนสนิทจะตามมา โดยที่เขาไม่เข้าใจสาเหตุของการกระทำของตัวเอง...
.
.
.
แต่นั่นมันก็เมื่อนานมาแล้ว...
“ปรัสเซีย เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยตะโกนใส่โทรศัพท์ซักที หัดพูดแบบเป็นคนธรรมดามั่งได้มั้ย”
อย่างไรก็ตาม เสียงบ่นของออสเตรียก็ยังคงเป็นเสียงเดิม ทำนองเดิมไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี...
“ก็เพราะฉันไม่ใช่แค่คนธรรมดายังไงล่ะ! เคะเซะเซะเซะ(เสียงหัวเราะปรัสเซียน่ะ)”
ลุดวิกถอนหายใจมองหน้าเขาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินออกจากห้องคิดว่าก็คงจะไปทำงานอีกนั่นแหละ... จะมีมั้ยซักวันที่เขาจะไม่เห็นลุดวิกทำงาน?
“ปรัสเซีย รัสเซียติดต่อนายมาบ้างรึเปล่า?”
ฝ่ายตรงข้ามถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงาน... ในเรื่องที่เขาไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยซะเท่าไหร่นัก... เรื่องผลประโยชน์น่าเบื่อ ของพวกคนน่าเบื่อ...
“ไม่นิ่ ทำไมล่ะ...”
โกหก เขาจะบอกออสเตรียได้ยังไงว่าเขาแอบทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับรัสเซียลับหลังออสเตรีย ซึ่งกำลังมีปัญหาเกือบๆจะทำสงครามแย่งประเทศแถบทะแลบอลข่านกันอยู่
“เปล่าหรอก... แค่ถามให้แน่ใจน่ะ...”
“ฉันกับหมอนั่นน่ะหรอ... ไม่มีทางไปด้วยกันรอดหรอก”
แต่ประโยคคำตอบนั้นของเขาไม่ได้โกหก...
.
.
.
ภาพตึกเตี้ยๆ โบสถ์ที่มีหลังคาเป็นโดม และถนนซึ่งคร่ำคราไปด้วยคนเดินมากกว่ารถวิ่งปรากฏขึ้นในสายตา...
ในยุคนี้ที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงและพัฒนา กรุงมอสโคว ถือว่าเป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดอีกเมืองหนึ่งของโลก เขาไม่ค่อยชินกับการเดินบนถนนอย่างนี้เท่าไหร่ อาจจะเหมือนกับพวกเขาอีกหลายคนซึ่งยังคงต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มีเพียงแค่ตึกเตี้ยๆไม่กี่ตึก ถนนที่เป็นดินไม่ได้ปูด้วยคอนกรีต กับทุ่งกว้างๆและป่ามากมายซึ่งปัจจุบันกลายถูกจัดสรรปรับเปลี่ยนกลายเป็นพื้นที่ค้าขาย ที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่โรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์...
เขาเดินเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามาในตรอกๆหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่นัดพบระหว่าง เขา... ตัวแทนจากประเทศ “เยอรมันนี” เพื่อมาพบกับตัวแทนของประเทศแห่งนี้... “รัสเซีย”
บรรยากาศรอบตัวเขาตอนนี้ดูแตกต่างจากเมื่อครู่ตรงถนนใหญ่ลิบลับ ช่องว่างระหว่างตึกแคบๆที่มีแสงส่องเข้ามาไม่มากนักแม้จะเป็นเวลากลางวัน หรือคนที่เดินสวนเขาซึ่งแต่งตัวสกปรกมอมแมมใส่เสื้อบางๆดูไม่น่าจะอุ่นในประเทศตอนบนใกล้กับขั้วโลกประเทศนี้
จริงๆแล้ว... สถานที่นัดพบตัวแทนเลือกกำหนดได้เองว่าจะพบกับอีกตัวแทนอีกประเทศนึงที่ไหน แต่สถานที่ที่ดูน่ากลัวแบบนี้ก็ดูเหมาะกับ อีวาน บรานกินส์กี้ ตัวแทนประเทศรัสเซียดี...
เขาเดินเข้ามาในบาร์เล็กๆที่ไม่มีหน้าต่างทำให้ไม่มีแสงสว่างจากภายนอกจึงต้องเปิดไฟสลัวๆทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน ภายในร้านมีลูกค้าอยู่แค่เพียงคนเดียวคือชายร่างสูง เจ้าของผมสีบลอนด์สว่างจนเกือบจะเป็นสีขาวสีเดียวกับผมของเขา ชายคนนั้นใส่เสื้อโคชยาวสีเทา มีผ้าพันคอผืนใหญ่พันรอบคอปล่อยชายยาวเป็นเอกลักษณ์ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวแทนของประเทศรัสเซีย
เหมือนคนที่นั่งอยู่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจึงหันมาส่งรอยยิ้มกว้างให้... รอยยิ้มที่ดูเหมือนฉีกยิ้ม... ในขณะที่ดวงตาส่อประกายเจ้าเล่ห์และความลึกลับซึ่งเขาไม่อยากจะสัมผัสซ่อนอยู่...
“สบายดีมั้ยครับ ไม่ได้เจอกันนานนะ คุณปรัสเซีย”
ใช่นานมาก... นานจนหวังว่านายคงจะลืมเรื่องที่ฉันแกล้งนายอยู่บ่อยๆตอนเด็กๆนะ เพราะรัสเซียตอนนี้กับสมัยนั้นน่ากลัวผิดกันลิบลับ
“เคะเซะเซะเซะ นายมีวาสนามากนะที่ได้ฉันมาเซ็นสัญญาแทนลุดวิก”
แม้จะมีคดีติดตัวแต่ปรัสเซียก็ยังไม่วายฉีกยิ้มกวนประสาทอันเป็นเอกลักษณ์
รัสเซียส่งยิ้มตอบให้ก่อนจะหยิบซองเอกสารออกมาจากเสื้อโคช... แกะซองเปิดออก ภายในคือตัวสัญญาพันธมิตรระหว่างรัสเซียกับเยอรมันนี
“ผมรับรองครับว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนที่มาเป็นพันธมิตรกับผม”
กิลเบิร์ตเงยหน้าจากเอกสารมองหน้าคนพูดเล็กน้อยก่อนจะเซ็นส่งๆไปเหนือช่องที่มีชื่อของตัวเอง
“ก็หวังว่ามันคงจะคุ้ม ฉันก็ไม่อยากมีปัญหากับออสเตรียหรอกนะ”
เหมือนคำตอบของเขาจะไปจุดประกายอะไรบางอย่างในตัวของคนตรงข้าม อีวานเผยรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เขาขนลุก
“รับรอง สัญญาฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับประเทศคุณอย่างสูงสุด แต่ว่า ถ้าคุณเกิดทำผิดสัญญา หรือเล่นตลกกับผมล่ะก็... ผมจะทำให้ประเทศคุณเสียใจอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกัน”
หากทั้งคู่อยู่ในสนามรบ หรือเป็นสมัยที่เขายังนำทัพออกศึกอยู่ กิลเบิร์ตคงจะไม่ลังเลที่จะส่งสายตาท้าทายกลับไป ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้คงไม่คุ้มที่จะท้าทายหนึ่งในมหาอำนาจของโลกตรงหน้า... แม้เขาเองจะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจเช่นเดียวกันก็เหอะ...
ไม่อยากจะโดนลุดวิกบ่นหรอก...
ปรัสเซียจึงทำได้แต่ถลึงตาใส่รัสเซียพร้อมกับเตรียมตัวลุกขึ้น หนีจากบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบตัวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน... หรือก้าวเข้ามาในประเทศนี้ แต่ก็ถูกห้ามด้วยมือของรัสเซียซึ่งเอื้อมมาจับแขนของเขา
“ผมสั่งอาหารไว้ให้คุณด้วย เพื่อเป็นการต้อนรับ... หวังว่าคุณคงจะมีเวลาเล็กน้อยอยู่ทานข้าวกับผมนะครับ”
รัสเซียยังคงพูดด้วยสีหน้าเดิมๆ รอยยิ้มเดิมๆ ที่ดูไม่จริงใจเลยซักนิดมาให้ ทำให้กิลเบิร์ตตกอยู่ในสถานะการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำใจต้องนั่งลงที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าเขามีดาบอยู่กับตัวล่ะก็... ไอ้หมอนี่เสร็จเขาไปตั้งแต่ตอนแรกที่เขาเห็นหน้าแล้ว
แม้ในใจจะคิดสาปส่งคงนั่งตรงข้ามแต่เขาก็อยู่กินข้าวกับรัสเซียจนรัสเซียพอใจยอมปล่อยเขากลับบ้าน...
นี่เป็นหนึ่งในความทรงจำเลวร้ายที่เขาไม่อยากจะจำ... เช่นเดียวกับสัญญานั่นที่เขาไม่ได้อยากทำแต่ก็จำใจต้องทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ... หรืออาจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองด้วย...
โถ่... ขอแค่ในเขามีดาบอยู่ในมือนะ! จะหั่นไอ้หมอนั่นเป็นชิ้นๆโทษฐานที่บังอาจมาท้าทายอำนาจท่านกิลเบิร์ตคนนี้!
ลุดวิกเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นที่ที่พี่ชายเขาเพิ่งทะเลาะกับเพื่อน... ปัญหาหลายอย่างกำลังตีกันอยู่ในหัวสมองของเขา... ทั้งการที่กิลเบิร์ตทะเลาะกับฟรานซิส... หรือเรื่องวุ่นวายในประเทศตอนนี้...
ยังไม่นับผู้ชายผมสีน้ำตาลเจ้าของรอยยิ้มสดใสคนนั้นซึ่งยังเป็นภาพติดตาตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตอนกลับมา ทั้งสีหน้าดีใจตอนที่เจ้าตัวได้กินพาสต้ายั่งกับว่าเพิ่งกินพาสต้าเป็นมื้อแรกแล้วมันอร่อยมากทั้งๆที่ตัวเองกินมาแล้วไม่รู้กี่มื้อหรือเสียง เว่~ ลงท้ายทุกสองประโยคที่เขาคิดว่าฟังแล้วขัดหูแต่ก็ดู........ น่ารัก...
ไม่! ไม่! เขาจะเสียสมาธิกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องทำงาน! ทำงาน!
ลุดวิกส่ายหัวตัวเองอย่างที่หากกิลเบิร์ตมาเห็นคงจะล้อเขาไปอีกนาน กับความรู้สึกเหมือนกับหน้าตัวเองร้อนๆขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุที่น่ารำคาญ รบกวนจิตใจเขาให้ลืมเรื่องงานที่ตัวเองกำลังตั้งใจจะทำ
คงจะเป็นอย่างที่เจ้านายเขาพูดจริงๆว่าถ้าหากได้อิตาลี่มาเป็นพันธมิตร ประเทศเราต้องแย่แน่ๆ...
เพราะขนาดยังไม่ทันจะเกิดสงคราม หรือแม้กระทั่งปัญหาอะไรขึ้น... เขาก็เป็นซะอย่างนี้แล้ว...
ในขณะเดียวกัน...
.
.
.
“เว่~ กลับมาแล้วฮะ พี่ชาย~”
เฟลิเซียโน่ วากาส เดินเข้ามาภายในบ้านของเขาที่คนที่เรียกว่าพี่ชายมาค้างคืนอยู่ด้วยชั่วคราวเนื่องจากต้องมาทำงานต่างเมืองแล้วขี้เกียจขับรถกลับโรมตามนิสัย... ตัวแทนอิตาลี่ใต้พี่ชายของเขา หรือชื่ออย่างคนธรรมดาคือ โรวีโน่ วากาส...
“กลับช้าจริง รอกินข้าวอยู่นะ เจ้าบ้า!”
หัวของคนที่เป็นพี่ชายโผล่ขึ้นมาจากโซฟาทักทายผู้เป็นน้องด้วยประโยคลงท้ายด้วยคำสบถเป็นเอกลักษณ์ แต่ด้วยความเคยชินหรืออาจจะไม่ได้สนใจของเฟลิเซียโน่ทำให้เขาเอ่ยตอบพี่ชายโดยไม่ใส่ใจกับคำลงท้าย
“เว่~ ขอโทษฮะ เพิ่งเอาเอกสารที่ลุดวิกเซ็นไปให้บอส”
โรมาโน่ขมวดคิ้วเล็กน้อยตรงชื่อคนที่เฟลิเซีนโน่แทน... ก่อนจะเอ่ยถาม
“ใครคือลุดวิก?”
“ก็เยอรมันไง เว่~ พี่ชายไม่เคยเจอหรอ”
โรมาโน่ชะงักไปเล็กน้อย หน้าทีบึ้งอยู่แล้วบึ้งยิ่งกว่าเดิม... ก่อนจะเริ่มร่ายยาวเยอรมันในทางเสียหาย
“ไม่! ฉันเกลียดไอ้พวกชอบกินมันฝรั่งนั่น! เจ้าพวกมันฝรั่งบ้า! เจ้าพวก..... ”
ทว่าเฟลิเซียโน่ก็ไม่ได้สนใจกับคำกล่าวหาเยอรมันของพี่ชาย... กลับตรงไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหารเย็นตามคำเรียกร้องตอนแรก พลางคิดถึงเรื่องที่ได้ประสบมา...
มโนภาพของเด็กชายตัวเล็กผมสีทองปรากฏขึ้นซ้อนทับกับชายผมสีทองที่ส่งนัยน์ตาสีฟ้าคู่คุ้นเคยมาให้เขา...
ลุดวิกหน้าตาเหมือนใครกันนะ... คุ้นๆว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหน... ผมสีทอง ตาสีฟ้า... หน้าตาดุๆจริงจัง
ภาพเด็กชายตัวเล็กใส่ชุดสีน้ำเงินเข้มกับหมวกสีเดียวกันเข้าชุดปรากฏขึ้นในใจของชายชาวอิตาลี่...
“เป็นไปไม่ได้หรอก... ไม่จริง...”
แม้จะมีความลังเลอยู่ในใจแต่เฟลิเซียโน่ก็อดหวังไม่ได้ว่า ลุดวิกหรือเยอรมัน ในตอนนี้คือ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์คนรักเก่าของตนในอดีต
“ยังไงก็เป็นไปไม่ได้...”
.
.
.
ความคิดเห็น