คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter IX: Episodic Memories
-------------------------------------------------------
Chapter IX: Episodic Memories
Picture, you're the queen of everything
As far as the eye can see
Under your command
I will be your guardian
When all is crumbling
I steady your hand
Never Say Never –The Fray
นัยน์ตาสีฟ้าเปิดขึ้น กระพริบถี่ๆให้เข้ากับแสงสว่างภายในห้องที่ภายหลังตัดสินได้ว่าคือห้องของเขาเอง... กวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดลงที่ชายผมทองเข้มที่นั่งบนเก้าอี้ข้างๆเตียงเขา...
เขาเคยนึกฝัน จินตนาการภาพตัวเองเอาชนะศัตรูคู่อาฆาตและสามารถแก้แค้นได้อย่างสาสม...
ได้เห็นคนๆนั้นคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอน... บอกคำยอมแพ้อย่างศิโรราบ
ทว่าเมื่อมองจากจุดสูงสุด ณ ตรงนี้... ที่ถึงแม้ว่าสถานะการณ์จะต่างกันคือ คนนั้นไม่ได้คุกเข่าอ้อนวอนเขาแต่เปลี่ยนเป็นคนนั้นก้มหน้าลงซบฝ่ามือตัวเอง แล้วเปลี่ยนมายีหัวด้วยความเครียด นั่งอยู่ข้างๆเขา รอให้เขาตื่น บ่นพึมพำรอให้เขาตอบรับ...
เขากับรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำผิดพลาดที่เอาแต่จดจำความโกรธแค้นของตัวเองต่อความผิดที่คนนั้นเคยทำมากกว่ามองที่ความทรงจำดีๆระหว่างกันจนลืมไปซะหมดว่าคนนั้นเคยสำคัญมากมายขนาดไหน...
476, เผ่าอานารยชรเยอรมันโจมตีกรุงโรม-อาณาจักรโรมันล่มสลาย...
หลังจากนั้นอีกนานหลายร้อยปี... เจ้านายของเขา กษัตริย์ชาฐเลอมาญก็สามารถพิชิตยุโรป... รวบรวมยุโรปได้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหลังจากจักนวรรดิโรมันล่มสลาย... และปกครองอยู่ได้นานพอสมควรที่จะทำให้เขารู้สึกตัวได้ในฐานะประเทศแรกๆที่มีตัวตนขึ้น... จนกระทั้งหมดยุคสมัยของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ ดินแดนต่างๆจึงแตกออกเป็นหลายๆดินแดน... และคนๆนั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น... เริ่มจากแคว้นเล็กๆใต้การปกครองของผม... แคว้นนอร์มังดี...
ผู้ปกครองแคว้นนั้นมีความกล้าหาญทีเดียวทีกล้าข้ามจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะเล็กๆซึ่งใครจะไปคิดว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจมากได้ขนาดนั้นในอนาคต... และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาพบกับเด็กตัวเล็กผมทองคนนึง ที่ดูไม่เหมือนคนในตอนแรก จากคิ้วที่หนาผิดมนุษมนา จนนน่าจะเป็นหนอนดักแด้มากกว่าคิ้ว แต่เขาก็อดติดใจในความแปลกของเด็กคนนี้ไม่ได้... ด้วยหน้าตาและท่าทางทำให้เขารู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด... ซึ่งความรู้สึกนั้น หรือจะเรียกว่าเป็นความทรงจำแรกยังคงติดอยู่ในใจเขามาจนถึงบัดนี้...
เด็กชายตัวเล็กผมทองที่เขาเคยเห็นและไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากความเอ็นดู...
"เฮ้เจ้าตัวประหลาดนั่นน่ะ! มัวอยู่คนเดียวทำไม มาหาพี่ชายนี่มา!"
"ไปให้พ้นนะเจ้ากระเทย!!"
กลับเข้ามาหาเขาในท่าทางที่ไม่ดีนัก...
สิ้นประโยคของคนตัวเล็กชายชายฝรั่งเศสผู้เรียกก็ชะงัก...
...เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม...
"โถ~ เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมพูดจาใจร้ายขนาดนั้น มามะ.. มาหาพี่ชายดีกว่า เราจะได้ทำอะไรสนุกๆด้วยกัน โฮะๆ"
เด็กชายเดินมาหาเขาตามที่เขาเอ่ยรียก แต่เดินมาพร้อมกับไม้ท่อนใหญ่ในมือแล้ววิ่งเข้าชาร์จเขาอย่างแรง
"นี่แน่ะๆๆๆ ไปตายซะเจ้าบ้า!! ไปให้พ้นเลยนะ!!!"
นั่นคือความทรงจำครั้งแรกของเขากับเจ้าคนป่าเถื่อนตัวเล็กคนนั้น ที่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะมีอิทธิพลกุมหัวใจเขาได้ขนาดนี้...
ต่อจากนั้น จากเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ชอบใช้ความรุนแรงคนนั้นก็เข้ามาอ้างสิทธิ์ปกครองเขา... ให้เขา ยอมอยู่ใต้อำนาจ แน่นอนว่าเขาตอบปฏิเสธและหัวเราะไล่ไป แต่เด็กดื้อคนนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พยายามทำตัวให้มีคนยอมรับ และนับว่ามีฝีมือพอตัว... เด็กชายที่เขาเคยวิ่งไล่เล่นประสบความสำเร็จในการค้า และผูกมิตรกับประเทศข้างเคียงได้สำเร็จ...
"เฮ้ฝรั่งเศส เจ้าเด็กนั่นที่มากะสก็อตแลนด์คือใครน่ะ?"
ชายเจ้าของผมสีทองสว่างจนเกือบขาวถามคนตัวเท่ากันข้างๆ... ประเทศพ่อค้าอย่างฮอลแลนด์ ย่อมต้องสนใจตลาดใหม่ๆเป็นธรรมดา...
"อ่อ เจ้านั่นคืออังกฤษน่ะ ทำตัวไม่น่ารักเลยซักนิด ป่าเถื่อน ชอบใช้ความรุนแรง นายอย่าไปยุ่งนะ”
"หรอ... คิ้วเจ้านั่นตลกดี..."
แต่ก็ไม่หยุดแค่นั้น... พยายามขู่พี่ชายตัวเอง ทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าพี่ชายซึ่งเป็นเพื่อนเขา... ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันครั้งแรก...
"อย่าเข้ามานะ!!! ที่นี่เป็นดินแดนของฉันแล้ว!!"
เด็กชายตัวเล็กถือดาบไม้ที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้ชี้มาทางเขา...
...ดูเหมือนมีความพัฒนาขึ้นนะ จากกระบองไม้เป็นดาบไม้แต่ก็ยังดูป่าเถื่อนอยู่ดี...
"อะไรของนาย? นี่ไม่ใช่ดินแดนของพี่นายหรอ?"
เขาถามกลับไปอย่างเซ็งๆ เจ้าเด็กนี่ชักจะล้ำเส้นมากไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าน่าเอ็นดูชายชาวฝรั่งเศสคงไม่ปล่อยไว้
"ไม่! ไปขายของที่อื่นไป ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างนาย!"
การขยายการค้าทำให้เขาทั้งคู่ขัดประโยชน์ทางการค้าของกันและกัน... เป็นเรื่องที่สองที่ทะเลาะกัน...
แต่เหนือสิ่งอื่นใด... เจ้านายของทั้งสองประเทศที่เหมือนจะเห็นแก่อำนาจของตัวเองมากกว่าชีวิตประชาชน พยายามเรียกคืนอำนาจของกษัตริย์ทำให้เกิดสงคราม
คือสงครามครั้งใหญ่ครั้งแรกของทั้งคู่ที่กินเวลานานถึง 100 ปี...
.
.
.
"นายเป็นไงบ้าง?"
เสียงจากคนที่นั่งอยู่ข้างตัวเขา ดังขึ้นข้างๆหู... เขาค่อยๆขยับตัวแล้ว ปรับสายตาที่เพิ่งลืมขึ้นในเข้า กับใบหน้าคนๆนึงซึ่งโน้มเข้ามาปรากฏขึ้นในสายตา
สีหน้าของของฝ่ายตรงข้ามแสดงให้เห็นชัดว่ากำลังกังวล... ประกอบกับท่าทางเมื่อครู่ทำให้เขาแปลกใจ... คนอย่าง อาเธอร์ เคิร์กแลนด์จะกังวลอะไร...
หรือว่าจะเป็นห่วงเขางั้นหรอ... นี่คิดเข้าข้างตัวเองสุดๆเลยนะเนี่ย...
ด้วยความคิดนั้นทำให้ชายชาวฝรั่งเศสเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้สึกตัว... แล้วขมวดคิ้ว แสดงความสงสัยในอาการของศัตรูคู่อาฆาต
"นายเป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากป่วยเพราะสงครามรึเปล่า... ทำหน้าประหลาดๆ..."
..เจ้าคิ้วหนานี่ว่ารอยยิ้มสุดมีเสน่ห์ของคุณพี่ประหลาดงั้นหรอ...
"ก็แค่คิดว่าบางทีเธออาจจะเป็นห่วงฉัน"
เขาแกล้งพูดตอบเล่นๆไปอย่างไม่ได้คิดอะไร... ในขณะที่อีกฝ่ายเสหน้าหันไปมองทางอื่น ทำให้ไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกับประโยคเมื่อครู่...
"เป็นอย่างสุดท้ายที่ฉันจะรู้สึก"
คือคำตอบเบาๆที่ได้ยินจากคนปากแข็ง... แม้ประโยคที่ได้ยินจะทำร้ายจิตใจสำหรับคนทั่วไป แต่คงทำร้ายเขาได้ไม่เท่าไหร่ สำหรับคนที่รู้จักชายชาวอังกฤษดี... ทำให้เขาเอ่ยตอบไป ตั้งใจจะแกล้ง
"พูดแบบนี้คุณพี่เสียใจนะ..."
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ ไม่ลดระดับความซีเรียสลงจากการตอบคราวแรก...
"แต่คงไม่เท่ากับเรื่องอื่นๆที่ฉันเคยทำกับนายหรอกจริงมั้ย..."
ฟรานซิสมองหาความรู้สึกผิดจากสีหน้าของผู้พูดประโยคเมื่อครู่... ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นรอยยิ้มเศร้าๆของคนที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นห่วงเป็นใยเขา... ชายชาวอังกฤษลุกขึ้นยืน เตรียมตัวเดินออกนอกห้องแล้วทิ้งท้าย...
"ฉันจะไปตามอัลเฟรด... จะได้จบไอ้สงครามบ้าๆนี่ซักที... ก่อนที่คนไม่เจียมตัวอย่างนายจะไม่รอดก่อนจะชนะ..."
ทิ้งให้ชายชาวฝรั่งเศสมองตามไปอย่างสนใจ...
…ไม่น่าเชื่อว่าศัตรูคู่แค้นมานับศตวรรษอย่างอังกฤษจะใยดีอะไรกับสวัสดิภาพของเขาด้วย...
ภายในห้องประชุมกว้าง บรรยากาศไม่ได้ดีไปกว่าสถานการณ์อันย่ำแย่ของสงครามในปัจจุบันเท่าไหร่นัก... คน 4 คนนั่งอยู่บนเก้าอี้รอบโต๊ะกลมที่เต็มไปด้วยกระดาษเอกสารและแผนที่... ที่ด้านหนึ่ง ชายผมสีบลอนด์ทองนั่งหมุนปากกา ควงเล่นไปมาในมือ...
อเมริกาไม่ชอบสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้เท่าไหร่นัก... แต่ก็จำใจต้องมาร่วมเพราะคำขอร้องของคนที่คิดว่าสำคัญกับเขาทางใดทางหนึ่ง...
ข้างๆเขาคือชายคนที่เรียกเขามาประชุม... จะว่าเรียกก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้มาง่ายขนาดนั้น... น่าจะเรียกว่าขอร้องมากกว่า...
ชายเจ้าของใบหน้ากลม คิ้วหน้า... ที่จะดูหล่อมากหากไม่เอ่ยปากพูดอะไรที่มักจะดูหยิ่งยโสจนน่าหมั่นไส้ เอ่ยเริ่มทำลายความเงียบเป็นคนแรก...
"เอาล่ะ... ที่เรียกมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะให้ช่วย..."
ชายชาวอังกฤษพูดจบพลางหันมาหยุดมองทางเขาเป็นพิเศษอยู่ครู่หนึ่ง...
ก่อนที่เสียงไอค่อกแค่กจะดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ...
" 'โทดจ้ะ"
เจ้าของเสียงคือชายผมสีทองยาวประบ่าเอ่ย พลางปัดๆมือเป็นเชิงขอโทษ...
"อย่างที่รู้กัน... สถานการณ์ในยุโรปกำลังแย่มากตอนนี้..."
เขาพนักหน้ารับคำพูดของอดีตผู้มีบุญคุณหงึกหงัก เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นสัญญาณตอบรับจากเขาจึงเอ่ยต่อ...
"ที่ผ่านมาเรายอมแพ้เยอรมันมาหลายรอบ... ลอนดอนโดนทิ้งระเบิด แม้แต่ฝรั่งเศสก็ยังเอาตัวไม่รอด"
ฝรั่งเศสรีบไอคอกแค้กเสริมคำพูดประโยคนั้นเพื่อให้ดูน่าสงสารสมจริง ทำให้อเมริกาขมวดคิ้วหรี่ตาเป็นสัญญาณว่าไม่เชื่อในคำพูดของชายผู้แก่กว่า...
"เราต้องการความช่วยเหลือจากนาย... อัลเฟรด..."
แม้สถานการณ์ในห้องประชุมจะตึงเครียด และขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของเขา แต่ความคิดของชายชาวฝรั่งเศสกลับย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว...
.
.
.
"อัลเฟรดดด!! อย่างวิ่งหนีสิ!!"
ภาพชายตัวเล็กวิ่งไล่เด็กผู้ชายที่เขาเคยเห็นหน้าเมื่อไม่นานมานี้ปรากฏขึ้นในสายตาขณะเขากำลังเดินซื้อของในตลาดทวีปใหม่ที่มีคนพลุกพล่าน...
เห็นเนเธอร์แลนด์กำลังนับตังอย่างขมักเขม้นกับนอร์เวย์ที่ยืนคุยกับชายชาวประมงอีกฝั่ง
ทุกคนดูมีความสุขกับดินแดนใหม่ที่ค้นพบ โดยเฉพาะอังกฤษที่ดูจะสนุกสนานมากเป็นพิเศษ... หึหึ
"แบร่!! แน่จริงก็จับให้ได้สิ ตาลุงคิ้วพิการ"
"อัลเฟรดดดดด"
เหมือนเจ้าเด็กผมสีบลอนด์จะข้ามเส้นขีดความอดทนของผู้เป็นผู้ปกครอง ทำให้ชายชายอังกฤษที่เขานั่งจ้องอยู่รีบเร่งฝีเท้าไปคว้าคอเสื้อประเทศอาณานิคมและต่อว่า
"มันจะมาเกินไปแล้วนะ!! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งหนี!! มันอันตรายนะรู้มั้ย ถ้าเจ้าบ้าไวน์เห็นนายแล้วลักพาตัวไปจะทำยังไง?"
โอ้วๆๆ มีการพาดพิงถึงกันด้วยย!! แถมเขายังยืนอยู่ตรงนี้ ได้ยินชัดเจนมาก ตอนแรกตั้งใจว่าจะช่วยเจ้าคนน่าสมเพชเลี้ยงเด็กให้ถูกวิธี แต่สงสัยว่าเจ้านั่นคงจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากโจรลักพาตัวอย่างเขา...
หันหลังเตรียมจะเดินกลับบ้าน แต่กลับรู้สึกถึงแรงสะกิดเล็กๆที่ชายเสื้อ...
อ่า... ลืมไปเลย วันนี้เขาพาแมทธิวมาเดินตลาดนี่นา...
"ปาป๊า... ผมขอไปหาอัลเฟรดได้มั้ยฮะ?"
คนเป็นผู้ใหญ่ก้มตัวลงลูบหัวสีทองสว่างของชายชาวแคนนาเดี้ยนก่อนจะพูด
"ได้สิครับ ถ้าแมทธิวของปาป๊าอยากไป"
แมทธิวยิ้มรับอย่างดีใจก่อนจะรีบวิ่งไปทางเด็กชายที่กำลังโดนผู้ปกครองดุ..
"คราวหน้าห้ามทำอีกเด็ดขาดนะ! รู้มั้ย!!! แล้วก็ระวั... อ่าว เด็กคนนี้... ใครนะ?"
ชายชาวอังกฤษหยุดบทเรียนของตัวเองชั่วคราวก่อนจะหันไปหาอเมริกาที่ตอนนี้ทำหน้าดีใจวิ่งเข้ากอดเด็กชายตัวเล็กกว่า
"แมทธิวววว!!!"
แคนาดากอดตอบอย่างอายๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองอังกฤษที่จ้องอยู่ก่อน...
"เธอเป็นใคร?"
แต่ยังไม่ทันที่เด็กชายตัวน้อยจะได้เอ่ยตอบชายผู้เป็นผู้ปกครองก็เข้ามาร่วมในบทสนา
"แย่จังเลยนะนายน่ะ จำเด็กที่ตัวเองอยากจะได้ไม่ได้รึไง?"
"ฟรา... ฝรั่งเศส!!"
ฝรั่งเศสฉีกยิ้มรับ ขณะที่อังกฤษทำหน้าตกใจคาดไม่ถึงว่าจะเจอศัตรูที่นี่...
"ใช่สิ ใบหน้างดงามขนาดนี้เป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วล่ะนอกจากคุณพี่โฮะๆ"
อังกฤษหรี่ตาลงแสดงท่าทางว่าไม่เห็นด้วยเต็มที่ ก่อนจะเอ่ยถาม
"เด็กคนนี้? แคนาดา?"
"ใช่สิ๊ แหม นายนี่ความจำสั้นจริงๆเลยนะ โฮะๆ"
อังกฤษกำมือแน่นเมื่อฟังคำตอบประกอบกับท่าทางของฝ่ายตรงข้าม... หนอย ไอ้ตัวกินหอยทาก ไอ้บ้าไวน์... ไอ้บ้ากาม...
"แล้วก็นะ... ฉันไม่ใช่คนขี้ขโมย หรือนักลักพาตัวเด็กอย่างที่ใครบางคนพูด ...หรือถ้าเป็น... ก็ยังดีกว่าโจรสลัดขี้ขโมย ขโมยทองของคนอื่นทำให้ชนะสงครามแหละ โฮะๆๆๆ"
อังกฤษกำหมัดแน่นยิ่งขึ้นด้วยความโมโห ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าอัลเฟรดกับแคนาดาเขาคงต่อยหน้าไอ้หมอนี่ไปแล้ว หลับตสข่มใจไม่ให้ตัวเองใช้ความรุนแรง...
ฝรั่งเศสพูดถึงสงครามของเขากับสเปน... ซึ่งตรงกันข้ามกับที่ไอ้หน้าหนวดพูดโดยสิ้นเชิง... เขาชนะด้วยความสามารถต่างหาก!!!
"ฉันให้โอกาสนายไปจากตรงนี้ภายใน 10 วิ..."
ฝรั่งเศสมองหน้าอังกฤษด้วยความฉงน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะ
"1"
"คุณพี่ไม่ไปอ่ะ จะทำไม?
"2"
ชายผู้แก่กว่ายืนกอดอกฉีกยิ้มท้าทาย วนขณะที่เด็กๆเริ่มหันหน้ามาให้ความสนใจกับเกมแปลกๆของผู้ปกครอง...
"3"
อัลเฟรดตบมือชอบใจพลางช่วยอังกฤษนับถอยหลังในขณะที่แมทธิวมองตาโตด้วยความตื่นเต้น
"4"
"5"
ฝรั่งเศสยังคงยืนเฉย ยิ้มหน้ากวนประสาทในขณะที่อังกฤษหลับตากำหมัดและอัลเฟรดส่งเสียงหัวเราะเรื่อยๆ
"6..."
"ปาป๊า... คุณอังกฤษเริ่มน่ากลัวแล้วนะ..."
"7..."
"ปาป๊า! คุณอังกฤษมีควันออกมาจากหูด้วย ฮ่ะ ฮ่ะ..."
ฝรั่งเศสหันไปยิ้มกับแมทธิวโดยไม่สนใจเสียงนับของอังกฤษ...
"8..."
หน้าแมทธิวตอนหัวเราะนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ... โตขึ้นมาคงจะมีใบหน้าที่งดงามเหมือนปาป๊า โฮะๆๆ
"9....."
"ฮ่าๆๆๆ หน้าตาลุงตลกจังเลย ฮ่าๆๆ"
"ปาป๊าๆๆ ไปเหอะๆ"
แม้จะหัวเราะแต่แมทธิวก็สะกิดเรียกให้ชายชาวฝรั่งเศสรีบไปจสกที่นี่...
...เอาเถอะ... ก็เขาอยากรู้ว่าอังกฤษจะทำอะไร... จะแน่ซักแค่ไหนถึงต้องนับ 1 ถึง 10...
"10"
ทันทีที่นับครบสิบชายชาวอังกฤษก็ลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้าทะเล้นของฝรั่งเศสที่กำลังจะพูดอะไซักอ่าง ด้วยความโมโหที่เก็บสะสมมาจนครบสิบวิรวมกันทำให้หมัดของอาเธอร์ เคิร์กแลนด์เสยเข้าที่คางของชายชาวฝรั่งเศส...
.
.
.
...และฝรั่งเศสก็ไม่สามารสัมผัสหรือรู้สึกถึงสิ่งรอบตัวได้อีก...
"มีอะไรน่าขำ ฝรั่งเศส?"
ฝรั่งเศสที่กำลังมีความสุขกับความทรงจำของตัวเองเงยหน้าขึ้นจ้องตอบชายเมื่อผู้ดีเก่า...
"เปล่าหรอก โฮะๆ คุณพี่แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ ตอนที่เธออยู่กับอเมริกา ค่อกแค้กก"
อังกฤษทำหน้าหมองลงทันทีทีฝรั่งเศสเอ่ยประโยคจบ ในขณะที่คนพูดไออย่างจริงจังไม่ได้เฟคเหมือนคราวแรก...
ชายชาวอเมริกันมองอย่างสนใจ...
"เรื่องเก่าๆ? ของตาลุงอาเธอร์? ฮ่าๆๆๆ"
"ใช่ๆ อัลเฟรด... ตาลุงที่แก่แล้วไม่รู้จักเจียม ฮ่าๆๆ แค้กๆๆ"
แม้ว่าจะไออย่างต่อเนื่องแต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ทิ้งลาย ยักคิ้วลิ่วตาอย่างมีเลศนัยให้อังกฤษ...
ทำให้อังกฤษขยับตัวอย่างอึดอัด ยกมือกระแอมเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าจะเข้าเรื่องจริงจัง
"เอาล่ะๆ... ที่เราต้องการคือแค่นายประกาศว่าจะช่วยฝั่งเรา ที่เหลืออยากจะช่วยจริงๆรึเปล่าก็ตามใจ"
อัลเฟรดเลิกคิ้วให้กับข้อเสนอของอาเธอร์...
"แล้วตอนนี้ฝั่งนายมีใครบ้าง?"
อังกฤษทำหน้าคิด..
"มีฉัน ฝรั่งเศส... รัสเซียที่ไม่รู้หายหัวไปไหน... กับเบลเยี่ยม"
คำตอบที่ทำให้อเมริกาเลิกคิ้ว... แล้วพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดทันทีตามนิสัย
"ฉันก็ไม่เห็นว่านายจะเสียเปรียบตรงไหน?"
"เสียสิ!" อังกฤษทุบโต๊ะอย่างอารมณ์เสียที่กล่อมชายคนที่ตัวเองเลี้ยงมาเข้าร่วมได้ยากผิดคาด
"ฝั่งนู้นมีทั้ง เยอรมันกับเจ้าประเทศที่ไม่สมควรเป็นประเทศนั่น... เจ้าปรัสเซีย กับออสเตรีย ออตโตมันทั้งอาณาจักร แล้วก็อิตาลี่..."
คนเรียกประชุมพูดพลางนับนิ้วไปด้วย และพูดเสริมต่อ
"ถ้านายไม่ช่วยฉันว่าฉันคงแพ้แน่ๆ..."
คนรักศักดิ์ศรีอย่างเจ้าของสมญาณาม ผู้พิชิต 7 ทะเล เอ่ยปากพึมพำด้วยความไม่มั่นใจ...
ทำให้อเมริกาถอนหายใจ มีท่าทีที่อ่อนลง...
"โอเคๆ ฉันจะช่วยก็ได้... แต่ไม่ได้เพราะเห็นกับนายนะ... เพราะฉันเป็นฮีโร่ต่างหาก..."
อัลเฟรดพูดพลางหันหน้าไปทางฟรานซิสที่ฉีกยิ้มดีใจอย่างออกนอกหน้ารับ...
"ถือว่าชดใช้บุญคุณของนายที่ช่วยฉัน ประกาศอิสรภาพเมื่อนานมาแล้ว..."
ประโยคคำพูดของอเมริกาทำให้อังกฤษกระแอม แสร้งยกชาขึ้นจิบขัดบรรยากาศความอึดอัด...
"แต่ว่าอังกฤษ... นายเข้าใจผิดรึเปล่าที่บอกว่าอิตาลีอยู่ฝั่งเยอรมัน"
อังกฤษทำหน้างงๆ กับประโยคของอเมริกา
"ก็ฝรั่งเศสเพิ่งบอกฉันเมื่อกี๊ว่าอิตาลีอยู่ฝั่งพวกนาย..."
อาเธอร์ เคิร์กแลนด์หันไปมองหน้าชายชาวฝรั่งเศสอย่างตกใจ ในขณะที่ชายผมทองส่งรอยยิ้มกว้างกลับมาให้...
ในใจของอาเธอร์ คิดแต่เพียงว่า เจ้าบ้าไวน์นั่นชอบทำนอกแผนอยู่เรื่อย... ไม่เคยปรึกษากันก่อนว่าจะทำอะไรในเมื่อทั้งคู่ก็เห็นๆกันอยู่ว่าอิตาลีตามตื๊อเยอรมันขนาดไหน...
...เจ้าหน้าหนวดไม่เคยจำบทเรียนจากการกระทำโง่ๆของตัวเองที่แค่อยากเอาชนะ ไม่เคยคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในอนาคต...
...จุดอ่อนของฝรั่งเศสที่เขารู้ดี...
"แล้วนายไปทำยังไงให้อิตาลีนอมมาเป็นพวก?"
ฝรั่งเศสตอบอย่างลีลา
"อ่ะแฮ่ม.. คุณพี่ก็แค่อ้างสัญญาที่อิตาลีทำกับคุณพี่ลับๆ แล้วก็บอกแนวโน้มว่าฝั่งเราจะต้องชนะแน่ๆ แต่เจ้านั่นก็ทำท่าเหมือนไม่ยอมจนคุณพี่ต้องไปตามอิตาลีคนพี่ที่เกลียดคุณพี่น้อยกว่าเยอรมันหน่อยนึงมาทำแทน โฮะๆๆ”
"...เจ้านั่นก็เลยอยู่ฝั่งเรา?"
"Oui"
อเมริกาที่มองคนสองคนที่ประกาศว่าอยู่ฝั่งเดียวกันอย่างงงๆ...
...เขาเริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมที่ผ่านมาเจ้าสองคนนี้ถึงไม่ชนะ...
"ฝรั่งเศส เจ้าบ้า! แล้วทำไมนายถึงไม่บอกฉันก่อนหน้านี้? แล้วนายคิดว่าเรียกเจ้าพวกอิตาลีนั่นมาเข้าร่วมจะมีประโยชน์อะไรนอกจากมาหารผลประโยชน์หลังชนะไม่เข้าเรื่อง?"
"คุณพี่ก็แค่อยากข่มขวัญเยอรมันเท่านั้นแหละ เก็บไว้เป็นเซอร์ไพร์ไว้บอกนายตอนนี้ไง จะได้เห็นหน้าตลกๆของนายๆตอนรู้ โฮะๆๆ”
พูดพลางยักคิ้วส่งให้อังกฤษซึ่งกำหมัดแน่น กัดฟันพยายามระงับอารมณ์อย่างเต็มที่...
ทิ้งให้อเมริกาคิดกับตัวเองในใจอย่างปลงๆ กับภาพที่เห็นจนชินตามาหลายศตวรรษ...
...คิดถูกหรือผิดเนี่ยที่มาเข้ากับเจ้าพวกลุงๆนี่...
.
.
.
เสียงระเบิดและความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นที่กองทัพฝ่ายเยอรมัน... เมื่อทุกคนเพิ่งรู้ข่าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนกระดานเกมจากที่ใกล้ชนะกลายเป็นแพ้ได้ในพริบตา...
อเมริกาเข้าร่วมฝ่ายอังกฤษ ฝรั่งเศส...
เยอรมันลูบผมตัวเองที่เรียบอยู่แล้วให้ยิ่งเรียบลงไปอีก... ถ้าสถานการณ์มันจะเลวร้ายขนาดนี้... นึกโทษพี่ชายตัวปัญหาของตัวเองไม่น่าไปก่อเรื่องตั้งแต่แรก...
...ซึ่งตอนนี้หายไปไหนก็ยังหาตัวไม่เจอด้วย...
และอีกคนที่เขาไม่ได้ยินข่าวอีกเลยหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายและฟังคำขู่ของฝรั่งเศสก็คืออิตาลี...
ความเป็นห่วงเจ้าของใบหน้าหวานกับดวงตาสีเหลืองนั่นที่เกาะกุมอยู่นจิตใจทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันๆ
ในใจเขาหวังว่าอีกฝ่ายจะแอบมาหาเขาได้เหมือนอย่างเคย ในเมื่อเรื่องที่เคลียร์จนเหมือนจะจบแล้วของทั้งคู่ยังคงค้างคาใจเขาอยู่อย่างนี้...
เขาไม่มีเรื่องอะไรจะเคลียร์หรอก... มีแต่ความคิดถึง อยากเจอหน้า อยากคุยด้วยก็เท่านั้น... นึกอยากให้สงครามนี้จบเร็วๆ
เยอรมันรีบตบหน้าตัวเองแรงๆสองสามทีเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่...
...ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่เขาจะไม่คิดเรื่องอิตาลีระหว่างทำงาน ตั้งแต่เจอหน้าเฟลิเซียโน่ครั้งแรก จิตาใจของเขาตอนแรกที่มีแต่งาน งาน งาน ก็กลายมาเป็น เฟลิเซียโน่ เฟลิเซียโน่ เฟลิเซียโน่... แล้วก็โอเค... งาน...
ทำให้ระบบการทำงานสมองของลุดวิก ไวร์ชมิท ปั่นป่วน...
ชายชาวเยอรมันลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานอย่างอารมณ์เสียเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานอีกต่อไป จึงตัดสินใจออกมาเดินเล่น ชื่นชมทัศนียภาพบางทีอาจจะกำจัดความกังวลและคิดถึงคนที่ไม่เห็นหน้าหลายวันจะจางหายไปได้บ้าง...
“เยอรมัน นายเห็นปรัสเซียมั่งรึเปล่าช่วงนี้?”
ลุดวิก ไวร์ชมิทส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับประเทศฝ่ายเดียวกัน... ออสเตรีย...
“ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว ไม่รู้หมอนั่นหายไปไหน”
ออสเตรียยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า... ก่อนจะพูดด้วยความกังวล
“หายไปสองสามวันแรกยังไม่เท่าไหร่ ฉันลองไปหาหมอนั่นที่บาร์ก็ไม่เจอ... หายไปตั้งแต่วันที่บอกจะไปดูกองทัพรัสเซียแล้ว...”
“กองทัพรัสเซีย...?”
ชายชาวเยอรมันคิดไปถึงสถานการณ์ในรัสเซียตอนนี้ที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น... อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รัสเซียเริ่มถอยทัพอย่างไม่มีเหตุผล... ถือว่าเป็นโชคดีของฝั่งเขาทีเดียวถ้าหยุดฝั่งนั้นได้อาจจะมีโอกาสชนะขึ้นมาบ้าง...
...ถ้าไม่มีอเมริกา...
ยิ่งคิดถึงวิธีการที่จะทำให้ชนะสงครามได้ตอนนี้เยอรมันยิ่งหงุดหงิด...
ไม่อยากจะหลอกตัวเองอีกต่อไปว่าตอนนี้เขาเริ่มไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือสวัสดิภาพของอิตาลี... ตกลงว่าเจ้าฝรั่งเศสทำอะไรกับอิตาลี?
“เจ้านั่นบอกจะไปดูว่าทำไมทหารรัสเซียถึงถอยทัพแปลกๆ... แล้วก็หายไปเลย”
...หมอนั่นคงเอาตัวรอดได้... คือสิ่งที่เยอรมันคิดก่อนจะตัดสินใจถามออสเตรีย
“นายเห็นอิตาลีบ้างมั้ยพักนี้?”
ออสเตรียส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่เห็นเลยนะ... ไม่เห็นนานแล้วตั้งแต่เกิดสงคราม... นายถามถึงอิตาลีทำไม?”
“เปล่าไม่มีอะไร...”
ว่าแล้วเยอรมันก็เดินจากออสเตรียมาอย่างงงๆ ทิ้งความงงให้อยู่กับออสเตรียที่ยังคงกังวลถึงสวัสดิภาพของปรัสเซียในดินแดนแห่งความโหดร้าย... (?)
.
.
.
เย็นของวันนั้น...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในบ้านพักของเยอรมัน... ลุดวิกซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับแผนที่รีบตรงดิ่งไปยังโทรศัพท์ ยกหูตอบรับ
“อิตาลี?”
เกิดความเงียบขึ้นแปบนึงที่ปลายสาย...
“อะไรอิตาลี?”
เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของอีกคนที่คุ้นเคย... คนที่ออสเตรียเพิ่งมาถามหา... ทำให้ชายชาวเยอรมันถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ...
“ปรัสเซีย... นายไปทำอะไรไว้อีกล่ะ? ไม่ได้ก่อเรื่องใช่มั้ย?”
เสียงที่เขาได้ยินปลายสายคือเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่ชาย อีกฝ่ายกลับตอบเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง
“ใช่! เรื่องใหญ่ด้วย! นายคิดไม่ถึงแน่ๆ”
เยอรมันกุมขมับอย่างปลงๆ แค่สถานการณ์ตอนนี้ก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว อิตาลียังจะมาหายไปอีก แล้วก็พี่ชายจอมก่อเรื่องนี่... ใจคอโชคชะตาจะทำร้ายเขาให้จมอยู่กับเรื่องวุ่นวายที่เขาเกลียดแสนเกลียดนี่ตลอดเลยหรือไงนะ
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“รัสเซียยอมเซ็นสัญญาสงบศึกแล้ว!!! ฉันเจ๋งใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
ชายชาวเยอรมันตกใจนิดหน่อย... ที่ในที่สุดก็มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นบ้าง... แต่ด้วยความระแวงว่ายังจะมีข่าวร้ายตามหลังข่าวดีตามปกติของเรื่องที่พี่ชายเขาจัดการ ลุดวิกจึงเงียบรอปลายสายพูดต่อ...
“แต่ลุดวิก... ฉันยังกลับเยอรมันไม่ได้อ่ะ...”
“ทำไมล่ะ?”
เยอรมันพยายามอดทน บังคับตัวเองให้ใจเย็น รอรับฟังสิ่งที่กำลังจะได้ยิน...
“ฉันถูกขังอยู่ในคุกรัสเซียข้อหาอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติแหละ เจ๋งใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“จริงๆแล้วพวกนายก็ไม่ได้จนตรอกถึงขนาดนั้นนิ่... ทำไมถึงมาชวนฉันเข้ามร่วมด้วยล่ะ...”
อเมริกาเอ่ยท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าในกรุงปารีส... ส่วนที่ยังปกติอยู่... สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับวันปัจจุบันที่พากหัวข่าวเรื่องเยอรมันใช้เรือดำน้ำจมเรืออเมริกา... ทำให้สหรัฐฯเข้าร่วมสงคราม...
“ความคิดอังกฤษน่ะ... แต่มีนายเข้าร่วมก็ดีกว่าอยู่แล้ว... ป่านนี้เยอรมันคงปวดหัวกุมขมับหาวิธีการชนะคุณพี่ใหญ่...”
“แต่นายก็ใจร้ายมากเลยนะ... ทั้งๆที่รู้ว่าเยอรมันกับอิตาลี...”
ฝรั่งเศสเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย อเมริกาจึงหยุดประโยคเอ่ยไขข้อข้องใจ...
“ญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังน่ะ... เรื่องสมัยก่อน”
แม้จะยังสงสัยว่าญี่ปุ่นรู้เรื่องในอดีตของฝั่งยุโรปได้ยังไงหรือตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อเมริกาสนิทกับญี่ปุ่นแต่ชายชาวฝรั่งเศสก็เลือกที่จะเอ่ยเหตุผลแก้ตัวมากกว่า...
“คุณพี่ก็คิดว่าตัวเองใจร้ายนะ ฮ่ะฮ่ะ... บางทีนี่อาจจะเป็นบาปของคุณพี่ก็ได้ที่ทั้งๆที่เป็นประเทศแห่งความรักแต่ยังไงก็ไม่สมหวังในความรัก ฮ่ะๆ...”
“ฉันก็อยากจะเป็นฮีโร่ช่วยพวกนายหรอกนะ... ถ้าไม่ติดว่าตาลุงอาเธอร์นั่น...”
“ชู่ว์ๆ ไม่ต้องพูดหรอก คุณพี่รู้ดี...”
ทั้งสองคนเดินเอื่อยๆไปท่ามกลางบรรยากาศอันสวยงามของกรุงปารีสที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็น ริมฝั่งแม่น้ำเซน... ลมเย็นๆกับแสงแดดอุ่นๆของฤดูร้อน...
ฤดูเดียวกับเหตุการณ์ ปี 1776, อเมริกาประกาศอิสระภาพ...
.
.
.
“เวลาหาผลประโยชน์ของนายบนดินแดนนี้มันจบลงแล้วล่ะอังกฤษ...”
ชายอายุไม่เกิน 20 ที่ดูแข็งแรงกว่าเด็กวัยเดียวกันทั่วไปพูดอย่างเย็นชาโดยไม่มองน้าคู่สนทนาที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น... มืออันสั่นเทาของคนแก่กว่ากำแน่น พยายามฝืนใจไม่แสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น...
...จะร้องไห้ต่อหน้าคนที่ตัวเองเลี้ยงมาได้ยังไง... เขาต้องเข้มแข็งสิ... จะร้องไห้ไม่ได้เด็ดขาดแม้จะความอดทนฝืนให้ดูเหมือนเข้มแข็งจะใกล้หมดลงแล้วก็ตาม...
“รีบไปซะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจสั่งยิงนาย...”
...คนใจร้าย... ไม่มีแม้แต่เยื่อใยให้กันเลยงั้นหรอ... ช่วงเวลาและความทรงจำที่มีร่วมกันที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไรเลยมั่งหรือไง...
อังกฤษฝืนใจเท้าแขนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วหันหลังพอดีกับที่ความอดทนไม่ให้ร้องไห้หมดลง... น้ำใสๆไหลจากดวงตาของชายชาวอังกฤษขณะที่ค่อยๆก้าวเดินห่างออกไปจากชายคนที่คิดไว้ว่ารักที่สุด...
“อังกฤษ ออกไป! อังกฤษ ออกไปป!”
เสียงตะโกนดังไล่ข้างหลังจากประชาชนของดินแดนแห่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกถึงความสูญเสีย... ไม่เคยมีเหตุการณ์ครั้งไหนที่ทำให้เขาเสียใจเท่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ว่าจะแพ้สงครามมากี่ร้อยครั้งก็เทียบไม่ได้...
ท้าวที่ก้าวรู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ... ความรู้สึกสูญเสีย... ถูกทรยศ... อาลัยอาวรณ์... รัก... หลายๆอย่างรวมกันทำให้สมองที่ปกติจะสั่งการอย่างชาญฉลาดหยุดทำงานชั่วขณะ... ในที่สุดอังกฤษก็หยุดเดิน และหันหน้ากลับไปหาคนที่เพิ่งเดินจากมา ตัดสินใจพูดความในใจของตัวเองเป็นครั้งแรกจากใจ...
“อเมริกา! นายอาจจะคิดว่าฉันใจร้าย!! ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์...”
สายฝนที่กระหน่ำตกลงมาชะล้างน้ำตาบนใบหน้าของเขาลงสู่พื้นดิน... แต่ไม่น่าจะสามารถปกปิดอาการสั่นเทาเหมือนคนกำลังสะอื้นของเขาไปได้... อเมริกาเหมือนจะสังเกตเห็นจึงยืนนิ่งฟังด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่แสดงความรู้สึก...
“แต่นายคงไม่รู้... ว่าตลอดเวลาทีมีชีวิตอยู่... คนที่ฉันรักที่สุดก็คือนาย...”
ประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ... ด้วยเม็ดฝนที่เริ่มหนาข้ำจนมองไม่เห็นหน้าบุคคลฝั่งตรงข้ามทำให้ชายชาวอังกฤษแน่ใจว่าอเมริกาคงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด...
อาเธอร์ เคิร์กแลนด์หอบร่างของตัวเองมาจนถึงบ้านบนแผ่นดินใหม่ เปิดประตูและเหวี่ยงปิดอย่างรุนแรง เดินไปยังห้องนอนหยิบเสื้อผ้าในตู้ยัดใส่กระเป๋าไม้ใบใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงข้างตู้ซบลงร้องไห้กับฝ่ามือตัวเอง...
เสียงฝีเท้าจากอีกจากทางเดินไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของชายผู้กำลังตกอยู่ในห้วงงความเศร้าเลยแม้แต่น้อย... จนกระทั่งเสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนปรากฏเห็นเท้า 2 ข้างของชายผู้ไม่สมควรอยู่ที่หน้าตรงหน้าชายชาวอังกฤษจึงรู้สึกตัว...
เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ยิ่งรู้สึกเสียใจและขัดใจที่คนในความเป็นจริงไม่เหมือนกับที่คิดคาดหวังไว้... ตรงหน้าของอาเธอร์ เคิร์กแลนด์ คือคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดเวลานี้...
“มาเยาะเย้ยฉันหรือไง?”
เอ่ยถามอย่างขุ่นเคืองด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจากการร้องไห้ คนเด็กกว่าลุกขึ้นยืนเอามือกอดอกด้วยความหนาวจากสายฝนที่เพิ่งฝ่ามาเมื่อครู่ และความทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายก้มมองคุยกับตัวเอง
“เปล่า...”
อังกฤษหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินคำตอบจากชายชาวฝรั่งเศส... ในขณะที่ฝรั่งเศสกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูโยนให้คนตัวเล็กกว่า
“ไม่ต้องมาทำดีกับฉัน...”
อังกฤษหยุดประโยค กลั้นเสียงสะอื้นก่อนจะพูดต่อ...
“ในเมื่อส่วนนึงที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ก็คือนาย!”
หยิบผ้าขนหนูที่อีกฝ่ายส่งให้มาเช็ดหัวตัวเองอย่างลวกๆ แล้วก้มลงนั่งเก็บของต่อทั้งๆที่เสียงสะอื้นเหมือนจะดูหนักขึ้นเรื่อยๆ...
...ทั้งโกรธและเสียใจที่อัลเฟรดทำเหมือนเขาไม่มีหัวใจ...
...แต่โกรธอีกคนมากกว่าที่รู้ทั้งรู้ว่าเขารักอัลเฟรดมากขนาดไหนยังจะช่วยทำให้เขาสูญเสียคนที่เขารักที่สุดไป...
เงยหน้ามองฝรั่งเศสด้วยสายตาที่สื่อหลากหลายอารมณ์... โกรธ... เสียใจ... ผิดหวัง... และน้อยใจ... ชายชาวฝรั่งเศสจึงลงมาคุกเข่านั่งข้างๆ...
“อเมริกาควรจะเป็นประเทศได้แล้วนายก็รู้... หมอนั่นมีทุกอย่าง ทั้งแผ่นดิน ทรัพยากรณ์ ทอง... มีคนที่ตั้งใจอยากจะเป็นอิสระ... ซักวันนึงหมอนั่นก็ต้องรู้ตัวแล้วจากนายไป... ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรืออีกต่อๆไปในอนาคต...”
อาเธอร์ เคิร์กแลนด์ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นด้วยความไม่อยากยอมรับความจริง... ยังคงต่อล้อต่อเถียงด้วยความดื้อ ยึดมันในความคิดของตัวเอง
“ไม่จริง! อย่างน้อยถ้านายไม่ช่วยอัลเฟรดทำสงคราม หมอนั่นคงไม่ไปจากฉัน”
ฟรานซิส ถอนหายใจอย่างอ่อนใจก่อนจะพูดต่ออย่างใจเย็น...
“แล้วนายคิดว่าถ้าฉันไม่ช่วย แล้วหมอนั่นแพ้ สุดท้ายคนที่อัลเฟรดจะโกรธแล้วก็เกลียดมากที่สุดก็คือนายไม่ใช่หรอ...”
อังกฤษยิ่งร้องไห้หนัก... ทำให้ฝรั่งเศสที่จริงๆแล้วตั้งใจจะมาปลอบจนปัญญา...
...ท่าทางครั้งนี้จะโกรธหนักจริงๆขนาดไม่ฟังเหตุผลซักอย่าง...
“ทำไมล่ะฟรานซิส?... ทั้งๆที่ฉันรักเขามากขนาดนั้น... ทำไมเขาถึงยังจะไปจากฉัน?”
ชายชาวฝรั่งเศสดึงตัวของคนที่ดูท่าทางจะร้องไห้จนหมดแรงเริ่มสงบลงเข้ามาปลอบ... จงใจลืมข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งคู่เป็นศัตรูกันไปชั่วขณะ... ฝ่ามือของฟรานซิสลูบหัวปลอบประโลมคนเด็กกว่าอย่างอ่อนโยน เหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต... ในช่วงเวลาก่อนที่ดินแดนจะเริ่มถูกแบ่งเขต... คนจะเริ่มเป็นประเทศ...
“รักของนายมันคือรักแบบครอบครองไงล่ะ... นายเจ็บใจเพราะไม่เคยมีประเทศอาณานิคมไหนทำกับนายแบบนี้มาก่อน แล้วก็เสียใจที่คนแรกที่ทำกลายเป็นคนที่นายรักที่สุด...”
“แต่ส่วนนึงในใจของนายก็ต้องมีความหวังดีที่อยากให้อัลเฟรดมีความสุขอยู่ใช่มั้ย... ปล่อยเจ้านั่นไปเถอะ... ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเลยนิ่... ถ้านายคิดถึงเจ้านั่นมากก็กลับมาเยี่ยมก็ได้”
เสียงสะอื้นของอาเธอร์ค่อยๆเงียบลงเรื่อยๆในขณะที่ฟรานซิสยังคงลูบหัวสีทองๆอย่างใจเย็น... กระซิบคำปลอบโยนให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูสงบลง... ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายอยู่ภายนอก บนผืนแผ่นดินทวีปใหม่ที่กำลังรอการค้นพบ...
.
.
.
ความคิดเห็น