คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue : บทนำ
Prologue
Bones sinking like stones
All that we've fought for
Homes, places we've grown
All of us are done for
We live in a beautiful world
Yeah we do
Yeah we do
We live in a beautiful world
Oh all that I know
there’s nothing here to run from
Cause here
everybody here's got somebody to lean on
Don’t Panic – Coldplay
พฤษภาคม, 1882
ภายในบ้านหลังใหญ่ตกแต่งตามแบบฉบับของยุคที่อะไรๆก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างยุคนี้บ่งบอกถึงความใหม่ของตัวบ้านได้เป็นอย่างดี เข้านั่งอยู่ภายในห้องรับแขกบนโซฟาหนังสีขาวสะอาดที่ดูหรูหรา มองสำรวจไปรอบห้องรอการปรากฏตัวของเจ้าของบ้าน... แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลานัดแต่ด้วยนิสัยเจ้าระเบียบของเขาเองทำให้เขาต้องมาตรงเวลาหรือมาก่อนตามมารยาท
เขาไล่สายตาจากวอลเปเปอร์ตกแต่งโทนสีเขียว-ขาว มีสีแดงแต้มจุดเล็กน้อยเป็นส่วนหนึ่งของลายบนฝาผนัง วอลเปเปอร์สีเขียว-ขาว-แดง ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสีของธงชาติ จนมาสะดุดกับกรอบรูปลายเรียบๆที่วางอยู่บนเตาผิง
ในภาพปรากฏผู้ชายอายุประมาณ 20 ปีสองคน คนแรกมีผมสีน้ำตาลเข้มกับนัยน์ตาสีฮาเซล ทำหน้าบึ้ง กับอีกคนที่เมื่อเห็นหน้าแล้ว สะกดสายตาของเขาให้มองอย่างไม่อาจจะละไปที่อื่นได้... ไม่ใช่เพราะใบหน้าหวาน และรอยยิ้มสดใส ที่ทำให้เขาไม่สามารถละสายตาไปที่อื่น แต่เป็นความคุ้นเคยอย่างประหลาดที่ตรึงให้เขาหยุดอยู่กับภาพนั้น แม้จะพยายามปฏิเสธตัวเองว่าก็แค่คิดไปเองก็ตาม
นั่นสะกิดความคิดของเขาว่าอิตาลี่คนไหนที่จะมาเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับเขาในวันนี้... เสียงเล็กๆส่วนลึกในใจบอกเขาว่าอยากให้เป็นคนที่เขากำลังจ้องอยู่ ด้วยความคิดที่ว่าบางทีถ้าหากเห็นหน้าอาจจะทำให้เขานึกออกว่าคนคนนั้นคือใคร มีความสำคัญอะไรกับเขากันแน่
“Buon Giorno Signore
เขาละสายตาจากรูปภาพหันไปตามเสียงเรียก เบื้องหน้าของเขาคือชายรูปร่างสมส่วนยืนส่งรอยยิ้มกว้างสดใส กับดวงตาที่หรี่เล็กลงตามความกว้างของรอยยิ้มแบบเดียวกับในรูป... แม้เขาจะยังนึกไม่ออกว่าคนตรงหน้าเป็นใครแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ... แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าหน้าตาดี... พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะมันต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับคนคนนี้ที่ทำให้เขาสนใจขนาดนี้
ชายผู้เป็นตัวแทนของอิตาลี่เดินตรงมานั่งข้างเขาระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยิบซองเอกสารวางลงบนโต๊ะ ซึ่งซองนั้นก็คือสัญญาการเป็นพันธมิตร—สัญญาพันธไมตรี ระหว่างสองประเทศนั่นเอง
“เว่~ อิตาลี่ดีใจมากๆเลยที่มีประเทศที่เข้มแข็งอย่างคุณเยอรมันมาเป็นพันธมิตรด้วย เป็นโชคดีของเราจริงๆ”
แม้จะสะดุดกับคำอุทานประหลาดๆของอิตาลี่แต่เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านสนธิสัญญาอย่างรอบคอบก่อนจะจรดปากกาลงเหนือเส้นที่มีวงเล็บข้างใต้ว่า ลุดวิก ไวร์ชมิท ด้วยหน้าที่ที่เป็นตัวแทนของประเทศเยอรมันนี
“เราเองก็ต้องขอบคุณ คุณอิตาลี่ด้วยเช่นเดียวกัน ที่ตกลงเข้าร่วม”
พูดพลางเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของชายชาวอิตาลี่ที่ยิ้มรับคำขอบคุณอย่างร่าเริงก่อนที่ริมฝีปากบางๆนั่นจะเปิดออกส่งเสียงอีกครั้ง
“เว่~ ถ้าไม่รังเกียจ คุณเยอรมันสนใจจะทานมื้อกลางวันด้วยกันมั้ยครับ ไหนๆก็เป็นพันธมิตรกันแล้ว... จะได้รู้จักกันมากขึ้น”
“ด้วยความยินดีครับคุณอิตาลี่”
เขาตอบรับทันทีอย่างรวดเร็ว และสังเกตเห็นอิตาลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดของเขาจึงเข้าใจว่าตัวเองคงจะตอบผิด ไปตอบรับคำชวนตามมารยาทที่ไม่ได้ตั้งใจจะชวนจริงๆ กำลังจะเอ่ยปาดแก้ตัวทว่าคนตรงหน้ากลับพูดขัดขึ้นมาก่อน
“งั้นเริ่มด้วยชื่อดีมั้ยครับ เว่~ เรียก เฟลิเซียโน่ดีกว่าครับ ผมชื่อเฟลิเซียโน่ วากาส”
ชายผู้เป็นตัวแทนของประเทศเยอรมันยิ้มให้กับความเป็นกันเองของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“ก็ได้ครับ... ลุดวิก ไวร์ชมิท ครับ เฟลิเซียโน่”
หลังจากได้รับรอยยิ้มกว้างที่ชายผู้ที่ตอนนี้หันหลังมุ่งหน้าไปยังส่วนในของบ้านส่งให้ เขาก็ลุกขึ้นยืนเดินตามชายชาวอิตาลี่เข้าไปในส่วนที่คิดว่าเป็นห้องครัวและห้องอาหารของบ้าน ในบรรยากาศที่ดูเป็นทางการน้อยกว่าตอนครั้งแรกที่เข้ามา
“เว่~ งั้นไปกันเถอะ! ทำพาสต้าไว้ กินได้ใช่มั้ยครับ!”
แม้ประโยคที่พูดจะดูเหมือนเป็นประโยคคำถาม แต่คนที่ดูเหมือนจะถามก็ไม่ได้สนใจในคำตอบทำให้ชายร่างสูงต้องต้องตอบรับอย่างช่วยไม่ได้...
“แคว้นนั้นมันเป็นของฉัน!”
“เป็นของปรัสเซียสุดออวซั่มอย่างฉันต่างหากล่ะ! ฉันชนะนายครั้งนั้น มันเป็นของฉันถูกแล้วโว้ย!”
“แคว้นนั้นเป็นของฉันตั้งแต่นายยังเล่นวิ่งไล่จับกับไอ้นักเปียโนแว่นนั่น คนโง่ที่แยกไม่ออกระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายอย่างนายน่ะหุบปากไปเลย!”
“ดีกว่าคนที่ต้องพึ่งผู้หญิงถึงจะชนะสงครามอย่างนายละกันว่ะ!”
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นแต่ตั้งแต่ตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตูบ้าน... จากน้ำเสียงคุ้นแคยและลักษณะการพูดแล้วแขกผู้มาเยือนในบ้านของเขากับพี่ชายคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ฟรานซิส บอนเนฟอย หรือตัวแทนประเทศฝรั่งเศส หนึ่งในแก๊งเพื่อนร่วมสร้างปัญหาให้คนอื่นของพี่ชายเขา กิลเบิร์ต ไวร์ชมิท
“ไม่กลับจนกว่าจะได้แคว้นคืน! นายไม่สมควรได้แคว้นนั้น! เอาคืนมา!”
หลักฐานที่เป็นสาเหตุของการส่งเสียงโวยวายครั้งนี้ระหว่างพี่ชายเขากับเพื่อนพี่คือขวดเบียร์และขวดไวน์วางระเกะระตามทางเดินอยู่ในโถงของบ้าน จำนวนเกินกว่าห้าขวดบ่งบอกว่าทั้งคู่คงจะเมากันแล้วจึงได้ทะเลาะวิวาท ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก... เพราะปกติทั้งคู่จะเมาแล้วหาคนอื่นเป็นเหยื่อมากกว่ามาทะเลาะกันเอง... คนอื่นที่ว่านั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขานั่นแหละ...
“ไม่ว่านายจะว่ายังไงแคว้นนั้นก็เป็นของฉัน! กลับบ้านไปกินไวน์เหอะ!”
“นายนั่นแหละกลับไปให้อาหารนกโง่ๆของนายเหอะ!”
แล้วเขาก็เดินมาถึงแหล่งกำเนิดของเสียงตะโกนโวยวายนั้น... สภาพของห้องดูไม่ได้เท่าไหร่... คาดว่าคงต้องเก็บอีกนาน...
*แก้ไขนิดหน่อยจ้า: 20/03/12
“กล้าดียังไงมาว่ากิลเบิร์ดสุดออวซั่ม!”
กิลเบิร์ตพูดพลางลูบหัวนกสีเหลืองตัวเล็กที่เกาะอยู่บนไหล่
“อย่างน้อยมันก็ยังดูแลตัวเองได้... ซื่อสัตย์”
“แล้วไง? มันก็แค่นกตัวนึง ฉันมาทวงของคืน ไม่ได้มาเถียงเรื่องนก”
เขาเห็นสีหน้าของฟรานซิส ดูจริงจังได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สองคนนี้จะทะเลาะกัน หรือเถียงกัน นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่แปลกคือความจริงจังจากน้ำเสียงของฟรานซิส ตั้งแต่สงครามครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา ก็ได้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ของเพื่อนคู่นี้ แม้จะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักแต่เขาก็อดห่วงไม่ได้จึงตั้งใจจะห้าม
“ฉันก็ไม่ได้หมายถึงเรื่องนก... กิลเบิร์ดของฉันออวซั่มเกินกว่าจะเป็นแค่นกธรรมดา”
“กิลเบิร์ต พี่เมามากแล้ว ปล่อยฟรานซิสกลับบ้านไปเถอะ”
เขาพูดเสียงดังพอสมควร แต่ก็ไม่ดังพอที่จะหยุดบทสนทนาที่ยังไม่จบนี้ได้
“นายจะเอาแคว้นไปทำไม ในเมื่อตัวนายเองก็ยังจัดการเรื่องของตัวเองไม่ได้?”
กิลเบิร์ตเงยหน้าจากนกตัวเล็กสีเหลืองที่เกาะอยู่บนไหล่ขึ้นมามองหน้าฟรานซิส
“นายตั้งใจจะหมายถึงอะไร?”
“กิลเบิร์ต พอได้แล้ว นายเมามากแล้วนะ”
ลุดวิกพยายามห้ามด้วยการเดินเข้ามาแตะไหล่พี่ชาย แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้...
“คนออวซั่มอย่างฉัน จัดการเรื่องของตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่เหมือนนาย ต่อให้เป็นร้อยเป็นพันปีก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยน”
หลังจบประโยค ดูเหมือนสติของฟรานซิสจะหายไปชั่วครู่ ในขณะที่กิลเบิร์ตซึ่งยืนประจันหน้ากับฟรานซิสมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่มีจุดหมาย เกิดความเงียบขึ้นในห้องสร้างความตึงเครียดแก่สิ่งมีชีวิตภายในห้องก่อนที่ความเงียบนั้นจะถูกทำลายลงโดยฟรานซิสที่หายจากอาการช็อค
“ฉันหวังว่านายจะไม่ได้หมายถึงคนคนนั้นอย่างที่ฉันสงสัย ไม่งั้น แม้แต่ความรักจากประเทศแห่งความรักอย่างฉันก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้”
ฟรานซิสมองหน้ากิลเบิร์ตนิ่งก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องและทิ้งท้าย...
“อัลซาส-ลอเรน เป็นของฉัน นายรู้ดีตั้งแต่ก่อนจะทำสงคราม”
หลังจากเสียงปิดประตู ความเงียบก็ได้กลับมาเยือนห้องรับแขกของสองพี่น้องไวร์ชมิทอีกครั้ง ลุดวิกถอนหายใจทำลายความเงียบครู่นั้นก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดด้วยรู้ว่าการหวังลมๆแล้งๆให้กิลเบิร์ตจัดการนั้นไม่เคยประสบความสำเร็จ... อีกทั้งตอนนี้พี่ชายซึ่งดูเหมือนจะสร่างเมาแล้วยังมีเรื่องอื่นให้ต้องคิด...
“ฟรานซิสยังไม่เลิกสนใจหมอนั่นจริงๆหรอ...”
กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นเบาๆพลางลูบหัวกิลเบิร์ดที่อยู่บนไหล่
“ไม่ออวซั่มเลยแฮะ...”
ลุดวิกซึ่งก้มลงทำงานเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายก่อนจะพูดความคิดเห็นของตัวเอง
“พี่ไม่น่าทำให้ฟรานซิสโกรธ มันจะยิ่งทำให้เรื่องตอนนี้แย่ลงกว่าเดิม”
แม้จะไม่ได้พูด แต่ชายชาวเยอรมันคนน้องก็คิดว่าพี่ชายตัวเองรู้ดีจากประสบการณ์ว่าทั้งความตึงเครียดจากประชาชนและรัฐบาลของฝรั่งเศสที่อยากได้แคว้นสองแคว้นสำคัญคืน คือ อัลซาส-ลอเรน ที่เยอรมันได้จากชัยชนะในสงครามของปรัสเซีย หรือสถานะการณ์บริเวณทะเลบอลข่านระหว่างออสเตรียและรัสเซียที่แย่งความรับผิดชอบในประเทศบริเวณนั้นอาจก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ได้ในอนาคต...
สถานะการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก... โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่ละประเทศต่างรวมตัวกันหาพันธมิตรมาเป็นฝ่ายตนซึ่งเป็นสิ่งที่นิยมทำกันอยู่ในขณะนี้... ทั้งการที่เขาเซ็นสัญญากับอิตาลี่... หรือการที่ปรัสเซียเซ็นสัญญาลับๆกับรัสเซียทั้งๆที่แสดงตัวว่าอยู่ข้างออสเตรีย-ฮังการี่...
กิลเบิร์ตกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด จนสุดท้ายจึงเอ่ยปากตอบน้องชาย
“จริงด้วย... ไม่ออวซั่มเลยแฮะ...”
ลุดวิกถอนหายใจอีกครั้งให้กับสมองขี้เลื่อยของพี่ชายเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องถามคนเป็นพี่
“กิลเบิร์ต... พี่เคยเจออิตาลี่รึเปล่า?”
ประโยคนั้นเรียกความสนใจจากกิลเบิร์ตได้เป็นอย่างดี ทำให้เยอรมันคนพี่หลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อิตาลี่คนไหนอ่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
กิลเบิร์ตตอบคำถามนั้นอย่างซึ่งท่าทางกวนประสาทหรือคำพูดหยอก ซึ่งถือว่าผิดปกติสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองออวซั่มอยู่ทุกขณะจิต... เดาเหตุผลจากการกรดังกล่าวได้สองอย่างคือ พี่ชายเขากำลังกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น หรืออิตาลี่คนนี้มีอะไรพิเศษ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
“คนที่ชื่อเฟลิเซียโน่”
ชายเยอรมันคนแก่กว่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“เคย... นานมาแล้ว สมัยที่...”
ทว่าคำพูดนั้นก็ถูกขัดด้วยเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะข้างโซฟาที่ดังขึ้นในเวลาสำคัญได้อย่างเหมาะเจาะ... ลุดวิกหงุดหงิดเล็กน้อยที่โดนขัด แต่ที่เขาสนใจมากกว่าคือบุคคลผู้ถือสายรอเขารับโทรศัพท์... อาจจะเป็นเรื่องสำคัญจากบอสหรือปัญหาอย่างอื่นจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรที่สนิทที่สุดของเขาในตอนนี้คือ โรเดริค เอลเดสไตน์ หรือตัวแทนประเทศออสเตรีย...
ชายชาวเยอรมันมัวแต่สนใจโทรศัพท์จนลืมสนใจพี่ชายชาวปรัสเซียที่นั่งอยู่ที่พื้น จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง...
.
.
.
*แก้บทนำ 24/03/13
“เขาตายแล้ว... โฮลี่ โรมัน ตายแล้ว...”
สีหน้าช็อคของอีกฝ่ายคือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากจบประโยคคำพูดของตัวเอง
“ไม่จริง! เขาสัญญากับฉันว่าจะกลับมาหลังจากสงคราม! ปรัสเซียโกหก!”
เขาออาจจะเป็นคนเลวที่สุดในสายตาของตัวเองตอนนี้ แต่เขาก็ต้องทำ เพื่ออนาคตของประเทศเขาต้องทำให้น้องชายคนใหม่ของเขาลืมอดีต...
...อดีตที่ผูดมัดตัวเองไว้กับคนคนนึง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยก็พันปีก็ไม่สามารถลบไปจากใจได้...
“เป็นความจริง อิตาเลีย... ฉันแนะนำว่าให้เธอลืมเขาซะ คนตายไม่มีวันฟื้นกลับมาได้...”
ย้ำคำพูดของตัวเองอีกรอบ ให้ฝ่ายตรงข้ามลืมเรื่องพวกนี้ไปเช่นเดียวกัน... เพราะมันคงไม่ดีกับทั้งสองฝ่ายหากฝ่ายหนึ่งยังจำเรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ฝ่ายเดียว... จะทรมาณเปล่าๆ
“ไม่จริง! คุณออสเตรียโกหก! ปรัสเซียโกหก! ทุกคนโกหก!!!”
ปรัสเซียได้แต่หวังว่าวันนั้นเขาจะไม่ได้พูดประโยคนั้นไป... ไม่ได้ยืนยันกับอิตาลี่ว่าโฮลี่ โรมัน ตายแล้ว... จริงอยู่ว่า โฮลี่ โรมัน ล่มสลาย แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าตัวแทนของอาณาจักรนั้นจะหายไปจากโลกนี้... บางทีหากทีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ผู้ชายผมสีบอด์นตาสีฟ้าคนนั้นของอิตาลี่อาจจะกลับมา จริงๆ ก็ได้...
เขาก็ได้แต่หวังอย่างที่ทุกคนหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น... ความหวังที่นอกเหนือจากความหวังให้เกิดสันติภาพขึ้นเร็วๆนี้ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ที่ไม่มีใครเคยเจอมาก่อน...
เขาก็ได้แต่หวังอย่างมนุษย์ธรรมดาๆเท่านั้น...
ความคิดเห็น