ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สูญเสีย
แล้ว 1 เดือนก็ผ่านไป เวลาในโลกช่างหมุนไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน หลังเลิกเรียน ผมกลับมานั่งจ้องเค้กที่เพื่อนของผมรวมเงินกันซื้อมาให้ พลางปักเทียนไปด้วยอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมนั่งเหม่ออยู่จนกระทั่งถึงหัวค่ำ พ่อเดินเข้าบ้านมา ผมหลงดีใจเมื่อเห็นหน้าพ่อ แต่เมื่อพ่อเปิดประตูรถ ปรากฏร่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ผมเรียกเขาว่าเมียน้อยของพ่อ ผมอึ้ง พูดอะไรไม่ออก วันเกิดผมแท้ๆ นี่นะหรือคือของขวัญที่พ่อให้ในวันเกิดผม พ่อหันมาเห็นผม บอกผมว่า "อย่าบอกแม่ของแกนะ" ทั้งสองคนพากันขึ้นไปบนชั้นสอง
ตอนนั้นผมน่าจะชกพ่อไปซักที ผมยังจำได้ดี แม่เคยพูดว่าพ่ออยากจะไปหาเสพหาเลยที่ไหน แม่ไม่เคยว่า แต่ต้องไม่ใช่ที่บ้าน สถานที่ที่เก็บความทรงจำดีๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างครอบครัวของเรา พ่อคงลืมไปแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าพ่อคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อเค้กวันเกิดถูกผมปัดกระจุยกระจาย
ผมวิ่งออกจากบ้าน..... หยุดคิด มองไปรอบๆ ไม่รู้จะไปทางไหน
ผมทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้น
2 ชั่วโมงผ่านไป แม่ขับรถเข้าบ้าน ทั้งๆทีพ่อกับเมียน้อยยังกกกันอยู่ข้างใน ประตูรถของแม่เปิดออก ผมวิ่งเข้าไปหาแม่ แม่เปิดกระโปรงรถ หยิบกล่องกระดาษกล่องเล็กขึ้นมา ยื่นมาให้ผม ผมยังจำน้ำเสียงและสีหน้าของแม่ในวันนั้นได้อย่างแจ่มชัด "สุขสันต์วันเกิดนะ อาร์ต"
ผมกอดแม่....
ผมไม่แคร์หากใครจะมองว่าผมเป็นลูกแหง่ จะมีใครในโลกซักกี่คนกันที่เราจะกอดแล้วอบอุ่นได้เหมือนแม่ แม่เองก็กอดผมตอบ หยดน้ำเล็กๆตดลกมาบนบ่าของผม แม่กำลังร้องให้ เช่นเดียวกับผมของเหลวใสล้นทะลักออกมาจากตาและความรู้สึกของเราทั้งคู่ ผมอยากพูดว่าขอบคุณแม่เหลือเกิน แต่ในตอนนั้น มันเหมือนกับมีอะไรซักอยากปิดปากผมไว้ ทำให้ผมพูดไม่ออก
หลังจากวันเกิดผม 3 สัปดาห์ แม่ไปหาหมอในตอนเช้า ตรวจสุขภาพเหมือนทุกๆปี ตอนนั้นผมกำลังเตะบอลอยู่ในสนามที่โรงเรียนกับเพื่อน ผมเริ่มทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างครอบครัวของเราได้ แม่โทรมาหาผมหลายมิสคอล คงจะเป็นตอนที่ผมกำลังเตะบอลเข้าประตูอย่างสวยงาม
"แม่ไปตรวจร่างกายมา" แม่พูดเสียงเรียบๆผ่านโทรศัพท์
"ครับ "
"หมอบอกว่า.... แม่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง" แม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหมือนเดิม แต่จิตใจและอารมณ์ของผมมันต่างออกไป เรี่ยวแรงที่มีในตอนแรกอัตรธานหายไปหมด ขาทั้งสองข้างหมดแรก ผมทรุดลงไปบนพื้น
หลังเลิกเรียน... ผมไม่เคยรีบกลับบ้านมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
รถของแม่จอดอยู่หน้าบ้าน บอกให้รู้ว่าแม่อยู่ในบ้านแล้ว วันนี้แม่กลับบ้านเร็วผิดปกติ แต่ผมไม่สนจหรอก แค่ได้เจอแม่ผมก็มีความสุขมากแล้ว
"แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว" ผมรีบวิ่งเข้ามาได้บ้าน คาดหวังว่าจะได้เจอแม่นั่งรอผมอยู่ในห้องนั่งเล่น เปล่า... ไม่มีใครอยู่ บรรยากาศของทั้งบ้านยังดูว่างเปล่าเหมือนเดิม ผมพบแม่นอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ในครัว เศษแก้วเหล้าแตกเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด โชคดีที่ผมมีสติพอดีจะห้ามเลือดของแม่ไว้ก่อน และโทรเรียกรถพยาบาล
ผมโล่งใจที่สุดเมื่อหมอเดินออกมาจาก ICU บอกผมว่าแม่ปลอดภัย เพียงแต่ต้องนอนพักฟื้นให้เลือดและน้ำเกลือ คืนนั้นผมนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล
ผมรู้ดีว่าเวลาของผมที่จะได้อยู่กับแม่ มันเหลือน้อยลง.....น้อยลงแล้ว
แม่ไม่ค่อยพูดยิ่งกว่าเมื่อก่อน และพ่อก็ยังไม่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง ผมพยายามโทรไปบอกพ่อให้รู้ด้วยความหวังว่า ความห่วงใยจากพ่ออาจจะเยี่ยวยาแม่ได้ พ่อไม่เชื่อผม ตัดสายโทรศัพท์ทิ้งด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อบ้าง แต่ตอนนี้ผมก็ไม่แครืพ่ออีกแล้ว ผมมักจะโทษตัวเองอยู่เสมอที่ไม่ดูแลแม่ แม่จึงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่แม่ไม่เคยโทษผมเลย แม่คิดว่าการที่แม่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะแม่เองที่ติดเหล้า ไม่ใส่ใจผมเท่าที่ควร
หลายเดือนผ่านไป เกือบจะ 1 ปี แล้ว อาการของแม่ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง ใช้ชีวิตไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น และให้เวลากับแม่มากที่สุด ในวันสุดท้ายของการสอบไฟนอล ผมเปิดมือถือขึ้นมาหลังจากการสอบเสร็จเรียบร้อย ข้อความเสียงหลายฉบับถูกส่งมาในขณะที่ผมสอบอยู่
"คุณหนูคะ คุณแม่หมดสติไปอีกแล้วคะ ทำยังไงดีคะ" ข้อความแรกถูกส่งมาในช่วง 10 โมง
"คุณหนูคะ คุณแม่อาการทรุดมากคะ ตอนนี้อยู่ที๋โรงพยาบาลแล้ว.." น้ำเสียงของของป้าแกสั่นไหวมากกว่าเดิม
ข้อความสุดท้ายถูกส่งมาก่อนหน้าที่ผมจะสอบเสร็จ 1 ชั่วโมง "คุณหนู คุณแม่คุณบอกให้ตั้งใจสอบดีๆนะคะ.. คุณหนูสอบเสร็จแล้วรีบมานะคะ"
ขาของผมมันออกวิ่งมาจนถึงริมถนน ราวกับโชคร้ายมันรุมกันมาที่ผม รถติดอยู่ที่เดิมเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่มีโทรศัพท์มาบอกอาการของแม่ ผมนั่งกุมขมับอยู่ในรถ ได้แต่ภาวนา อยากให้แม่รู้สึกถึงผม อยากให้แม่ได้ยินเสียงผม ว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นไร...
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ตุ๊กๆพาผมมาส่งที่หน้าโรงพยาบาล ผมวิ่ง.. วิ่งไปหาแม่ของผม ประตูห้องฉุกเฉินถูกผมผลักออก ผมมองหาแม่ของผม ในเสี้ยววินาทีนั้น ในมุมนึงของห้อง ปรากฏร่างเล็กๆ ที่กำลังจะถูกพาออกไปจากห้องนี้ สายตาผมมองไปบนชื่อที่ติดอยู่ปลายเตียง มันเป็นชื่อของคนที่ผมรู้จักดี
แม่...
"คุณแม่ของคุณเพิ่งจากไปเมื่อกี้..." หมอพูดอะไรซักอย่างแต่ผมจำไม่ได้ ในหูของผมมีแต่เสียงอื้ออึงของความเสียใจอย่างไม่มีสิ้นสุด ผ้าขาวที่ปิดหน้าแม่ถูกผมเปิดขึ้นมา ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออก ผมกอดร่างกายที่ยังคงเหลือไออุ่นอันน้อยนิดของแม่เอาไว้ มือที่เคยอุ่นของแม่ผมก็เกาะกุมเอาไว้
หลายสิ่งที่ผมอยากบอกแม่ ให้แม่ฟัง ........ ผมยังไม่ได้บอก
หลายสิ่งที่ผมจะทำ ให้แม่ชื่นใจ........ ผมยังไม่ได้ทำ
น้ำตาของผมทะลักออกมา พร้อมกับประโยคที่ออกมาจากปากผม ประโยคที่ผมควรจะพูดไปก่อนหน้านี้ ประโยคที่คนขี้ขลาดอย่างผมไม่เคยกล้าพูดจนถึงวันนี้ วันที่มันสายเกินไป
"แม่ครับ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำให้ผม ผมรักแม่นะ แม่ได้ยินไหม ผมรักแม่ ..... ผมรักแม่นะแม่.....ผมรักแม่นะครับ....ผม...." เสียงครางของผม พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังก้องอยู่ในหัวสมองของตัวเองเรื่อยมา ผมกอดร่างไร้วิญญาณของแม่ไว้อย่างนั้น.... ราวกับจะซึมซับไออุ่นที่เหลืออยู่ทั้งหมดของแม่ไว้จนเสี้ยววินาทีสุดท้าย
ผมยังจำได้ ตอนเด็กๆผมเคยอายที่แม่กอดผม ตอนที่อยู่ท่ามกลางเด็กคนอื่น ผมปัดมือแม่ออก กลัวเพื่อนๆล้อ แต่ตอนนี้ผมไม่แคร์สายตาของใคร ขอเพียงผมได้กอดแม่ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้กอดแม่ของผม ต่อไปนี้คงไม่มีแม่มากอดเมื่อผมเสียใจ เหมือนอย่างเคย
ตอนนั้นผมน่าจะชกพ่อไปซักที ผมยังจำได้ดี แม่เคยพูดว่าพ่ออยากจะไปหาเสพหาเลยที่ไหน แม่ไม่เคยว่า แต่ต้องไม่ใช่ที่บ้าน สถานที่ที่เก็บความทรงจำดีๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างครอบครัวของเรา พ่อคงลืมไปแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าพ่อคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อเค้กวันเกิดถูกผมปัดกระจุยกระจาย
ผมวิ่งออกจากบ้าน..... หยุดคิด มองไปรอบๆ ไม่รู้จะไปทางไหน
ผมทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้น
2 ชั่วโมงผ่านไป แม่ขับรถเข้าบ้าน ทั้งๆทีพ่อกับเมียน้อยยังกกกันอยู่ข้างใน ประตูรถของแม่เปิดออก ผมวิ่งเข้าไปหาแม่ แม่เปิดกระโปรงรถ หยิบกล่องกระดาษกล่องเล็กขึ้นมา ยื่นมาให้ผม ผมยังจำน้ำเสียงและสีหน้าของแม่ในวันนั้นได้อย่างแจ่มชัด "สุขสันต์วันเกิดนะ อาร์ต"
ผมกอดแม่....
ผมไม่แคร์หากใครจะมองว่าผมเป็นลูกแหง่ จะมีใครในโลกซักกี่คนกันที่เราจะกอดแล้วอบอุ่นได้เหมือนแม่ แม่เองก็กอดผมตอบ หยดน้ำเล็กๆตดลกมาบนบ่าของผม แม่กำลังร้องให้ เช่นเดียวกับผมของเหลวใสล้นทะลักออกมาจากตาและความรู้สึกของเราทั้งคู่ ผมอยากพูดว่าขอบคุณแม่เหลือเกิน แต่ในตอนนั้น มันเหมือนกับมีอะไรซักอยากปิดปากผมไว้ ทำให้ผมพูดไม่ออก
หลังจากวันเกิดผม 3 สัปดาห์ แม่ไปหาหมอในตอนเช้า ตรวจสุขภาพเหมือนทุกๆปี ตอนนั้นผมกำลังเตะบอลอยู่ในสนามที่โรงเรียนกับเพื่อน ผมเริ่มทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างครอบครัวของเราได้ แม่โทรมาหาผมหลายมิสคอล คงจะเป็นตอนที่ผมกำลังเตะบอลเข้าประตูอย่างสวยงาม
"แม่ไปตรวจร่างกายมา" แม่พูดเสียงเรียบๆผ่านโทรศัพท์
"ครับ "
"หมอบอกว่า.... แม่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง" แม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหมือนเดิม แต่จิตใจและอารมณ์ของผมมันต่างออกไป เรี่ยวแรงที่มีในตอนแรกอัตรธานหายไปหมด ขาทั้งสองข้างหมดแรก ผมทรุดลงไปบนพื้น
หลังเลิกเรียน... ผมไม่เคยรีบกลับบ้านมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
รถของแม่จอดอยู่หน้าบ้าน บอกให้รู้ว่าแม่อยู่ในบ้านแล้ว วันนี้แม่กลับบ้านเร็วผิดปกติ แต่ผมไม่สนจหรอก แค่ได้เจอแม่ผมก็มีความสุขมากแล้ว
"แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว" ผมรีบวิ่งเข้ามาได้บ้าน คาดหวังว่าจะได้เจอแม่นั่งรอผมอยู่ในห้องนั่งเล่น เปล่า... ไม่มีใครอยู่ บรรยากาศของทั้งบ้านยังดูว่างเปล่าเหมือนเดิม ผมพบแม่นอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ในครัว เศษแก้วเหล้าแตกเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด โชคดีที่ผมมีสติพอดีจะห้ามเลือดของแม่ไว้ก่อน และโทรเรียกรถพยาบาล
ผมโล่งใจที่สุดเมื่อหมอเดินออกมาจาก ICU บอกผมว่าแม่ปลอดภัย เพียงแต่ต้องนอนพักฟื้นให้เลือดและน้ำเกลือ คืนนั้นผมนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล
ผมรู้ดีว่าเวลาของผมที่จะได้อยู่กับแม่ มันเหลือน้อยลง.....น้อยลงแล้ว
แม่ไม่ค่อยพูดยิ่งกว่าเมื่อก่อน และพ่อก็ยังไม่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง ผมพยายามโทรไปบอกพ่อให้รู้ด้วยความหวังว่า ความห่วงใยจากพ่ออาจจะเยี่ยวยาแม่ได้ พ่อไม่เชื่อผม ตัดสายโทรศัพท์ทิ้งด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อบ้าง แต่ตอนนี้ผมก็ไม่แครืพ่ออีกแล้ว ผมมักจะโทษตัวเองอยู่เสมอที่ไม่ดูแลแม่ แม่จึงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่แม่ไม่เคยโทษผมเลย แม่คิดว่าการที่แม่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะแม่เองที่ติดเหล้า ไม่ใส่ใจผมเท่าที่ควร
หลายเดือนผ่านไป เกือบจะ 1 ปี แล้ว อาการของแม่ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง ใช้ชีวิตไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น และให้เวลากับแม่มากที่สุด ในวันสุดท้ายของการสอบไฟนอล ผมเปิดมือถือขึ้นมาหลังจากการสอบเสร็จเรียบร้อย ข้อความเสียงหลายฉบับถูกส่งมาในขณะที่ผมสอบอยู่
"คุณหนูคะ คุณแม่หมดสติไปอีกแล้วคะ ทำยังไงดีคะ" ข้อความแรกถูกส่งมาในช่วง 10 โมง
"คุณหนูคะ คุณแม่อาการทรุดมากคะ ตอนนี้อยู่ที๋โรงพยาบาลแล้ว.." น้ำเสียงของของป้าแกสั่นไหวมากกว่าเดิม
ข้อความสุดท้ายถูกส่งมาก่อนหน้าที่ผมจะสอบเสร็จ 1 ชั่วโมง "คุณหนู คุณแม่คุณบอกให้ตั้งใจสอบดีๆนะคะ.. คุณหนูสอบเสร็จแล้วรีบมานะคะ"
ขาของผมมันออกวิ่งมาจนถึงริมถนน ราวกับโชคร้ายมันรุมกันมาที่ผม รถติดอยู่ที่เดิมเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่มีโทรศัพท์มาบอกอาการของแม่ ผมนั่งกุมขมับอยู่ในรถ ได้แต่ภาวนา อยากให้แม่รู้สึกถึงผม อยากให้แม่ได้ยินเสียงผม ว่าแม่ต้องไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นไร...
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ตุ๊กๆพาผมมาส่งที่หน้าโรงพยาบาล ผมวิ่ง.. วิ่งไปหาแม่ของผม ประตูห้องฉุกเฉินถูกผมผลักออก ผมมองหาแม่ของผม ในเสี้ยววินาทีนั้น ในมุมนึงของห้อง ปรากฏร่างเล็กๆ ที่กำลังจะถูกพาออกไปจากห้องนี้ สายตาผมมองไปบนชื่อที่ติดอยู่ปลายเตียง มันเป็นชื่อของคนที่ผมรู้จักดี
แม่...
"คุณแม่ของคุณเพิ่งจากไปเมื่อกี้..." หมอพูดอะไรซักอย่างแต่ผมจำไม่ได้ ในหูของผมมีแต่เสียงอื้ออึงของความเสียใจอย่างไม่มีสิ้นสุด ผ้าขาวที่ปิดหน้าแม่ถูกผมเปิดขึ้นมา ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออก ผมกอดร่างกายที่ยังคงเหลือไออุ่นอันน้อยนิดของแม่เอาไว้ มือที่เคยอุ่นของแม่ผมก็เกาะกุมเอาไว้
หลายสิ่งที่ผมอยากบอกแม่ ให้แม่ฟัง ........ ผมยังไม่ได้บอก
หลายสิ่งที่ผมจะทำ ให้แม่ชื่นใจ........ ผมยังไม่ได้ทำ
น้ำตาของผมทะลักออกมา พร้อมกับประโยคที่ออกมาจากปากผม ประโยคที่ผมควรจะพูดไปก่อนหน้านี้ ประโยคที่คนขี้ขลาดอย่างผมไม่เคยกล้าพูดจนถึงวันนี้ วันที่มันสายเกินไป
"แม่ครับ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำให้ผม ผมรักแม่นะ แม่ได้ยินไหม ผมรักแม่ ..... ผมรักแม่นะแม่.....ผมรักแม่นะครับ....ผม...." เสียงครางของผม พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังก้องอยู่ในหัวสมองของตัวเองเรื่อยมา ผมกอดร่างไร้วิญญาณของแม่ไว้อย่างนั้น.... ราวกับจะซึมซับไออุ่นที่เหลืออยู่ทั้งหมดของแม่ไว้จนเสี้ยววินาทีสุดท้าย
ผมยังจำได้ ตอนเด็กๆผมเคยอายที่แม่กอดผม ตอนที่อยู่ท่ามกลางเด็กคนอื่น ผมปัดมือแม่ออก กลัวเพื่อนๆล้อ แต่ตอนนี้ผมไม่แคร์สายตาของใคร ขอเพียงผมได้กอดแม่ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้กอดแม่ของผม ต่อไปนี้คงไม่มีแม่มากอดเมื่อผมเสียใจ เหมือนอย่างเคย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น