คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 1st Chapter 2
1st Chapter 2
ปั่นจักรยานมาเรื่อยๆ ผ่านทิวทัศน์บ้านเรือนที่ซ้ำไปซ้ำมา ผ่านตรอกซอกซอยต่างๆมากมาย ขับไปขับมา เลี้ยวเข้าไปในตรอกซอยหลายครั้ง หลายซอย จนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมาทางที่ถูกต้องรึป่าว ถึงจะมาหลายครั้งแล้วก็ตาม จนพอไปถึงทางออกสู่ถนนใหญ่ จึงมั่นใจว่าทางนี้แหละเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว ขับตรงๆไปอีกสักระยะหนึ่ง ก็เจอ โรงเรียนขนาดใหญ่ของเราตั้งตระหง่านอยู่ พร้อมกับป้ายชื่อโรงเรียนที่ตั้งเอียงอยู่ในดงดอกกล้วยไม้
“White Orchid”
‘คำว่า white หมายถึงสีขาว ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ ส่วนคำว่า orchid นั้นแปลว่าดอกกล้วยไม้ และยังแปลว่า คำสรรเสริญได้อีกด้วย เมื่อรวมกันนั้นก็หมายถึง การสรรเสริญที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ไร้ความเคลือบแคลง’
หนังสือแนะนำโรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2010
ถึงจะเรียกว่าโรงเรียนแต่ที่จริง ก็เป็นมหาลัยไปด้วย ซึ่งที่นี่มีการเรียนการสอนตั้งแต่ มัธยมต้นปีหนึ่ง จนกระทั่งจบปริญญาเอก เป็นมหาลัยที่มีขนาดใหญ่มาก แต่พื้นที่ว่างมีเพียงน้อยนิด เพราะถูกเติมเต็มไปด้วยอาคารทั้งหลาย ส่วนพื้นที่ๆเป็นโรงเรียนนั้นมีเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับขนาดของมหาลัย
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับกลางๆที่สามารถเข้าได้ไม่ยากนักสำหรับผมที่ผลการเรียนอ
ยู่ในระดับ ดีมาก ในชนบท อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนที่ใหญ่มาก และหรูหรา มากอีกด้วยถึงกระนั้น ผมที่ได้ทุนการศึกษามามากพอดูจึงพอที่จะเสียค่าเล่าเรียนได้ เพื่อแลกกับ ชีวิตการเรียนที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ส่วนน้องสาวผมตอนแรกก็ไม่อยากมาเรียนที่นี่เท่าไหร่ แต่คุณตา คุณยายนั้นบังคับให้มาเรียนที่เดียวกับผม เพราะท่านกลัวว่าน้องสาวจะไม่มีคนดูแลเวลาอยู่ที่โรงเรียน ตอนแรกเธอก็อารมณ์บูดๆ แต่พอผมไปเอาเครื่องแบบนักเรียนหญิงมาให้ดู เธอก็บอกว่าจะเข้าที่นี่ทันที (ซึ่งก็ทำให้ผมถอนหายใจไปหลายเฮือกพอดู)
ตอนนี้เป็นช่วงเปิดเทอมฤดูร้อน ดังนั้น แน่นอนว่าผมก็ต้องใส่ชุดสำหรับฤดูร้อน ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีออกน้ำตาลแดง ส่วนน้องสาวผมใส่เสื้อสีชมพูอ่อนๆ พร้อมคอปกสีชมพูเข้ม กับกระโปรงที่ค่อนข้างสั้นซึ่งสีเดียวกับคอปกเสื้อ
ขับไป ขับมา ก็มาถึงโรงเรียนในที่สุด ผมจอดจักรยานเอาไว้ด้านในโรงเรียน แล้วหยิบกับหยิบกระเป๋าทั้งสองใบของเรา พร้อมกับลากน้องสาวไปที่บอร์ดที่มีคนมุงมากมาย เพื่อนที่จะดูห้องเรียนของตน ซึ่งผมก็ดูมาแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจขอดูอีกรอบ ดีกว่าเผลอไปเข้าเรียนผิดห้องตั้งแต่วันแรกเป็นไหนๆ
“เอาล่ะถึงโรงเรียนแล้ว....ให้ทายนะจำทางไม่ได้แหง”
“เอาเถอะน่ามาบ่อยๆเดี๋ยวก็จำได้เองแหละค่ะ”
“อืมๆ ขอให้จำได้เร็วๆแล้วกันเผื่อพี่จะได้ซ้อนท้ายมั่ง” ผมหยอกเล่น พร้อมกับยิงฟันให้
“ไม่มีวันซะหรอกค่ะ แบร่!!!!!!” เธอโต้กลับ พร้อมกับแลบลิ้นใส่
“เหอะๆ ยังไงก็ได้ แต่ตอนนี้ไปดูก่อนดีกว่าว่าเรียนห้องไหนน่ะ” ผมกล่าวพร้อมสาวเท้ายาวๆไปที่บอร์ด ประกาศทันที แล้วเธอก็เดินตามมาเข้าไปในหมู่คนที่กำลังมุงดูอยู่นั่น
ท่าทางเราจะเป็นแค่สองคนที่มีผมสีขาวในฝูงคนที่เบียดเสียดกันสินะ ผมกับน้องมีอะไรๆคล้ายกันมาก หลายๆอย่าง ก็คือสีผม สีตา และสีผิว ที่ออกไปทางที่เป็นสีขาว ที่ไม่ซีดจนเกินไป ใครมองก็คงแยกออกว่าผม กับน้องนั้นเป็นคนละคนกันต่างจากเมื่อก่อนแน่นอน เพราะส่วนสูงของผม 181 ซม. ซึ่งห่างกับน้องสาวมากถึง 20.5 ซม. ผมก็อยู่ส่วนที่สูงมากในหมู่คนส่วนใหญ่ และน้องของผมก็อยู่ในส่วนที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน ในหมู่ผู้หญิงส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้ผมก็คิดว่า มันก็คล้ายๆ กันอีกนั่นแหละ
ผมจำได้ว่าห้องที่ผมเรียนเป็นห้อง มัธยมปลายปี 1 ห้อง 2 จากทั้งหมด 10 ห้อง 1 ถึง ห้อง 11 แต่ยกเว้นเลข 6 เอาไว้ตัวหนึ่ง คงเป็นเพราะความเชื่อที่มาพร้อมกับการก่อตั้งของ โรงเรียนนี้ เพราะสิ่งก่อสร้างในโรงเรียนนี้จะไม่มีเลข 6 มายุ่งเกี่ยวด้วยเลย ผมคิดว่าเพราะมันน่าจะเป็นเลขของ ซาตาน เลยไม่เอามาใช้กันล่ะมั้ง ในหนังสือแนะนำโรงเรียนที่อ่านมาสองสามรอบก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้
ผมพยายามเบียดเสียดผู้คนจมเดินมาติดกับบอร์ด แล้วจีงมองหาชื่อของเราสองคนที่ใบประกาศของปี 1 ห้อง 2 ทันที นักเรียนทั้งห้องนั้นมีทั้งหมด 34 คน แต่มีถึงเลขที่ 35 เพราะตัดเลข 6 ออก ซึ่งก็ถือว่าเป็นห้องเรียนที่มีขนาดเล็กกว่าในโรงเรียนส่วนใหญ่เล็กน้อย ผมกวาดตามองรายชื่ออย่างรวดเร็ว ในขณะที่น้องสาวของผม(ที่ไม่เคยมาโรงเรียนเลยสักครั้ง)กำลังกวาดตามองไปทั่วโรงเรียน
อยู่ พอผมหาชื่อของเราทั้งสองเจอแล้ว ผมก็สะกิดน้องสาวนิดนึง แล้วจึงชี้ให้ดูเธอชื่อของเธอ และอาคารเรียนที่ห้องเรียนนั้นตั้งอยู่
............0472..........
............อาคาร 4 ชั้น 7 ห้องที่ 2............
อาคาร 4 หมายถึงอาคารของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งนั่นเอง ชั้นที่ 7 คือชั้นสูงสุดของอาคาร ที่มีห้องเรียนประจำของนักเรียนทุกห้องตั้งอยู่ ส่วนห้องที่ 2 ก็คือหมายเลขของห้องเรียนผมอยู่ห้อง 2 ก็ต้องเรียนที่ ห้องหมายเลข 2 นี่แหละ
(ผังโรงเรียนไว้จาทำให้ดูนะขะรับ)
ผมเดินตรงไปที่อาคารซึ่งอยู่ถัดไปเป็นอาคารที่ 4 นับตั้งแต่ประตูโรงเรียน ผมก้าวยาวๆอีกครั้งพร้อมจูงมือน้องสาวมาด้วย เราเดินผ่านอาคารหนึ่ง ที่ด้านหน้าปลูกดอกกล้วยไม้คละสีเอาไว้ ส่วนอาคารสองที่เดินผ่านเป็นอันดับต่อไปก็ปลูกไม้พุ่มเอาไว้มากมาย ส่วนอาคารที่สามนั้นปลูกไม้ยืนต้นเอาไว้ และผมบังเอิญมองไปเห็นว่ามีกล้วยไม้ขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นทุกต้นเลย และก็มาถึงอาคารที่สี่ ซึ่งปลูกดอกกล้วยไม้สีขาวไว้อย่างเดียวเท่านั้น ผมคิดว่ามันคงต้องมีความหมายอะไรอยู่สักอย่างเป็นแน่ ผมเดินขึ้นอาคารเรียนพร้อมกับครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วย
“เหวอ!!!!!” ผมเดินไปข้างหน้าแต่มืออีกข้างของผมที่จูงน้องสาว กับโดนดึงอยู่ ทำให้ผมตกใจและเกือบจะล้มลงไปแน่ะ ผมหันไปหาเธอแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียเหนื่อยๆว่า
“ทำไมหรอ” เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่ชี้ไปที่ลิฟต์ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับบันได
“เฮ่อ......”ผมถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “เราไม่ใช่อาจารย์ขึ้นลิฟต์ไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ” เธอถามสั้น ด้วยหน้าตาฉงนเล็กน้อย พร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มไปที่แก้ม
“ก็.....” น้องสาวทำท่าน่ารักก็พาผมเขินไปด้วยแฮะ จนพูดอะไรไม่ออกไปพักนึง เพราะพยายามรักษาหน้าไม่ให้แดง แต่ก็ทำไม่ได้ ผมจึงหันหน้าไปทางบันไดแทน พร้อมกับเดินสาวเท้าไปข้างหน้าโดนไม่หันกลับไปมอง
“ก็กฎของโรงเรียนมันบอกไว้จะให้ขึ้นไปได้ไงกันล่ะ” แล้วผมก็เดินขึ้นไปเลย
ผมเดินไปถึงชั้นสอง แล้วมองกลับไปข้างหลัง
..........น้องสาวตัวแสบไม่อยู่แล้ว...........
ขึ้นลิฟต์ไปแล้วแหงๆ ผมพอเดาได้ว่าเธอจะทำยังไง แต่ถ้าอาจารย์มาเห็นเข้าแล้วจะไม่โดนทำโทษรึนี่ ผมเป็นห่วงน้องสาวเลยรีบก้าวบันไดทีละสองขั้นเพื่อนขึ้นไปชั้น 7 โดยเร็วที่สุดเผื่อว่าจะหาข้อแก้ตัวได้มั่งเผื่อเธอจะเจออาจารย์
...................................................................................................
คงเป็นห่วง ถ้าเธออยู่คนเดียว
คงเศร้า ถ้าเราไม่มีกันและกัน
คงอ้างว้าง ถ้าผมไม่มีเธอ
คงร้องไห้ ถ้าเธอไม่ต้องการ
คงเจ็บช้ำ ถ้าเราขีดเส้นคั่น
คงลืมมัน ถ้าผมทอดทิ้งเธอ
.........................................................................................................
ในที่สุดผมก็วิ่งมาจนถึง ชั้นที่ 7 จนได้ ซึ่งก็มาโผล่ตรงหน้าลิฟต์พอดี แล้วผมก็เจอน้องสาว กับ คนที่น่าจะเป็นอาจารย์วัยกลางคนตัวหนา ยืนอยู่หน้าลิฟต์พอดี แต่..........ทำไมสองคนนั่นถึงได้ยิ้มให้กันนะ.............. แล้วทำไม............ที่เข่าเธอถึงมีผ้าพันแผลได้ล่ะ......... ผมสงสัยพร้อมกับเดินเข้าไปหาน้องสาว พอดีกับที่อาจารย์คนนั้นก็เดินจากน้องสาวผมแล้วก็บังเอิญหันมาเห็นผมพอดี
“สวัสดีครับอาจารย์” ผมก้มหัวลงเพื่อเป็นการทำความเคารพ
อาจารย์ก็ก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อนเป็นการรับการทำความเคารพเช่นกัน แล้วจึงถามผมว่า “นี่น้องสาวเธอหรอ” พร้อมกับหันไปหาน้องสาวผมแล้วยิ้มให้เล็กน้อย ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบเช่นกัน
“อ่า...ใช่ครับ” ผมตอบสั้นๆ
“คราวหลังถ้าน้องสาวเธอเจ็บขาอยู่ล่ะก็นะ ให้เธอขึ้นลิฟต์มาด้วยก็ได้ เผื่อว่าตอนออกจากลิฟต์จะไม่มีคนช่วยพยุงน่ะ”
เจ็บขา???? เธอไปเจ็บขามาตอนไหนกันรึ ผมหันไปหาน้องทันที ซึ่งเธอก็ยิ้มกวนๆ แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
“อืม...โอเคนะ โรงเรียนเราไม่เคร่งครัดเรื่องกฎมากหรอกบางอย่างก็ผ่อนผันกันได้ งั้นอาจารย์ไปก่อนนะ” อาจารย์กล่าวอีกครั้งพร้อมกับกำลังจะออกเดิน
“ขอบคุณฮะ” ผมกล่าวขอบคุณ แล้วอาจารย์ก็ยิ้มให้นิดนึงก่อนจะเดินจากไปทางห้องพักอาจารย์
พออาจารย์เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องเรียบร้อย ผมก็หันไปถามน้องสาวว่า
“เธอไปเจ็บขามาเมื่อไหร่รึนี่” ผมถามพร้อมกับส่งสายตาส่อแววสมเพช ปน ตลกไปให้เธอ
“เมื่อก่อนตอนเรียนพละหนูก็เป็นอยู่ประจำนี่คะ แค่นี้เดาไม่ออกรึไง แล้วเธอก็เอานิ้วชี้มาดีดหน้าผมทีนึง” แล้วก็วิ่งไปตามทางเดินครงกันข้ามกับที่อาจารย์คนนั้นเดินไปเพื่อไปหาห้องเรียนทันที
“เฮ่อ....นี่มันสลับบทกันแล้วนะ” ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่สองของวันนี้ แล้วผมก็ถือกระเป๋าของเราสองคนที่แบกมาตั้งแต่หน้าโรงเรียนแล้วตามเธอไป
...........................................................................................
น้องสาวผมเป็นพวกเกลียดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการวิ่ง และ การฝึกสมรรถภาพต่างๆ เธอจะเล่นก็แต่กีฬาที่เล่นเป็นทีมเท่านั้นแหละ ซึ่งถ้าคาบไหนเป็นการเล่นกีฬาที่เธอไม่ชอบ เธอก็จะเอาผ้าพันแผลมาพันหัวเข่า และก็บอกว่าเจ็บ..... เล่นกีฬาไม่ได้เป็นประจำ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นที่โรคขี้เกียจนิสัยอันแก้ไม่หายของเธอเสียมากกว่า ซึ่งนิสัยนี้คงเพราะมีพี่อย่างผมที่ตามใจไปซะทุกเรื่องแน่นอน คิดแบบนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้นะว่า ถ้าผมไม่อยู่แล้วเธอจะอยู่คนเดียวได้ยังไงหว่า.........
...........................................................................................
ผมเดินจูงมือไปกับเธอ
ผมมีหน้าที่ปกป้องเธอ
ผมปล่อยมือเธอเมื่อยามปกป้องเธอ
ผมหันกลับไปเพื่อจับมือเธอ
ผมไม่พบเธอ
................................................................................................
ผมเดินตามเธอจนทันตอนที่ไปถึงหน้าห้องพอดี เธอก้าวเข้าไปก่อน แล้วผมจึงก้าวตามไป เราสองคนถูกจับตามองด้วย นักเรียนหลายคนในห้อง คงจะเป็นเพราะ สีผม สีตาและสีผิว ที่แปลกจากคนอื่นๆทุกๆคนนั่นเอง แถมยังมีกันถึงสองคนด้วย ผมยิ้มให้กับทุกคนในห้องพร้อมกับกล่าว
“สวัสดีนะครับ” ส่วนน้องสามผมนั้นทำท่าเขิน คงเพราะจะเป็นเป้าสายตาในที่ๆคนเยอะเป็นแน่ ซึ่งทำยังไงเธอก็ยังไม่เคยชิน
“เช่นกันค่ะ” เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเบา แต่ก็พอให้ได้ยินไปทั่วห้องที่ตอนนี้ยังค่อนข้างเงียบอยู่ พร้อมกับหน้าเธอที่เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่สนใจ
ที่กระดานไวท์บอร์ดหน้าห้อง มีแผนผังโต๊ะในห้องพร้อมกับเลขที่เขียนกำกับเอาไว้ ซึ่งนั่งกันเป็นคู่ๆ รวมทั้งหมด 17 คู่ ซึ่งจัดไว้เป็น สามแถว แถวติดหน้าต่าง แถวกลาง และแถวติดประตู ซึ่งแถวติดประตูนั้นโต๊ะเพียง 5 คู่ เพราะตำแหน่งของคู่สุดท้ายจะเป็นที่ประตูห้องพอดี และสองแถวที่เหลือก็จะมีโต๊ะ 6 คู่ด้วยกัน ดูจากเลขที่ ที่กำกับไว้แล้วท่าทางจะตั้งใจให้นักเรียนชายนั่งติดกับนักเรียนหญิงแน่นอน ซึ่งห้องผมก็มีนักเรียนชาย เท่ากับ นักเรียนหญิงพอดีเสียด้วย
ผมเลขที่ 27
ส่วนน้องเลขที่ 11
ดูจากแผนผังแล้วก็ห่างกันพอดู ผมนั่งโต้ะติดหน้าต่างถัดจากแถวท้ายสุดขึ้นมา ส่วนน้องผมนั่งโต๊ะถัดจากโต๊ะที่ติดประตู จากแถวหน้าสุดขึ้นมาสองแถว ท่าทางเพื่อนร่วมโต๊ะของเราทั้งสองคนยังไม่มา ผมโยนกระเป๋าใบบางๆที่แทบไม่ได้ใส่อะไรมาเรียนให้เธอ ส่วนผมก็เอากระเป๋าที่ใส่สมุดมาสองสามเล่ม ไปวางที่เก้าอี้ สำหรับน้องผม มาถึงที่นี่แล้วคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ นี่ก็พึ่ง 8 : 30 น. เหลือเวลาอีกตั้ง ครึ่งชมกว่าจะถึงเวลาเรียน พอคิดได้ดังนั้น อาการง่วงก็ถาโถมเข้ามาใส่ผมทันที
............ให้มันได้งี้สิ ทีตอนกลางคืนล่ะไม่ง่วง.............
ว่ายังงั้นแล้วผมก็ฟุบกับโต๊ะ แล้วหลับไปในที่สุด เป็นหลับที่เรียกว่าฝันดีได้รึป่าวนะ......
ความฝันในเวลานั้นมันช่างลางเลือน ผมรู้สึกได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น ผมฝันว่า น้องสาวของผมสามารถทำอะไรๆ ได้เองแทบทุกอย่างโดยไม่ต้องพึ่งพาผมแล้ว ซึ่งผมก็มองดูด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ และปนกับความรู้สึกอื่นๆไปด้วย แล้วความฝันก็เริ่มบิดม้วนจนมั่ว จนผมดูมันไม่รู้เรื่อง
.......ตึก.......
มีคนทิ้งกระเป๋าและนั่งลงข้างๆผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาทันที ฝันเมื่อกี้นี้เริ่มร่างเลือน แต่ผมก็พอจำเนื้อความได้คร่าวๆ แต่ผมตอนนี้สลึมสลือจริงๆ ผมจึงขอให้ผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมเขยิบเก้าอี้ เพื่อที่ผมจะได้ออกไปเข้าห้องน้ำก่อนคาบเรียนแรกจะเริ่ม ผมเดินออกไปทางหน้าชั้นเรียน พร้อมกับเสียงน้องสาวไล่หลังมาว่า
“ยังไม่ถึงคาบแรกก็หลับซะแล้วล่ะนะ”
ผมเดินไปล้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบก้าวเท้ายาวๆเพื่อเข้าไปที่ห้องเรียนให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ก็ 9 : 00 น. ไปเรียบร้อยแล้ว อาจารย์คนนึงกำลังเดินมาทางผมพอดี ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นอาจารย์ประจำชั้นเราแน่นอน ผมจึงรีบวิ่งเข้าห้องเรียนแล้วไปยังท่านั่งโดยเร็วที่สุด
“ตะกี้ขอโทษนะที่ทำเธอตื่น” ทำให้ผมหันไปมองเธอชัดๆเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอไม่ทำตื่นฉันจะแย่มากกว่า” ผมมองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ซอยผมสั้นสีดำระดับคอ มีนัยน์ตา สีเขียวแก่ และสีผิวที่เข้มกว่าผมเล็กน้อย แต่ผมรู้สึกแปลกๆที่นัยน์ตาของเธอบ่งบอกถึงอาการเศร้า อะไรสักอย่างซึ่งไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองรึป่าว
แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้อง ซึ่งเป็นอาจารย์คนเดียวกับที่ผมเจอก่อนเข้าห้องนั่นเอง เป็นอาจารย์ที่ดูค่อนข้างสูงอายุทีเดียว เมื่อสังเกตจากผมที่ส่วนหน้าร่วงไปหมดแล้ว กับส่วนหลังที่เป็นสีขาว และหนวดเครายาวที่เป็นสีเดียวกัน พร้อมกับหลังที่คร่อมเล็กน้อย ซึ่งเขาก็มีไม้เท้าไว้พยุงเพื่อไม่ให้ล้มเช่นกัน เขากล่าวกับนักเรียนด้วยเสียงแหบต่ำ
“สวัสดี”
“สวัสดีครับ/ค่ะ” นักเรียนทั้งหมดในห้องพร้อมกันที่จะกล่าวสวัสดีอาจารย์
“อันที่จริง พวกเธอควรจะกล่าวสวัสดีอาจารย์ก่อนนะ และควรที่จะยืนทำความเคารพด้วย แต่วันนี้ยังไม่เป็นไร เพราะนี่เป็นแค่สัปดาห์แรกของการเปิดเรียน พวกเธอคงยังไม่พร้อมกันสินะ โฮะ ๆ ๆ ๆ” อาจารย์กล่าวแล้วหัวเราะ ไล่หลัง ซึ่งทำให้ภาพที่ปรากฏเป็นคนแก่ที่มีนิสัยง่ายๆสบายๆ
“แต่!!!!!!!!!!”เขาเอามือทุบโต๊ะเสียงดัง แล้วกล่าวขึ้นทำให้เป็นจุดสนใจภายในทันที “อาทิตย์หน้าพวกเธอต้องพร้อมทุกอย่าง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นสะหรับความไม่พร้อมที่ปรากฏในอาทิตย์หน้า เข้าใจมั้ย”
คนแก่นิสัยง่ายๆสบายๆ หายไปอย่างรวดเร็ว มาแทนที่ด้วย อาจารย์แก่ๆที่หน้ากลัวและเคร่งครัดคนหนึ่งแทน ทำเอานักเรียนในห้อง และผมตกใจไม่น้อยเลย
“ฉัน-ถาม-พวก-เธอ-ว่า-เข้า-ใจ-มั้ย” เขากล่าวอีกรอบโดยเน้นเสียงหนักๆไปที่ทุกๆพยางค์
“เข้าใจครับ/ค่ะ” นักเรียนทุกคนตอบกันเป็นเสียงเดียว แล้วความเงียบอันยาวนานก็เข้ามาเยือน.... ก่อนที่จะถูกทำลายลง ด้วยเสียง......
“งั้นก็ดี โฮะ ๆ ๆ ๆ อ้อ ลืมไปอาจารย์ชื่อ เซน ยินดีที่ได้รู้จักพวกเธอทุกคนนะ” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง และแหบต่ำอีกครั้ง พร้อมกับกวาดตาดูนักเรียนทั่วห้อง
“ครับ/ค่ะ” นักเรียนทุกคนขานรับพร้อมกัน
“การแนะนำตัวของครูก็จบลงแค่นี้ล่ะนะ โฮะๆ ๆ ๆ พวกเธอเตรียมเรียนวิชาแรกได้แล้วล่ะ โฮะ ๆ ๆ ” เมื่ออาจารย์พูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งเวลาให้เหลือไว้อีก ประมาณ 5 นาทีก่อนจะเรียนคาบแรก ณ เวลา 9 : 10 น.
ผมเอาสมุดขึ้นมาเพื่อใช้ในการเตรียมจดบันทึก และใช้เวลาที่เหลือ 2-3 นาทีนั้นในการมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อชมทิวทัศน์ ที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างบานนี้ ถึงอาคารที่ผมอยู่จะสูงถึง 7 ชั้น แต่อาคารรอบๆ ก็ไม่ได้สูงน้อยกว่ากันเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ผมเห็นก็แค่อาคาร 5 เท่านั้นและแปลงด้านล่างที่ประกอบไปด้วยไม้พุ่มมากมาย แต่ก็ล้วนเป็นชนิดเดียวกัน ผมมองไปตามแผ่นสีที่หลุดลอกอยู่เล็กน้อยตรงอาคาร ซึ่งบ่งบอกถึง อายุที่ไม่เก่าแก่จนเกินไปซึ่งผมคิดว่าน่าจะไม่เกิน 20 ปี ผมค่อยๆไล่มองไปเรื่อยๆ ทีละชั้นๆ จนกระทั่งอาจารย์เดินเข้ามา...
แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างปกติ.... แต่วันนี้ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ เพราะเป็นสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม ผมพยายามสนใจคำพูดของอาจารย์เพื่อไม่ให้ตัวเองง่วงนอน แล้วแต่ละคาบๆ ก็ค่อยๆ ผ่านไป
...................................................................................................
นาฬิกาของฉันกำลังเดินไป
ผมกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
เข็มวินาทีค่อยๆเดินไป
ผมกำลังพยายามเก็บความสุข
เข็มยาวกำลังหมุนไป
ผมกำลังหอบความสุขไปเก็บไว้
แล้วนาฬิกาก็หยุดลง
............................................................................................
ฉันมาที่นี่โดยมีความทรงจำอะไรบ้างนะ ฉันจำได้แค่ว่าตัวฉันเองเป็นใคร แต่ฉันจำเรื่องอื่นเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย ผนังสีขาวพวกนี้ไม่สามารถบอกอะไรฉันได้แม้แต่น้อย และสำคัญ
............ฉันไม่ได้พกความสุขมาด้วย...........
ฉันไม่ได้เก็บเกี่ยวความสุขมาที่นี่แม้แต่น้อย และฉันก็ไม่สามารถที่จะเก็บเกี่ยวความสุขกับความว่างเปล่านี้ได้อีกด้วย
...........มันไม่มีอะไรจริงๆ................
ดังนั้น ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ฉันก็ทำเหมือนทุกครั้ง คือนอนลง และขอให้เมื่อตื่นขึ้นมา พบกับที่อื่นที่ไม่ใช่ในความอ้างว้างสีขาวนี่ หรือ ขอให้หลับไปชั่วนานเท่านาน ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย จากนั้นฉันก็หลับลง พร้อมกับคำภาวนาที่ไม่อาจเป็นจริง
ความคิดเห็น