ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Pure Phenomenon:Full-Fill and Incomplete

    ลำดับตอนที่ #2 : 1st Chepter 1

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 50


    ใครเป็นคนจากไปกันแน่…… ฉัน หรือ เธอ …….

    ตอนนี้ ฉันกำลังรอคอยเธออยู่ตรงนี้ หรือ เธอกำลังรอคอยฉันอยู่ตรงนั้น

    ฉันควรจะออกตามหาเธอในตอนนี้ หรือ เธอกำลังตามหาฉันอยู่ในตอนนี้

    ฉันกำลังโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ หรือ เธอกำลังโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น

    ฉันกำลังเรียกร้องหาเธออยู่ตรงนี้ หรือ เธอกำลังเรียกร้องหาฉันอยู่ตรงนั้น


    คงไม่ใช่ฉันที่รู้คำตอบ คงไม่ใช่เธอ และก็คงไม่มีคำตอบ

    ดังนั้นฉันคงไม่สามารถนั่งรอคำตอบ

    ฉันคงไม่สามารถค้นหาคำตอบ

    แต่ฉันคงต้องตามหาเธอ


    …………………………………

    ฉันกำลังเดินย่ำอยู่กับที่

    ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเดินไปข้างหน้า

    แต่เมื่อฉันมองไปข้างหลังมันกลับไม่มีรอยเท้า

    ฉันกำลังเดินย่ำอยู่กับที่

    ฉันรู้สึกว่าทิวทัศน์เปลี่ยนแปลงไป

    แต่เมื่อฉันมองไปข้างหน้ามันกลับเหมือนเดิม

    ฉันกำลังเดินย่ำอยู่กับที่

    ฉันรู้สึกเหนื่อยล้า

    แต่ฉันยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนสักนิดเดียว

    ฉันกำลังเดินย่ำอยู่กับที่


    ……………………………………..

    นี่เป็นฤดูหนาวแรกตั้งแต่จำความได้ คุณแม่พาฉันกับน้องสาวฝาแฝด ออกมาหน้าบ้าน เพื่อปั้นตุ้กตาหิมะกัน เสื้อกันหนาวอันเทอะทะ และหนาช่างหนักและน่ารำคาญ แต่ถ้าถอดมันออกไปแม่บอกว่าต้องไม่สบายแน่ ฉันนั่งดูแม่กับน้องปั้นตุ้กตาหิมะ ตอนนั้นฉันเห็นน้องเหมือนกับเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง เพราะเราช่างเหมือนกันจริงๆในวัยเด็ก เหมือนกันจนเพื่อนๆแต่ละคนแทบแยกไม่ออก คนที่แยกออกก็มีแค่ พ่อ กับ แม่ของเราเท่านั้น เพราะถ้าให้ผมในตอนนั้น ยืนหันหน้าเข้าหา น้องสาว ผมก็คงคิดว่ากำลังดูกระจกเป็นแน่แท้

    ผมนั่งดูน้องสาว กับ แม่ ปั้นตุ้กตาหิมะไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้ก้อนหิมะกลมๆก้อนเล็กก้อนหนึ่งที่วางบนก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่ง พอเสร็จขั้นตอนการปั้นได้ไม่นาน แม่บอกว่าทำอาหารค้างเอาไว้คงต้องไปดูก่อนที่จะกินไม่ได้ แม่จึงรีบเข้าไปในครัว และน้องก็ตามไปด้วย ผมก็นั่งรออยู่ข้างนอก สักพักหนึ่งแม่ก็เรียกให้ผมเข้าไปในบ้าน ผมกำลังทำท่าจะเดินเข้าไป แต่พอดีชำเลืองไปเห็นตุ้กตาหิมะที่ยังปั้นเสร็จเพียงอย่างเดียวนั้น ผมจึงวิ่งไปหยิบกิ่งไม้ใกล้ๆ มาเสียบเป็นแขน และวิ่งเข้าบ้านไปหากระดุมมาทำเป็นดวงตาให้มัน ก่อนที่จะเข้าไปในบ้านตามเสียงเรียกของแม่ที่กำลังไล่หลังมาอีกรอบ

    ……………………………………………

    ความทรงจำพรั่งพรูออกมา

    เรื่องในวัยเด็ก ที่จำไม่เคยลืม

    เรื่องในวัยเด็ก ที่ค่อยๆบิดเบือนไป

    ความทรงจำหลังไหลออกมา

    อดีตที่ยังมีภาพปรากฏอยู่ชัด

    อดีตที่ค่อยๆจางหายไป

    ความทรงจำค่อยๆหล่นหายไป

    วันวานที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ

    วันวานที่ซึมซับเข้ามาในความทรงจำ

    ……………………………………………..

    ฉันเรียกเธอว่าน้องตามที่พ่อแม่ของเราปลูกฝังมาให้อย่างนั้น เพราะอยากให้พี่ชายนั้นเป็นผู้ปกป้องน้องสาว ผมกับน้องอยู่กันแค่สองคน เพราะ พ่อ กับ แม่ นั้นหายสาบสูญไปในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งหนึ่ง ในตอนที่เราไปพักบ้านญาติในช่วงวันหยุด เรารู้ดีว่าพ่อ กับ แม่นั้นได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ตั้งแต่ทราบข่าว ไม่มีญาติๆคนไหนของเราทำใจได้ในวันที่ทราบข่าวทุกคนพากันเข้านอนกันอย่างรวดเร็ว คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เลยไปห้องของคุณตา กับคุณยาย ซึ่งคุณยายกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น จนเสียงเล็ดออกมานอกห้อง ผมก็เลยกลับห้องของตัวเอง และเริ่มร้องไห้บ้าง

    หลังจากนั้นมาผมกับน้องก็ต้องย้ายไปอยู่กับคุณตา คุณยาย ซึ่งก็เลี้ยงดูเราอย่างดี แต่แล้วพอเราโตขึ้น เราก็มีโรงเรียนที่อยากเรียนในเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลจากที่นี่ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที
    ่เป็นบ้านเกิดของเรา คุณตา คุณยายก็อนุญาต เราจึงออกเดินทางมาอยู่เมืองใหญ่ในตอนนั้นเราทั้งสองคนอายุ 15 ปี กำลังจะขึ้นเรียนชั้น ปีที่ 1 ของ มัธยมปลายพอดี ชีวิตใหม่ของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่ตรงน
    ี้
    พอย้ายมาได้ไม่กี่วัน โรงเรียนของเราก็เปิดเทอม เราบังเอิญได้เรียนอยู่ชั้นเดียวกันพอดีเลย ผมคิดในใจว่า ‘เรานี้โชคดีจริงๆแฮะ’ สำหรับน้องสาวผมคงไม่คิดยังงั้น เพราะผม คงเป็นคนที่น่ารำคาญสำหรับเธอซะมากกว่า ‘แต่ถึงยังงั้นก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นพี่เพื่อปกป้องเธอนี่นา’

    .......................................................................

    ห้องสีขาว....อีกแล้วรึ...

    ทำไมไม่มีคนมาใส่ใจฉันเลยล่ะ......

    ทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่คนเดียว......ฉันคงไม่มีที่จะไปแล้วจริงๆ

    ฉันไม่สามารถจบความอ้างว้างนี่ได้ด้วยตัวฉันเอง.....นี่มันคงไม่ใช่เรื่องราวของฉันสินะ.....

    ฉันคงไม่อาจที่จะยุติเรื่องที่ไม่ใช่ของฉันได้สินะ......

    .....................................................................................


    วันแรกของการเปิดเรียน ผมตื่นเต้นจนไม่ง่วงสักนิดเดียว สำหรับการไปโรงเรียน เหมือนกับเป็นเด็กๆ จนทำให้สุดท้ายผมก็นอนไม่หลับได้แต่อ่านหนังสือนิยายเล่มเก่าที่อ่านจบไปไม่รู้กี่รอ
    บ สุดท้ายตอนตีสาม ผมก็ลุกจากเตียงขึ้นมาล้างหน้าอาบน้ำ และทำอาหารเช้า ถึงผมทำอาหารไม่เก่ง แต่มันก็พอกินได้ ไม่เหมือนกับน้องสาว ที่แม้แต่ทอดไข่ยังทำไม่เป็น พอได้เวลาประมาณ ตีห้าครึ่ง ผมก็รีบวิ่งไปยังห้องน้อยแล้วเคาะประตูเสียงดังพร้อมบอกว่า

    “ตื่นได้แล้วเดี๋ยวไปโรงเรียนสายยยยยยยยยยยยยยย” ผมลากหางเสียงยาว และรัวประตูเสียงดังต่อ

    ผ่านไปสักพัก เสียงน้องสาวที่ท่าทางหัวเสียได้ที่ ก็ดังผ่านประตูออก

    “นี่พี่อัลคิดอะไรคะ มาปลุกหนูตอนนี้ โรงเรียนมันเข้า ตั้ง เก้าโมงเช้านะคะ”

    “ก็……พี่ตื่นเต้น…….อยากไปโรงเรียนเร็วๆ แค่นั้นเอง”

    “แล้วมาปลุกไรหนู อยากไปก็ไปคนเดียวสิ!!!!!!”

    ผมรู้ดีว่าเธอพูดประโยคนี้แล้วคงคลุมโปงต่อเป็นแน่ ไม่มีประโยชน์ที่จะปลุกต่อไป ผมจึงถอนหายใจเบาๆ

    “เฮ้อ…..ยัยอัน…..”

    ถึงผมจะไปโรงเรียนมาหลายรอบแล้ว ในช่วงที่โรงเรียนยังไม่เปิด แต่ก็อดใจที่จะเห็น โรงเรียนตอนที่คนเยอะๆไม่ได้อยู่ดี เพราะมันคงจะได้อารมณ์แบบอื่นเป็นแน่แท้ แต่ถึงผมจะอยากไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้เพราะ อัน น้องสาวผม ให้ทายยังไง ผมก็ว่าเธอยังจำทางไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นคงต้องรอไปพร้อมกันสถานเดียว

    รอจนเวลาเลยแปดโมงเช้ามานิดหน่อย ยัยน้องสาวขี้เซาพึ่งจะโผล่มาให้เห็นหน้า ที่ดูบูดๆเบี้ยวๆนิดๆ เป็นประจำเวลาโดนปลุก ก่อนเวลาตื่นอันสมควร ผมเลยบอกไปว่า

    “ไม่ต้องมาทำหน้าบูดรีบกินซะจะได้ไปโรงเรียนสักที”

    “ก็ได้ค่ะๆ แต่พี่ก็รู้ว่าหนูไม่ชอบกินข้าวเช้า”

    “วันนี้ไปโรงเรียนวันแรกกินไปซะจะได้มีแรง สักนิดก็ยังดี”

    “เห็นใจที่พี่อุตส่าห์ทำหนูจะกินสักสองสามคำก็ได้”

    แล้วเธอก็เอาช้อนตักข้าวต้มที่ผมพึ่งอุ่นมาให้ เป็นคำเล็กๆ แค่ปลายๆช้อน แล้วก็กินเข้าไป สาม ช้อน จากนั้นก็บอกว่า

    “หนูอิ่มแล้วค่ะ” พร้อมยื่นถ้วยมาที่หน้าผม

    “อืมๆ อิ่มก็อิ่ม กินเหลือก็ต้องทิ้งอีกล่ะสิเนี่ย”

    “ใช่ค่ะ หนูไม่กินของเหลือนะ”

    “เออๆ เรื่องมากจริงๆเชียว เอาไปทิ้งก็ได้”

    ว่าแล้วผมก็เอาอาหารที่เหลือทั้งหมดไปทิ้ง เพราะผมก็ไม่ชอบกินของเหลือเหมือนกัน
    แล้วก็ได้เวลาไปโรงเรียนสักทีนึง ผมรอมานานแล้ว ว่าแล้วก็เอาจักรยานขี่ไปดีกว่า ผมเป็นคนขี่ แล้วให้เธอซ้อนท้าย พอเธอทิ้งน้ำหนักลงมาปุ้ป จักรยานก็ทรุดลงไปนิดนึง ผมจึงบอกไปว่า

    “น้ำหนักขึ้นแหง ใช่ไหม ยัยอัน แอบกินขนมตอนกลางคืนทุกวันล่ะสิ”

    “บ้า!!!!!!” เธอพูดเสียงดัง พร้อมหน้าแดงนิดๆ แล้วก็เงียบไปเลย

    ผมมองหน้าน้องสาว

    ‘ตอนเธอเขินนี่น่ารักดีแฮะ’

    ‘เฮ้ย บ้าสิๆ เราเป็นพี่คิดอะไรเนี่ย’

    ว่าแล้วผมก็หน้าแดงมั่ง แล้วก็รีบปั่นจักรยานออกไป

    ………………………………….

    ความสุขที่ยังมีอยู่

    ความสุขที่กำลังจะหายไป

    ความสุขที่ไม่เคยคิดว่าจะหายไป

    ความสุขที่หายไป


    …………………………………….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×