ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SEHUN X YOU SO WHAT?

    ลำดับตอนที่ #3 : SO WHAT? CHAPTER 2

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 57


     

     


    SO WHAT?

     

     

     

    CHAPTER 2

     

     

       

    Every child is an artist. It's a challenge to remain an artist when you grow up

    เด็กทุกคนคือศิลปิน การคงความเป็นศิลปินในตัวเมื่อคุณโตขึ้นนั่นเป็นเรื่องท้าทาย

    -Pablo Picasso

     

     

        ท้าทายดีไหมฉันกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนดานฟ้าของตึกคณะที่ไม่มีอะไรสักอย่างกั้นโล่งๆเลยมันเหมือนเป็นมุมส่วนตัวที่ฉันชอบ อยู่ในที่ๆมีลมรู้สึกสบาย...

     

    “อยู่นี่เอง ยู...” แจฮยอง? น่ารำคาญเธอดูจะตามติดชีวิตฉันมากเกินไปเป็นส่วนตัวบ้างไม่ได้หรอวะ “มาทำอะไรบนนี้ถ้ามีคนรู้เธออาจจะถูกดุ”

    “ก็เธอไง ดุฉันสิ”

    “เรา เอ่อ แค่เป็นห่วงน่ะ ไม่กล้าดุยูหรอก” เธอเดินมานั่งลงบนพื้นข้างๆฉันแล้วหยิบกล้องถ่ายรูปออกจากกระเป๋าก่อนจะหันเลนส์มาทางฉันแล้วกดซัตเตอร์รัวๆ “สวยมาก”

    “ถามจริง ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนัก สงสาร หรือ กลัวฉันไม่มีเพื่อน” ฉันเหน็บดินสอไว้ที่หูเอามือสองข้างยันตัวไว้บนพื้นแล้วหันไปหาอีกคน “สิ่งพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับฉันเลย”

    “ไม่ได้คิดอย่างนั้น...” ทำไมต้องทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ด้วยวะ บอกว่าไม่คิดก็ไม่คิดสิถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ฉันจะถีบยัยนี่ให้ตกตึกตายเลย “แค่อยากมีคนปกป้อง”

    -_-

        อย่างฉันไม่สามารถปกป้องใครได้หรอกมีแต่จะทำให้เดือนร้อนได้มากกว่าฉันว่าแจฮยองอาจจะสบสนทางสมองหรือผิดปกติทางความคิดแล้วไอ้คำที่ว่าอยากมีคนปกป้องยัยนี่ควรไปใช้กับแฟนมากกว่าวะ หึ

    “ไม่ไปบอกแฟนเธอ ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง”

    “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ!” เธอทำตาโตแล้วปัดมือปฎิเสธรัวๆน่ารักอยู่หรอกถ้าไม่ทำตัวน่ารำคาญ “แค่...ไม่รู้สิยูดูพึงพาได้” พึงพาไปตาย?

    “ฉันปกป้องเธอไม่ได้ ถ้าทำให้เดือดร้อนน่ะได้อยู่”

    “แต่เมื่อวันนั้นก็ทำไปเพื่อปกป้องไม่ใช่หรอยู” ตลกแล้วฉันทำไปเพื่อความหมั่นไส้ส่วนตัวต่างหากถ้าสองคนนั้นทำคนที่พอสู้ได้ฉันจะไม่มีทางย่างกรายเข้าไปเลยแต่กับแจฮยองอ่อนแอสิ้นดี “เราอยากมีเพื่อนแบบยู”

    “แต่ฉันไม่อยากมีเพื่อนมันหนักสมอง” หน้าด้านใช้ได้เลยยัยคนนี้...

    “เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้รำคาญหรือเดือดร้อน” แต่เธอก็ทำมันไปหลายรอบละฉันเบื่อที่มองหน้าตาหวานๆและช่างอ้อนวอนของเธอจริงๆ “จริงๆนะ”

    “อยากมีเพื่อนเป็นฉันหรอ”

    “ใช่ๆ” เธอพยักหน้ารัวๆจนผมที่ยาวปลิวไปตามแรงลม ทำไมฉันถึงมองว่าผู้หญิงน่ารักวะ

    “เตรียมตัวเดือดร้อนไปจนตายได้เลย” เธอกระโดนเข้ามากอดฉันไว้แน่นมันทำฉันขนลุกเลยต้องผลักยัยประสาทนี่ออก “ทำอะไรวะ”

    “คิๆ ขอโทษดีใจไปหน่อย”

    “ขนาดนั้น?

    “อืม อย่างน้อยก็ได้เป็นเพื่อนคนแรกของยู” ทำไมฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆ ดีใจอะไรขนาดนั้นฉันเป็นคนเข้าหาง่ายแต่เข้าถึงยาก “ไปเรียนกันเถอะนะ เดี๋ยวเราช่วยเก็บ”

     

        ถ้ายัยนี่แตะคงจะได้ตายคามือฉันแน่ๆฉันปัดมือเธอออกจากกระดานและเริ่มเก็บเข้าถุงผ้าสีดำใบโตพอดีสำหรับกระดาน

    “อย่ามายุ่งกับของๆฉัน เก็บเองได้”

    “ทำไมใจร้ายจังละ” เบะอีกละ...ปัญญาอ่อน

     

         ฉันเงียบแล้วลุกขึ้นเดินออกมาโดยที่มีแจฮยองเดินตามอยู่ข้างๆเธอใจดีเกินไปและอ่อนโยนเกินไปต่างจากฉันที่หุนหันพลันแล่นอยากทำอะไรก็ทำโดยไม่สนใจใครเราต่างก็เหมือนสวรรค์กับนรกอยากรู้จริงๆว่าจะเป็นเพื่อนกันได้กี่วันดีไม่ดีเธออาจจะหนีฉันไปเลยก็ได้ถ้ารู้ว่าพ่อเป็นมาเฟียจอมวางอำนาจและเครือข่ายธุรกิจใต้ดินเป็นร้อยพันแห่งทั่วโลก

     

    “ฉันเป็นแบบนี้ ทนไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน” บอกไว้ก่อนเผื่อจะเสียใจภายหลัง...แต่ดูเหมือนยัยคนนี้จะหน้าด้านหน้าทนมากเกินไปยิ้มอยู่ได้

    “เปล่า เราแค่อยากเห็นยูอ่อนโยนบ้างตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ไม่เคยเห็นยูยิ้มสักครั้งเลยยิ้มให้เราดูบ้างสิ อยากเห็นๆ” เธอพูดเหมือนเด็กๆแล้วทำสีหน้าตื่นเต้น

    “หึ “ ฉันเค้นยิ้มไปให้แทน

         ฉันไม่ชอบยิ้มต่างหากละถ้าเธอกำลังคิดว่าฉันไม่มีความสุขคิดผิดแล้วยัยปัญญาอ่อนเด็กชะมัดคนอย่างนี้หรออยากมาเป็นเพื่อนฉัน

     

     

     

     

     

     

     

        ฉันนั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนใหม่ที่ไม่ใหม่เท่าไหร่นอกจากจะพูดเก่งเหมือนพวกนกการเวกแล้วยังทำตัวน่ารำคาญด้วยการออดอ้อนจนฉันแทบบ้าไหนสัญญาว่าจะไม่ทำให้ฉันรำคาญวะ

     

    นักศึกษายู(…)หมายเลข 01012001เชิญที่ห้องปกครองนักศึกษาค่ะ

     

    “บอกทีว่าไม่ใช่ชื่อยู” เธอทำสีหน้ากังวลถามฉันอย่างคาดหวังเสียใจด้วยเพราะชื่อยาวๆอย่างนี้มีแค่ฉันนี่แหละ “ทำไงดีต้องเรื่องนั้นแน่ๆ” ฉันมีหลายเรื่องเกินจะรับรู้

    “แล้วไง...” จะกังวลอะไรนัก ฉันนั่งกินข้าวต่อโดยที่มีแขกไปได้รับเชิญเดินมานั่งข้างๆแล้ววางจานข้าวลงนั่งกินอย่างหน้าตาเฉยเขาหันมาสะแยะยิ้มให้ฉันแล้วกินต่อ

    “คุณเซฮุน...” เซฮุน? หมอนี่หันไปหาแจฮยองแล้วยิ้มหวานๆให้ก่อนจะหันมาหาฉันที่นั่งข้างๆต่อคิ้วขวาฉันกระตุกๆเหมือนบ่งว่าฉันอาจจะหมั้นไส้หมอนี่ในอีกไม่ช้า

    “ชื่อเธอหรือเปล่านะ คุณยู” ต่อให้ใบหน้าจะดูเป็นมิตรและยิ้มแย้มแค่ไหนแต่ดวงตานั้นไม่ใช่เลยมันดูจะสะใจฉันอยู่ลึกๆ

    “ชื่อแม่ฉัน” หมอนั้นหน้าเหวี่ยงทันทีที่ฉันพูดจบแจฮยองได้แต่นั่งเงียบแล้วทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันทีเมื่อเซฮุนวางช้อนเสียงดัง

    “นั้นมันชื่อเธอ! รีบไปห้องปกครอกซะ” รบเร้าจังนะ ทำไม่ไม่ไปเองทั้งที่ก็ก่อเรื่อง

    “เขาไม่ได้ระบุเวลา มันแปลว่าฉันจะไปตอนไหนก็ได้” ฉันสะพายกระเป๋าและกระดานของตัวเองและแจฮยองก่อนจะเอาจานข้าวที่กินไม่ถึงไหนวางซ้อนกับของเธอถือไว้แล้วลุกไปดึงอีกคนที่ทำหน้าเหมือนจะตายออกมาจากสิ่งที่น่าขยะแขยง

    “เธอ!!

     

     

     

     

     

    “ยู ทำไม”

    “หุบปากเถอะ ถ้าฉันไม่ไปใครก็สั่งไม่ได้” ฉันวางจานไว้แล้วปล่อยมืออีกคนให้เดินตามมาอย่างว่าง่ายจะกังวลอะไรนักหนากับชีวิตในรั้วมหาลัย

    “แล้วถ้าเราไม่ได้เรียนที่นี่”

    “เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเกาหลีเลย ส่งเสียเรียนฟรีด้วยถ้าเขามีเส้นสายถึงขนาดนั้นฉันจะพาเธอไปมหาลัยอันดับหนึ่งของโลก! ทีนี่จะจบแล้วหุบปากเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้หรือยัง!!!” ฉันเผลอตะโกนใส่หน้ายัยนี่แล้ว...

    “ได้ๆ เราไม่ได้ตั้งใจทำให้ยูโกรธ อย่าโกรธเรานะยู” เกาะแขนอีกละเฮ้อฉันเกลียดน้ำตารู้ด้วยว่าเมื่อกี้พูดแรงไปเพราะรั้งอารมณ์โกรธตัวเองไม่ได้

    “ไม่โกรธ เมื่อกี้โทษที”

    “จ๊ะ ไม่เป็นไร” ฉันยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอเช็ดน้ำตาออกแล้วดึงยัยปัญญาอ่อนนี้ไปอาคารเรียนด้วยกัน

     

     

     

     

     

     

      พอเลิกคลาสฉันจะไปส่งเพื่อนปัญญาอ่อนเหมือนเคยแต่มีสัมภเวสีเดินตามมาห่างๆเพราะเป็นคนระวังตัวพอควรเลยรู้สึกได้หมอนั้นอาจจะอยากให้ฉันออกจากมหาลัยแห่งนี้อย่างที่เคยขู่ไว้เลยตามมากวนตีนอยู่แบบไม่เนียนบ่อยๆ

    “ไง คนสวย” เข้าใจว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

    “ไงไอ้ขี้เหล่” ฉันชอบคำนี้ของตัวเองจริงๆเวลาที่มีคนชมมันติดเป็นลักษณะแล้วไงเพราะคนที่ชมมันคงขี้เหล่มากเลยต้องพูดอย่างนี้กับคนอื่นพวกปากหาเรื่อง

    “แรงนักหรอ กวนตีนว่ะ” สงสัยเรื่องนี้บุคคลที่สามจะไม่เกี่ยวเรื่องไหนพอหลีกเลี่ยงไม่ให้เพื่อนโดนร่างแหไปด้วยพอช่วยได้ก็ต้องช่วย

     

        ฉันเปิดประตูรถแล้วกดหัวแล้วดันตัวแจฮยองให้เข้าไปในรถของตัวเองโยนกุญแจให้เธอก่อนปิดประตูไว้กันยัยเพื่อนบ้าขวัญเสียไปกับเหี้_บางตัว

    “มีอะไรก็เห่ามา” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วดันฉันติดกับตัวรถก่อนจะเอามือมากั้นไว้ไม่ให้หนี ยังไงฉันก็ไม่หนีอยู่แล้วไหนดูสิว่าจะทำยังไงต่อ ทำเป็นขู่...

    “ฉันละชอบแบบเธอจริงๆ แม่งโคตรท้าทาย” แต่ทำไมฉันรู้สึกอยากจะขยี้หมอนี่ให้แหลกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปโยนให้จระเข้กินวะ

    “หรอ...แล้วไงต่อ” ใบหน้าขาวและเนียนมากขยับเข้ามาใกล้ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ทำไมฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้สวย? มันดูสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีกหน้าตาก็ดีแต่นิสัยอย่างเลว

    “อยากลองกับเธอสักหน่อย คงจะมันส์ดีเอาหน่อยไหม” สงสัยหาที่ระบายนอกจากแม่ไม่รักแล้วเมียยังไม่รักอีกน่าสงสารอะไรขนาดนี้ แบบหมอนี่คงจะเรียกว่าเลวอย่างเดียวไม่พอหรอกสำหรับคำพูดอย่างนี้

    “ไม่ได้ขายตัว” พ่อแม่ฉันไม่เคยสอนและไม่ปล่อยให้อดอยาก

    “แล้วขายอะไรบ้าง อยากจะซื้อใจแทบขาด” อ๋อ...หรอ! “ห้าพันเนี่ยพอไหม?” ห้าพันคงได้ซื้ออุปกรณ์ทำแผลจนหมดปากแบบนี้

    “อยากได้อะไรละ” คนอย่างนี้โลกต้องกำจัดให้สิ้น น่ายิงทิ้งจริงๆ

    “อยากได้เธอ เท่าไหร่ว่ามาราคาไม่สิ้นสุด” เขากวาดตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหยุดอยู่ที่หน้าอกและเริ่มมองขึ้นอย่างจาบจ้วงจนน่าขยะแขยง

    “ทำตัวอย่างนี้แม่ไม่ว่าหรอ” ถ้าสิงฉันได้หมอนี่คงทำเพราะมันเริ่มจะแนบชิดเกินไปดีหน่อยที่ฉันยืนกอดอกอยู่ระหว่างขาฉันถูกแทรกด้วยเรียวขาของอีกคนถ้ามองมาไกลๆคงคิดว่าเรากำลังจะผสมพันธุ์กันอยู่แน่

    “แม่ฉันอยากได้ลูกสะใภ้อยู่พอดี”

    “จริง? แล้วทำตัวอย่างนี้แฟนไม่ว่า?” ฉันจำได้นะยัยหน้าพลาสติกที่เคยตบคว่ำคนนั้นน่ะ

    “แฟนไม่มี มีแต่คู่ขาสนใจไหม จะดันให้ขึ้นไปอยู่จุดสุดยอดเลย”

    “ฉันชอบผู้หญิง” มันคือวิธีตัดปัญหาเมื่อคุยกับผู้ชายคนหนึ่งไม่รู้เรื่องและได้ผลยกเว้นไอ้หมอนี่ ฉันดันตัวคนตรงหน้าออกแต่ไม่ได้ผลเขากดน้ำหนักตัวลงมาจนมันแน่น ขอร้องอย่าทำให้ฉันอารมณ์ขึ้นแล้วร้ายใส่ใครเลย

    “ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ ลองกับผู้ชายหน่อยเป็นไง” ปลายจมูกเราชนกันและกำลังจ้องด้วยดวงตาเหมือนกันแต่ความรู้สึกต่างกัน “มันสนุกกว่าเยอะเชื่อสิ”

    “ไม่ละ รำคาญโคตร ถอยซะ”

    “ตกลงขายอะไร” แปลว่าที่พูดไปมันคงไม่เข้าใจทำไมฉันต้องมาพูดย้ำๆวะสงสัยอยากจะลองดีสินะ...หึๆ

    “ขายความเจ็บปวด” ฉันมีสะสมเยอะพอจะขายได้เป็นล้านๆตันเลยวะ

    ตุบ!!

    “โอ๊ย!!!!” ฉันกระทุ้งเข่าเข้าที่น้องชายสุดที่รักของฝ่ายตรงข้ามจนอีกคนลงไปนอนกุมกับพื้นก่อนจะได้จูบฉันก็ต้องเจ็บก่อนเป็นไง

     

     

        ฉันเปิดประตูแล้วหันไปโบกมือแล้วยิ้มสวยให้กับยัยผู้หญิงวันนั้นที่ถูกฉันตบคว่ำเธอดูตกใจที่แฟนลงไปนอนกองที่พื้น สะใจชะมัด! ฉันเข้าไปในตัวรถแล้วขับออกมาพอหันไปมองอีกคนข้างๆเธอก็นั่งหน้าแดงๆอยู่

    “เป็นอะไร”

    “ยู...ทำอะไรกับเซฮุนละ” สงสัยอาย...จะอะไรนักกับอีแค่ตัวติดกัน แน่นอนว่าเธอคงไม่ได้ยินที่เราพูดกันอยู่ข้างนอก คงนั่งมองแค่ภาพจากกระจกข้างๆแล้วคิดไปไกล

    “เธอลามกชะมัด”

    “เปล่านะยู เราไม่ได้คิดอะไร” อืม...ไม่ค่อยคิดน่ะสิออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว

    “แล้วหน้าแดงทำไม”

    “ก็ยูจูบกับเซฮุน” กล้าพูดได้ไง ถ้าตบปากยัยนี่จะร้องไห้ไหมนะถ้าไม่เห็นว่าอ่อนแอฉันจะปล่อยลงข้างทางนี่แหละ ให้แม่งร้องไห้

    “เอาปากพูดหรอ”

    “ขอโทษเราแค่พูดตามที่เห็นหรือ...”

    “เธอกำลังคิดว่าฉันจูบกับคนที่ไม่รู้จัก บอกเลยว่าไม่มีใครจูบใครทั้งนั้นถ้าแพร่ข่าวก็เอาที่มันถูกด้วย ถึงแล้ว” ฉันจอดเทียบวังหลังโตแล้วไล่ยัยแจฮยองทันทีก่อนจะได้พ่นไฟใส่เมื่อกี้กับไอ้เลวนั้นฉันต้องเก็บความโกรธมากแค่ไหนรู้หรือเปล่า

    “เราไม่ได้จะแพร่ข่าวนะ ขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด”

    “ลงไปได้แล้ว”

    “จ๊ะ ขอบคุณนะ ยูจะไม่เข้ามาบ้านเราหน่อยหรอ”

    “ไว้ฉันรู้จักเธอดีกว่านี้ก่อน”

     

     

     

     

        ฉันปิดกระจกแล้วขับรถออกจากหน้าบ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศสยัยคนนี้เป็นลูกคนรวยแล้วทำไมต้องกลัวไม่มีที่เรียนทำไมต้องกลัวถูกไล่ออกหรือพ่อแม่กลัวเสียหน้า?ลูกไม่ได้ดั่งใจต้องด่าอย่างนี้หรอ...?

     

     

     

     

     

     

     

    “ว๊าว เจอกันอีกแล้ว” ฉันไม่เคยเรียกเรื่องแบบนี้ว่าความบังเอิญหรือพรมลิขิตเพราะความเป็นไปได้มันมีอยู่มากอย่างคนข้างๆหมอนี่ฉันเจอบ่อยแต่ไม่รู้จัก

    “เฮ้ยเซฮุนกูเตือนว่าไงวะ”

    “มึงบอกอย่ายุ่งกับยัยนี่ไงชานยอล” เขาเตือนถูกแล้วทำไมมึงไม่ฟังละวะบอกตามตรงอยู่ในลิฟต์ฉันไม่เคยอึดอัดเท่ายืนที่เดียวกันกับหมอนี่เลย น่าเบื่อ!!

    “แล้วทำไมมึงไม่จำ!!” ฉันไม่ได้เข้ามายืนเพื่อฟังคนเถียงกันชานยอลหรอ...ฉันเคยเห็นที่คณะบ่อยๆแต่ไม่ได้สนใจอะไรในมือเขาถือกระดานวาดรูปเหมือนฉันห้องเดียวกันหรือเปล่าวะ? ช่างเหอะ!!!

    “กูชอบผู้หญิงนมใหญ่ สนใจขึ้นสวรรค์ด้วยกันไหมยู...” ฉันปัดมือตัวเหี้_ออกจากปลายผมตัวเองแล้วเดินออกจากลิฟต์ทันทีเมื่อถึงเป้าหมาย “ฉันถามไม่ได้ยิน? หูหนวก” ตามมาทำไมวะ

    “กูขอร้องอย่ากวนเธอเลย ไหนมึงบอกจะไปห้องกู” แปลว่ามาห้องเพื่อนถ้ามันอยูที่นี่ฉันจะย้ายคอนโดแล้วขายต่อในราคาถูกๆ

    “ตอนแรกก็อยากไปห้องมึง แต่ตอนนี้กูอยากเข้าห้องนี้มากกว่า” ไม่ได้เชิญ...

        ฉันยืนกอดอกพิงประตูห้องตัวเองมองสองเพื่อนยืนลากกันไปมาอยู่หน้าห้องคนหนึ่งดึงอีกคนรั้งไว้ดูแล้วสนุกดีถ้าจะให้สนุกมากกว่านี้ฉันว่าต่อยกันเลยดีกว่า

    “ไม่ได้เมียมึงรออยู่ที่ห้องกูเนี่ยเร็วเลย” หึ ผู้ชายสมัยนี้...

    “ไม่ อยากไปก็ไปเองดิ”

    “เออ! งั้นกูจะบอกให้แม่งมาลากหัวมึงกกลับ” ชานยอลปล่อยแขนอีกคนแล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจเพื่อนเลย อย่างนี้กูจะเข้าห้องยังไง

    “แล้วแต่เลย!!

     

        หมอนี่หันมามองฉันหลังจากจัดเสื้อผ้าและทรงผมของตัวเองให้เรียบร้อยบอบบางร่างสูงอย่างนี้ถ้าได้ถีบเสียงที่กระทบพื้นคงดังไพเราะ

    “กดเข้าไปสิมองอะไร” ทำไมฉันต้องทำเป็นใครหน้าไหนถึงกล้าสั่ง พ่อหรอ!?

    “อยากยืนตรงนี้” ฉันยังยืนอยู่ที่เดิมจ้องมองไอ้คนหน้าเลวด้วยสายตาที่คนโง่ไม่น่าจะดูออกแน่นอนว่าเซฮุนก็เป็นหนึ่งในนั้น

    “อะไรนะ อยากเอาตรงนี้” หึๆ แล้วแต่จะคิด “ได้นะ ลองไหม” ก็อยากลองถ้าเขาไม่กลัวตายก็ไม่ว่ากันอยากเอาฉันคิดว่าง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง

    “อย่ามาเตะฉันเลย เดี๋ยวผื่นขึ้น” มือที่ยื่นมาหยุดค้างกลางอาการสายตาที่สดใสก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มแทน หึ อารมณ์หลากหลายจริงนะ

    “แบบเธอเนี่ย ซื้อได้ที่ไหนบ้างวะ” ฉันยกเท้ากันไว้เมื่ออีกคนเดินมาใกล้เขายืนหยุดตรงหน้าฉันล่วงกระเป๋าแล้วทำหน้าตาดุดันถาม “อยากได้มาถูบ้าน”

    “...” คนใช้...

    “เงียบ เฮอะ! บอกอะไรให้นะเรื่องที่เธอแทงเข่าน้องชายฉันวันนั้นโคตรแสบระวังจะโดนแทงคืน” ขู่คนอื่นเป็นชีวิต

    “จะรอ” ฉันรูดการ์ดแทนการกดรหัสเข้าห้องเพราะเสี่ยงเกินไปก่อนจะเปิดประตูแล้วปิดใส่หน้าอีกคนที่เค้นยิ้มอยู่หน้าห้องแรงๆ

     

     

    ติ้ง ติ้ง ติ้ง

     

     

    ไม่ต้องรอหรอกเปิดเลยดีกว่า” ฉันมองไปที่จอด้านในก็เห็นมันยืนเสยผมอยู่ก่อนจะกดอีกครั้งรัวๆฉันเลยเลือกที่จะกดปิดเสียงไว้

    “แล้วแต่...”

     

     

     

    “มีอะไร” คิดยังไงถึงโทรมา แต่ก่อนต้องให้มีเรื่องก่อนนิ

    “อยู่ไหนลูก” ไม่ใช่เสียงพ่อ?

    “แม่หรอ... อยู่คอนโดเพิ่งกลับ”

    “จ๊ะ สบายดีนะ เรียนหนักไหม” อย่าว่าแต่เรียนเลยรู้สึกว่าชีวิตที่เคยโดดๆวุ่นวายขึ้นจนน่าปวดหัวแต่ถ้าตอบกลับไปคงได้กลับไปสิงที่วัง

    “สบายดี แม่ละ” อย่าให้ฉันต้องพูดถึงเรื่องเรียนเลย...

    “จ๊ะ พ่อด้วย มีอะไรจะบอกพ่อไหม ทำไมคุณไม่คุยเองละค่ะ” ใช้แม่โทรมาแผนเดิมเบื่อโทรมาเองไม่เป็นหรือไง

        ฉันกดวางสายแล้วโยนโทรศัพท์ไว้ที่โซฟาก่อนจะเข้าครัวหาอะไรมาเวฟกินฉันทำอาหารไม่เป็นและไม่อยากทำในตูเย็นเลยมีแต่ของสำเร็จแต่มันก็เดิมๆถ้าต้องออกไปซื้อตอนนี้ฉันยอมผูกคอตายซะดีกว่าเจอไอ้หื่นอยู่หน้าห้อง ถ้าต้องเดาคงยังไม่ไป

     

       วันนี้ดูมันจะวุ่นๆทำไมไม่รอให้ฉันนอนหลับเลยละฉันกดรับสายจากแจฮยองแล้วกระดกน้ำเข้าปากไปด้วย

    “ยู..........” ขนลุก!!

    “โทรมามีอะไร” ฉันเดินมานั่งโซฟาที่เดิม

     “การบ้าน...ระบบอาคารและโครงสร้างทำยัง? พี่รหัสยูจิกเราใหญ่เลย” มันคงจะไม่มีปัญญาโทรมาบังคับฉันหรอก

    “ส่งให้อีกกลุ่มแล้ว”

    “อ่าว หรอ คิๆ งั้นกลุ่มเราก็เสร็จแล้วดิ” ฉันหน้าอย่างนี้ดูไม่มีปัญญาทำงานเลยหรือไงไม่ใช่คนขี้เกียจซะหน่อย

    “อืม”

     

         ฉันกดวางสายอีกรอบโดยไม่ฟังยัยบ้าขี้กังวลพูดต่อเลยพี่รหัสงั้นหรอ...ทุกคนเขาจะอยู่แบบสนิทสนมกับพวกพี่ๆและน้องๆแต่ฉันเหมือนดอกกุหลาบสีดำท่ามกลางกุกลาบสีขาวก็ชวนกูกินแต่เหล้าใครมันจะอยากไปสนิทวะไอ้ลู่หานเอ้ย!!!

      สองพี่น้องเนี่ยพ่อแม่เดียวกันป่ะวะ

     

     

     

     

     

     

     





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×