คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : BEGIN AGAIN CHAPTER 1
Chapter 1
Begin Again
“เฮ้ยพวก... ฉันว่าเซฮุนเป็นแน่เลยอ่ะ
ดูนู้น...”
“เออ นั่นดิ... ผู้ชายที่ไหนเขาเดินจับมือกัน...ว่าป่ะ”
ฉันกรอกตาไปมาด้วยความเบื่อขณะที่นั่งฟังเพื่อนตัวเองนั่งนินทาผู้ชายคนเดียวอยู่ซ้ำๆไหนจะหนังสือตรงหน้าอีก
อยากจะเป็นโรคประสาทซะให้ได้ ไม่มีเลยวันไหนเลยที่จะไม่ได้ยินเสียงเจาะแจะนินทาผู้ชายของเพื่อนพวกนี้
“เงียบหน่อยจีมิน...ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง” ฉันฟาดปกคณิตศาสตร์เล่มหนาเข้าที่หัวเธอเบาๆแต่ยัยนี่ก็ไม่สนใจอะไรกลับเหยียดปากใส่ฉันแล้วหันไปนินทาอย่างเมามันส์กับพวกเพื่อนๆต่อ
“ฉันว่าเป็น ชัวร์เลย! นี่จีมินเธอช่วยเอาหนังสือของเซน่าไปเผาหน่อยสิเห็นแล้วรกหูรกตา ฮ่าๆ”
“เล่มนั้นแพงจะตาย ฉันไม่มีปัญญาซื้อใช้หรอกนะ” จีมินหันมาพูดกรอกหูฉันหนักๆแล้วเค้นเสียงหัวเราะดังลั่นโรงอาหาร
รุ่นพี่หันมามองเป็นแถว...-_-
แล้วคิดว่าฉันอยากอ่านนักหรือไง
ถ้าไม่ถูกอาจารย์บังคับให้ไปแข่งโอลิมปิกคณิตศาสตร์ ถ้าไม่ใช่เพราะเกรด A อันล้ำค่า ฉันไม่มีทางหยิบมันขึ้นมาอ่านหรอกไอ้หนังสือน่าปวดหัวพวกนี้
“แล้วดูมือแทยงแม่งกุมมือเซฮุนไว้แน๊นแน่น...”
“มีส่งยิ้มให้กันด้วยอ่ะ...อร๊ายยย”
“แต่...ฉันได้ข่าวว่าเซฮุนเพิ่งเลิกกับแฟนนะเว้ย”
“โหย... เขาคบกันปิดบังความจริงป่ะมึง...”
“แต่ที่ฉันรู้เซฮุนก็คบไปหมดไม่ใช่หรอ ใครอยากจะควงก็แค่เดินเข้าหา ไม่หรือใช่ไง?”
“เธอก็พูดเกินไป...หมอนั่นไม่เข้าใกล้ผู้หญิงด้วยซ้ำ”
อะไรคือเซฮุน?
คนหรืออะไร?
ฉันมองเพื่อนตัวเองแต่ละคนแล้วส่ายหน้าออกมา ยิ่งที่นี่เป็นโรงอาหารและเสียงยิ่งดังเข้าไปใหญ่
นินทาเข้าไปสิ...
ฉันเงยหน้ามองซูจองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มออกมา เธอไม่นินทาพวกผู้ชายเหมือนคนข้างๆฉันอย่างจีมินและคนอื่นๆ
แต่กลับนั่งมองฉันยิ้มๆแล้วยื่นช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดมาให้
จะน่ารักก็ตรงนี้แหละ...
“น้ำตาลเป็นบ่อเกิดของพลังงาน”
“^^ขอบคุณ” ฉันรับเฮอร์ชี่มาปลอกเปลือกขิมรสชาติหวานๆ...
มันทำให้สมองฉันโล่งและคลายเครียดลงอย่างรวดเร็ว
ในสถานการณ์เช่นนี้มีเพียงเราสองคนที่เข้าใจกันและกันดีที่สุด
“ขอบคุณนะ”
“^-^”
เรามัวแต่ยิ้มให้กันโดยลืมมองรอบข้างว่ามีสายตากี่คู่ที่กำลังจ้องเราสองคน
“ฉันว่าเซน่ากับซูจองก็น่าสงสัยนะ ชอบยิ้มหวานๆให้กัน”
“ฉันชอบผู้ชาย!” ขึ้นเลย...ฉันตะโกนใส่หน้าจีมินอย่างเดือดๆ
สำหรับฉันแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างไวต่อความรู้สึกนะ
มาแหย่แบบนี้เดี๋ยวแม่ต่อยคว่ำเลย...
“แรงอะเซน่า” อ่าว... ก็แค่ตอบไปตามความเป็นจริง จะตกใจอะไรนักหนา ตาโตเป็นไข่ห่านกันเลยทีเดียว
ถ้าฉันรู้แต่แรกว่าพูดแบบนี้ออกไปแล้วเพื่อนๆพากันเงียบนะ...ฉันพูดตั้งนานแล้ว
แต่ยังไม่ถึงหนึ่งนาที...
“เฮ้ยเดินมานู้นแล้วมึงดู”
“แต่ฉันว่าคู่พี่จงอินกับพี่แทมินก็น่าสงสัยกว่าเซฮุนกับแทยงอีกนะเว้ย”
“สองคนนั้นไม่น่าสงสัยหรอก ใช่แน่ๆ ฮ่าๆ”
เมื่อเสียงชะนีเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆฉันจึงเลือกที่จะลุกออกจากโต๊ะพร้อมกระเป๋าเป้และถือหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนาเหวี่ยงตามแรงโน้มถ่วงไปมาก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าร้านชานมไข่มุกของโปรด
“ชานมเผือกไข่มุกค่ะ/ชานมเผือกไข่มุกครับ”
ฉันหันไปมองหน้าคนข้างๆและจ้องเขาอยู่สักสามวิก่อนจะเบนสายตาไปมองกลุ่มเพื่อนตัวเองที่เริ่มเงียบเสียงไปแล้ว
แต่กลับจ้องมองมาทางฉัน ถ้าให้เดาคงไม่ได้มองฉันหรอก...แต่น่าจะเป็น...คนข้างๆ
‘พวกบ้า!’
จะด่า จะว่า จะเกลียด จะนินทาใครฉันไม่เคยว่าเพื่อนเลยจริงๆแต่ของอย่างเดียวคือช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหม?
ฉันอายแทน...
“ให้เธอก่อนเลยครับ”
“ขอบคุณคะ”
ฉันส่งเงินไปให้คุณน้าเจ้าของร้านแล้วยิ้มให้คนข้างๆเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนเดินออกมา
ฉันคิดว่าควรลากซูจองไปห้องสมุดด้วย แต่พอจะก้าวไปหาเธอก็มองเห็นเพื่อนสุดสวยนั่งหัวเราะอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งนั่งแทนที่ตัวเอง
พอเห็นแบบนั้นจึงต้องเปลี่ยนความคิด สุดท้ายก็ต้องไปห้องสมุดคนเดียว...
ที่นี่เป็นสวรรค์ของเด็กเรียนบางคน
และเป็นสวรรค์ของเด็กหลับ เพราะอุณหภูมิห้องที่เย็นสบายเหมาะแก่การนอนซึ่งฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ฉันไม่ใช่เด็กเรียน ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือท่องจำ แต่ฉันคิดว่าตัวเองมีสมองที่เด็กหลายคนอิจฉาคือเวลาทำข้อสอบ
ฉันสามารถเดาคำตอบที่ถูกต้องที่สุดได้อย่างน่าอัศจรรย์
“อ่าวเซน่า... ใครขโมยไอพอดไป หน้าบึ้งเชียว”
หน้าฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้วต่างหาก...
“ฉันไม่ปัญญาอ่อนขนาดนั้นนะชอนจี”
“ก็เห็นชอบฟังเพลง” ฉันตบหัวรุ่นพี่ที่แสนสนิทในชมรมอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ
“กวน...”
มีแต่เด็กปฐมเท่านั้นแหละที่ร้องไห้เพราะไอพอดหาย ถ้าฉันเป็นคนอย่างเขาว่า ป่านนี้แม่คงตามมานั่งเฝ้าที่โรงเรียนแล้ว
“เธอนี่เป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียงโรงเรียนดีจังนะ ส่งแข่งแล้วส่งแข่งอีก”
ชอนจีหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ในมือฉันพลิกไปมาอย่างรังเกียจ
เขาทำคล้ายกับว่ามันเป็นพาหะนำเชื้อโรคสุดสยอง ใบหน้าสวยหวานกว่าผู้หญิงหันมามองฉันแล้ววางหนังสือลงบนหัวจากนั้นก็แย่งแก้วชานมไข่มุกในมือไปก่อนจะเดินออกจากห้องสมุด...
ยังไม่ทันกินเลยนะ =_=
“เซน่าที่รัก... เห็นชอนจีป่ะ”
“เดินออกไปเมื่อกี้อ่ะไอ้เตี้ย” ฉันหันไปบอกริกกี้แล้วเดินหนีก่อนที่มันจะจับหักคอ...
คำที่ฉันพูดไปเมื่อกี้มันค่อนข้างไว้ต่อความรู้สึกของคนอย่างเขาน่ะ “เฮ้อ...
ชานมก็ไม่ได้กิน...”
“โอเซน่า...เมื่อกี้ครูเห็นเธอถืออาหารเข้ามานะ เอาไปซ่อนไว้ตรงไหน”
บ้าจริง...
ฉันลืมไปได้ยังไงว่าวันนี้คุณครูซูฮยอนสุดเนี๊ยบเข้าเวรห้องสมุด
ดีนะที่ชอนจีถือออกไปก่อนไม่งั้นคงถูกเรียกผู้ปกครองอีกแน่ จากนั้นแม่ก็ต้องบีบคอฉันจนหมดลมหายใจ
และตายไปในที่สุด... -_-
แค่คิดก็...ตาย...
“เปล่าค่ะ... ไม่มี”
“แต่ฉันเห็น...” เธอลากเสียงยาวให้มันดูน่าขนลุก ฉันเลยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วยื่นกระเป๋าเป้ไปให้
ก่อนจะกางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อให้อาจารย์ตรงหน้าค้นตัว
เธอจับป่ายตัวฉันไปมาแล้วรูดซิบกระเป๋าไนกี้สีแดงทุกช่องเพื่อตรวจดูของด้านในท่ามกลางความสนใจของพวกหนอนหนังสือ
เด็กเรียน และพวกที่มาติว
ใบหน้าสวยของครูซูฮยอนที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเริ่มนิ่งจนน่ากลัว
เธอขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉันอย่างจับผิดแล้วเก็บของที่ค้นตรวจเมื่อครู่ใส่เข้าไว้ในกระเป๋าให้ดั่งเดิมก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะบรรณลักษณ์
อะไรของเขา...
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจออกมาแล้วนั่งลงที่ประจำของตัวเอง ก่อนจะหยิบหนังสือในกระเป๋ามาอ่านอย่างจำใจ...ToT
ฉันใช้เวลาพักเที่ยงอันแสนล้ำค่าจำสูตรคณิตศาสตร์และทำแบบฝึกหัดตามไปด้วย
พยายามจดจำมันให้เข้าสมองมากที่สุดเพราะเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งอาทิตย์ แต่ที่ฉันต้องจำและทำให้ได้ภายในวันนี้เพราะเดี๋ยวไม่มีเวลาเที่ยวเล่น
คนบ้าที่ไหนเขาจะอ่านหนังสือได้ทั้งวันและทุกๆวัน
ฉันไม่ใช่พวกสมองกรวงความจำสั้นสักหน่อยที่จะจำเรื่องแค่นี้ไม่ได้
“ซูจองหนุ่มที่ไหนมาคุยด้วยว่ะ” ฉันหันไปแซวเธอเล่นๆแต่กลับถูกฝ่ามือเล็กๆทุบเข้าที่แขนใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งยังแสดงความเขินอายให้เห็นอีก
“บ้า”
“อ๋อ...แจบอมน่ะ มานี่เซน่าเดี๋ยวน้องจีมินจะเล่าอะไรให้ฟัง” ฉันถามซูจองนะเมื่อกี้แต่ทำไมอีกคนถึงอยากจะแสดงความเห็น?
ร่างกายอันอวบอั๋นดึงแขนฉันเข้าไปคล้องไว้แน่นแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ซูจองที่กำลังส่ายหน้าอย่างปฏิเสธ
“เล่ามา...”
“ก็...” จีมินซบแก้มลงที่ไหล่ฉันแล้วถูไปมาเหมือนแมว เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะอย่างถูกใจเมื่อมือของเพื่อนโรคจิตลูบอยู่ที่หน้าอกฉัน...ยัยบ้า
“จะลูบอีกนานไหม เสียว...”
“แหม่เซน่าถ้าพูดอย่างนี้ก็เข้าโรงแรมกันเลยป่ะ ลูบนิดเดียวของขึ้นเลยหรอ?”
เสียงหัวเราะดังตามทางเดินไม่มีหยุด จะขำให้ตายกันไปเลยหรอฮะ “เพราะตัวเองไซต์ใหญ่ไงเค้าเลยชอบจับ
อย่ามองเค้าอย่างนั้นนะเซน่า เค้าไม่ทำกับใคร แค่เซน่าคนเดียวก็พอ คนอื่นมันแบน”
“อ่าวยัยนี่” ว่าหน้าอกฉันใหญ่ทำไมไม่มองฮยอนอาบ้าง?
“ดูผู้คนบ้างก็ดีนะ ปล่อยมือออกได้แล้ว...” ฉันเอ่ยขึ้นแล้วจับมือจีมินออกจากหน้าอกก่อนจะถูกหาว่าโรคจิต
“จะพูดอะไรก็พูดมา”
“ก็แจบอมไง จำได้ป่ะ? คนที่ไปแข่งคณิตศาสตร์กับเธออ่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำพูดจีมิน
“เขาตามจีบซูจองแฟนเธออยู่”
“จริงดิ?” ฉันไม่ได้ตกใจที่แจบอมมันตามจีบซูจองหรอกแต่ตกใจที่ตัวเองกับซูจองไปเป็นแฟนกันตอนไหน
ยัยมั่ว!
“ใช่!!!....”
เสียงเพื่อนๆฉันที่เงียบฟังจีมินเล่าตอบรับพร้อมเพรียงกันเสียงดังฟังชัด
ฉันเลยหันไปมองซูจอง เธอเกาแก้มแดงๆของตัวเองอย่างเขินอาย...
ชอบละสิ เขาทั้งหล่อทั้งเก่งขนาดนี้...
“แล้วพวกเธอคิดว่าซูจองของเราชอบแจบอมป่ะ”
“ชอบบบบบบบ!.......”
“ฮิ้วววววววว”
“จริงดิ?” ฉันถามขึ้นเมื่อเห็นแจบอมเดินผ่านพวกเรา เขาพยักหน้าให้ฉันแล้วหันไปมองซูจอง
เขินแทน...^^
“จรี๊ง!!!”
หลังจากหมดวิชาสุดท้ายเราทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
หลังจากออกมานอกรั้วโรงเรียนฉันก็นั่งหงอยตามเดิม
เป็นอีกวันที่ซูจองทิ้งฉันไปเดทแอบๆกับแจบอม ทุกวันฉันจะติดรถที่พี่สาวเธอส่งมารับกลับไปด้วยกันเพราะมันเป็นทางผ่านคอนโดฉันพอดี
ขี้เกียจเสียค่ารถเมล์...มันเปลือง
อยู่คนเดียวก็ต้องประหยัดหน่อยเพราะพ่อแม่และน้องชายสุดที่รักของฉันอยู่ที่ไทยครอบครัวฉันทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำหอมอยู่ที่นั่น
ฉันเป็นลูกครึ่งมั้ง...ไม่รู้สิแม่ฉันเป็นคนเกาหลีส่วนพ่อไทย-จีนแต่ฉันมีเชื้อชาติไทย-เกาหลี-จีน แต่เป็นสัญชาติไทยแท้ๆ
โอเซน่าเป็นชื่อเกาหลีที่คุณยายโอสุดที่รักของแม่ตั้งให้ส่วนชื่อไทยอย่างที่คุณกำลังคิดอยู่นั่นแหละชื่อฉัน...
กว่าจะขอคุณยายมาอยู่คอนโดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันต้องอดข้าวอดน้ำประชดเลยทีเดียว
แต่ยังไงก็ดีกว่าการอยู่บ้านกับคุณตาคุณยาย ไม่อย่างนั้นฉันได้ขาดใจตายเพราะความเป็นกุลสตรีของตัวเองแน่ๆ
“เซน่า!” ฉันหันหลังไปมองบุคคลที่เรียกชื่อตัวเองก็เห็นว่าชอนจีกำลังวิ่งมา
เขาหยุดเหนื่อยหอบอยู่ตรงหน้าฉันแล้วหายใจแรงๆ พอเห็นแบบนี้ด้วยความมีน้ำใจฉันจึงลูบแผ่นหลังให้เบาๆ
“ฉันเอาชานมเธอมาคืน...”
“?” ฉันรับมันมาจากมือเขาแล้วเจาะกินทันทีด้วยความหิว ชอนจีเบะปากใส่แล้วผลักหัวฉันอย่างแรงจนแทบคว่ำ
ส่วนชานมในปากพุ่งออกมาเปื้อนเสื้อนักเรียนฉันเป็นแถบ
“มันเปื้อนไหมห๊ะ!!”
“ก็เปื้อนไง ไม่เห็นหรอ?”
“ไอ้บ้าเอ้ย” ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือชอนจีมาเช็ดเสื้อตัวเองลวกๆแล้วส่งกลับคืน
“ฉันนึกว่านายกินไปแล้วซะอีก”
“บ้าหรอ ฉันอุตสาห์เป็นคนดีกลัวว่าอาจารย์ซูฮยอนจะฆ่าเธอเลยช่วย ขอบคุณสักคำก็ไม่มี
ผู้หญิงอะไร”
“อ่าว...”
“อีกอย่างฉันเป็นพี่แกนะเว้ยเซน่า เมื่อไหร่จะเรียกว่าฉันว่าโอปป้าบ้างห๊ะ?”
ถ้าเขาบ่นยาวขนาดนี้ฉันก็ต้องตัดปัญหาที่...
“ยังไงก็ขอบคุณนะ” ฉันยิ้มสวยๆไปให้คนตรงหน้าแต่เขากลับถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆแล้ววิ่งกลับไปหาริกกี้ที่ยืนเท้าเอวพิงรถมินิอยู่ไม่ไกล
“เซน่าสุดที่รัก”
“อะไร?”
“ให้ไปส่งป่ะ”
“ไม่ต้อง... ไปไหนก็ไป”
ฉันเกลียดไอ้เตี้ยนั่น ทำเป็นปากหวาน เป็นผู้ชายใจดี ไม่มองดูเลยว่าประชากรในรถมีเยอะขนาดไหนถึงได้กล้าชวน
“ฮ่าๆ”
รถเมล์อยู่ไหน?
ฉันยืนรอเป็นชั่วโมงกับนักเรียนอีกสามสี่คนที่เหลืออยู่
ที่จริงมันไม่มีหรอกไอ้รถเมล์ที่ว่ามีแต่รถรับส่งนักเรียนและพวกรถส่วนตัวของคุณครู
แต่ฉันมักเรียกแบบนั้นเพราะความเคยชิน...
“ว้า...น่ารักจัง” อิจฉาบางคนที่มีพ่อแม่มารับจัง
“เธอ...เอ่อ...เซน่าหรือเปล่า?”
ฉันหันไปมองผู้มาใหม่ แต่ไม่เห็นหน้า เห็นแค่ลำคอ
คาง และไหล่กว้างๆ ขนาดฉันไม่ใช่คนเตี้ยอะไรความสูงของตัวเองยังอยู่ในระดับอกอีกคนเลย
ฉันเงยหน้ามองคนผิวขาว จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพู
และโครงหน้าที่ได้รูปแล้วบอกคำเดียวว่าสวยมาก แต่สู้ชอนจีไม่ได้ เขาสวมชุดโรงเรียนเดียวกับฉันเลย
แต่...ทำไมหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหน...
“- -”
“เอ่อ อื้ม... มีอะไรค่ะ” มือขาวๆเสยผมตัวเองขึ้นอย่างลวกๆเมื่อได้รับคำตอบจากฉันก่อนจะยิ้มออกมาจนเรียวตาแทบปิด
“เธอลืมเงินทอน คุณน้าร้านชานมฝากมาให้”
อะไรนะ! ลืมเงิน
“ลืม?”
“ใช่...ลืม”
อย่างฉันนี่นะจะลืมอะไรง่ายๆโดยเฉพาะเงิน ฉันแบมือรับตังจากอีกคนอย่างซึ้งใจแล้วเก็บเข้ากระเป๋าไว้ก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัยอีกครั้ง
จากนั้นความทรงจำก็เริ่มกลับมา..ผู้ชายคนนี้คือคนที่เพื่อนๆฉันชอบมองใช่ไหม แล้วเขาก็คือคนที่ยกชานมเผือกแก้วแรกให้ฉันก่อนหน้านี้ใช่หรือเปล่า...
“...” ใช่หรือเปล่านะ
“ไม่มีชานมที่ไหนเป็นหมื่นวอนหรอกนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วไม่กลับบ้านหรอ?”
“ฉันรอรถโรงเรียนอยู่น่ะ” เขาหรี่ตามองฉันแล้วเอามือล่วงกระเป๋าก่อนจะยิ้มตาหยีออกมาอีกครั้ง...
เป็นบ้าป่ะเนี่ย
“เธอเนี่ยนะ เอ่อ...โทษที เธอชอบนั่งรถโรงเรียนหรอ”
เขามองฉันอย่างไม่เชื่อสายตา คิ้วหนาขมวดเข้ากันเหมือนกำลังประเมินบางอย่างอยู่
“อื้ม ฉันชอบนั่ง”
“อยากนั่งบ้างจัง”
“?”
ฉันตอบคำถามเขาและก้าวขาขึ้นรถรับ-ส่งในทันทีที่มันจอดเมื่อสายตาของอีกคนเริ่มชัดเจนมากขึ้น
เห็นหน้าฉันดูเหมือนเด็กเรียนอย่างนี้แต่ฉันไม่โง่นะ ใบหน้าเขามันบ่งบอกมากว่ากำลังคิดเรื่องไม่ดีกับร่างกายฉันแน่ๆ
ไม่น่าเชื่อว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไร้เดียงสาจะซ่อนสายตาอันชั่วร้ายไว้...
ความคิดเห็น