คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 แมวคือเทวดาของภรรยา แต่แมวคือซาตานของสามี
ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่ผมลากเพื่อนสนิทที่ทำงานไปตระเวนร้านขายสัตว์เลี้ยงและพากันอ่านคู่มือหัดเลี้ยงแมว ไอโอรอสได้พูดกับผมเอาไว้ว่า
“นายแน่ใจเหรอว่า นายจะชอบแมวจริงๆซากะ” ผมเลิกคิ้วขึ้นมองอีกฝ่ายพรางยักไหล่
“มันไม่ได้ยากอะไรมากมายนี่ อีกอย่าง ฉันมีบ้านของฉันอยู่แล้ว แค่ระวังไม่ให้มันออกเที่ยวตอนกลางคืนก็พอละมั้ง” ผมคิดแบบนั้นจริงๆเพราะกับแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆอีกสักตัว ไม่ทำให้ผมต้องทำโอทีจนโดนหามเข้ารพ.หรอก
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”ไอโอรอสทำท่าลำบากใจนิดๆ เขาเกาแก้มนึกคำระหว่างที่ผมตั้งใจรอก่อนจะพูดคำถามแปลกๆออกมา
“นายเคยได้ยินคำว่า ทาสแมวมั้ย ซากะ”
“ฮะ” คิ้วผมขมวดเป็นปมอย่างไม่เข้าใจ
“คนบางคน โดยเฉพาะแฟนนาย ที่เขารักแมวมาก พอเขาได้เลี้ยงแมวของตัวเองจริงๆจังๆแล้ว ระวังนะ เขาจะกลายเป็นทาสแมว” ผมหัวเราะเบาๆกับคำพูดนั้นแล้วก็คิดว่าจะเก็บคำนี้เอาไว้แซวดิเต้เวลาหมั่นเขี้ยวเธอก็ดีเหมือนกัน
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่ชอบแมวมากกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเอง ไม่ทำให้เดือดร้อนมากหรอก ดิเต้เขาก็รู้จักใช้เงินน่า ฉันอยู่กับเขามาครึ่งปี เขาเป็นสุดยอดแม่บ้านจะตาย” เมื่อคิดภาพสาวน้อยที่พร้อมจะแย้มยิ้มกว้างให้อยู่เสมอเมื่อพบหน้ากัน ใจผมก็ชุ่มชื้นขึ้นจนเหมือนมันจะแฉะซึมออกมาตามผิวหนังของผมได้
“คิดดูนะ กลับบ้านไปก็มีภรรยาที่น่ารักเดินเข้ามากอดแล้วเอาเสื้อนอกไปเก็บให้ พออาบน้ำเสร็จก็มีกับข้าวอร่อยๆแถมยังได้ทานกันสองคนอีก” ไอโอรอสทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ช้าไป เพราะผมชิงเพ้อต่อทันทีที่หายใจเข้าปอดเสร็จ
“จะมีก็แค่วันไหนดูบอลดึก ต้องโดนไล่นอนกลางคันทุกทีแค่นั้นแหละ” ใบหน้ามุ่ยๆติดงัวเงียนั้นน่ารักเหลือเกิน บางวันก็ใส่ชุดนอนแล้ว บางวันก็เอ่ยดักก่อน มีการแอบเช็คตารางบอลไว้ล่วงหน้าเสมอๆด้วยนะ ดิเต้นะ
“แต่เธอก็ยอมให้ฉันดูจนจบนะ แค่มานั่งคุม” แล้วก็หลับน้ำลายยืดบนไหล่ผม พอตอนเช้าก็เอามาล้อ เจ้าตัวก็จะทำหน้าแดงเอียงอายอีก ให้โดนกระทะตีสักสองสามทีต่อวัน ผมยังยอมเลย ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน ก็เป็นสุดยอดความสุขแล้ว
“ดิเต้นะน่ารักจะตาย” ผมพูดอย่างภูมิใจ พร้อมใบหน้าที่ยิ้มแก้มแทบจะปริออกจากกัน แน่นอนว่าไอโอรอสทำหน้าเหม็นเบื่อเต็มทน เพราะมันเป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นทุกๆวันตั้งแต่วันแต่งงานของผม
“รู้มั้ยว่าเมาท์มอยเรื่องภรรยากับคนไม่มีแฟน มันบาปนะ”ผมเห็นแววเฉาจางๆในสายตาของเพื่อนสนิท แน่ละ ไอโอรอสเพิ่งจะเริ่มรับสมัครคนรักหลังจากที่ผมแต่งงานเท่านั้นเอง ที่ผ่านมาเขาเอาแต่สนใจความเป็นอยู่ของน้องชายของเขา ไอโอเลีย ที่เป็นเพียงเด็กสามขวบเสมอในสายตาของพี่ชายตัวเอง ผมนับถือความสัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นี้มาก เพราะแม้ผมจะมีน้องชายฝาแฝดที่น่าจะเข้าใจกันได้ดียิ่งแต่ความสัมพันธ์ของผมสองคนเรียกว่า เลวร้ายขั้นวิกฤติ บางครั้งผมก็คิดว่า ถ้าคาน่อนเกิดเรียกผมว่า พี่ซากะ แบบที่ไอโอเรียมักเรียกไอโอรอสอาจจะสร้างความรู้สึกดีๆให้บ้าง แต่ผมคงจะเขียนใบลาหนึ่งวันเต็มเพื่อพามันไปหาหมออย่างแน่นอน
“ฮะๆ ขอโทษ”ผมหัวเราะแก้เก้อเมื่อเห็นสายตาไม่ประสงค์ดีที่มองตรงมาอยู่นานระหว่างที่ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามาแทรกแซงภาพออฟฟิศที่วุ่นวาย เสียงนาฬิกาหมดเวลาพักเที่ยงทำให้ไอโอรอสยกตัวขึ้นเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง แต่มิวายแอบกัดผมเบาๆ
“ไอ้คนอวยแฟน ระวังเถอะ เอาปีศาจเข้าบ้าน เดี๋ยวจะตกกระป๋อง” ตอนนั้นผมก็แค่หัวเราะขำๆอย่างไม่คิดอะไร แต่แล้ว
อีกสองเดือนต่อมา ก็ถึงวันที่ผมเข้าใจคำๆนั้นจนน้ำตาตกใน
“กลับมาแล้วนะ ดิเต้” ผมเปิดประตูเข้ามาพบกับความว่างเปล่าของทางเดินเข้าบ้าน ตอนแรกๆผมก็รู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้าง แต่ด้วยความเคยชินในช่วงสั้นๆที่ผ่านมา ทำให้ผมสามารถตามไปเจอร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีฟ้ากำลังป้อนปลาอัดแท่งให้เจ้ามารน้อยขนฟูอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นได้ง่ายๆ
“อะ กลับมาแล้วเหรอคะ ซากะ” สิ่งเปลี่ยนแปลงสิ่งแรกตั้งแต่มีเจ้าปุกปุยสีขาว เวลากลับบ้านมาถึง ถ้าภรรยาของผมติดกิจแมวอยู่อย่างเช่นป้อนขนม เธอจะไม่หันขึ้นมามองหน้าผมแม้แต่น้อย ทำให้ผมต้องวางกระเป๋าเองสารลงก่อนจะอ้าแขนประท้วงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนไม่ได้โกรธอะไร
“ดิเต้ ไม่กอดผมหน่อยเหรอ ผมกลับมาแล้วนะ” ผมยังคงรีดเค้นความอดทนไม่ให้หุบแขนหรือทำหน้าไม่สบอารมณ์เพราะกลัวสาวน้อยจะรู้สึกไม่ดี ไม่อยากจะบอกหรอกว่าต่อให้เป็นชายตัวโตแบบผม เรื่องน้อยอกน้อยใจภรรยา มันก็มีบ้างอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่อยากเอาแต่ใจจนสุดที่รักของผมรู้สึกไม่ดี
“ขอโทษนะ ขอให้โคโค่กินปลาแท่งหมดก่อนได้มั้ย อีกนิดเดียวเอง”เส้นเลือดผมตึงนิดๆแต่ด้วยใบหน้ารู้สึกผิดแสนน่ารักนั้น ผมก็ยอมใจอ่อนเหมือนทุกวัน ทำยังไงได้ คงเป็นอย่างที่ไอโอรอสมักพูดเสมอๆว่าผมเป็น มนุษย์อวยแฟน
“เมี๊ยวๆ แจ๊บๆ” แต่แน่นอนว่าผมไม่ได้อวยแมวด้วย เพราะงั้นความใจกว้างที่ผมมีให้เจ้าตัวที่เพิ่งกินอิ่มพุงกางอยู่บนโซฟาตอนนี้กับสาวน้อยที่กำลังตามใจมันสุดฤทธิ์นั้นจึงมีวรรณะห่างกันแปดชั่วโคตร
พูดก็พูดเถอะ สมัยที่ผมจีบภรรยาของผม ผมต้องต่อสู้กับทั้งน้องชายฝาแฝดตัวแสบที่ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นเรื่องจะแย่งจีบดิเต้ ทั้งยังมีปราการสำคัญอีกสองปราการที่ผมต้องฝ่าฟัน นั้นคือนาย ปู เดสมาร์ค เพื่อนสนิทเกเร ปากเสีย ที่หาทางขัดขวางผมทุกรูปแบบ และ นายแพะ ชูร่า คลื่นเงียบ ตัวอันตราย ที่ปรึกษาที่ดิเต้ไว้ใจมากที่สุด อย่าว่าแต่เรื่องของผมเลย แม้แต่อาหารสามมื๊อของเธอ ดิเต้ก็เล่าให้ชูร่าฟังเสมอๆ จนผมนึกท้ออยู่บางครั้ง อย่างไรก็ตาม ถ้านั้นคือการแข่งขันนัดแรก ผมก็ชนะอย่างใสสะอาดด้วยคำบอกรักและปลายนิ้วที่แลกแหวนแต่งงานให้แก่กันและกัน
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดใช้นามสกุลร่วมกันแล้ว โลกนี้ยังอุส่าให้กำเนิดมารคอหอยมาแย่งความรักนี้จากผมอีก แถมที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ ผมเป็นคนซื้อมันมาด้วยการแลกโอทีนับสิบกับการปลดปล่อยความชั่วร้ายนี้ออกมาจากร้านสัตว์เลี้ยงส่งตรงแหน่วถึงเตียงของเราด้วยมือผมเอง เฮ้อ
“เมี๊ยว” มันร้องครางอย่างสบายใจเหมือนแววตาที่ผมมองมันเป็นแววตาที่อ่อนโยนที่สุดในโลกอย่างนั้นแหละ ขนาดหมาที่น้องผมเคยเลี้ยงยังร้องเอ๋งๆขณะที่ผมอารมณ์ไม่ดี แต่ โคโค่ หรือ ปีศาจหน้าขนตัวที่ว่านี้ ไม่แม้แต่นิด เจ้าแมวนี่กำลังล่อลวงภรรยาที่น่ารักของผมด้วย ตาโตกลมแบ๊วเหมือนนางฟ้าแต่นิสัยซนอย่างซาตานอวตารร่างลงมา เพราะความรอบคอบที่ซื้อมันมาจากฟาร์มแมวเปอร์เซียเกรดดีเพื่อภรรยาของผม ใครจะรู้ว่าฟาร์มแมวยี่ห้อนี้จะมีความสามารถพิเศษอยากให้ผมจับโคโค่ไปถ่วงน้ำวันละสามรอบก่อนมื้ออาหาร ติดแต่แม่ทูนหัวที่รักของผมจะน้ำตาพรากเป็นสายเลือดแล้วผมอาจจะได้เซ็นใบหย่าในวันรุ่งขึ้นได้ถ้าผมทำแบบนั้นจริงนี่สิ
หมั่บ
“ขอโทษนะคะ ยินดีต้อนรับกลับนะคะ ซากะ” ชื่นใจ............นี่สิภรรยาที่น่ารักของผม อ้อมกอดที่เธอดึงผมออกมาจากความคิดที่อาจจะปลุกด้านมืดในตัวผมออกมาได้นั้นอบอุ่นยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ดิเต้น่ารักที่สุดในโลกเลยจริงๆนะ เอาเถอะ วันๆผมก็เอาแต่ทำงาน จะยอมให้เพื่อนเล่นแก้เหงาเธอมีอิทธพลสักเล็กน้อยมันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก
“อื๊อ กลับมาแล้วนะ” ผมกอดรับกอดนั้นพรางยกตัวเธอขึ้นน้อยๆ ใบหน้าเล็กๆนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อทุกครั้งที่ถูกทำแบบนั้น ผมหัวเราะ รู้สึกผ่อนคลายจากงานมากมายที่สะสมมาทั้งวัน
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเตรียมน้ำให้อาบนะคะ ซากะจะได้แช่น้ำสบายๆเนอะ” เธอตีแขนผมเบาๆให้ผมวางเธอลงอย่างเก้อเขิน ก่อนจะเอื้อมมือมาปลดเนคไทคให้ผม แล้ว...... ธาตุมารก็เข้าแทรก
“เมี๊ยว” เจ้าขนปุยที่น่าจะท้องอืดอยู่กลับกระโจนลงเอาตัวขวางใช้หัวปุกปุยถูนิ้วแม่โป้งเท้าของภรรยาผม พร้อมกับรอยยิ้มของผมที่กระตุกกึกๆ
“โคโค่จ๋า? หนูจะเอาอะไรคะ” ระยะห่างเพียงแค่สองซม.จากปลายเล็บสีชมพูอ่อนนั้นกลับกลายเป็นระยะห่างเท่าการอุ้มลูกแมวตัวหนึ่งไว้ตรงหน้าสามีของตนเอง ดวงตาของผมหรี่ลงโดยพยายามกักเก็บความเดือดดาลที่จ้องมองซาตานอายุน้อยไม่ให้สุดที่รักของผมเห็น
“ดิเต้ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องน้ำเอง ทำกับข้าวเถอะนะ”ผมตบบ่าเธอเบาๆก่อนจะลูบเส้นผมนุ่มนั้น ดิเต้ทำหน้าที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย นั้นคือใบหน้าที่รู้สึกผิด แต่นั้นละนะ ภรรยาที่แสนดีของผม
“ขอโทษนะคะ ซากะ”เธอเดินต้อยๆหายไปในห้องครัวพร้อมกับแมวตัวเล็กที่ผมไม่อยากเห็นมันอยู่ติดกับเธอเท่าไหร่ จริงๆผมแอบจินตนาการว่าอาหารเย็นมื๊อนี้อาจจะเป็นแมวผัดกระเพา หรือ แมวพริกไทยดำ แต่เสียงหวานเล็กๆที่สอดประสานกับก้าวเท้าตอนผ่านห้องครัวกับผม ผมกลัวซะจริงว่าอาหารเย็นวันนี้จะมีส่วนผสมของปลาทู หรือ วิสกัสเกือบทุกจาน...
โชคยังดีว่าช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายในน้ำร้อนของอ่างบ้านตัวเองดิเต้ยังรักสามีมากกว่าแมวอยู่โข กลิ่นหอมของสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่จัดบนจานสีฟ้าสวยทำให้ผมท้องร้องทันทีที่เดินออกจากห้องน้ำ ดิเต้นี่น่ารักที่สุดในโลกเลย ผ้าคลุมโต๊ะสีขาว เข้าคู่กับดอกมากาเร็ตสีม่วงอ่อนที่ถูกประดับบนแจกันกลางโต๊ะ ภรรยาของผมชอบดอกไม้มากเป็นพิเศษจนผมต้องทึ่งว่าร่างเล็กๆนี้มีผิวสีขาวน้ำนมได้ทั้งๆที่คลุกอยู่กับดินโคลนทั้งวัน สวนของดิเต้สวยที่สุดในระแวกนี้จนชอบมีเด็กๆมาแอบดูอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะกุหลาบสามสีของเธอ อย่างไรก็ตามปกติแล้วเธอหวงดอกไม้เหล่านั้นมาก แต่ภรรยาของผมมักจะนำดอกไม้สุดหวงเหล่านั้นมาประดับแจกันในโต๊ะกินข้าวเสมอ ผมเชื่อว่ามันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่งของคนราศีมีนตรงหน้านี้
“ดิเต้ วันนี้ทำกับข้าวอร่อยจัง”ผมเอ่ยชมหลังจากดื่มดำกับบรรยกาศอบอุ่นและรสกลมกล่อมพักหนึ่งแล้ว
“จริงเหรอ”ใบหน้าเล็กๆยิ้มแป้นเหมือนมีความสุข ชื่นใจจริงๆ ผมพยายามไม่มองส่วนเกินที่นั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กทารกซึ่งสูงเท่าขอบโตะแถมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมพอให้เห็นได้ชัดเจนทุกการกระทำอย่างพอดิบพอดี โคโค่กำลังจัดการอาหารในถ้วยสีเข้าคู่กับชุดจานชามครอบครัวผมในท่าทางที่เอาหัวมุดลงไปในชามของมันจนก้นกระดกพร้อมส่ายหางไปมาจนน่าตาลาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคงจะกำลังมีความสุขมากเพราะสุดยอดแม่บ้านที่นั่งข้างๆผมปรุงอาหารสุดอร่อยสำหรับลูกแมวให้มันสามเวลา หรืออาจจะมากกว่านั้นทุกวัน
“ดีใจจังเลย ลองซื้อของยี่ห้อนี้มานะ กลัวเหมือนกันว่าซากะจะไม่ชอบ” ดิเต้เอ่ยแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมฟุ้งซ่าน คำว่ายี่ห้อสะกิดใจผมแปลกๆจนต้องง่วนคิ้วขึ้นมองอีกฝ่าย
“หืม? ยี่ห้อนี้หมายถึงนม หรือ แฮม เหรอ?” ผมรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ.....เมื่อสังเกตุรอยยิ้มของดิเต้เวลากลบเกลื่อนมันชักขึ้นบนใบหน้าน่ารักๆนั้น
“หมายถึงคาโบนาร่าต่างหาก นี่เป็นของแช่แข็งนะ ถ้ากินไม่พอมีอีกนะ” ผมเพิ่งรู้ตัวว่าในถุงขยะห้องครัวตอนนี้มีถาดพลาสติคสองถาดอยู่ในนั้น ภรรยาผม....น่ารักจริงๆเลย
“ดิเต้”ใบหน้าเล็กๆนั้นงอคอก้มลงนิดๆ ผมรู้ละว่าเธอกำลังใจไม่ดีกว่าผมจะดุเอา แน่นอนว่าผมดุไม่ลงอีกตามเคย แต่ครั้นผมเริ่มไปแล้ว จะให้เงียบไปเลยก็ไม่ได้
“ผมนึกว่าเธอทำกับข้าวเองซะอีก”ผมคิดว่านั้นเป็นคำถามที่ดีที่สุดและนุ่มนวลที่สุด
“อื๊อ ก็อยากทำให้ซากะทานหรอก”เด็กสาวพูดด้วยเสียงค่อนไปทางเบา แต่ผมได้ยินชัดเจน เธอมีแววตาล่อกแล่กก่อนจะรีบพูดประโยคหนึ่งเร็วๆออกมาเหมือนกลั้นใจ
“แต่อ่านในเน็ตเขาบอกว่า ขนแมวมันอมน้ำมันง่าย โคโค่ชอบอยู่ติดเดี๋ยวน้ำมึนซึมเข้าไปขนจะไม่สลวย อีกอย่างเวลาทอดกับข้าว โคโค่ชอบปีนขึ้นมาเล่นบนเคาทเตอร์ เดี๋ยวหางโดนไฟอะซากะ”
“เมี๊ยว” โคโค่ร้องขึ้นพร้อมยื่นหน้าแมวที่เลอะไปหมดหันมามองด้วยถูกเรียกชื่อ ผมขอเดาว่าไอ้เจ้าหน้าขนนี้ต้องคิดว่าผมกำลังจะชวนมันออกไปวิ่งเล่นตามภาษาพ่อลูกหลังสวนแน่ๆ แต่ขอเถอะ ตอนนี้ผมอยากกินแมวทอดราดซอสคาโบนาร่าสุดๆจนถึงกับต้องนับหนึ่งถึงร้อยในใจอย่างยากเย็น
“ดิเต้” แน่นอนว่าผมนับได้ประมาณแค่ 20-30 เพราะสาวน้อยที่ทำท่าจะร้องไห้ข้างๆ ผมยอมรับว่าผมเป็นคนดุ และจู้จี้จุกจิกมาก แต่เพราะตั้งแต่เป็นคนรักมา ผมพยายามมีเหตุผลให้มากขึ้นและใช้อารมณ์น้อยลง ดิเต้เลยรับมือกับความขัดแย้งระหว่างเราไม่ค่อยเป็น ทุกๆทีถ้าเธอเป็นฝ่ายผิด เธอจะทำแค่เงียบฟังผมด้วยใบหน้าที่ผมไม่ค่อยชอบนัก ภรรยาของผมเป็นเด็กสาวที่แปลกเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆในปัจจุบัน เธอไม่ใช่คนที่เรียกได้ว่าร่าเริงนัก แต่รอยยิ้มน้อยๆของเธอทำให้เธอดูมีเสน่ห์และเป็นที่น่าหลงไหล ผมคนนึงละที่ตกหลุมนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นอีกเลย ยิ่งการกระทำที่แสนดีของภรรยาคนหนึ่งแล้ว ผมอยากจะตามใจเธอทุกๆเรื่องเพื่อรักษารอยยิ้มน่ารักนี้ไว้ ทว่าผมก็ไม่ได้ใจดีขนาดจะไม่ว่าอะไรเลยในเรื่องแบบนี้หรอกนะ
“เฉพาะเวลากินข้าว ให้โคโค่อยู่ในห้องนั่งเล่นได้มั้ย” ผมเห็นแววตาเหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่จับได้ฉายในดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น โถ่ ดิเต้ ผมไม่เปลี่ยนสีหน้าของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่หวั่นไหวกับตาคู่นั้นหรอกนะ
“กะ ก็ได้คะ” อย่างน้อยดิเต้ของผม ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม คำตอบของเธอทำให้ผมเหมือนเห็นฟ้าเปิดแล้วมีเทวทูตร้องเพลงแห่กันลงมาเป็นบันไดบนโต๊ะอาหาร แม้ผมจะอุ้มเจ้าโคโค่ด้วยวิธีที่ถูกต้องอย่างที่แม่ของมันสั่งสอนเอาไว้ แต่ผมไม่อาจสะกดความเดือดดาลที่สายตาคู่เล็กของดิเต้มองมันตาละห้อยยังกับผมทำเรื่องใจร้ายสุดๆกับเธอลงไปได้ ผมเลยโยนมันโคร่มบนโซฟาด้วยมุมที่ภรรยาสุดสวยของผมไม่เห็น รู้สึกตัวลอยนิดๆเมื่อกำจัดซาตานขวางหูขวางตาไปได้แม้ในระยะเวลาสั้นๆ
ครืด
แต่หลังเสียงประตูบานเลื่อนที่ทำให้เราอยู่กันสองคนสามีภรรยาแล้ว กลับเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดเสียแทน เด็กน้อยข้างๆไม่กล้าสบตาผมเลยสักนิด คงจะคิดว่าผมคงโกรธมาก แต่จริงๆผมรู้สึกตัวลอยด้วยความสุขด้วยซ้ำ ครั้งสุดท้ายที่อยู่กันสองต่อสองมันตั้งแต่วันวาเลนไทน์ได้
“ดิเต้”ผมยิ้มพรางเรียกด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุดที่ผมทำได้
“คะ ค่ะ “ อย่างที่ผมคิดเลย เธอกลัวว่าผมกำลังจะโกรธ แล้วก็กำลังจะเริ่มเทศนาเธอด้วยเหตุผลที่เธอเถียงไม่ได้อย่างที่เคยมาตั้งแต่เด็ก ผมหัวเราะในใจก่อนจะพันเส้นสปาเก็ตตี้คำน้อยๆแล้วยื่นไปตรงหน้า
“อ้ามครับ”
“อั้ม” ชื่นใจ..........เวลาเห็นภรรยาตัวเองทำหน้าอายๆ น่ารักๆแบบนี้ให้กับตัวเอง มันคือความสุขที่สุดของคนเป็นสามี แก้มพองเคี้ยวตุ้ยขณะผลัดมาตักป้อนสลับกับผม
“ทำงานเหนื่อยมั้ยคะ ซากะ” เมื่อเด็กสาวรู้สึกผ่อนคลาย ปากเธอก็ไม่เป็นใบ้ และเธอก็กลับมาเป็นคนช่างพูดช่างเป็นห่วงเหมือนอย่างทุกๆวัน ผมรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มอย่างที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น
“ไม่มากหรอก ช่วงนี้หัวหน้าชิออนก็ไม่ได้มีโปรเจ็คอะไรเยอะแยะมากด้วย” ซึ่งนั้นเป็นโชคดีที่ทำให้ซาตานปีศาจไม่ทำคะแนนนำผมไปได้เพราะมีความเหงาของทูนหัวผมเป็นเครื่องมือ ครู่เดียวห้องอาหารของบ้านผมก็มีแต่เสียงหัวเราะและคำพูดหยอกของเราสองคน นี่แหละช่วงเวลาทานข้าวแห่งความสุขที่แท้จริง ผมได้กอบกู้เอกราชของตัวเองจากแมวกลับมาได้หนึ่งส่วนแล้ว และ ผมจะทำต่อไป จนคนตกกระป๋องต้องเป็นเจ้าเหมียวนั้น
“ซากะ” ดิเต้ขัดขึ้นระหว่างที่ผมกำลังเล่าเรื่องตลกในที่ทำงานพร้อมด้วยสีหน้าแปลกๆ จนผมรู้สึกไดถึงความผิดปกต
“ครับ?”
“คุณเปิดน้ำทิ้งไว้ในห้องน้ำรึเปล่าคะ?” คิ้วผมชนกันด้วยความสงสัย ผมแน่ใจว่าผมเป็นคนรอบคอบเป็นพิเศษจนไม่น่าพลาดเรื่องเล็กๆน้อยๆนะ
“เปล่านิ ทำไมเหรอ”
“เสียงครืดๆนี่มันอะไรอะคะ” เท่านั้นแหละ เสียงที่ผมไม่ทันสังเกตุเพราะมัวแต่ชื่นชมภรรยาตัวน้อยก็ดังอย่างที่มันควรเป็น ผมลุกพรวดแล้วรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ซาตานหน้าขนถูกโยนเข้าไปเมื่อครู่ก่อนจะคำรามเสียงดัง
“โคโค่!” ภาพที่เห็นทำให้ผมเกือบขาดใจ ลืมไปได้ยังไงว่าวางกระเป๋าหนังสำหรับทำงานไว้ในห้องนั่งเล่นนี่ด้วย นอกจากมันจะโดนแมวตัวน้อยมุดเล่นอย่างสนุกสนาน เสียงแปลกๆที่ว่ามันยังมาจากการฝนเล็บแหลมๆของมันฉีกกระเป๋าอันบอบบางที่อยู่คู่กายผมมานานกลายเป็นเศษหนังขาดวิ่นอีกด้วย
“เจ้าแมวผี กะ กะ กระเป๋านั้น” น้อยครั้งนักที่ผมจะใช้คำไม่สุภาพ แต่คราวนี้มันเป็นหนึ่งในนั้น เส้นผมของผมค่อยๆกลายเป็นสีดำ ส่วนดวงตาค่อยๆแดงเถือก มันเป็นอะไรสักอย่างที่ผมอธิบายสาเหตุกับใครไม่ได้แต่เวลาอารมณ์ไม่ดีผมมักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รูปลักษณ์ภายนอก หรือที่เด็กๆเรียกกันว่า แปลงร่างปีศาจ นั้นเอง มือของผมคีบเจ้าแมวถึงฆาตขึ้นมาห้อยต่องแต่งตรงหน้าขณะที่มันเอาอุ้งเท้าเขี่ยๆนิ้วผมเหมือนชวนเล่น
“ซะ ซากะ ฮือ” แต่แล้วเมื่อเสียงสั่นๆที่มีน้ำตาคลอมายืนอยู่ข้างๆ ผมกับดวงตาของผมก็กลับไปเป็นสีน้ำเงินและเขียวมรกตอย่างเดิมแทบจะทันที
รู้อะไรมั้ย
..... ถ้าคุณมีคนที่รักที่สุดที่สามารถควักหัวใจคุณออกจากอกข้างซ้ายของคุณได้โดยง่ายอยู่ข้างๆ คุณจะสามารถทำลายปรอทความหงุดหงิดที่กำลังระเบิดและใช้น้ำเย็นเทลงกลบความโกรธได้เองนั้นแหละ ซึ่งผมเป็นแบบนั้น แม้จะละเหี่ยใจสุดทน แต่เพราะเจ้านี่ทำให้ภรรยาของผมมีความสุข และ สัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เข้าใจอะไรๆเหมือนมนุษย์ ผมจะทน.......ต่อไป
“ต่อไปนี้เรามากินข้าวด้วยกันสามคนจนกว่าเจ้านี่จะโตพอไม่ทำลายข้าวของแล้วกันนะ.....ดิเต้ โคโค่” ถ้าผมได้ขึ้นสวรรค์อย่างรวดเร็ว นรกก็มารับตัวผมอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ขณะที่ดิเต้คงจะรู้สึกมีความสุขกับคอนเส็ปกินข้าวพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกที่ผมเพิ่งอนุมัติเมื่อครู่ ทำยังไงได้ถ้าต้องควบคุมพฤติกรรมลิงสักตัวใกล้ๆ ก็แค่ต้องทำเป็น มองไม่เห็นมัน ไม่ยากนักหรอก.....
“เมี๊ยว” ผมสบสายตากับดวงตาสีฟ้าสดใสบ๊องแบ๊วสบกับผมอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เผลอๆมันอาจคิดว่าผมเรียกดิเต้มาชื่นชมผลงานของมันด้วยซ้ำไป แล้วอยากสบโอกาสที่ดิเต้หันไปเช็ดหนวดเปื้อนอาหารให้มัน เอาหัวทุ่มโต๊ะจนเป็นรูสักที
นี่ผมยอมกินข้าวกับแมวเพราะภรรยาของผมหรอกนะ
ผมอยากให้อย่างน้อยมันเข้าใจคำๆนี้ แต่วันนั้นคงยังมาไม่ถึงในเวลาอันใกล้นี้ ในห้องครัวของครอบครัวเจมินี่ จึงประกอบไปด้วยคนสองคนกับอีกหนึ่งก้อนขนโดยที่คำว่า เจ้านี่จะโตพอ มาไม่ถึงสักที
ความคิดเห็น