ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Question ? ; คำถาม ? ที่ค้างคาใจ
Question ?  ;  คำถาม ? ที่ค้างคาใจ
              หลังจากที่อลิซนัดแนะเรื่องของเธอกับแทนเสร็จแล้ว  เขาทั้งสองก็พากันเดินไปที่ลาน  ICE  SKATE 
อลิซใช้เวลาหาพวกพอลได้ไม่นาน  และแล้วทั้งหมดก็เจอกัน  อลิซแนะนำแทนให้ทุกคนรู้จักตามแผนที่ได้เตรียมไว้  ซึ่งก็เป็นไปตามแผนอย่างดี
“โธ่อลิซ...ฉันก็นึกว่าเธอหายไปไหน ที่แท้ก็เจอเพื่อนเก่านี่เอง”  แมรี่พูด
“ไปเล่นกันเถอะ...อยากเล่นเต็มแกอยู่แล้ว” ออฟพูดขึ้น  พร้อมกับใส่รองเท้า  แล้วก็ทะยานออกสู่ลานน้ำแข็งทันทีพร้อมกับพี่น้องฝาแฝดของตนคือ เอฟ 
“พวกเราก็ไปเล่นกันมั่งเถอะ” วีสพูด  แล้วแล้ววิ่งไปที่ลานน้ำแข็ง 
ปึ่ง !!!  แล้วเขาก็ลื่นล้มทันทีที่ก้าวแรกสู่น้ำแข็ง  เพื่อนๆรวมทั้งผู้เล่นคนอื่นที่เห็น  ต่างหัวเราะกันท่าทีของวีส  ทำให้เจ้าตัวถึงกับอายหน้าแดง
“อลิซไปกันเถอะ” พอลชวน
“ไปกันเถอะพอล” จอยไม่รอให้อลิซตอบว่าไปหรือไม่  จอยก็ดึงพอลที่กำลังยืนอยู่ให้ไปเล่นกับเธอทันที  ทุกคนในกลุ่มได้เข้าสู่ลานน้ำแข็งเรียบร้อยแล้ว  เอฟกับออฟเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข  ทั้งสองเป็นฝาแฝดกันแล้วยังทำท่าเหมือนกันอีก  ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่าไหน  เอฟกับออฟ  ก็ทำได้พร้อมกันทุกท่า  ทุกขั้นตอน  ทุกจังหวะ  ดูแล้วสวยมากๆ  (ถ้าทั้งสองผอมกว่านี้อีกนิดนะ)
“...ไงล่ะแทน...” อลิซพูดขึ้น  เมื่ออยู่กับแทนสองคน
“อะไรหมายความว่าไง” แทนถามต่อเมื่อไม่เข้าใจที่อลิซพูด
“ก็เพื่อนของฉันเป็นยังไงกันบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรนี่...ดูใสใส...ธรรมดา...ธรรมดา...แต่ยังไงฉันก็ไม่ถูกชะตากับเจ้านั่นอยู่ดี...แล้วก็ผู้หญิงคนนั้นด้วย” 
“ไปเถอะอลิซ” แทนชวนพร้อมยื่นมือให้อลิซ
“ไปไหน”  อลิซมองมือ อย่างงง  แล้วก็ถามแทนด้วยท่าทีสงสัย
“ไปโชว์...ว่ามืออาชีพเค้าเล่นกันแบบไหน”
“แทนแต่ว่า...ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวพวกเค้าก็รู้หรอก”
“ก็แค่บอกว่า...เคยมาเล่นด้วยกันบ่อยๆก็ได้นี่”
“จะดีหรอ”
“ดีสิ...นานๆจะได้เที่ยวด้วยกัน...ไปสนุกสักครั้งเถอะ”  แทนยื่นมือให้อลิซอีกรอบ
“เอาสิ...ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว” 
              อลิซจับมือแทน  แล้วตรงเข้าลานน้ำแข็งทันที  ผู้คนที่ยืนขวางทางอยู่ต่างหลบ  เพื่อให้ทั้งสองเข้าสู่ใจกลางลานน้ำแข็ง  ทั้งสองเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน  แต่ละท่าถูกผสานรวมกันอย่างมีจังหวะ  เมื่อเล่นเป็นคู่จึงยิ่งดูสวยมากขึ้น  ยิ่งเล่นนานขึ้นจังหวะของท่วงท่าและลีลาการเล่นยิ่งดูเร้าแรง  จนน่าหวาดเสียว  จากคนที่เล่นอยู่  ก็เลิกเล่น  แล้วกลับไปที่ขอบลานน้ำแข็งเพื่อดู  แทนกับอลิซ  ทั้งสองเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาทุกคน  มันเหมือนฝึกด้วยกันเพื่องานนี้โดยเฉพาะ  แต่ความจริงมันไม่ใช่  ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มลดความเร็วลงและจบด้วยอาการเหนื่อยหอบ  เมื่อทั้งสองหยุดเสียงปรบมือจากทั่วลานน้ำแข็งก็ดังขึ้น  พร้อมกับเสียงซุบซิบ  ที่ต่างกล่าวชม  แทนและอลิซเดินกลับเข้าที่นั่งอย่างอายๆและเหนื่อยๆ
“อลิซ...เก่งจังเลย” เอฟพูด  อลิซก็ยิ้มอย่างอายๆ
“แทนก็ด้วยนะ” ออฟพูด 
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” แทนพูด
“เมื่อกี้หยั่งกับได้ดูการแสดงเลย” แมรี่พูดอย่างชื่นชม  ในความสามารถของอลิซกับแทน  จอยเห็นดังนั้นก็ได้แต่
อึ้งจนพูดไม่ออก  ผู้คนที่หลบจากใจกลาง  ในตอนนี้ก็เริ่มเล่นกันอย่างปกติแล้ว  อลิซก็หันมายิ้มให้แทน  โดยที่ไม่รู้ว่าพอล  กำลังสงสัยอย่างหนัก  ถึงเรื่องคนสองคนนี้  พอลสังเกตทุกกริยาของอลิซ  ทั้งการเล่นเมื่อครู่  และ  พอเธออยู่กับแทน  มันเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็ก  แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น 
“พอล...พอล...” จอยเรียกพอลอยู่นานสองนาน  แต่พอลกลับไม่ได้ยินเสียงของจอยเลย”
“พอล” จอยตะโกน
“มี...มีอะไร”  พอลถามด้วยเสียงที่แสดงว่ารำคาญจอยสุดๆ
“เมื่อกี้ฉันเล่นได้นิดเดียวเอง...ไปเล่นกันต่อเถอะนะ” จอยตื้อ  ด้วยเสียงหวาน
“อลิซ...วันนี้ฉันสนุกมากๆ...เลย” แทนที่นั่งถัดจากพอลพูด
“แต่ได้เวลาแล้ว...ต้องไปก่อนนะ” 
“จะกลับแล้วหรอ...อยู่อีกเดี๋ยวไม่ได้หรอ” อลิซพูดแบบว่าไม่อยากให้แทนกลับ  แต่แทนส่ายหน้าแล้วก้มหน้าไปที่หูอลิซ  แล้วกระซิบว่า  “Time  for  work”  แล้วแทนก็จากไปพอลเห็นก็นึกว่าแทนหอมแก้มอลิซ  เลยมีท่าทีแสดงออกแบบว่าไม่พอใจสุดๆ  อีกทั้งจอยยังเซ้าซี้อีก  น่ารำคาญมากๆ  ทำให้พอลรู้สึกหงุดหงิด
“นี่บอกว่าไม่เล่นก็ไม่เล่นไง...พูดไม่รู้เรื่องหรอ” พอลตะคอกใส่จอยอย่างอารมณ์เสีย  ทำให้จอยนิ่งเงียบสนิทไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว  อย่าว่าแต่พูดไม่กล้าขยับเลยด้วยซ้ำ  ไม่นานพอลก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
30  นาทีต่อมา
“เฮ้อ...เหนื่อย” เรสวินกล่าวขณะกำลังดื่มน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก  ณ  เวลานี้ทุกคนเลิกเล่นกันหมดแล้ว 
“นี่ไปกินข้าวเย็นกันป่ะ” วีสชวน
“นี่นาย...ไม่คิดอย่างอื่นเลยนะ...นอกจากเล่นกับกิน” แมรี่ว่ากับอาการของวีสที่เหมือนคนเพิ่งยกภูเขาออกจากอก
แล้วไม่ยอมคิดที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง
“ก็สอบเสร็จทั้งทีนี่...สนุกให้สุดๆเลยดีกว่า”  วีสแย้งคำของแมรี่  ทำให้แมรี่ต้องยอมยกธงขาว  อย่างยอมแพ้
“นี่เห็นพอลบ้างไหม” วีสถามทุกคน  แต่จงใจหันหน้าไปทางอลิซ  เพราะคิดว่าสนิทกัน
“ฉันเห็นเขาอยู่กับจอยเมื่อ ครึ่ง ชั่วโมงก่อน”  อลิซพูดเมื่อรู้ว่าวีสจงใจถามเธอ
“จอย...พอลไปไหนรู้ป่ะ”  จอยส่ายหน้าช้าๆ  แล้วพูดว่า  “ก่อนไปเค้าไม่ได้บอกหรอกนะ...แต่ท่าทางเหมือนโกรธใครก็ไม่รู้...น่ากลัวมากๆเลย”  ท่าทีของจอยเหมือนอึ้งกับคำพูดของพอลเมื่อสักครู่มาก
“จะโกรธใครล่ะ...ฉันว่าเค้ารำคาญเธอมากกว่ามั้ง” แมรี่พูด  จอยก็ทำหน้าแบบจะเอาเรื่องแมรี่ทันที
“เอาเถอะ...แต่จะหาพอลอย่างไงดี” เอฟหยุดสงครามที่กำลังเกิดขึ้น
“เฮ้อ...เดี๋ยวคนนี้หาย...เดี๋ยวคนนั้นหาย...นี่มาเที่ยวนะ...ไม่ได้เล่นเกมส์ตามหาคน” วีสบ่นอย่างอารมณ์เสีย  เพราะตัวเองตั้งใจมาเล่นกันให้สนุกสุดๆ  แต่กลับมีเรื่องเสียๆนิดหน่อยมาปน  ทำให้เจ้าตัวอดที่จะบ่นไม่ได้
“เอ่อ...พอลมีมือถือนี่...ลองโทรตามดูสิ” แมรี่เสนอความคิด
“เราไม่ได้เอามือถือมา” เอฟกับออฟพูดพร้อมกัน  เมื่อแมรี่มองมาที่ทั้งสอง
“วีสล่ะ”
“มีเหมือนกัน...แต่ไม่ได้เติมเงิน”
“จอยล่ะ”
“มี...แต่ฉันไม่กล้าโทร” จอยพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ  เพราะเธอนึกว่าพอลคงรำคาญเธอมากๆอย่างที่แมรี่พูดจริงๆ 
“ฉันให้ยืมก็ได้นะ...พวกเธอโทรไปเถอะ...ถ้าฉันโทรไปเค้าอาจจะไม่รับก็ได้”  วีสรับมือถือจากจอยแล้วโทรหาพอลทันที
ฟรืด !!!  ฟรืด  !!!  มือถือของพอลสั่น  พอลหยิบมาดู  เป็นเบอร์ของจอย  ก็รีบกดวางทันที
“เฮ้ย...พอลไม่รับ” วีสพูด
“เอาไงดีล่ะ” แมรี่นึกวิธีอื่นไม่ออก
“ช่างสิ...ไปกินข้าวกันดีกว่า” เรสวินพูด  ทำให้เพื่อนๆมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
ฟรึบ !!!  ไปที่ลานน้ำแข็ง  ดับลงพร้อมกับเสียงเพลง  มีเสียงกรี๊ดร้อง  เล็กน้อยในกลุ่มผู้เล่นที่ตกใจ  กับไฟที่ดับอย่างกะทันหัน  ไฟไม่ได้ดับเฉพาะ  ที่ลานน้ำแข็งเท่านั้น  แต่ละชั้นของห้างสรรพสินค้า  ล้วนดับหมด  ตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในความมืด
“ท่านครับ...ไฟดับทั้งห้างเลยครับ”
“ไฟสำรองล่ะ” หัวหน้าด้านไฟฟ้าสั่งให้ลูกน้องใช้ไฟสำรอง
“ไม่ได้ครับ...ใช้ไม่ได้”
“ลองเช็คดูซิ...ว่าด้านนอกดับหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“รีบหาสาเหตุด่วน”
              จากการที่ไฟฟ้าดับครั้งนี้  ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความมืด  และไม่สามารถมองเห็นอะไรได้  เนื่องจากประตูเปิดปิด  และสิ่งต่างๆเกือบทั้งหมด  ต้องใช้ไฟฟ้าในการคลับเคลื่อนทั้งสิ้น
“เฮ้ย...นี่ยิ่งแย่ใหญ่...ไฟดันดับอีก...จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย” วีสบ่น
กรี๊ด  !!!  เสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนดั่งขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...จับมันที...มันเอากระเป๋าของฉันไป”
แต่ก็โชคร้ายของหญิงผู้นั้น  ที่ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้  อย่าว่าแต่จับผู้ร้ายเลย  ตัวเธออยู่ไหน  ยังไม่มีใครรู้เลย  นอกจากได้ยินเสียง
ฟรืบ  !!!  ไฟฟ้าทำงานอย่างปกติ
“คุณครับ...เป็นไงบ้างครับ”  พอลพยุงหญิงวัยกลางคนที่ล้มทั้งยืน  เพราะกระเป๋าสำคัญของเธอหายไป  เมื่อครู่นี้
“ขอบใจ” หญิงคนนั้นกล่าวเสียงสั่น  พอลพาเธอไปนั่งที่โต๊ะกลุ่มของเพื่อนๆที่นั่งรอพอลอยู่
“จอย...โทรหาตำรวจซิ” พอลสั่งด้วยเสียงอันเฉียบขาด
“ตะ..ตะ..แต่” จอยยิ่งสั่นกับน้ำเสียงของพอล  มือที่ถือมือถือสั่นมากๆ  แต่ก็ยังสามารถกดเลขหมายได้ถูกต้อง 
พอกดเบอร์เสร็จ  จอยก็ยื่นโทรศัพท์ให้พอล  พอลพูดกับตำรวจนานสองนาน  และแล้วก็จบบทสนทนาระหว่างพอลกับตำรวจ
“เดี๋ยวเชิญ...คุณป้า...ที่สถานนี้นะครับ”
“ผม...แจ้งความให้คุณป้าแล้ว...ทางตำรวจจะช่วยตามหาให้...แต่คุณป้าต้องไปแจ้งข้อมูลกับตำรวจนิดหน่อยเท่า
นั้น”  หญิงคนนั้นไม่พูดอะไรนอกจามก้มหน้าก้มตาร้องไห้  เธอคิดว่าเธอคงไม่ได้กระเป๋านั้นคืนอีกแล้ว  และ
เธออาจจะไม่สามารถอยู่รับของของเธอคืนมาได้
              พอลและเพื่อนๆไปส่งหญิงคนนั้นที่สถานนีตำรวจ  แต่เธอก็บอกตำรวจว่า  เธอไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น  รู้สึกว่า  อยู่ดีดีกระเป๋าก็ถูกกระชากใน  แม้ตำรวจจะบอกว่าให้เธอพยายามนึกดีดีอีกสักครั้ง  แต่เธอไม่ยืนยันคำพูดเดิม
“เอาไงดีล่ะ...จะไปต่อหรือจะกลับบ้าน” วีสถามเพื่อนๆ
“ฉันไม่มีอารมณ์จะเที่ยวต่อแล้ว” แมรี่พูด
“งั้นกลับกันดีกว่านะ...ลากันตรงนี้เลยละกัน”  ทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว 
              แน่นอน  พอลกับอลิซต้องกลับด้วยกัน  ก็บ้านทั้งคู่อยู่ใกล้กันนี่  ระหว่างทางเดิน  มันกลับเงียบสงัด  พระอาทิตย์ได้ลาท้องฟ้าไปแล้ว  มีเพียงแสงไฟเพียงน้อยนิด  แต่เสียงจั๊กจั่นร้องดังไปทั่วทุกสารทิศ  ทางข้างหน้า  มองแทบไม่เห็นสีใดนอกจากสีดำ  เธอและเขา  ไม่มีท่าทีจะปริปากเริ่มพูดเริ่มคุยกัน  มีเพียงฝีเท้า  และ  เสียงลมหายใจเท่าทั้ง
ตี๊ด ๆ  ตี๊ด  ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของอลิซดังขึ้น  ทำให้บรรยกาศที่เงียบดูลดลงบ้าง  อลิซมองดูเบอร์ที่โชว์ที่หน้าจอมือถือ
“ไงแทน” อลิซทัก  พอลเมื่อได้ยินชื่อนั้นทำให้เกิดอารมณ์เดือดขึ้นมาทันที
“มีธุระอะไรหรือ...เรากำลังจะกลับบ้าน”
“หรอ...นึกว่าถึงแล้วซะอีก”  เสียงของแทนดังออกมาทำให้พอลได้ยินทุกคำพูด  และน้ำเสียงของแทนซึ่งฟังดู 
มันสนิทสนมกันเกินหน้าเกินตายังไงไม่รู้  แถมท่าทีของอลิซ  ยังดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับพอลเสียอีก
“นี่พูดเบาๆก็ได้...หูจะแตกแล้ว...กลัวคนอื่นไม่ได้ยินหรือไง” อลิซพูดเพื่อให้แทนรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
“งั้นถึงบ้านแล้ว...รีบโทรหาเราด่วนเลยละกันนะ...”
“อืม...บาย”
อลิซวางสายโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว  เธอดูมีความสุขเหลือเกินเมื่อได้คุยหรือได้อยู่กับเขาคนนั้น
แต่ยังไม่ทันเดินถึงบ้าน  อยู่ดีดีแทนก็ปรากฏตัวหน้าพอลกับอลิซระหว่างทางเดินพอดี
“หวัดดีอลิซ”  แทนพูดเสียงสดใส
“แล้วก็นายด้วย”  เสียงตรงกันข้ามกับเวลาที่พูดกับเธอเลย
“เฮ้ย...ทำไมมาแบบนี้ล่ะแทน”
“ก็อยากเห็นหน้าอลิซไง”
              พอลไม่รู้ตัวเลยว่าแทนมาตอนไหน  เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่  เขาดูตกใจเล็กน้อยเมื่อแทนปรากฏตัวต่อหน้าแบบจังๆแบบนี้  แต่เธอดูเหมือนจะไม่ตกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ  แถมยังดูดีใจซะอีก  น่าโมโหจัง  พอลมองแทนมองอลิซไปไปมามาอย่างสงสัย  ทั้งคำพูดที่ทั้งสองคุยกัน มันฟังดูแปลกๆ  เหมือนสามารถเข้าใจกันได้แค่สองคน  พอลตัดสินใจถามคำถามกับแทน
“นี่...นายเป็นใครกันแน่” 
To Declare Protagonist  ;  ประกาศเป็นศัตรู
“นี่...นายเป็นใครกันแน่”  พอลยิงคำถามนี้กับแทน  เพียงคำพูดไม่กี่คำของพอล  ทำให้ทั้งสองชะงัก  หยุดเดินทันที
“เค้าก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันไงพอล”  อลิซรีบแก้ตัวให้แทนทันที  หลังจากเงียบไปนานทั้งคู่ 
“ฉันถามเค้า...ไม่ใช่เธอ”
“อะไรกับพอล...แทนก็คือแทน...พอลอยากจะให้เป็นอะไรล่ะ”
“อลิซเงียบสักที”
“นาย...มันมากไปแล้วนะ...ทำไมต้องว่าอลิซอย่างนั้นด้วย” แทนพลักพอลที่ยืนอยู่  จนพอลเซๆ
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น....ฉันถามว่าเป็นใคร”
“ฉันจะเป็นใครมันก็เรื่องของฉัน...นายไม่จำเป็นต้องรู้”  แทนทำท่าจะหาเรื่องพอล  สายตาของทั้งสองดูเหมือนเป็นคู่แค้นกันมานาน
“หยุดเลยนะ...ทั้งสองคนเลย” อลิซตะโกนอย่างอารมณ์เสีย  แล้วผลักทั้งแทนทั้งพอลให้แยกออกจากกัน  แรงผลักของอลิซทำให้ทั้งสองถอยออกห่างกัน
“ทำไมต้องทะเลาะกันด้วย...เรื่องแค่นี้เอง”
“เรื่องแค่นี้หรออลิซ”
“คนคนนี้อันตรายจะตาย”
“ทำไม...ฉันอันตรายยังไง”  แทนถามอย่างจะเอาเรื่อง  ทั้งสองทำท่าเหมือนจะสู้กัน
“หยุดเถอะแทน” อลิซหยุดสงครามที่จะเกิดขึ้น  เพราะถ้าทั้งสองสู้กัน  ผลสุดท้าย  คนที่เจ็บก็ต้องเป็นเขาคนนั้น
อยู่แล้ว  ใครจะสามารถสู้มืออาชีพได้
“พอล...อยากให้รู้ไว้...แทนคือเพือนของฉัน...ไม่มีอะไรมากกว่านี้...ถ้านายไม่เชื่อที่ฉันพูด...ก็อย่าพบกันอีกเลย...นั่นแสดงว่า...น่าไม่ใช่เพื่อนฉันอีกแล้ว...เพราะนายไม่ไว้ใจฉัน...” คำพูดนี้ทำให้พอลอารมณ์เย็นลง  อย่างสำนึกผิด  เขาคงผิดเองที่ไม่ไว้ใจอลิซ  แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้กับท่าทีของเธอกับคนคนนั้น 
“ขอโทษ” พอลพูดเสียงอ่อย
“แทนนายก็ขอโทษพอลมั่งสิ”
“ทำไม”
“นายก็ผิดเหมือนกัน”
“ได้สิ...เพื่ออลิซนะ”
“ฉันขอโทษ”
“ดี...จับมือกันสิ”
              พอลกับแทนยื่นมือแล้วจับมือกัน  แต่แทนที่จะจับมือกันอย่างสันติ  ทั้งสองตัดสินใจ  บีบมืออีกฝ่ายอย่างแรง  จิตใจทั้งสองสื่อถือ  การประกาศเป็นศัตรูกันแล้ว
“กลับบ้านกันเถอะ” อลิซรู้อยู่แก่ใจว่า  ทั้งสองไม่สามารถเป็นมิตรกันได้  แต่ก็ยังดีที่สามารถหยุดสงครามครั้งดีได้  และแล้วทั้งสามก็เดินกลับบ้าน  เมื่อถึงบ้านอลิซ  พอลก็แยกจากไป  แต่ก็ยังส่งสายตาอันแข็งกร้าวให้กับแทน  ก่อนเดินจากด้วย
“สวัสดีค่ะ / ครับ ยาย”
“สวัสดีจ้า...ไงแทน...ไม่ได้เจอตั้งนาน...หล่อขึ้นนะเราหนะ”
“ครับ”  อลิซให้แทนนั่งรอที่โซฟารับแขก  ส่วนเธอขึ้นไปเก็บของบนห้องนอน  แล้วสักพัก  อลิซก็ปรากฎตัวขึ้น  ที่ห้องรับแขก
“อ่ะแทน...เค้ก...ยายฉันทำเองนะ” อลิซวางเค้กที่ถือมาวางที่โต๊ะรับแขกหน้าแทน
“อืม...ขอบใจ”
“นายไม่น่าทำอย่างนั้นเลยนะแทน”
“หรอ...ฉันว่าฉันน่าจะทำมากกว่านั้นซะอีก”  แทนพูดด้วยอารมณ์โกรธ + โมโหที่ยังไม่หาย  และจะไม่มีวันหายด้วย
“พวกเราพลาดเอง...ไม่น่าคุยกันให้พอลสงสัยเลย”
“นายเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
“ฉันบอกแล้วว่า...พอล...เขาไม่ธรรมดา”
“เอ่อ...ว่าแต่...วันนี้...นายมาหาฉันทำไมหรอ”
“ก็คิดถึง”
“จะบ้าหรอ...อย่ามาล้อเล่นสิ...ก็เพิ่งเจอกัน...จะคิดถึงเร็วขนาดนั้นเลยหรอ”
“ฮิ...ๆ...ความจริงก็มีเรื่องจะบอก”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ไฟดับวันนี้...ฉันรู้แล้วย่ะ”
“อ้าว...หรอ”
“จริงอ่ะ”
“จริง”
“โธ่ก็วิธีที่ไฟดับ...บ้าๆ...อย่างนั้น...มีแต่นายคนเดียวที่บ้าทำ”
“ฮืม อลิซนี่รู้ทุกเรื่องเลยนะ” แทนขำในลำคอ
“แต่...มัยแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ก็แย่......แต่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีเหมือนกันนะ”
              แทนกลับไปแล้ว  เธอรู้สึกมีอะไรค้างคาใจกับคำพูดของตัวเองและของเขาคนนั้น  เธอคิดว่าตัวเองพูดแรงไปรึเปล่า  แต่คำตอนที่เธอสามารถตอบตัวเองได้คือ ไม่  เธอไม่ได้พูดแรงไป  เพราะเขาเป็นคนเริ่มเองนี่  ทำไมนะ  ทำไมเราเอง  รู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้  อลิซนอนไม่หลับเลย  นี่ก็ ตี 1 แล้ว  อะไรนะที่ค้างคาใจเธออยู่ 
“โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว” อลิซลุกขึ้นจากเตียงที่เธอ  ใช้เวลานานแสนนานในการพยายามหลับ  แต่ก็ทำไม่ได้  เธอตัดสินใจ  แต่ตัว  และ  ทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำ  นั่นคือ
Biography  And  The  Matter  never  thinks  to  do  ;  ประวัติ  และ  สิ่งที่ไม่คิดจะทำ
    ไม่เคยมีสิ่งใดที่ทำให้เธอ shock มากกว่าเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนั้น  เธอใช้ชีวิตอยู่กับยายของเธอ 2 คน  แต่นอกจากนั้น  เธอยังได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง  ชายผู้ทำให้เธอมีชีวิตแบบเช่นทุกวันนี้  ชายที่ไม่เผยใบหน้าอันแท้จริง  ชายผู้ลักลับ  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตัวจริงของเขาเป็นใคร  นอกจากตัวเขาเอง  เมื่อ 10 ปีก่อน  เธอได้ไปเรียนในที่แห่งหนึ่ง  ที่ที่ไม่เหมือนโรงเรียนของคนทั่วไป  เป็นที่ที่มืด  น่ากลัว  แต่เธอได้พบคนคนหนึ่ง  เขาได้ช่วยเหลือเธอทุกอย่าง  เท่าที่ผู้ชายอย่างเขาจะทำได้  เขาอายุมากกว่าเธอ 1 ปี  เขาอยู่ในที่แห่งนั้นมาก่อนเธอ  เขาคนนั้นคือแทน  นอกจากแทนนั้นยังมีคนอื่นอีกหลายๆคน  แต่ก็ไม่มีใครที่จะดีกับเธอเท่าแทน  เธอไม่รู้ประวัติของเขาหรอก  ไม่ใช่จะไม่เคยถาม  แต่ถามทีไร  สีหน้าของเขาดูเศร้า  และ  จะเงียบตลอดทั้งวันของวันนี้  เธอจึงเลิกถามคำถามนั้นกับแทน  เพราะเมื่อเขาไม่สบายใจ  เธอก็ไม่สบายใจด้วย
    สถานที่ที่เธอต้องไปเรียนทุกวัน  มันออกจะยากและโหดกว่า  คนอื่นที่เขาเรียนกันมากๆ  แต่เธอก็ทำได้ดี  จนชายลึกลับคนนั้น  ยอมรับในฝีมือ  เพราะในห้องเรียน  ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่อายุน้อยสุด  ไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร  เรียนแบบไหน  ฝีกแบบไหน  คิดแบบไหน  เธอรับทันพวกรุ่นพี่ได้อย่างสบายๆ  และแล้วภายใน 9 ปี  เธอก็จบหลักสูตร  ของสถาบันนั้น  ชายลึกลับ  สั่งให้เธอกลับไปอยู่บ้านกับยายตามเดิม  แล้วก็จะคอยส่งงานให้ทำ  ทำให้เธอมีรายได้  และต่อมาชายคนนั้นก็ส่งเธอเข้าโรงเรียน Loster  School  เธอเบื่อมากๆ  กับการที่ต้องมาเรียนอะไรง่ายๆ  วิชาต่างๆเธอเคยเรียนมานานมาก  และก็ชำนานมากด้วย  โดยเฉพาะวิชาพละ  เธอจำได้ว่าเคยฝึกแบบนั้นมาประมาณ 10 ปีได้แล้ว 
    เธอไม่รู้จะพูดกับใคร  ในโรงเรียนนั้นเลย  เธอคิดว่า  คนพวกนี้มันช่าง  ธรรมดา  มากๆ  บ้าดารา  ที่หวังแต่เงินและหน้าตา  บ้าเกมส์อันไร้สาระ  มีชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ  แต่วันหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งกลับทำให้เธอพูด  และไม่นานเธอก็เริ่มรู้จักคนอีกหลายคน  ที่เขาเรียกกันว่าเพื่อน  เธอเริ่มค้นพบความไม่เหมือนคนอื่นจากชายคนนั้น  ที่ในตอนแรก  เธอเห็นเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า  เขาจะมีความสามารถเท่ากับมืออาชีพอย่างเธอ  แต่เขาก็ทำให้เธอ  ใจเต้นในบางครั้ง  รู้สึกหงุดหงิดในเวลาแปลกๆ  และตอนนี้เธอก็รู้สึกผิดๆยังไงก็ไม่รู้ที่  ตอนนั้นพูดแบบนั้นออกไป 
    เธอตัดสินใจทำบางสิ่ง  ที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำ  นั่นคือ  การออกจากบ้านตอนดึก  เพื่อไปหาเขาคนนั้น  คนที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ  เธอไม่ได้ต้องการอะไร  แค่รู้สึกว่าอยากจะคุยบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น  เธอก็พอใจแล้ว
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ปิอง  เสียงกดกริ่งดังขึ้น  ในเวลาค่ำคืน  ที่หนาวสั่น  หิมะสีขาวตกลงสู่พื้น  แล้วก็ละลายหายไป
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ป่อง  ยังไม่มีคนเปิดประตู  หน้าบ้านพอล  และ  ทุกๆบริเวณที่เธอยืนอยู่  ล้วนเงียบสงัด  มืด  มีเพียงแสงไฟ  เล็กน้อยเท่านั้นที่พอจะส่องแสงให้เห็นสิ่งต่างๆได้
“เฮ้อ...มัวทำอะไรอยู่นะ...ไม่มาเปิดสักที” เธอบ่น  เสียงสั่นเพราะความหนาวเย็น
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ป่อง  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  เธอกดออดอย่างไม่ยั้งมือ  แต่ก็ยังไร้สิ้นเสียงของผู้อาศัยในบ้านหลังนั้น  เธอเริ่มหมดความอดทน  ในสมองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี
และเธอก็คิดได้แล้วว่าควรจะทำไงดี  ถ้าเธอกลับบ้าน  ก็นอนไม่หลับอยู่ดี  ไม่มีทางเด็ดขาดที่เธอจะเลือกวิธีนั้น  ถ้าเธออยากจะพบ  ก็ต้องพบให้ได้
เธอกระโดดอยู่กับที่สองครั้ง  แล้วก็ LUMP  UP  และตอนนี้เธอก็เข้ามาอยู่ภายในบริเวณบ้านของพอลแล้ว  มันช่างง่ายอะไรอย่างนี้  เธอเดินไปที่ประตูบ้าน 
กรึก  ๆ  เธอลองขยับลูกบิดไปมา  ปรากฏว่ามันล็อกอยู่
กรึก ๆ  เธอลองขยับหน้าต่าง  มันก็ล็อกอีกเช่นกัน  เฮ้อ  ไม่ว่าหน้าต่างบานไหนก็ล็อกอยู่ทั้งนั้น
“โอ๊ย...หนาวก็หนาว” เธอบ่น  มือของเธอเริ่มชา
“เอ้..หรือพอลจะไม่อยู่บ้านจริงๆ”
“แต่ฉันว่ายังอยู่นะ...ดึกขนาดนี้...ไม่น่าจะออกไปไหน”
เธอเริ่มคิดหาวิธีใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะเข้าบ้านอีกครั้ง  และก็คิดออกซะด้วย  มันไม่ใช่วิธียากมากมายอะไร  เป็นวิธีง่ายๆ 
เธอใช้  กรรไกร ในกระเป๋าตังดัดเหล็กที่เป็นพวงกุญแจ  แงะรูกุญแจที่ประตูบ้าน  ทำอยู่นานพอสมควร  ที่จะดัดเหล็ก  ให้เข้าล็อกตามรูกุญแจได้
แกะ  ๆ  แกะ  ๆ 
และความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จ  ประตูเปิดออก  โดยไม่มีร่องรอยของการแงะ  เพราะเธอได้จัดการพรางมันไว้เรียบร้อยแล้ว  ด้วยอะไรหนะหรือ ?  เป็นความลับจ๊ะ
พอเข้าบ้านได้แล้ว  อลิซก็จัดการเดินหาพอลทุกห้อง  ไม่น่าเชื่อว่า  คนอย่างพอลจะจัดบ้านได้เรียบร้อยขนาดนี้  อลิซหาทุกห้องในชั้น 1  แต่ก็หาไม่เจอ  เธอเดินขึ้นชั้น 2  แต่ก็ไร้วี่แววของพอล  และเมื่อเธอพบว่ามีห้องล็อกอยู่ 2 ห้อง  เธอก็ตัดสินใจลองเคาะประตู
ก๊อก  ๆ  ๆ    ก๊อก  ๆ  ๆ  ห้องที่ 1  เคาะเท่าไหร่  ก็ไม่มีคนเปิด
“สงสัยจะไม่ใช่ห้องนี้”
ก๊อก  ๆ  ๆ    ก๊อก  ๆ  ๆ
“อะไรกัน  พอลไม่อยู่จริงๆหรอเนี่ย”
“หรือว่า  พอลรู้ว่าเรามา  แล้วจะแกล้งเรา”
อลิซคิดหาวิธีเข้าห้องที่ล็อกอยู่  เธอไม่ใช้วิธีดัดเหล็กแล้ว  เพราะมันจะเสียเวลา
ก็อง  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  นาฬิกาดัง  บอกว่าตอนนี้  เที่ยงคืนแล้ว 
“เอ่อ  รู้แล้วพอลมีมือถือนี่”
“ถ้าโทรแล้วเสียงดัง  แสดงว่า  พอลอยู่ในบ้านนี้”  ว่าแล้วอลิซก็ลองกดโทรศัพท์มือถือ  เพื่อโทรหาพอล     
              หลังจากที่อลิซนัดแนะเรื่องของเธอกับแทนเสร็จแล้ว  เขาทั้งสองก็พากันเดินไปที่ลาน  ICE  SKATE 
อลิซใช้เวลาหาพวกพอลได้ไม่นาน  และแล้วทั้งหมดก็เจอกัน  อลิซแนะนำแทนให้ทุกคนรู้จักตามแผนที่ได้เตรียมไว้  ซึ่งก็เป็นไปตามแผนอย่างดี
“โธ่อลิซ...ฉันก็นึกว่าเธอหายไปไหน ที่แท้ก็เจอเพื่อนเก่านี่เอง”  แมรี่พูด
“ไปเล่นกันเถอะ...อยากเล่นเต็มแกอยู่แล้ว” ออฟพูดขึ้น  พร้อมกับใส่รองเท้า  แล้วก็ทะยานออกสู่ลานน้ำแข็งทันทีพร้อมกับพี่น้องฝาแฝดของตนคือ เอฟ 
“พวกเราก็ไปเล่นกันมั่งเถอะ” วีสพูด  แล้วแล้ววิ่งไปที่ลานน้ำแข็ง 
ปึ่ง !!!  แล้วเขาก็ลื่นล้มทันทีที่ก้าวแรกสู่น้ำแข็ง  เพื่อนๆรวมทั้งผู้เล่นคนอื่นที่เห็น  ต่างหัวเราะกันท่าทีของวีส  ทำให้เจ้าตัวถึงกับอายหน้าแดง
“อลิซไปกันเถอะ” พอลชวน
“ไปกันเถอะพอล” จอยไม่รอให้อลิซตอบว่าไปหรือไม่  จอยก็ดึงพอลที่กำลังยืนอยู่ให้ไปเล่นกับเธอทันที  ทุกคนในกลุ่มได้เข้าสู่ลานน้ำแข็งเรียบร้อยแล้ว  เอฟกับออฟเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข  ทั้งสองเป็นฝาแฝดกันแล้วยังทำท่าเหมือนกันอีก  ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่าไหน  เอฟกับออฟ  ก็ทำได้พร้อมกันทุกท่า  ทุกขั้นตอน  ทุกจังหวะ  ดูแล้วสวยมากๆ  (ถ้าทั้งสองผอมกว่านี้อีกนิดนะ)
“...ไงล่ะแทน...” อลิซพูดขึ้น  เมื่ออยู่กับแทนสองคน
“อะไรหมายความว่าไง” แทนถามต่อเมื่อไม่เข้าใจที่อลิซพูด
“ก็เพื่อนของฉันเป็นยังไงกันบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรนี่...ดูใสใส...ธรรมดา...ธรรมดา...แต่ยังไงฉันก็ไม่ถูกชะตากับเจ้านั่นอยู่ดี...แล้วก็ผู้หญิงคนนั้นด้วย” 
“ไปเถอะอลิซ” แทนชวนพร้อมยื่นมือให้อลิซ
“ไปไหน”  อลิซมองมือ อย่างงง  แล้วก็ถามแทนด้วยท่าทีสงสัย
“ไปโชว์...ว่ามืออาชีพเค้าเล่นกันแบบไหน”
“แทนแต่ว่า...ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวพวกเค้าก็รู้หรอก”
“ก็แค่บอกว่า...เคยมาเล่นด้วยกันบ่อยๆก็ได้นี่”
“จะดีหรอ”
“ดีสิ...นานๆจะได้เที่ยวด้วยกัน...ไปสนุกสักครั้งเถอะ”  แทนยื่นมือให้อลิซอีกรอบ
“เอาสิ...ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว” 
              อลิซจับมือแทน  แล้วตรงเข้าลานน้ำแข็งทันที  ผู้คนที่ยืนขวางทางอยู่ต่างหลบ  เพื่อให้ทั้งสองเข้าสู่ใจกลางลานน้ำแข็ง  ทั้งสองเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน  แต่ละท่าถูกผสานรวมกันอย่างมีจังหวะ  เมื่อเล่นเป็นคู่จึงยิ่งดูสวยมากขึ้น  ยิ่งเล่นนานขึ้นจังหวะของท่วงท่าและลีลาการเล่นยิ่งดูเร้าแรง  จนน่าหวาดเสียว  จากคนที่เล่นอยู่  ก็เลิกเล่น  แล้วกลับไปที่ขอบลานน้ำแข็งเพื่อดู  แทนกับอลิซ  ทั้งสองเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาทุกคน  มันเหมือนฝึกด้วยกันเพื่องานนี้โดยเฉพาะ  แต่ความจริงมันไม่ใช่  ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มลดความเร็วลงและจบด้วยอาการเหนื่อยหอบ  เมื่อทั้งสองหยุดเสียงปรบมือจากทั่วลานน้ำแข็งก็ดังขึ้น  พร้อมกับเสียงซุบซิบ  ที่ต่างกล่าวชม  แทนและอลิซเดินกลับเข้าที่นั่งอย่างอายๆและเหนื่อยๆ
“อลิซ...เก่งจังเลย” เอฟพูด  อลิซก็ยิ้มอย่างอายๆ
“แทนก็ด้วยนะ” ออฟพูด 
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” แทนพูด
“เมื่อกี้หยั่งกับได้ดูการแสดงเลย” แมรี่พูดอย่างชื่นชม  ในความสามารถของอลิซกับแทน  จอยเห็นดังนั้นก็ได้แต่
อึ้งจนพูดไม่ออก  ผู้คนที่หลบจากใจกลาง  ในตอนนี้ก็เริ่มเล่นกันอย่างปกติแล้ว  อลิซก็หันมายิ้มให้แทน  โดยที่ไม่รู้ว่าพอล  กำลังสงสัยอย่างหนัก  ถึงเรื่องคนสองคนนี้  พอลสังเกตทุกกริยาของอลิซ  ทั้งการเล่นเมื่อครู่  และ  พอเธออยู่กับแทน  มันเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็ก  แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น 
“พอล...พอล...” จอยเรียกพอลอยู่นานสองนาน  แต่พอลกลับไม่ได้ยินเสียงของจอยเลย”
“พอล” จอยตะโกน
“มี...มีอะไร”  พอลถามด้วยเสียงที่แสดงว่ารำคาญจอยสุดๆ
“เมื่อกี้ฉันเล่นได้นิดเดียวเอง...ไปเล่นกันต่อเถอะนะ” จอยตื้อ  ด้วยเสียงหวาน
“อลิซ...วันนี้ฉันสนุกมากๆ...เลย” แทนที่นั่งถัดจากพอลพูด
“แต่ได้เวลาแล้ว...ต้องไปก่อนนะ” 
“จะกลับแล้วหรอ...อยู่อีกเดี๋ยวไม่ได้หรอ” อลิซพูดแบบว่าไม่อยากให้แทนกลับ  แต่แทนส่ายหน้าแล้วก้มหน้าไปที่หูอลิซ  แล้วกระซิบว่า  “Time  for  work”  แล้วแทนก็จากไปพอลเห็นก็นึกว่าแทนหอมแก้มอลิซ  เลยมีท่าทีแสดงออกแบบว่าไม่พอใจสุดๆ  อีกทั้งจอยยังเซ้าซี้อีก  น่ารำคาญมากๆ  ทำให้พอลรู้สึกหงุดหงิด
“นี่บอกว่าไม่เล่นก็ไม่เล่นไง...พูดไม่รู้เรื่องหรอ” พอลตะคอกใส่จอยอย่างอารมณ์เสีย  ทำให้จอยนิ่งเงียบสนิทไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว  อย่าว่าแต่พูดไม่กล้าขยับเลยด้วยซ้ำ  ไม่นานพอลก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
30  นาทีต่อมา
“เฮ้อ...เหนื่อย” เรสวินกล่าวขณะกำลังดื่มน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก  ณ  เวลานี้ทุกคนเลิกเล่นกันหมดแล้ว 
“นี่ไปกินข้าวเย็นกันป่ะ” วีสชวน
“นี่นาย...ไม่คิดอย่างอื่นเลยนะ...นอกจากเล่นกับกิน” แมรี่ว่ากับอาการของวีสที่เหมือนคนเพิ่งยกภูเขาออกจากอก
แล้วไม่ยอมคิดที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง
“ก็สอบเสร็จทั้งทีนี่...สนุกให้สุดๆเลยดีกว่า”  วีสแย้งคำของแมรี่  ทำให้แมรี่ต้องยอมยกธงขาว  อย่างยอมแพ้
“นี่เห็นพอลบ้างไหม” วีสถามทุกคน  แต่จงใจหันหน้าไปทางอลิซ  เพราะคิดว่าสนิทกัน
“ฉันเห็นเขาอยู่กับจอยเมื่อ ครึ่ง ชั่วโมงก่อน”  อลิซพูดเมื่อรู้ว่าวีสจงใจถามเธอ
“จอย...พอลไปไหนรู้ป่ะ”  จอยส่ายหน้าช้าๆ  แล้วพูดว่า  “ก่อนไปเค้าไม่ได้บอกหรอกนะ...แต่ท่าทางเหมือนโกรธใครก็ไม่รู้...น่ากลัวมากๆเลย”  ท่าทีของจอยเหมือนอึ้งกับคำพูดของพอลเมื่อสักครู่มาก
“จะโกรธใครล่ะ...ฉันว่าเค้ารำคาญเธอมากกว่ามั้ง” แมรี่พูด  จอยก็ทำหน้าแบบจะเอาเรื่องแมรี่ทันที
“เอาเถอะ...แต่จะหาพอลอย่างไงดี” เอฟหยุดสงครามที่กำลังเกิดขึ้น
“เฮ้อ...เดี๋ยวคนนี้หาย...เดี๋ยวคนนั้นหาย...นี่มาเที่ยวนะ...ไม่ได้เล่นเกมส์ตามหาคน” วีสบ่นอย่างอารมณ์เสีย  เพราะตัวเองตั้งใจมาเล่นกันให้สนุกสุดๆ  แต่กลับมีเรื่องเสียๆนิดหน่อยมาปน  ทำให้เจ้าตัวอดที่จะบ่นไม่ได้
“เอ่อ...พอลมีมือถือนี่...ลองโทรตามดูสิ” แมรี่เสนอความคิด
“เราไม่ได้เอามือถือมา” เอฟกับออฟพูดพร้อมกัน  เมื่อแมรี่มองมาที่ทั้งสอง
“วีสล่ะ”
“มีเหมือนกัน...แต่ไม่ได้เติมเงิน”
“จอยล่ะ”
“มี...แต่ฉันไม่กล้าโทร” จอยพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ  เพราะเธอนึกว่าพอลคงรำคาญเธอมากๆอย่างที่แมรี่พูดจริงๆ 
“ฉันให้ยืมก็ได้นะ...พวกเธอโทรไปเถอะ...ถ้าฉันโทรไปเค้าอาจจะไม่รับก็ได้”  วีสรับมือถือจากจอยแล้วโทรหาพอลทันที
ฟรืด !!!  ฟรืด  !!!  มือถือของพอลสั่น  พอลหยิบมาดู  เป็นเบอร์ของจอย  ก็รีบกดวางทันที
“เฮ้ย...พอลไม่รับ” วีสพูด
“เอาไงดีล่ะ” แมรี่นึกวิธีอื่นไม่ออก
“ช่างสิ...ไปกินข้าวกันดีกว่า” เรสวินพูด  ทำให้เพื่อนๆมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
ฟรึบ !!!  ไปที่ลานน้ำแข็ง  ดับลงพร้อมกับเสียงเพลง  มีเสียงกรี๊ดร้อง  เล็กน้อยในกลุ่มผู้เล่นที่ตกใจ  กับไฟที่ดับอย่างกะทันหัน  ไฟไม่ได้ดับเฉพาะ  ที่ลานน้ำแข็งเท่านั้น  แต่ละชั้นของห้างสรรพสินค้า  ล้วนดับหมด  ตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในความมืด
“ท่านครับ...ไฟดับทั้งห้างเลยครับ”
“ไฟสำรองล่ะ” หัวหน้าด้านไฟฟ้าสั่งให้ลูกน้องใช้ไฟสำรอง
“ไม่ได้ครับ...ใช้ไม่ได้”
“ลองเช็คดูซิ...ว่าด้านนอกดับหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“รีบหาสาเหตุด่วน”
              จากการที่ไฟฟ้าดับครั้งนี้  ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความมืด  และไม่สามารถมองเห็นอะไรได้  เนื่องจากประตูเปิดปิด  และสิ่งต่างๆเกือบทั้งหมด  ต้องใช้ไฟฟ้าในการคลับเคลื่อนทั้งสิ้น
“เฮ้ย...นี่ยิ่งแย่ใหญ่...ไฟดันดับอีก...จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย” วีสบ่น
กรี๊ด  !!!  เสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนดั่งขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...จับมันที...มันเอากระเป๋าของฉันไป”
แต่ก็โชคร้ายของหญิงผู้นั้น  ที่ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้  อย่าว่าแต่จับผู้ร้ายเลย  ตัวเธออยู่ไหน  ยังไม่มีใครรู้เลย  นอกจากได้ยินเสียง
ฟรืบ  !!!  ไฟฟ้าทำงานอย่างปกติ
“คุณครับ...เป็นไงบ้างครับ”  พอลพยุงหญิงวัยกลางคนที่ล้มทั้งยืน  เพราะกระเป๋าสำคัญของเธอหายไป  เมื่อครู่นี้
“ขอบใจ” หญิงคนนั้นกล่าวเสียงสั่น  พอลพาเธอไปนั่งที่โต๊ะกลุ่มของเพื่อนๆที่นั่งรอพอลอยู่
“จอย...โทรหาตำรวจซิ” พอลสั่งด้วยเสียงอันเฉียบขาด
“ตะ..ตะ..แต่” จอยยิ่งสั่นกับน้ำเสียงของพอล  มือที่ถือมือถือสั่นมากๆ  แต่ก็ยังสามารถกดเลขหมายได้ถูกต้อง 
พอกดเบอร์เสร็จ  จอยก็ยื่นโทรศัพท์ให้พอล  พอลพูดกับตำรวจนานสองนาน  และแล้วก็จบบทสนทนาระหว่างพอลกับตำรวจ
“เดี๋ยวเชิญ...คุณป้า...ที่สถานนี้นะครับ”
“ผม...แจ้งความให้คุณป้าแล้ว...ทางตำรวจจะช่วยตามหาให้...แต่คุณป้าต้องไปแจ้งข้อมูลกับตำรวจนิดหน่อยเท่า
นั้น”  หญิงคนนั้นไม่พูดอะไรนอกจามก้มหน้าก้มตาร้องไห้  เธอคิดว่าเธอคงไม่ได้กระเป๋านั้นคืนอีกแล้ว  และ
เธออาจจะไม่สามารถอยู่รับของของเธอคืนมาได้
              พอลและเพื่อนๆไปส่งหญิงคนนั้นที่สถานนีตำรวจ  แต่เธอก็บอกตำรวจว่า  เธอไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น  รู้สึกว่า  อยู่ดีดีกระเป๋าก็ถูกกระชากใน  แม้ตำรวจจะบอกว่าให้เธอพยายามนึกดีดีอีกสักครั้ง  แต่เธอไม่ยืนยันคำพูดเดิม
“เอาไงดีล่ะ...จะไปต่อหรือจะกลับบ้าน” วีสถามเพื่อนๆ
“ฉันไม่มีอารมณ์จะเที่ยวต่อแล้ว” แมรี่พูด
“งั้นกลับกันดีกว่านะ...ลากันตรงนี้เลยละกัน”  ทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว 
              แน่นอน  พอลกับอลิซต้องกลับด้วยกัน  ก็บ้านทั้งคู่อยู่ใกล้กันนี่  ระหว่างทางเดิน  มันกลับเงียบสงัด  พระอาทิตย์ได้ลาท้องฟ้าไปแล้ว  มีเพียงแสงไฟเพียงน้อยนิด  แต่เสียงจั๊กจั่นร้องดังไปทั่วทุกสารทิศ  ทางข้างหน้า  มองแทบไม่เห็นสีใดนอกจากสีดำ  เธอและเขา  ไม่มีท่าทีจะปริปากเริ่มพูดเริ่มคุยกัน  มีเพียงฝีเท้า  และ  เสียงลมหายใจเท่าทั้ง
ตี๊ด ๆ  ตี๊ด  ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของอลิซดังขึ้น  ทำให้บรรยกาศที่เงียบดูลดลงบ้าง  อลิซมองดูเบอร์ที่โชว์ที่หน้าจอมือถือ
“ไงแทน” อลิซทัก  พอลเมื่อได้ยินชื่อนั้นทำให้เกิดอารมณ์เดือดขึ้นมาทันที
“มีธุระอะไรหรือ...เรากำลังจะกลับบ้าน”
“หรอ...นึกว่าถึงแล้วซะอีก”  เสียงของแทนดังออกมาทำให้พอลได้ยินทุกคำพูด  และน้ำเสียงของแทนซึ่งฟังดู 
มันสนิทสนมกันเกินหน้าเกินตายังไงไม่รู้  แถมท่าทีของอลิซ  ยังดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับพอลเสียอีก
“นี่พูดเบาๆก็ได้...หูจะแตกแล้ว...กลัวคนอื่นไม่ได้ยินหรือไง” อลิซพูดเพื่อให้แทนรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
“งั้นถึงบ้านแล้ว...รีบโทรหาเราด่วนเลยละกันนะ...”
“อืม...บาย”
อลิซวางสายโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว  เธอดูมีความสุขเหลือเกินเมื่อได้คุยหรือได้อยู่กับเขาคนนั้น
แต่ยังไม่ทันเดินถึงบ้าน  อยู่ดีดีแทนก็ปรากฏตัวหน้าพอลกับอลิซระหว่างทางเดินพอดี
“หวัดดีอลิซ”  แทนพูดเสียงสดใส
“แล้วก็นายด้วย”  เสียงตรงกันข้ามกับเวลาที่พูดกับเธอเลย
“เฮ้ย...ทำไมมาแบบนี้ล่ะแทน”
“ก็อยากเห็นหน้าอลิซไง”
              พอลไม่รู้ตัวเลยว่าแทนมาตอนไหน  เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่  เขาดูตกใจเล็กน้อยเมื่อแทนปรากฏตัวต่อหน้าแบบจังๆแบบนี้  แต่เธอดูเหมือนจะไม่ตกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ  แถมยังดูดีใจซะอีก  น่าโมโหจัง  พอลมองแทนมองอลิซไปไปมามาอย่างสงสัย  ทั้งคำพูดที่ทั้งสองคุยกัน มันฟังดูแปลกๆ  เหมือนสามารถเข้าใจกันได้แค่สองคน  พอลตัดสินใจถามคำถามกับแทน
“นี่...นายเป็นใครกันแน่” 
To Declare Protagonist  ;  ประกาศเป็นศัตรู
“นี่...นายเป็นใครกันแน่”  พอลยิงคำถามนี้กับแทน  เพียงคำพูดไม่กี่คำของพอล  ทำให้ทั้งสองชะงัก  หยุดเดินทันที
“เค้าก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันไงพอล”  อลิซรีบแก้ตัวให้แทนทันที  หลังจากเงียบไปนานทั้งคู่ 
“ฉันถามเค้า...ไม่ใช่เธอ”
“อะไรกับพอล...แทนก็คือแทน...พอลอยากจะให้เป็นอะไรล่ะ”
“อลิซเงียบสักที”
“นาย...มันมากไปแล้วนะ...ทำไมต้องว่าอลิซอย่างนั้นด้วย” แทนพลักพอลที่ยืนอยู่  จนพอลเซๆ
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น....ฉันถามว่าเป็นใคร”
“ฉันจะเป็นใครมันก็เรื่องของฉัน...นายไม่จำเป็นต้องรู้”  แทนทำท่าจะหาเรื่องพอล  สายตาของทั้งสองดูเหมือนเป็นคู่แค้นกันมานาน
“หยุดเลยนะ...ทั้งสองคนเลย” อลิซตะโกนอย่างอารมณ์เสีย  แล้วผลักทั้งแทนทั้งพอลให้แยกออกจากกัน  แรงผลักของอลิซทำให้ทั้งสองถอยออกห่างกัน
“ทำไมต้องทะเลาะกันด้วย...เรื่องแค่นี้เอง”
“เรื่องแค่นี้หรออลิซ”
“คนคนนี้อันตรายจะตาย”
“ทำไม...ฉันอันตรายยังไง”  แทนถามอย่างจะเอาเรื่อง  ทั้งสองทำท่าเหมือนจะสู้กัน
“หยุดเถอะแทน” อลิซหยุดสงครามที่จะเกิดขึ้น  เพราะถ้าทั้งสองสู้กัน  ผลสุดท้าย  คนที่เจ็บก็ต้องเป็นเขาคนนั้น
อยู่แล้ว  ใครจะสามารถสู้มืออาชีพได้
“พอล...อยากให้รู้ไว้...แทนคือเพือนของฉัน...ไม่มีอะไรมากกว่านี้...ถ้านายไม่เชื่อที่ฉันพูด...ก็อย่าพบกันอีกเลย...นั่นแสดงว่า...น่าไม่ใช่เพื่อนฉันอีกแล้ว...เพราะนายไม่ไว้ใจฉัน...” คำพูดนี้ทำให้พอลอารมณ์เย็นลง  อย่างสำนึกผิด  เขาคงผิดเองที่ไม่ไว้ใจอลิซ  แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้กับท่าทีของเธอกับคนคนนั้น 
“ขอโทษ” พอลพูดเสียงอ่อย
“แทนนายก็ขอโทษพอลมั่งสิ”
“ทำไม”
“นายก็ผิดเหมือนกัน”
“ได้สิ...เพื่ออลิซนะ”
“ฉันขอโทษ”
“ดี...จับมือกันสิ”
              พอลกับแทนยื่นมือแล้วจับมือกัน  แต่แทนที่จะจับมือกันอย่างสันติ  ทั้งสองตัดสินใจ  บีบมืออีกฝ่ายอย่างแรง  จิตใจทั้งสองสื่อถือ  การประกาศเป็นศัตรูกันแล้ว
“กลับบ้านกันเถอะ” อลิซรู้อยู่แก่ใจว่า  ทั้งสองไม่สามารถเป็นมิตรกันได้  แต่ก็ยังดีที่สามารถหยุดสงครามครั้งดีได้  และแล้วทั้งสามก็เดินกลับบ้าน  เมื่อถึงบ้านอลิซ  พอลก็แยกจากไป  แต่ก็ยังส่งสายตาอันแข็งกร้าวให้กับแทน  ก่อนเดินจากด้วย
“สวัสดีค่ะ / ครับ ยาย”
“สวัสดีจ้า...ไงแทน...ไม่ได้เจอตั้งนาน...หล่อขึ้นนะเราหนะ”
“ครับ”  อลิซให้แทนนั่งรอที่โซฟารับแขก  ส่วนเธอขึ้นไปเก็บของบนห้องนอน  แล้วสักพัก  อลิซก็ปรากฎตัวขึ้น  ที่ห้องรับแขก
“อ่ะแทน...เค้ก...ยายฉันทำเองนะ” อลิซวางเค้กที่ถือมาวางที่โต๊ะรับแขกหน้าแทน
“อืม...ขอบใจ”
“นายไม่น่าทำอย่างนั้นเลยนะแทน”
“หรอ...ฉันว่าฉันน่าจะทำมากกว่านั้นซะอีก”  แทนพูดด้วยอารมณ์โกรธ + โมโหที่ยังไม่หาย  และจะไม่มีวันหายด้วย
“พวกเราพลาดเอง...ไม่น่าคุยกันให้พอลสงสัยเลย”
“นายเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
“ฉันบอกแล้วว่า...พอล...เขาไม่ธรรมดา”
“เอ่อ...ว่าแต่...วันนี้...นายมาหาฉันทำไมหรอ”
“ก็คิดถึง”
“จะบ้าหรอ...อย่ามาล้อเล่นสิ...ก็เพิ่งเจอกัน...จะคิดถึงเร็วขนาดนั้นเลยหรอ”
“ฮิ...ๆ...ความจริงก็มีเรื่องจะบอก”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ไฟดับวันนี้...ฉันรู้แล้วย่ะ”
“อ้าว...หรอ”
“จริงอ่ะ”
“จริง”
“โธ่ก็วิธีที่ไฟดับ...บ้าๆ...อย่างนั้น...มีแต่นายคนเดียวที่บ้าทำ”
“ฮืม อลิซนี่รู้ทุกเรื่องเลยนะ” แทนขำในลำคอ
“แต่...มัยแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ก็แย่......แต่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีเหมือนกันนะ”
              แทนกลับไปแล้ว  เธอรู้สึกมีอะไรค้างคาใจกับคำพูดของตัวเองและของเขาคนนั้น  เธอคิดว่าตัวเองพูดแรงไปรึเปล่า  แต่คำตอนที่เธอสามารถตอบตัวเองได้คือ ไม่  เธอไม่ได้พูดแรงไป  เพราะเขาเป็นคนเริ่มเองนี่  ทำไมนะ  ทำไมเราเอง  รู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้  อลิซนอนไม่หลับเลย  นี่ก็ ตี 1 แล้ว  อะไรนะที่ค้างคาใจเธออยู่ 
“โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว” อลิซลุกขึ้นจากเตียงที่เธอ  ใช้เวลานานแสนนานในการพยายามหลับ  แต่ก็ทำไม่ได้  เธอตัดสินใจ  แต่ตัว  และ  ทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำ  นั่นคือ
Biography  And  The  Matter  never  thinks  to  do  ;  ประวัติ  และ  สิ่งที่ไม่คิดจะทำ
    ไม่เคยมีสิ่งใดที่ทำให้เธอ shock มากกว่าเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนั้น  เธอใช้ชีวิตอยู่กับยายของเธอ 2 คน  แต่นอกจากนั้น  เธอยังได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง  ชายผู้ทำให้เธอมีชีวิตแบบเช่นทุกวันนี้  ชายที่ไม่เผยใบหน้าอันแท้จริง  ชายผู้ลักลับ  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตัวจริงของเขาเป็นใคร  นอกจากตัวเขาเอง  เมื่อ 10 ปีก่อน  เธอได้ไปเรียนในที่แห่งหนึ่ง  ที่ที่ไม่เหมือนโรงเรียนของคนทั่วไป  เป็นที่ที่มืด  น่ากลัว  แต่เธอได้พบคนคนหนึ่ง  เขาได้ช่วยเหลือเธอทุกอย่าง  เท่าที่ผู้ชายอย่างเขาจะทำได้  เขาอายุมากกว่าเธอ 1 ปี  เขาอยู่ในที่แห่งนั้นมาก่อนเธอ  เขาคนนั้นคือแทน  นอกจากแทนนั้นยังมีคนอื่นอีกหลายๆคน  แต่ก็ไม่มีใครที่จะดีกับเธอเท่าแทน  เธอไม่รู้ประวัติของเขาหรอก  ไม่ใช่จะไม่เคยถาม  แต่ถามทีไร  สีหน้าของเขาดูเศร้า  และ  จะเงียบตลอดทั้งวันของวันนี้  เธอจึงเลิกถามคำถามนั้นกับแทน  เพราะเมื่อเขาไม่สบายใจ  เธอก็ไม่สบายใจด้วย
    สถานที่ที่เธอต้องไปเรียนทุกวัน  มันออกจะยากและโหดกว่า  คนอื่นที่เขาเรียนกันมากๆ  แต่เธอก็ทำได้ดี  จนชายลึกลับคนนั้น  ยอมรับในฝีมือ  เพราะในห้องเรียน  ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่อายุน้อยสุด  ไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร  เรียนแบบไหน  ฝีกแบบไหน  คิดแบบไหน  เธอรับทันพวกรุ่นพี่ได้อย่างสบายๆ  และแล้วภายใน 9 ปี  เธอก็จบหลักสูตร  ของสถาบันนั้น  ชายลึกลับ  สั่งให้เธอกลับไปอยู่บ้านกับยายตามเดิม  แล้วก็จะคอยส่งงานให้ทำ  ทำให้เธอมีรายได้  และต่อมาชายคนนั้นก็ส่งเธอเข้าโรงเรียน Loster  School  เธอเบื่อมากๆ  กับการที่ต้องมาเรียนอะไรง่ายๆ  วิชาต่างๆเธอเคยเรียนมานานมาก  และก็ชำนานมากด้วย  โดยเฉพาะวิชาพละ  เธอจำได้ว่าเคยฝึกแบบนั้นมาประมาณ 10 ปีได้แล้ว 
    เธอไม่รู้จะพูดกับใคร  ในโรงเรียนนั้นเลย  เธอคิดว่า  คนพวกนี้มันช่าง  ธรรมดา  มากๆ  บ้าดารา  ที่หวังแต่เงินและหน้าตา  บ้าเกมส์อันไร้สาระ  มีชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ  แต่วันหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งกลับทำให้เธอพูด  และไม่นานเธอก็เริ่มรู้จักคนอีกหลายคน  ที่เขาเรียกกันว่าเพื่อน  เธอเริ่มค้นพบความไม่เหมือนคนอื่นจากชายคนนั้น  ที่ในตอนแรก  เธอเห็นเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า  เขาจะมีความสามารถเท่ากับมืออาชีพอย่างเธอ  แต่เขาก็ทำให้เธอ  ใจเต้นในบางครั้ง  รู้สึกหงุดหงิดในเวลาแปลกๆ  และตอนนี้เธอก็รู้สึกผิดๆยังไงก็ไม่รู้ที่  ตอนนั้นพูดแบบนั้นออกไป 
    เธอตัดสินใจทำบางสิ่ง  ที่เธอไม่เคยคิดที่จะทำ  นั่นคือ  การออกจากบ้านตอนดึก  เพื่อไปหาเขาคนนั้น  คนที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ  เธอไม่ได้ต้องการอะไร  แค่รู้สึกว่าอยากจะคุยบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น  เธอก็พอใจแล้ว
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ปิอง  เสียงกดกริ่งดังขึ้น  ในเวลาค่ำคืน  ที่หนาวสั่น  หิมะสีขาวตกลงสู่พื้น  แล้วก็ละลายหายไป
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ป่อง  ยังไม่มีคนเปิดประตู  หน้าบ้านพอล  และ  ทุกๆบริเวณที่เธอยืนอยู่  ล้วนเงียบสงัด  มืด  มีเพียงแสงไฟ  เล็กน้อยเท่านั้นที่พอจะส่องแสงให้เห็นสิ่งต่างๆได้
“เฮ้อ...มัวทำอะไรอยู่นะ...ไม่มาเปิดสักที” เธอบ่น  เสียงสั่นเพราะความหนาวเย็น
ปิ้ง  ป่อง  ปิ้ง  ป่อง  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  เธอกดออดอย่างไม่ยั้งมือ  แต่ก็ยังไร้สิ้นเสียงของผู้อาศัยในบ้านหลังนั้น  เธอเริ่มหมดความอดทน  ในสมองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี
และเธอก็คิดได้แล้วว่าควรจะทำไงดี  ถ้าเธอกลับบ้าน  ก็นอนไม่หลับอยู่ดี  ไม่มีทางเด็ดขาดที่เธอจะเลือกวิธีนั้น  ถ้าเธออยากจะพบ  ก็ต้องพบให้ได้
เธอกระโดดอยู่กับที่สองครั้ง  แล้วก็ LUMP  UP  และตอนนี้เธอก็เข้ามาอยู่ภายในบริเวณบ้านของพอลแล้ว  มันช่างง่ายอะไรอย่างนี้  เธอเดินไปที่ประตูบ้าน 
กรึก  ๆ  เธอลองขยับลูกบิดไปมา  ปรากฏว่ามันล็อกอยู่
กรึก ๆ  เธอลองขยับหน้าต่าง  มันก็ล็อกอีกเช่นกัน  เฮ้อ  ไม่ว่าหน้าต่างบานไหนก็ล็อกอยู่ทั้งนั้น
“โอ๊ย...หนาวก็หนาว” เธอบ่น  มือของเธอเริ่มชา
“เอ้..หรือพอลจะไม่อยู่บ้านจริงๆ”
“แต่ฉันว่ายังอยู่นะ...ดึกขนาดนี้...ไม่น่าจะออกไปไหน”
เธอเริ่มคิดหาวิธีใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะเข้าบ้านอีกครั้ง  และก็คิดออกซะด้วย  มันไม่ใช่วิธียากมากมายอะไร  เป็นวิธีง่ายๆ 
เธอใช้  กรรไกร ในกระเป๋าตังดัดเหล็กที่เป็นพวงกุญแจ  แงะรูกุญแจที่ประตูบ้าน  ทำอยู่นานพอสมควร  ที่จะดัดเหล็ก  ให้เข้าล็อกตามรูกุญแจได้
แกะ  ๆ  แกะ  ๆ 
และความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จ  ประตูเปิดออก  โดยไม่มีร่องรอยของการแงะ  เพราะเธอได้จัดการพรางมันไว้เรียบร้อยแล้ว  ด้วยอะไรหนะหรือ ?  เป็นความลับจ๊ะ
พอเข้าบ้านได้แล้ว  อลิซก็จัดการเดินหาพอลทุกห้อง  ไม่น่าเชื่อว่า  คนอย่างพอลจะจัดบ้านได้เรียบร้อยขนาดนี้  อลิซหาทุกห้องในชั้น 1  แต่ก็หาไม่เจอ  เธอเดินขึ้นชั้น 2  แต่ก็ไร้วี่แววของพอล  และเมื่อเธอพบว่ามีห้องล็อกอยู่ 2 ห้อง  เธอก็ตัดสินใจลองเคาะประตู
ก๊อก  ๆ  ๆ    ก๊อก  ๆ  ๆ  ห้องที่ 1  เคาะเท่าไหร่  ก็ไม่มีคนเปิด
“สงสัยจะไม่ใช่ห้องนี้”
ก๊อก  ๆ  ๆ    ก๊อก  ๆ  ๆ
“อะไรกัน  พอลไม่อยู่จริงๆหรอเนี่ย”
“หรือว่า  พอลรู้ว่าเรามา  แล้วจะแกล้งเรา”
อลิซคิดหาวิธีเข้าห้องที่ล็อกอยู่  เธอไม่ใช้วิธีดัดเหล็กแล้ว  เพราะมันจะเสียเวลา
ก็อง  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  ๆ  นาฬิกาดัง  บอกว่าตอนนี้  เที่ยงคืนแล้ว 
“เอ่อ  รู้แล้วพอลมีมือถือนี่”
“ถ้าโทรแล้วเสียงดัง  แสดงว่า  พอลอยู่ในบ้านนี้”  ว่าแล้วอลิซก็ลองกดโทรศัพท์มือถือ  เพื่อโทรหาพอล     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น