ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Au Fic KHR } Android's Assassin : My Sin Against God

    ลำดับตอนที่ #5 : ◤My Sin Against God : Daughter Of God's Way◢

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 56


    My Sin Against God : Daughter Of God's Way

    เพราะเหตุใด ตัวเธอจึงได้มาอยู่ที่แห่งนี้

    อาแล้วเพราะเหตุใดตัวฉันจึงได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้กันล่ะ

    หากเราทั้งสองได้มาพบกันในที่ที่ดีกว่านี้ก็ดีสิ

    จะได้ไม่ต้องมาพานพบกับสิ่งที่น่าเศร้าใจเยี่ยงนี้

     

    บทเพลงที่บรรเลงเป็นท่วงทำนองอันอ่อนหวานหากแต่หากนักแน่นได้ถูกจารึกเอาไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเธอได้มาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าจะเก่าแล้วก็ตาม หากแต่สภาพของหนังสือก็ยังคงสภาพเดิมเหมือนอย่างที่เคยได้มาในวันแรก เป็นหนังสือที่เธอทะนุถนอมอย่างดี อีกทั้งยังคอยเช็ดไม่ให้หนังสือเล่มนี้มีฝุ่นเกาะแม้แต่นิดเดียว

     

    หนังสือเล่มนี้มีความหมายกับเธอพอตัวเองเลยล่ะ เป็นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘ Promise Vow ’  เป็นหนังสือที่ทำขึ้นมาอย่างปรานีต งดงาม หน้าปกสีน้ำตาลเข้มราวกับสีของเปลือกไม้หอม ตัวหนังสือสลักด้วยตัวบรรจงสีทองเป็นประกาย ที่บรรยาย

     

     

    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสตรีผู้หนึ่งซึ่งมักที่จะมองไปยังท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาล หญิงสาวผู้นั้นก็ได้พบกับบุรุษชายแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าที่ขรุขระและอัปลักษณ์ยิ่งนัก ผิดกับเธอที่เป็นหญิงสาวผู้เลอโฉมงดงามทำให้ใครต่อความพากันหลงใหลในรูปลักษณ์อันเย้ายวนเสน่หา ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยถามหญิงสาวว่า

     

    เหตุใดจึงเฝ้ามองไปที่ท้องฟ้าตลอดเล่า แม่นาง

     

    เขาถามเธอโดยที่นำผ้าคลุมปกปิดใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์เอาไว้ เพียงเพราะใบหน้าของเขาที่ทำให้ใครต่อใครพากันรังเกียจ และยังทำร้ายเขาเยี่ยงสัตว์เลยก็ว่าได้ การกระทำที่โหดร้ายนี้เขาได้แบกรับเอาไว้คนเดียว หากถามว่าเขาอยากเกิดมาเป็นเช่นนี้ไหม คำตอบคือไม่ ไม่มีใครที่จะสามารถเลือกเกิดได้ดังใจตนปรารถนา

     

    ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะตายไปเสีย รูปลักษณ์ของเขาทำให้เขาเป็นทุกข์ตั้งแต่เขาเกิดมา ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นคิดต่างๆนาๆหญิงสาวคนนั้นก็ตอบอีกฝ่ายโดยละสายตาจากท้องนภามายังชายหนุ่ม เธอไม่มีดวงตาที่เกลียดชังเขาเลยเสียซักนิด ทำให้ชายหนุ่มถึงกับประหลาดใจยิ่งนัก

     

    ท่านคิดว่าคนเราจำเป็นจะต้องมีเหตุผลไปเสียทุกเรื่องเลยหรือ ข้ามองไปยังท้องฟ้าเพียงเพราะความรู้สึกของข้าบอกเช่นนี้ ว่าอยากที่จะมองท้องฟ้าตลอดไปท่านเคยคิดไหมว่าพวกเรานั้นผู้ปกป้องโดยพระผู้เป็นเจ้าและถูกปกป้องโดยท้องนภาน่ะ

     

    หญิงสาวเผยรอยยิ้มบางละไมอย่างอ่อนโยนให้กับชายผู้นั้นพลางใช้นิ้วเรียวกรีดไล้ผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มให้หลุดออกมาจากศีรษะของชายหนุ่ม เธอไม่รังเกียจที่จะสัมผัสเขาเลยซักนิด ตัวเธอในตอนนี้ช่างดูเปล่งประกายราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ หรือเป็นเพราะแสงอาทิตย์ซึ่งส่องผ่านกระทบตัวเธอกันแน่ เขาก็ไม่แน่ใจ แต่ที่ชายหนุ่มมั่นใจคือความคิดที่ต่างจากเดิม เขาอยากที่จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ขอเพียงแค่คิดคำพูดของหญิงสาวคนนี้ หัวใจของเขาก็ค่อยๆได้รับการเยียวยา

     

    แต่ทว่า

     

    วันเวลาที่ดีมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เขาและเธอมักจะมาเจอกันในที่แห่งนั้น หญิงสาวให้สัญญากับชายหนุ่มว่าจะมารออยู่ที่นี้เสมอๆ เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจอย่างมากจึงมาพบหญิงสาวคนนั้นประจำๆมันช่างเวลาที่เขาและเธอมีความสุข ความสุขที่ได้เจอคนที่เข้าใจตน หากแต่ว่าโชคชะตากลับเล่นตลก

     

    ยังไงน่ะหรือเช้าของวันที่ 13 หากนับจากวันที่เขาและเธอมาเจอกันแล้ว ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มๆเลยล่ะ เรื่องราวของวันนั้นเป็นคราที่หญิงสาวได้เดินทางออกจากที่หมู่บ้านเพื่อพบกับชายหนุ่ม ทว่าผู้คนที่ได้รู้ว่าเธอนั้นไปพบกับชายหนุ่มที่ราวกับเป็นตัวนำโชคร้ายให้กับหมู่บ้านจึงได้สังหารเธอ

     

    ระหว่างที่เธอนั้นกำลังเดินขึ้นภูเขา เพื่อไม่ให้เธอคนนั้นพาชายหนุ่มคนนั้นหลับมายังหมู่บ้านอีก ช่างน่าเศร้า ที่ชายหนุ่มดันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเสียได้ เขาทั้งเศร้าโศกที่เสียสตรีที่เขาหลงรักและเคียดแค้นเหล่าคนในหมู่บ้านซึ่งคร่าชีวิตนางอันเป็นที่รักของเขาไป

     

    ไฟแค้นของชายหนุ่มได้ลุกโชนปะทุขึ้นมา บรรเลงสวดส่งบทเพลงแห่งความตายให้กับผู้อื่นเสียให้สิ้น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เหลือใครอีกเลยนอกจากเขากับร่างอันเย็นยะเยือกของหญิงสาวอันเป็นที่รักยิ่ง เขาได้ฝังเรือนร่างสีขาวซีดยังจุดนัดพบอันเป็นคำสัญญาแรกเริ่มที่หญิงสาวมีให้ต่อเขา จุดจบของเรื่องนี้คือชายหนุ่มได้แต่มาหาหญิงสาวทุกๆวันและไม่ลืมที่จะมองไปยังท้องฟ้า เพียงเพราะเชื่อว่าตัวเธอจะมองเขาและปกป้องเขาบนนภาที่แสนจะอบอุ่นนี้

     

    …The End Of PromiseVow…

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    อนาสตาเซียได้ไล้นิ้วไปที่หน้ากระดาษบางหน้าสุดท้ายก่อนที่จะปิดมันลงเบาๆด้วยความนุ่มนวล สายตาคู่งามได้จดจ้องไปที่หนังสือเล่มโปรดอย่างไม่เข้าใจเสียเท่าไหร่ เธอมักจะตั้งคำถามหลายข้อในหัวของเธอเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบว่า ทำไมต้องมีการเกลียดชัง ทำไมต้องมีความโกรธแค้น และทำไมชายหนุ่มผู้นั้นจึงยอมทำเพื่อสตรีสาวขนาดนั้น หลากหลายคำถามปะปนและวนเวียนซ้ำไปซ้ำมารางกับการกรอหนังเรื่องหนึ่งซ้ำไปซ้ำมานั้นแล

     

    “….ความรักที่สามารถทำให้ เพื่อใครซักคนได้งั้นหรอ

     

    เสียงหวานทุ้มนุ่มละมุนละไมกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันชัดเจน เธอปิดเปลือกตาบางสวยเอาไว้พลางหยุดความคิด ซึ่งในตอนนี้มันตีกันจนวุ่นวายเสียเหลือเกิน เธออยากที่จะได้คำตอบในเร็ววัน และหวังว่าการที่พระผู้เป็นเจ้าตั้งแบบทดสอบให้จะนำเธอไปสู่คำตอบอันยากเกินไขได้ เวลาซึ่งล้วนแต่เดินหน้าต่อไปจักนำเธอไปสู่หนทางแห่งการตัดสินที่ยากยิ่ง แต่นั่นคือหน้าที่ของกาลเวลา หน้าที่ที่จะคอยเดินหน้าต่อไป ไม่มีวันที่จะเดินย้อนกลับ ส่วนหน้าที่ของเธอ ก็คงจะทำได้แค่เลือกเส้นทางที่คิดว่าถูกที่สุดบนหนทางที่พระเจ้ากำหนดมาให้

     

    หลังจากที่ได้สงบอารมณ์และความคิดแล้ว อนาซตาเซียจึงได้จัดกระเป๋าขนาดกลางซึ่งสามารถเตรียมอุปกรณ์อะไรต่างๆได้ในยามฉุกเฉิน เธอมักที่จะรอบคอยเยี่ยงนี้เสมอว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สิ่งที่เธอนำไปด้วยก็คงไม่พ้นหนังสือเล่มโปรดของเธอและหนังสือที่เธอเพิ่งซื้อมา เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์โดย ‘Pandora alice’

     

    เธอชื่นชอบผลงานของคนนี้อย่างมาก แต่เพราะเหตุใดก็ไม่รู้ นักเขียนคนนี้ได้หายตัวสาบสูญไป ทิ้งแต่หนังสือนวนิยายเล่มสุดท้ายเอาไว้อันมีนามว่า My Sin Against Godแต่ว่าเรื่องนั้นมีเพียงเล่มเดียวในโลกนี้ซึ่งได้ถูกเผาเป็นจุลไปพร้อมกับร่างของนักเขียนคนนั้น ทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นร่างของนักเขียนคนนั้นเลย

     

    คิดแล้วนึกเสียดายขึ้นมาเล็กๆ เพราะว่าอนาสตาเซียชอบคนเขียนคนนี้เอามากๆ ทั้งรูปแบบภาษาและการเรียบเรียงคำออกมาได้สละสลวยอย่างมาก แม้ว่ามันจะยังออกมาไม่ดีเท่าที่ควรในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเธอมันออกมาได้ดีมากเลยล่ะนะ เธอสะสมผลงานของนักเขียนคนนี้เอาไว้หลายเล่มทีเดียว เป็นผลงานที่ส่อถึงความรู้สึกที่ปวดลึกได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ ความรู้สึกที่สื่อผ่านตัวหนังสือออกมาเป็นตัวกลางช่างละเอียดละออทีเดียวเชียว

     

    หลังจากนั้นไม่นานนักอนาซตาเซียก็ได้จัดกระเป๋าสัมภาระของเธอเสร็จสิ้น ในมือของเธอถือตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ตเอาไว้ ดวงตาจับจ้องไปที่สิ่งของในมืออย่างเลื่อนลอย เธอนั้นได้ย้อนนึกถึงคำพูดของหญิงสาวปริศนาทั้งสองซึ่งเอื้อนเอ่ยกล่าวถ้อยคำอย่างชัดเจน หากแต่เป็น คำพูดที่เธอไม่อาจเข้าใจได้เลย คำพูดที่ว่า

     

    All things that we've got are all things that we've paid for

     

    ยิ่งคิดเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นพร้อมที่จะเดินทางไปยังสนามบิน เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงสตรีสาวก็ได้มาถึงยังสนามบินอันกว้างใหญ่กว่าที่บรรยายในนวนิยายเสียอีก แม้ว่าจะดูน่าตื่นเต้นสำหรับคนที่มาไม่กี่ครั้ง แต่สำหรับอนาซตาเซียแล้ว มันเป็นเรื่องที่ธรรมดาเสียจนไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น

     

    ย่างก้าวสู่ตัวเครื่องบิน นั่งตามที่นั่งที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้า สำหรับการขึ้นเครื่องบินหากไม่อยากหูอื้อล่ะก็ วิธีที่ดีที่สุดคือการเกลี่ยหูเสียก่อน ใช่แล้วเธอคนนี้ก็เกลี่ยหูด้วย ไม่นานนักมือเรียวยาวได้หยิบหนังสือที่เตรียมเอาไว้มาอ่านเพื่อฆ่าเวลา สายตาซึ่งจดจ้องไปยังตัวหนังสืออย่างตั้งใจ ทำให้คนที่แอบหันมามองอย่างบังเอิญหลงใหลในมนต์ความงามนี้

     

    จงระวัง…”

     

    เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในโสตประสาทของเธออย่างจัง เสียงนี้ผิดต่างจากที่เคย หรือว่าคนที่มีหน้าที่นำทางเธอจะไม่ใช่เพียงหญิงสาวปริศนาทั้งสอง?

     

    ลึกลงไปในพรมแดนแห่งพฤกษาศาสตร์ พรรณไม้หอมนานาชนิดมีให้เลือกสรร หากแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ดึงดูดใจของเจ้า จัดเป็นราชินีของเหล่ามวลดอกไม้ทั้งปวง ลึกลงไปสู่พื้นดินอันมืดสนิท เจ้าจะเจอสิ่งที่เป็นแบบทดสอบหลักของเจ้า ปละคำเตือนสุดท้าย คือจงระวังพิษแม้นว่าพิษนี้จะทำให้เจ้าเข้าใจความหมายที่พระเจ้าท่านประทานให้ หากแต่ถ้าให้พิษนี้แล่นเข้าสู่หัวใจล่ะก็เจ้าจะเจ้าจะ…”

     

    เสียงของหญิงสาววัยราวๆเดียวกับเธอได้เอื้อนเอ่ยออกมาซึ่งน้ำเสียงอันนุ่มทุ้มกังวานไปทั่ว ทว่าเสียงกลับตัดจบไปเสียดื้อๆ ทำให้เธอมิอาจรู้เลยว่าหากพิษนั้นแล่นเข้าสู่หัวใจของเธอจะเป็นเช่นไร คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างไม่ขาดสาย แต่ต้องสะดุดชะงักเพราะเสียงของแอร์สาว

     

    เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ท่านได้มาถึงยังจุดหมายแล้ว ขอต้อนรับเข้าสู่ ที่ราบสูงครักซิฟิโอได้โปรด..ปะ..โปรด..’

     

    ภาพทั้งหมดรอบข้างของอนาซตาเซียหยุดนิ่งและถูกดูดกลืนเข้าไป ผู้คนที่โดยสารมากับเธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงเธอที่นั่งอยู่กับหญิงสาวปริศนาทั้งสอง เดินเข้ามาราวกับว่าจะสื่ออะไรบางอย่างกับเธอ แต่ไม่ทันที่จะพูดอะไร หญิงสาวทั้งสองก็หันหลังกลับไปเสียแล้ว นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกอนาซตาเซียว่าให้ตามพวกเธอไปอย่าไม่รีรอ แต่สิ่งที่ทำให้สตรีสาวตกตะลึงคือเมื่อก้าวลงจากตัวเครื่องบิน แทนที่จะเป็นสนามบินกลับกลายเป็นทางเข้าประตูคฤหาสน์ไปเสียอย่างนั้น อนาซตาเซียพอรู้ว่าตนนั้นจักต้องไปที่ไหน เธอหันหลังกลับมาหาหญิงสาวปริศนาทั้งสองก่อนที่จะเอ่ยกล่าวคำขอบคุณอย่างนอบน้อม หญิงสาวทั้งสองได้ชี้ไปที่สวนหลังคฤหาสน์พร้อมกับเอ่ยด้วยวาจาที่ราบเรียบว่า

     

    ไปจงไปซะสู่บททดสอบของพระผู้เป็นเจ้า

     

    เพียงเสี่ยววินาทีที่อนาซตาเซียกระพริบตาลง หญิงสาวก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยมีครา ในใจคิดว่าทั้งสองนั้นช่างเป็นสตรีที่น่าลึกลับและน่าขนลุกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรพร้อมกับก้าวเดินต่อไปยังสวนดอกกุหลาบ นั่นถูกทิ้งรกร้างเอาไว้มีทั้งหญ้าซึ้งขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงการที่ไม่ได้รับการดูแลมานานพอตัว ทว่า ดอกกุหลาบสีแดงและสีน้ำเงินก็ได้ผลิบานขึ้นมา ไม่มีวี่แววว่าจะเหี่ยวเฉาเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจคือดอกกุหลาบสีน้ำเงิน เธอก็เคยได้ยินอยู่หรอกว่ามันเคยมีการเพาะพันธุ์ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน แต่ก็ไม่สำเร็จจึงออกมาได้แค่ดอกกุหลาบสีม่วง..แปลก..แปลกเหลือเกิน

     

    เพราะเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าทำขึ้นมายังไงเล่าลูกรัก

     

    เสียงดังกึกก้องไปทั่วโสตประสาตของหญิงสาว เสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนและอบอุ่นเช่นนี้ พระเจ้านั่นเอง บุคคลที่เป็นพ่อของผู้คนทั้งโลก บุคคลที่ให้กำเนิดทุกสิ่งสรรพ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ หรือมนุษย์คนแรกของโลก คำตอบที่ท่านให้นั้นทำให้อนาซตาเซียพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง

     

    นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะล่ะสิโลกนี้ยังมีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยสนองความต้องการของตนเองอีกสินะก็นะ มันเป็นปกติของมนุษย์นี่ ไม่แปลกเท่าไหร่

     

                อนาซตาเซียคิดไปพลางเดินไปรอบๆตัวสวนกุหลาบสองสี เธอเดินไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบอะไร ทำให้เธอคิดในใจขึ้นมาว่ามันจะมีจริงๆหรอสิ่งที่เป็นแบบทดสอบของเธอ แม้ว่าจะมีจริง แล้วมันอยู่ที่ใดล่ะ คิดเช่นนั้นแล้วก็เดินต่อไป หลายต่อหลายรอบ ทำให้เวลาผ่านไปแล้ว ผ่านไปอีก แต่ก็ไร้ร่องรอย จนกระทั่งเธอเหยียบเข้าให้กับกระดาษใบเล็กซึ่งเขียนเอาไว้ว่า

     

    อย่าได้หาในสิ่งที่ตามองเห็น ณ ตอนนี้ และจงอย่าได้หาในที่ที่แสงอรุณส่องไปถึง

     

    ไม่ให้หาในที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึง….ที่ไหนล่ะที่ที่อาทิตย์ส่องไปไม่ถึงตัวคฤหาสน์งั้นหรอ..ไม่ใช่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมต้องให้ฉันมาหาที่แห่งนี้ด้วยเล่า..’

     

    หญิงสาวหลับตาลงใช้ความคิดทั้งหมด ในที่ที่แสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง มันจะมีหรอ หากมีคงเป็นที่ที่อับน่ากลัว..แต่คาดได้เลยว่าไม่ใช่ในตัวคฤหาสน์แน่นอน หรือจะเป็นพุ่มกุหลาบ..ไม่ใช่ความคิดตื้นเขินเสียเหลือเกินเพราะยังไงเสียแสงก็สามารถลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้านกับใบไม้ได้อยู่แล้วถ้าหากไม่ใช่บนดินคำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว! ใต้ดินยังไงล่ะ! เมื่อหญิงสาวคิดเช่นนั้นจึงรีบหาวิธีที่จะลงไปข้างล่าง แต่มันจำทำเช่นไรล่ะ

     

    หรือว่ามันจะเป็นความคิดที่ผิดแล้วเช่นนั้นจะมีที่ไหนได้อีกเล่านอกจากใต้ดินที่สวนแห่งนี้ ขณะที่ครุ่นคิดอีกคราก็ได้มีสายลมพัดมาอย่างรุนแรงทำเอาอนาซตาเซียต้องจับกระโปรงของตนเองเอาไว้ เมื่อเธอสังเกตทิศทางของลมที่แปลกไป เพราะว่าพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้เป็นวันที่แดดร้อนจัดอีกทั้งแม้ว่าที่ราบสูงจะมีอุณหภูมิต่ำแต่มันไม่น่าที่จะมีลมพัดมากระทันหันหรือรุนแรงได้เท่านี้..เมื่อเธอคิดเช่นนั้นจึงเดินทางทิศทางของลมไปโดยมีใบไม้ช่วยบอกว่าทิศทางลมไปทางไหน จึงง่ายในการตามหา

     

    ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งเจอต้นไม้เยอะแยะมากเสียจนทำให้อนาซตาเซียเดินลำบาก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อเธอแม้แต่น้อย ด้วยรูปร่างที่ผอบบางทำให้เธอสามารถลอดผ่านช่องว่างของต้นไม้ซึ่งเบียดเสียดได้ ไม่นาน เธอก็ได้พบสวนเดิม..แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปคือมีต้นไม้ใหญ่อยู่กึ่งกลางของบริเวณกว้าง เป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านอย่างงดงาม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็จะมีโพรงใหญ่ พอที่จะให้คนผ่านเข้าไปได้ ใช่ในโพรงนั้นเป็นโพรงที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปไม่ถึง

     

    หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปในโพรงนั้น เมื่อเดินเข้าไป สิ่งแรกที่จินตนาการเลยคือต้องเป็นที่ที่ทำให้เธอมองไม่เห็นอย่างแน่นอน ..ผิดถนัด..เพราะว่าข้างในเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีรูปร่างคล้ายโคมไฟข้างในนั้นมีของเหลวซึ่งส่องแสงได้อย่างมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิดเยี่ยมเลยในความคิดอนาซตาเซีย อีกทั้งโคมไฟนั้นได้นำพาเธอไปยังที่โล่งไม่ต่างจากเมื่อสักครู่เลย แต่เหตุไฉนมันจึงสว่างราวกับมีแสงอาทิตย์ส่องอยู่ภายใน ทั้งๆที่ไม่มีกระทั่งช่องทางให้แสงลอดเข้าผ่านเลยแม้แต่น้อย ด้วยความสนใจกับสิ่งแปลกใหม่ ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจกับบริเวณโดยรอบสายตาของเธอก็ได้จับจ้องไปตรงสิ่งที่คาดว่าคือโลงศพของคน มันมีความน่าดึงดูดอย่างไรน่หรือ เพราะว่ามันมีหนามของกุหลาบพันเอาไว้รอบ และยังมีดอกกุหลาบบานสะพรั่งเป็นสีน้ำเงินล้อมรอบ มีเพียงดอกกุหลายสีแดงดอกเดียวเท่านั้นที่อยู่ตรงกึ่งกลางโลงศพนั้น หน้าโลงศพมีหินแกะสลักตัวอักษรภาษาโบราณซึงเก่าแก่ ไม่มีใครที่อ่านมันออกนอกจากลูกหลายสืบสายเลือด รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันมันเขียนเอาไว้ว่า

     

    ความฝันจากที่ที่แสนห่างไกลได้สิ้นสุดลง

    ม่านดวงตาที่ปิดไป ก็แค่รอเวลาที่จะตื่นขึ้นมา

     

     

     

     

    …TBC…

    BlackForest✿
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×