คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ◣ Chapter 1 ◥
ณ อณาจักรไซริส เซอร์เรน ว่ากันว่าประเทศนี้นั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ซึ่งเลื่องชื่อด้านการขนส่งทางน้ำและด้านอัญมณต่างๆ ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นประเทศที่ไม่มีคู่แข็งทางการค้าเลยแม้อต่รายเดียว เพราะประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้านั้น มักจะเจออุบัติเหตุทางเรือบ่อยๆ
บ้างก็บอกว่าม่านหมอกหนาและมีโขดหินเยอะจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ บ้างก็เล่ากันว่า มีหญิงสาวมานั่งร้องเพลงที่น่าหลงใหล เมื่อเรือแล่นตามเสียงหญิงสาวไปก็ชนเข้ากับโขนหินจนเรือแตกไปในที่สุด
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเมื่อเรือแตกจมลงกับผืนมหาสมุทรและม่านหมอกได้จางหายลงไป ไม่ค้นพบโขดหินที่ว่าเลยแม้แต่น้อย ทำให้ลือกันว่าหากใครที่ได้เป็นคู่แข่งทางการค้าของ ‘ไซริส เซอร์เรน’ จะต้องพบกับอุบัติเหตุนี้และเสียผมกำไรทางการค้า
จวบจนวันนี้ไซริสเ ซอร์เรน ยังเป็นปณาจักรที่ทำรายได้ทางการค้า ซึ่งเป็นที่ต้องการของหลายๆประเทศอีกด้วย เป็นสิ่งที่ทำให้ข่าวลือนี้ยิ่งแพ่กระจายไปยังเหล่าของนักล่าอมุษย์ทุกคนอีกด้วย และคนที่รับหน้าที่มาดูลาดเลาที่อณาจักรแห่งนี้คือชายหนุ่มที่มีความสามารถด้านการวางแผนและมีความสามารถในหลายๆด้าน ‘เดม่อน เสปด’ นั่นเอง
กลับมาที่อณาจักรไซริส เซอร์เรนกัน ยามเช้าตรู่ของประเทศนี้จะมีม่านหมอกจางๆและหยาดน้ำค้างที่ไหลกระทบแสงของดวงอาทิตย์จนเกิดประกายแสงที่งดงามหาดูได้ยาก ใครต่อใครต่างหลับไหลยังไม่ตื่นเพราะบรรยากาศหนาวเย็นที่น่านอน แต่ก็ยังมีกลุ่มคนซึ่งอยู่ในปราสาทต่างตื่นขึ้นมาจัดงานฉลองวันครบรอบอายุยี่สิบปีขององค์หญิงคนเดียวของจักรพรรดินี กันให้ถ้วนหน้า
งานนี้เป็นงานที่เรียกว่าเฉลิมฉลองวันเกิดและวันเลือกคู่ขององค์หญิงคนนี้เลยก็ได้ เจ้าชายและขุนนางระดับสูงๆต่างพาลูกชายของตนมาเพื่อที่จะสมรสกับองค์หญิงองค์นี้ให้ได้ แม้ว่าจะไม่เคยมีใครได้เห็นหน้ามาก่อน หากแต่ถ้าวิเคราะห์จากใบหน้าของราชินีกะอจะดูได้ว่าควางามที่ดูอ่อนเยาว์นั้นต้องถูกสืบทอดลงมาถึงบุตรสาวอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นจึงพาลูกชายของตน เพื่อที่ว่าจะได้มีหวังถูกเลือกเป็นคู่สมรส
หากแต่มันไม่ง่ายเลยในการที่จะทำให้องค์หญิงคนนี้ยอมรับคนอื่นได้ แน่นอนว่าทั้งสิบปีหลังจากที่องค์หญิงได้ประสูติมานี้ก็ไม่มีแววว่าจะเลือกใครเลย สิบปีมานี้ใครต่อใครก็รับประทานแห้วไปตามๆกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังที่จะฝากฝังลูกชาย เผื่อว่าองค์หญิงจะสนใจในตอนโตบ้าง ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรน่ะหรือ...’ไม่มีใครซักคนที่จะครองใจองค์หญิงองค์นี้ได้เลย’
“ลูกแม่ ...ไม่คิดที่จะออกไปดูหน้าสามีในอนาคตหน่อยหรือ...” เสียงอันอ่อนโยนของผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมาอย่าเป็นห่วงเล็กๆ
“ลูกไม่คิดที่จะแต่งกับชายหนุ่มละโมบโลภมากพวกนั้นหรอกนะท่านแม่...ลูกจะปกครองอณาจักรด้วยตัวของลูกเอง...”
คำพูดที่ออกมาจากปากของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเขียวมรกตออกสีครามเล็กน้อยสดใสกระจ่างราวกับผืนทะเลที่สดใสไม่ปานกันเลยทีเดียว ดวงตาที่นิ่งสงัดเย็นยะเยือกหากแต่ก็มีเสน่ห์สะกดใจใครต่อใครเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว รูปร่างที่โค้งเว้ายั่วยวนใจบุรุษชายได้เป็นอย่างดี หญิงที่ครองความงามราวเทพีแห่งความงามไว้ครอบครองเป็นใครไปไม่ได้ องค์หญิงรัชทายาทรุ่นที่ 8 แห่งอณาจักรไซริส เซอร์เรน นามของเธอคือ “เมโลเดีย ไฮเดรนเยีย มิราเบลล่า” แห่งตระกูลมิราเบลล่า เดอ ไซริส เซอร์เรน นั่นเอง
“แม่เชื่อว่าซักวัน...ซักวันลูกจะเจอคนที่ทำให้ลูกหลงรักได้ คนที่ยอมรับว่าลูกคือลูก เผ่าไซเรนที่ใครต่อใครพากันรังเกียจ”
“....ไม่มีวันหรอกค่ะ...จากนี้และตลอดไป”
“ตามใจลูกแล้วกันนะ แต่ยังไงแม่ก็เชื่อแบบนั้นอยู่ดี”
“ท่านแม่เคยบอก...ว่าเราต้องมีจิตใจที่เยือกเย็นและกัดฟันสู้อย่างสง่างามมิใช่หรือ...”
“ใช่แล้ว..แต่แม่มิได้บอกว่าลูกต้องปิดกั้นตัวเองเช่นนี้..”
บทสนทนาของทั้งสองเริ่มต้นขึ้นจากเรื่องราวเล็กๆของทุกปี ซ้ำรอยเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงของทั้งสองดังกึกก้องไปทั่วบริเวณทำให้เสียงเล็ดลอดไปยังข้างนอก เรียกความสนใจจากฝ่ายคนรับใช้ที่กำลังเตรียมงานอยู่ได้ไม่ยาก
เมื่อบทสนทนาของทั้งสองได้จบลง เมโลเดีย ก็ได้เก็บตัวอยู่ในห้องรอเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นเวลาที่ท่านแม่ของเธอตั้งเงื่อนไขเอาไว้ เงื่อนไขที่ว่า ‘หากวันนี้ไม่ลงมาดูคู่แต่งงานในอนาคตของลูก แม่จะย้ายลูกไปอยู่กับบุตรชายของท่านลูเซียสเสียเลย’
ลูเซียสที่ว่านี้นั้นมีรูปร่างที่สูงโปร่ง รูปร่างสมชายชาตรี อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อคมคายละลายใจสตรีผู้ได้มาพบเห็น เพียงแค่ว่าบุรุษชายคนนี้มีนิสัยที่เจ้าชู้และชอบฉวยโอกาศเป็นอย่างมาก จึงทำให้สาวที่เป็นคู่หมั้นใจสลายไปตามๆกัน สิ่งนี้ที่ทำให้เมโลเดีย ไม่สิ..มิราจนั้นไม่อยากจะมองแม้แต่อย่างน้อย
‘เมโลเดีย ไฮเดรนเยีย มิราเบบล่า’ เธอนั้นมีชื่อเล่นที่ว่า ‘เดนเยีย’ เป็นชื่อที่ท่านพ่อซึ่งเสียไปแล้วนั้นตั้งไว้ให้ก่อนที่จะล้มป่วย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าความหมายที่แฝงเอาไว้นั้นคืออะไรอยู่ดี ‘ปริศนาของท่านพ่อ’ เป็นปริศนาที่เธอทำขึ้นมากับพ่อของตัวเธอเอง น่าแปลกที่ความทรงจำเลือนลางอย่างมาก ทำให้เธอไม่รู้ว่าอะไรคือกุญแจไขปริศนานี้
ก๊อก ก็อก ก๊อก!!
เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้องของมิราจ เธอหันไปมองอย่างพินิจก่อนที่จะเอ่ยคำพูดที่ว่า
“ใครน่ะ..?”
“จำฉันไม่ได้รึไงเพื่อนรัก”
“หืม...ทาร่าหรอ”
“กว่าจะรู้ตัวนะเธอน่ะ เลวิซน้องชายฉันก็มาด้วยนะ กะว่าจะมาเป็นคู่แต่งงานของเธอในวันนี้ล่ะมั้ง ฮ่ะๆ”
“ฮ่ะๆ พี่ล่ะก็ ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นหรอกครับคุณเมโลเดีย ผมมาเพราะจะอวยพรให้พบคู่ที่ถูกใจต่างหาก”
“ชิ..ทำเป็นพูดดี ใครกันที่เอาแต่เพ้อถึงเดนเยียล่ะ??”
“….”
เสียงของพี่น้องทะเลาะกันเสียงดังมากจนทำให้บุคคลที่อยู่ข้างในอย่างมิราจนั้นต้องถอนหายใจเลยทีเดียว พลางนึกคิดว่า คู่สองพี่น้องนี้ไม่ได้ต่างจากเดิมไปเลยเสียจริงๆ
“เข้ามาสิ...”
แอ๊ด~
“สวัสดีครับคุณไฮเดรนเยีย”
“...สวัสดีเลวิซ”
เสียงของเลวิซดูอ่อนโยนขึ้นมาในทันใดราวกับว่าเมื่อเจอกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ราวกับว่าจะถูกมนสะกดจนหลงโงหัวไม่ขึ้นไม่ปานเลย เหตุที่เลวิซไม่กล้าเรียกเธอว่ามิราจได้ เพราะว่าเลวิซต้องการที่จะทิ้งระยะความสนิทชิดเชื้อเอาไว้ แน่ล่ะ เดรนเยียไม่ชอบผู้ชายแม้แต่คนเดียว และไม่ชอบใครนอกจากคนที่เธอสนิทด้วยเท่านั้น แต่กระไรเสียเลวิซก็ไม่กล้าเรียกเดรนเยียได้เลย ความเขินอายและความในใจที่มีต่อมิราจนั้นมากขึ้นเรื่อยๆจนเขายังไม่แน่ใจเลยว่าจะยั้งความรู้สึกนี้ได้ไหม...
“ว่าแต่วันนี้เธอจะเลือกใครล่ะ มีลูกขุนนางระดับสูง รวมไปถึงเจ้าชายจากต่างแดนเชียวนะ”
“...จะให้ฉันบอกเธอทุกสิบปีเลยรึไง? ว่าฉันน่ะไม่คิดที่จะเลือกใครทั้งสิ้นน่ะ...”
“ว้า~แบบนี้น้องชายฉันก็หมดสิทธิ์น่ะสิ”
“….”
“...ใช่..ฉันไม่คิดที่จะรักใครทั้งสิ้น...แม้แต่เธอเลวิซ..เธอไปหาคนที่ดีกว่าฉันเถอะนะ..ฉันน่ะมันไร้หัวใจ..”
“ไม่ว่าจะยังไง...ผมก็จะรอนะครับ”
ยิ่งพูดยิ่งทำให้บรรยากาศยิ่งหม่นหมองมาคุขึ้นเรื่อยๆ เลวิซได้เพียงยิ้มอย่างเศร้าสร้อย เจารู้อยู่แล้วว่ารักนี้มิอาจสมหวัง แต่ก็มิอาจที่จะตัดใจลงจากเธอผู้นี้ได้ แม้ว่าเธอผู้นี้จะเป็นปีศาจหรือใครจากไหน หัวใจของเขาก็หยุดที่เธอคนนี้เสียแล้ว
ทั้งสามคนเปิดบทสนทนากันมาหมายทำให้เวลานั้นผ่านไปเร็วอย่างน่าตกใจ เวลาที่ใครต่อใครนั้นรอคอย หากแต่ไม่ใช่ไฮเดรนเยียอย่างแน่นอน เธอได้แต่จำใจลงไปเพียงแค่ว่าทำตามเงื่อนไขเอาไว้ ภาวนาให้มีใครซักคนพาเธอออกจากเรื่องราวซ้ำๆตลอดสิบกว่าปีที่เธอทนมาตลอด กัดฟันสู้อย่างเยือกเย็น ตามคำสอนของท่าแม่
เลวิซและพี่สาวของเขาทาร่าได้ออกจากห้องเพื่อลงไปพบปะกับคนอื่นๆ พลางรอให้มิราจนั้นแต่งตัวเสร็จแล้วนั้นเอง ผมที่สีเขียวครามถูกปล่อยสยายลงมาอยู่ในระดับสะโพกกลมมนของเธอ ชุดที่ใส่คือชุดสีอ่อนครีมโรส ยาวลงมาที่ระดับเขาของเธอ ชุดที่ดูเรียบง่ายมีระบายเล็กน้อย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเครื่องประดับเพชรพลอยหายากประดับเอาไว้เพียงแต่ไม่มากมายให้ดูรก
หญิงสาวเดินลงมาจากห้องชั้นบนไล่ลงถึงบันได เสียงไวโอลิน เปียโน และเครื่องดนตรีต่างๆประสานเสียงราวกับว่ารู้หน้าที่ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวคนเดียว สายตาที่มองมาทที่มิราจ เป็นสายตาที่ราวกับว่ากำลังอยู่ในมนสะกดของหญิงสาวผู้นี้
“งดงามเหลือเกิน”
“ลูกของท่านนี่ราวกับอัญมณีที่ถูกเจียระไนมาอย่างดีจริงๆนะครับท่านโมน่า”
“ใช่แล้วค่ะ ท่านโมน่าลูกสาวของท่านงดงามกว่าหญิงใดในโลกนี้ก็ว่าได้นะคะ”
“แหม...พูดแบบนี้ดิฉันก็เชินแย่สิคะ”
เสียงชมความงดงามที่ราวกับเทพธิดานั้นดังกึกก้องไปทั่วงาน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มิราจนั้นตื่นเต้นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงใบหน้าที่เย็นยะยเอกมีเสน่ห์ และใบหน้าซึ่งปราศจากรอยยิ้มอันสดใสที่หญิงสาวควรมี เธอคนนี้ไม่คิดที่จะยิ้มให้ใครนอกจากคนที่เธออยากจะยิ้มให้เท่านั้น!!
เมื่อไฮเดรนเยียลงมาถึงตัวห้องโถงแล้วงานเฉลิมฉลองจึงได้เกิดขึ้น เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีประสานหลอมรวมเข้ากันเป็นอย่างดี ผู้คนต่างสนุกสนานกันอย่างมาก มีเพียงมิราจเท่านั้นที่ไม่คิดที่จะสนุกไปด้วยเลย งานที่ซ้ำกันราวๆสิบกว่าปีทำให้เธอรู้สึกเฉยชาไปเสียแล้ว ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปก็มีชายหนุ่มชุดสีดำยาวลงมา ผมสีไพรินยาวลงมาไซร้ที่ลำคอ ดวงตาเฉดสีเดียวกับเรือนผม ทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้ใครต่อใครต่างจำเขาได้ดี ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายเดินเข้ามาก่อนที่จะมองไปรอบๆอย่างพินิจพิจารณา
“ท่านเป็นใครกัน ทหาร!! ทหาร!!”
“หยุดก่อน ข้าคือคนจากศาสนจักร มีนามว่า ‘เดม่อน เสปด’ เรามาที่นี้เพราะได้ยินว่าณาจักรแห่งนี้มีไซเรนอยู่”
“วะ..ว่าไงนะ”
“ไม่จริงน่า!!”
“จะมีไซเรนในที่นี้จริงหรือ! หากเจ้าพูดแบบนี้ราวกับว่าลบหลู่ฉันนะ!”
“นุฟุฟุ...ข้าจะแสดงให้ดู”
TBC..
ความคิดเห็น