คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2 เสี้ยวสายสวาท
เขาว่ากันว่า... สถาบันครอบครัว... คือสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด...
รองเท้าส้นเข็มสีดำเงาหลายคู่วางเรียงกันอยู่ริมผนังสีสกปรก... คู่ท้ายสุดของกำแพงเมืองจีนนั้นล้มอยู่อย่างไม่มีระเบียบ... กุญแจสีเงินหลายออกวางทิ้งอยู่บนโต๊ะที่กองล้นไปด้วยแผ่นเอกสารสีขาว... ดอกสุดท้ายของเหล็กลอดช่องนั้นวางหมิ่นเหม่กำลังจะร่วงลงมาสู่พื้น... เสื้อหนังชนิดรัดรูปหลายตัวแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าสีเทาที่ประตูผุพังของมันเปิดอ้าให้เห็นสิ่งที่แขวนอยู่ภายใน... ตัวสุดท้ายของคราบนางพญากองเป็นขยะอยู่บนฐานตู้อย่างไร้ซึ่งการดูแล... ลิปสติกสีจัดจ้านหลายแท่งกลิ้งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นไม้ที่บวมเกยขึ้นเพราะความชื้น.... แท่งสุดท้ายของปลายประโลมโลกไหลมาสัมผัสปลายเท้าของหญิงนางหนึ่งที่กำลังทอดกายยาวอยู่บนฟูกบางๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง... เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ...
ชาล็อต ควินเนอรอสวูดค่อยๆลุกขึ้นจากท่านอน หญิงสาวยันตัวเองนั่งก่อนที่จะสะบัดศีรษะอย่างแรงเหมือนประหนึ่งจะเหวี่ยงไล่ความวุ่นวายทั้งหมดให้กระเซ็นออกสลายไปจากชีวิต... แต่มันก็มิอาจจะทำได้ผลถึงเช่นนั้น... เธอค่อยๆยืนขึ้นเต็มตัว สองเท้าเปลือยเปล่าอันไร้ซึ่งอาสนะขัดมันรองรับได้สำผัสกับพื้นไม้อันเย็นระเยือก ก่อนที่ส้นหลังของมันจะยกขึ้นส่งแรงก้าวออกไปเบื้องหน้า นำพาร่างโทรมๆของเจ้าของเขยื้อนหน้า... ชาล็อตค่อยๆเดินตรงไปยังวัตถุหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมห้อง ก่อนที่จะคว้าประตูของมันแล้วเปิดออก แสงสีส้มจากภายในสาดจ้ากระทบร่างของตัวเธอเอง... กระป๋องโลหะสีเขียวเกือบสิบกระป๋องตั้งเรียงอยู่ภายใน
มือข้างหนึ่งของนายหน้าสาวคว้ากระป๋องดีบุกนั้น ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นแงะวงแหวนสลักได้เปิดผนึกของเหลวภายในออก ก่อนที่จะใช้มือข้างแรกยกมันขึ้นสูง แล้วเทกระแสสินธุ์นั้นลงคออย่างกระหาย สายหยาดเล็กๆของมันกระเซ็นลอดจากช่องปากออกมาไหลเยิ้มมาปะทะเสื้อที่หล่อนสวมอยู่จนเปียกเป็นทาง...
อย่างน้อยๆ... น้ำนี่ก็ทำให้ฉันลืมเรื่องพวกนั้น...
พร้อมกับกระป๋องเบียร์ที่ยังถือค้างอยู่ในมือ ชาล็อตค่อยๆก้าวเท้าไปด้านหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างของตนไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจกเงาที่แขวนติดอยู่บนผนัง
ดูสารรูปตนเองสิ... มาสคาร่าหนาเตอะที่บนขนตาอันเยิ้มไหลด้วยคราบน้ำตาที่ซึมออกมาอย่างไม่รู้สึกตัวว่าตอนไหน... ลิปสติกแดงหนาทิ่ริมฝีปากอันละลายเปื้อนคางด้วยกระแสน้ำเมาที่ดับความทุกข์ร้อนภายใน... เส้นผมบ๊อบตรงสีดำที่ยุ่งเหยิงเสียทรงด้วยการขยี้สะบัดหัวนับครั้งไม่ถ้วน... เนี่ยนะเหรอ... สาวงามที่ใครๆต่างว่ากันว่าสวยและยั่วยวนที่สุดในเมืองน่ะ... ไร้สาระชะมัด... ดูยังไงๆก็ไม่ต่างกับกองขยะเดินได้ที่ยัดของหรูทุกอย่างถมรวมๆกันเอาไว้...
และโดยสัญชาติญาณ... หญิงสาวค่อยๆยิ้มขึ้นให้เงาตัวเอง... มันทำให้ใบหน้าทีเหมือนกับตัวตลกตกน้ำนั่นยิ้มตอบและดูเหมือนว่าจะสวยน่าพิสมัยกว่าเดิมหลายเท่า... รอยยิ้มที่ไร้ความหมาย... เธอค่อยๆยกมือข้างหนึ่งมาสางผมที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรง... แล้วก็เช็ดคราบมาสคาร่ากับลิปสติกที่เยิ้มน่าเกลียดออกไป... ปรับหน้าตาของตนให้เป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม... ก่อนที่จะยิ้มให้ภาพหลอนนั่นอีกครั้ง... ยิ้มเศร้าๆให้เงาของตัวเอง
รูปถ่ายเล็กๆรูปหนึ่งแปะอยู่ริมขอบกระจก... โต๊ะบาร์บีคิวที่ปูผ้าสีแดงแถบสลับขาวกับจานอาหารมากมายที่ต่างส่งควันร้อนกรุ่นเพิ่งขึ้นจากเตาด้านข้าง ที่ชายร่างท้วมกับหญิงอ้วนลงพุงคู่หนึ่งกำลังยืนคีบเนื้อรมควันพลางฉีกยิ้มมองมายังกล้อง... ขอบโต๊ะนั้นคือร่างของสี่เด็กยุคใหม่ที่นั่งยิ้มหวานพร้อมกับจานกระเบื้องโล่งๆในมือตน หลังสุดคือเด็กชายตัวเล็กผมดำที่มีสายตาไร้เดียงสา... ถัดมาก็เป็นเด็กหนุ่มม.ต้นผมทอง เขาสวมเสื้อกล้ามลายพราง พร้อมกับถือมีดทำท่าเหมือนจะควงเล่นโชว์ความเท่... ฝั่งตรงข้ามคือสาวผมบลอนด์ เส้นผมหยิกยาวยามนั้นกำลังปลิวไปกระทบกรอบแว่นเหลี่ยมสีน้ำเงินเข้ม และหน้าสุด คือสาวมหาลัยผมดำยาวในชุดผ้าลูกไม้สีชมพูโปร่งหลวมใส่สบาย... ไม่แต่งหน้า ไม่ทำผม... แต่ก็ดูสวยเป็นธรรมชาติ... ตัวฉันเองล่ะ... ชาล็อต ควินเนอรอสวูด... ฉันในอดีต... ฉันในแบบที่วันนี้จะไม่มีทางได้เป็น...
นายหน้าสาวซดน้ำกิเลสโลกเข้าไปอีกอึกใหญ่ แก้มของหล่อนเริ่มมีสีแดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือด หญิงสาวค่อยๆเดินต่อไปยังตู้เสื้อผ้าที่เปิดเผยออยู่ก่อนที่จะเลือกหยิบเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลติดมือไปพร้อมกับผ้าขนหนู หล่อนตรงไปยังห้องน้ำที่เปิดประตูค้างเอาไว้... ก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป... ปลดเปลื้องเครื่องหนังรัดรูปออกจากตัวก่อนที่จะหย่อนร่างตัวเองลงไปในอ่างอาบน้ำเก่าๆอย่างช้าๆ... เสียงน้ำที่ไหลท่วมลงอ่างดังต่อเนื่อง... ชาล็อตหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน... หญิงสาวยังคงซดเบียร์กระป๋องที่ถือติดตัวมาอีกอึกหนึ่งก่อนที่จะวางมันไว้ที่ขอบอ่าง... น้ำใสสะอาดนั้นไหลท่วมถึงคอของหล่อน... หญิงสาวค่อยๆลดตัวเองให้ไหลลงไปจมอยู่ในอ่างน้ำ... ปล่อยให้กระแสวารีชำระล้างคราบสังคมและความเสื่อมโทรมออกไป...
รอยมาสคาร่าสีดำกับคราบลิปสติกสีแดงหลุดลอกหายไปในสิ่งใสบริสุทธิ์... ใบหน้าของหล่อนยังคงจมมิดอยู่สนิท แต่ชาล็อตค่อยๆเหยียดแขนขึ้นโผล่พ้นผิวน้ำ... แล้วก็คว้ากระป๋องเบียร์นั้นไว้ในมือ... ค่อยๆเทให้ของเหลวสีเหลืองใสฟองฟู่นั้นไหลรินผ่านปากกระป๋องตกกระทบกับผิวน้ำบริสุทธิ์กระจายเป็นสายออก... น้ำกิเลสนั้นได้หลอมตัวเองเข้ากับความบริสุทธิ์เบื้องล่างแล้วก็ทำลายความใสสะอาดไปจนหมดสิ้น...
หญิงสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากผิวน้ำอีกครั้ง ก่อนที่จะหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอดทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป กระป๋องเบียร์เปล่าถูกหล่อนลงลอยเคว้งคว้างบนขอบผิวน้ำในอ่าง ที่บัดนี้ได้ล้นทะลักออกจากอาณาเขตลงสรง สายธารใสแต่ไม่บริสุทธิ์ไหลท่วมเอ่อล้นไปสู่พื้นกระเบื้องสีขาวเบื้องล่าง... เสียงหยาดกระทบแผ่นดังเป็นจังหวะต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบสงบ...
ให้ความเจ็บปวดในวันนี้ไหลละลายไปกับสายน้ำซะ...
โดยยังไม่ลืมตา ริมฝีปากขอบหล่อนค่อยๆขยับเป็นจังหวะ... ก่อนที่จะส่งสำเนียงหวานออกมาทำลายความเงียบสงบ ท่วงทำนองของบทขับกล่อมอันคุ้นเคยดังออกมาจากริมฝีปากงามนั้นช้าๆ
วันนี้น่ะ... ควรจะเป็นวันที่ดีที่สุดสิ...
ก็มันเป็นวันเกิดฉันที่นา...
ชาล็อตร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ตัวเอง... เสียงหวานๆนั้นได้ล่องลอยขึ้นสู่ห้วงอากาศเบื้องบนขับกล่อมราตรีแห่งความบอบช้ำ... ริมฝีปากของเธอกระทบเป็นจังหวะแห่งความไพเราะส่งสำเนียงเลี้ยงใจตนเอง... รอยยิ้มเศร้าๆปรากฏอยู่บนริมฝีปากเดียวกันนั้นตลอดเวลา...
และในที่สุด บทบรรเลงนั้นก็สิ้นสุดลง... พร้อมๆกับจังหวะที่หญิงสาวค่อยๆออกแรงเป่ากระแสน้ำเบื้องหน้าให้กระจายออกเป็นโค้งคลื่น กระป๋องโลหะที่ลอยเป็นเรือสำราญอยู่ได้ไหลไปกับสายกระแสหยุดข้ามขอบอ่างตกลงไปสู่แอ่งน้ำชั้นสองที่นองล้นอยู่บนพื้น...
จังหวะนั้นเองที่หญิงสาวกล่าวกับตนเองช้าๆ...
“สุขสันต์วันเกิดนะชาล็อต... เธออายุครบ 28 แล้วสินะ... เธอไม่ต้องกังวลหรอกว่าโลกข้างนอกจะเลวร้ายแค่ไหน... เพราะยังไงๆ... ฉันคนนี้แหละที่จะเป็นคนปกป้องเธอเอง... ฉันคนนี้แหละที่จะรักเธอ และอยู่เคียงข้างเธอไปชั่วนิรันดร์... ฉันคนนี้คนเดียว...”
ก่อนที่เสียงนุ่มลึกนั้นจะสิ้นสุดลง เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาประสาน... มันคือเสียงเคาะประตู
“ค่ะ!” หญิงสาวตะโกนขึ้นจากอ่างน้ำ และหวังว่าสุ้มเสียงของเธอจะดังทะลุประตูสองบานไปกระทบโสตประสาทของผู้มาเยือนได้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมีเสียงตอบรับดังมา
“ชาล็อต! นี่พี่เองนะ... เปิดประตูหน่อยสิจ้ะ!”
ให้ตายเถอะ... ฉันเพิ่งจะละลายภูเขาลูกหนึ่งทิ้งไปในกระแสน้ำ... ลูกใหม่ก็เข้ามาทับอกอีกแล้ว... แถมยังเป็นเขาพระสุเมรุซะด้วย...
หญิงสาวกระโจนขึ้นจากอ่างน้ำในทันที หล่อนคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดสิ่งใสนั้นออกจากร่าง แล้วสวมเสื้อผ้าทับลงไปอย่างรวดเร็ว... อันที่จริงฉันควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นะ... แต่เอาเถอะ...
ในที่สุดประตูบานที่สองก็เปิดออกตามบานแรก พร้อมๆกับเสียงของนายหน้าสาวที่ถามไปยังคนผู้นั้นอย่างห้วนๆ “มีอะไร...”
ปัง! เสียงพลุดังขึ้นพร้อมๆกับริบบิ้นสายรุ้งที่ปลิวขึ้นฟุ้งเต็มห้วงอากาศเบื้องหน้า ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงตะโกนพร้อมๆกันของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า “เซอร์ไพรส์!!!”
“สุขสันต์วันเกิดจ้ะชาล็อต...” หญิงสาวคนที่ยืนอยู่หน้าสุดกล่าวขึ้นเสียงดังพลางฉีกยิ้ม เค้กช็อคโกแลตที่ปักเทียนจุดสว่างอยู่ด้านถูกยื่นมาด้านหน้าด้วยมือเรียวงามของเธอคนนั้น
“พี่! นี่ทำอะไรเนี่ย!” ชาล็อตกล่าวอย่างตะกุกตะกัก เธอยังไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อ้าว... ก็... เซอร์ไพรส์ไง... วันนี้วันเกิดพี่ชาล็อตไม่ใช่เหรอ...” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาบ้าง
“พวกเราก็เลยมาหาไงล่ะ! ตื่นเต้นดีใช่ไหมล่ะ!” ชายหนุ่มอีกคนเสริมมา
“วินซ์... เชอร์ล็อก... พวกนายก็มาด้วยเหรอ!” นายหน้าสาวอุทานขึ้นอย่างตกใจสุดขีด เมื่อเห็นใบหน้าของอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งต่างถือแกนพลุสายรุ้งที่จุดแล้วในมือคนละชิ้น
“แหงล่ะ... ก็วันนี้วันเกิดเธอนี่นา...” หนึ่งในสองคนนั้นกล่าวอย่างร่าเริง
ชาล็อตมองภาพของสามคนที่กำลังฉีกยิ้มอยู่ ก่อนที่จะสั่นศีรษะช้าๆก่อนที่จะเอ่ยปากพูด “แล้วไง...”
เศษสายรุ้งที่ปลิวบนฟ้าตกลงสู่พื้น... บางส่วนก็ติดค้างอยู่บนศีรษะของสี่พี่น้องที่มารวมตัวกันโดยที่หนึ่งในนั้นไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อน...
และแล้วทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบสงัด... เงียบแบบที่ไม่ควรจะเป็น...
“พี่วิเวียน... แล้วก็พวกนายด้วย...” ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “ฉันต้องขอบใจมากนะ... ที่ทุกคนซื้อของพวกนี้มาให้... แต่จะทำอย่างนี้กันทำไม... ก็รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าฉันไม่ได้ต้องการ...” เธอเอียงคอพลางกอดอก
“อ้าว... ก็วันเกิดเธอ... ฉันก็ต้องฉลองให้สิ... ก็ฉันเป็นพี่เธอนี่นา...” หญิงผู้มาเยือนสะบัดผมแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร เธอคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่รักครอบครัวจากก้นบึ้งของหัวใจ... รักในแบบที่ชาล็อตไม่เคยทำ...
“พี่คะ... แล้วพี่ทำแบบนี้น่ะ... พี่คิดว่าฉันจะดีใจเหรอ...” นายหน้าสาวหน้าหงิก
ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะอย่างร่าเริง พลางยกมือขึ้นวางบนบ่าของหญิงสาว “อะไรกันน่ะ... พวกเราอุตส่าห์มาหาถึงนี่เนี่ย... แทนที่จะยิ้มรับดีๆ กลับมาตะเพิดกลับ... เธอเป็นอะไรอีกล่ะ... แฟนทิ้งเหรอ?” ประโยคหลังนี่ชายหนุ่มพูดเพื่อจะแกล้งเรียกเสียงหัวเราะ... ซึ่งมันก็ได้ผลกับอีกสองคนที่หอบของขวัญมาพร้อมกับตน... แต่ไม่ใช่กับเจ้าของวันเกิด... เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
“วินซ์... ฉันตะเพิดนายหรือยัง...” ชาล็อตกล่าว
“ไม่เอาน่าพี่... เดี๋ยวบรรยากาศดีๆก็เสียหมด... วันนี้เรามาพูดกันเหมือนพี่น้อง... เฮฮา... แล้วก็สังสรรค์กันเหมือนวันเก่าๆเถอะนะ...” เด็กหนุ่มซึ่งเป็นน้องเล็กที่สุดกล่าวขึ้นก่อนที่จะส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้พี่สาว
“ใช่ๆ... ชาล็อต... เธอน่ะ... พักบ้างเถอะ... แล้วก็ปล่อยตัวเองให้มีความสุขบ้างน่ะ...” พี่สาวที่กำลังถือเค้กอยู่เสริมมาด้วยรอยยิ้มบ้าง
ใช่... พวกเขาคือพี่น้องแท้ๆที่กำลังยิ้มให้ฉัน... แต่มันก็คงเป็นรอยยิ้มอันไร้ความหมาย... เพราะยังไงๆ ฉันก็ไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนวันนั้น...
“พี่คะ... แล้วก็พวกนายด้วย...” ในที่สุดนายหน้าสาวก็กล่าวขึ้น “ฉันต้องขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ที่ยังให้ความสำคัญกับฉัน... แต่ฉันก็ต้องขอโทษทุกคน ที่ฉันไม่สามารถตอบรับความหวังดีนี้ได้อีกแล้ว... ก็รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ... ว่าฉันน่ะ... ไม่เหลือใจให้ครอบครัวนี้แล้ว...”
“พี่ก็เลยจะทำให้ใจเธอกลับมาไงล่ะจ้ะ...” หญิงคนนั้นยังคงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “พี่เลยซื้อบ้านนั่นไง...”
“อ๋อ... ที่แท้พี่ก็จะมาคุยเรื่องบ้านนั่นสินะคะ... เชิญด้านในเลยค่ะ... เรามาคุยเรื่องธุรกิจของพวกเราต่อกันเถอะ...” ชาล็อตยิ้มออกมา ก่อนที่จะโบกมือเรียกญาติของตนให้เข้าไปในห้องส่วนตัว แล้วเดินส่ายสะโพกนำเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ... ให้ตายเถอะ... ยัยนี่เนี่ยนะ...” หญิงผู้เป็นพี่กล่าวกับตนเองก่อนที่จะสั่นศีรษะ แล้วเดินตามเข้าไป... เธอควรจะตะโกนเรียกรั้งให้น้องสาวแล้วบอกว่าตนไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น... แต่ก็รู้ว่าถ้าทำไปก็ไร้ค่า... สำหรับน้องสาวคนนี้... จึงจำต้องตามน้ำไปก่อน...
“พี่ชาล็อตอารมณ์แปรปรวนเนอะ...” เด็กหนุ่มคนนั้นกระซิบกับชายหนุ่มคนข้างๆ ซึ่งคนคนนั้นก็ตอบรับง่ายๆ “อืม... ก็อย่างนี้ตลอดล่ะ... รอยร้าวที่มันเกิดกับครอบครัวเราน่ะ... จะประสานให้ติดกลับมาเหมือนเดิมนี่คงจะยากล่ะ...”
ภายใต้ห้องซอมซ่อ นายหน้าสาวกางโต๊ะไม้ขึ้น ณ ที่ว่างกลางห้องอย่างลวกๆ ก่อนที่จะคว้าแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานมาวางด้านบนแล้วเปิดตู้เย็นก่อนที่จะหยิบเบียร์กระป๋องขึ้นมา
“ดื่มเบียร์กันใช่ไหม...” หญิงสาวถามออกไป ทั้งๆที่ศีรษะของตนกำลังมุดอยู่ในตู้เย็น
“ชาล็อต...” พี่สาวคนนั้นกล่าวขึ้น
“หรือจะเอาน้ำแร่ล่ะคะ... ขอโทษนะคะที่ฉันไม่ได้มีพวกน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมติดไว้ด้วยน่ะ...”
“ชาล็อต...” หญิงคนนั้นยังพยายามจะรั้งน้องสาวเอาไว้
“ไม่ใส่น้ำแข็งได้ใช่ไหมคะ... เพราะฉันไม่ได้ทำเตรียมเอาไว้...”
“ชาล็อต... นี่เธอจะประชดพี่เหรอ...” หญิงผู้เป็นพี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเดิม
นายหน้าสาวหันหน้ากลับ “แล้วคิดว่าฉันกำลังประชดอยู่ไหมล่ะคะ... คุณลูกค้า...”
“ไม่เอาน่า... เราเป็นพี่น้องกันนะชาล็อต...” หญิงคนนั้นพูดต่อ
“ค่ะ... ฉันรู้... แต่เรากำลังจะคุยกันเรื่องซื้อขายบ้านนี่... เพราะฉะนั้นเราก็ควรทำให้มันดูเป็นธุรกิจ... ไม่ใช่เหรอ...” นายหน้าสาวเน้นเสียง ก่อนที่จะยกเบียร์กระป๋องออกมาสี่กระป๋อง แล้วตั้งบนโต๊ะไม้นั้น
“พี่ชาล็อต... พี่ไม่ควรทำแบบนี้นะ...” ในที่สุดเด็กหนุ่มนั่นก็เริ่มทนไม่ไหว
“แล้วพี่ควรทำอย่างไงล่ะเชอร์ล็อก... ในเมื่อพี่วิเวียนจะซื้อบ้าน...จากพี่...ซึ่งเป็นนายหน้า... อะไรที่มันจะเหมาะสมไปกว่านี้ล่ะ...”
“คุยกันดีๆเหมือนเดิมไง...” พี่สาวคนโตกล่าวต่อ “ที่พี่จะซื้อบ้านหลังนั้นน่ะ... ก็เพื่อที่จะให้พวกเราทุกคนกลับไปอยู่รวมกัน... มันหลังใหญ่พอ แล้วก็ใกล้ที่ทำงานทุกคน... พวกเราสี่พี่น้องกระจัดกระจายกันมานานแล้วนะ... เราก็ควรจะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวสักที...”
และแล้ว ทุกคนก็หยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
“นะพี่นะ... กลับมาอยู่ด้วยกันเถอะ...” เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวต่อบ้าง
“เอาน่า... ยังไงๆ พี่วิเวียนก็อุตส่าห์ซื้อแล้วนี่... มาอยู่กันสบายๆเถอะนะ... จะได้ไม่ต้องจมปลักอยู่ในอพาร์ตเม้นท์โทรมๆนี่...” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะร่าแล้วยกมือขึ้นประสานบนท้ายทอย
ชาล็อตสบตาเหล่าบรรดาพี่น้องของตนชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจยาว “ไม่... ฉันไม่ไปอยู่กับพวกเธอ... การที่เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหตุผลที่จะบังคับให้เราอยู่รวมกัน... แม้ว่ากระดาษแต่ละแผ่นจะตัดมาขนาดเท่ากันพอดี... แต่ถ้าหากขาดกาวประสานที่สันแล้ว... พวกมันก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาเย็บรวมเป็นเล่มหนังสือได้... พวกเราก็เหมือนกันน่ะแหละ... มีสายเลือดที่เหมือนกัน... แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้ากันได้...”
“ชาล็อต...” หญิงคนนั้นสั่นศีรษะ “เธอรู้ไหม... ว่าพี่รักเธอแค่ไหน... แล้วเธอรู้ไหม... ว่าน้องๆต้องการให้เธอไปอยู่ด้วยแค่ไหน...”
“แล้วพี่รู้บ้างไหม... ว่าฉันรักพวกเธอแค่ไหน....” ชาล็อตสะบัดหน้า “คำตอบคือไม่เลย... ฉันน่ะ... หมดรักพวกเธอแล้ว...”
“พี่ชาล็อต... อย่าพูดแบบนี้สิ...” เด็กหนุ่มที่เป็นน้องสุดท้องกล่าวต่อ
“เธอเห็นไหมชาล็อต... เชอร์ล็อกก็อยากอยู่กับเธอ... ใครๆก็อยากอยู่กับเธอทั้งนั้น... เราน่ะ มารวมกันเหมือนเดิมเถอะนะ...” พี่สาวคนโตยังคงกล่าวต่อ
“ขอร้องล่ะ... หยุดพูดแบบนี้เถอะค่ะ...” นายหน้าสาวสั่นศีรษะ
“ไม่... พี่จะไม่หยุดจนกว่าเธอจะยอมไปอยู่ด้วยกัน...”
“พี่ต้องการอะไรจากฉัน!” หญิงสาวแทบจะทนไม่ไหว ชาล็อตหน้าแดงก่ำก่อนที่จะลุกขึ้น
“พี่ไม่ได้อยากได้อะไรจากเธอ... ชาล็อต... แค่อยากให้เราทุกคนกลับมามีความสุข...” พี่สาวคนนั้นกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
นายหน้าสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่สุด มาตรว่าจะสูบอากาศทั้งหมดบนโลกใบนี้เข้าไปแล้วพ่นออกมาพร้อมๆกับความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจ “ใช่... ทุกคนก็อยากได้ความสุข... แต่ความสุขของฉันกับพี่น่ะต่างกัน... พี่อยากเห็นพวกเราเป็นหนึ่งเดียว... แต่ฉันอยากเห็นแค่ตัวฉันคนเดียว... แล้วถ้าพี่มีความสุขด้วยการลากฉันไปอยู่ด้วยแต่ฉันไม่มีความสุขน่ะ... มันแปลว่าเรามีความสุขไหม? คำว่าเรามันต้องประกอบด้วยทั้งสี่คนไม่ใช่เหรอ? ทางที่ดีที่สุดคือพี่ซึ่งจะซื้อบ้านหลังนี้นั้นน่ะ... ไปอยู่ในบ้านในฝันหลังเดียวกันกับวินเซนต์และเชอร์ล็อก... คิดซะว่าครอบครัวพี่มีกันแค่สามคน... ส่วนฉันก็อยู่ที่นี่... ตัวคนเดียว... และทุกฝ่ายก็จะแฮปปี้...”
“ไม่... ก็ในเมื่อคำว่าพวกเราเป็นหนึ่งเดียวของพี่ยังไงๆก็คือสี่คน... เธอต้องมาอยู่กับพี่นะชาล็อต... มาอยู่ด้วยกันสี่คน...”
“มันควรจะเป็นหกคน... ถ้าพวกคุณสามคนไม่ได้ฆ่าพ่อกับแม่ตายน่ะ...”
ทุกคนในห้องเหมือนจะเป็นใบ้ไปกันหมด พี่สาวคนโตนั้นนั่งกุมขมับ น้องชายสองคนนั้นยืนพิงกำแพง คนที่โตกว่ายืนนิ่ง ส่วนน้องชายคนเล็กเสยผมก่อนที่จะสะบัดศีรษะ.... ส่วนเจ้าตัวปัญหาเองนั้น หยิบกระป่องเบียร์ทั้งสี่ไปเก็บ... เค้กช็อคโกแล็ตที่ซื้อมาตอนแรกวางไร้ค่าอยู่บนโต๊ะไม้... เทียนแห่งความรักด้านบนละลายหมด... เศษสายรุ้งปลิวกลาดเกลื่อนไปบนพื้นไม้สัปรังเค... ภาพจุดจบของงานวันเกิดที่พี่น้องจัดให้กันและกัน ปรากฏให้เห็นอย่างน่าสังเวช...
“ก็ได้...” ในที่สุดพี่สาวคนโตก็กล่าวขึ้น เธอยกมือขึ้นปาดขอบตา ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “พี่จะไม่รบกวนเธออีกแล้ว... เธอจะได้มีความสุข.... พี่จะกลับแล้ว... ราตรีสวัสดิ์จ้ะ...” เธอคนนั้นค่อยๆหันหลังกลับช้าๆ ก่อนที่จะย่างก้าวไปอย่างสงบ ห่างออกจากร่างของน้องสาวที่ยืนกอดอกอยู่นั้นไปเรื่อยๆ
“งั้นราตรีสวัสดิ์ครับพี่...” เด็กหนุ่มน้องสุดท้องก็พูดตามพี่สาวตนง่ายๆ แล้วหันหลังตาม
นายหน้าสาวกลับหลังหัน เธอยังไม่ได้ลดมือลงจากอก ชาล็อตค่อยๆหลับตาลง
ฉันไม่อยากจะรับรู้อะไรมากกว่านี้อีกแล้ว...
หญิงสาวค่อยๆถอนหายใจ... ไม่เป็นไรๆ... วันนี้เจ็บนิดเดียวเอง... ไม่เป็นไรๆ...
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น แต่ยังไม่ลืมตา... ไม่เป็นไรๆ... เรื่องนี้มันก็แค่มรสุมที่พัดมา และต้องจากไป...
ไม่เป็นไรๆ... มันไม่มีอะไรเลย... ฉันกับพวกนั้น... มันไม่มีอะไรเลย....
“ว๊าย!” ชาล็อตกรีดร้องขึ้นอย่างตกใจ หญิงสาวลืมตาโพลงสะดุ้งสุดตัวในทันที เมื่อสัมผัสถึงของบางสิ่งที่มาปะทะแก้มของตนในวินาทีนั้น
“ฮะ! ฮ่า! เสร็จฉันล่ะ! พี่นี่ความรู้สึกช้าจริงๆ!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังมาอย่างร่าเริง
“วินซ์!” หญิงสาวตะโกนขึ้น บัดนี้แก้มทั้งสองของเธอคือครีมสีน้ำตาลของช็อคโกแลตที่น้องชายของหล่อนได้เล่นพิเรนป้ายเค้กมาทาหน้าพี่สาว มันละเลงทับไปบนแก้มสีแดงอันเดือดพล่านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแทบสิ้นสติของพี่สาว “นี่นายทำอะไร!” ชาล็อตกรี๊ดลั่น
“แกล้งเธอไง! วะ ฮะ ฮะ ฮ่า! แกล้งเธอนี่สนุกจริงๆเลยเฟ้ย!!!” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างร่าเริง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นี่ทำแบบนี้... ทำแบบนี้คิดว่าฉันจะให้อภัยเหรอ!”
“ขอโทษคร้าบ! กลัวแล้วคร้าบ! อย่าทำอะไรข้าน้อยเลยนะคร้าบ!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นพนมหลอกๆ เหมือนจะสัพยอกเล่นกับพี่สาวซึ่งกำลังอารมณ์เสีย
“วินซ์!” ชาล็อตกรีดร้องลั่น เธอโมโหแทบจะสิ้นสติกับสิ่งที่น้องชายคนนี้ทำลงไป
ให้ตายเถอะ! ไอ้บ้านี่! นี่จะตอกย้ำกันไม่เลิกใช่ไหม!
“โธ่! ล็อตตี้... ฉันขอโทษ...” วินซ์กล่าวเสียงอ่อย “แต่... แต่เธอรู้ไหม... ฉันว่า... หน้าเธอตอนโกรธกับตอนที่อมทุกข์น่ะ... ตอนเธอโกรธน่ะสวยแล้วก็น่ารักกว่าตอนที่เก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้คนเดียวเยอะเลยนะ...” เขาค่อยๆยิ้มขึ้น... มันเป็นรอยยิ้มเล็กๆที่ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก แต่มันกลับทำให้พี่สาวคนนี้ต้องชะงักกึกด้วยความรู้สึกบางอย่าง... ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าได้ห่างหายไปนาน...
และโดยไม่ทันตั้งตัว... หญิงสาวก็ถูกชายหนุ่มโผเข้ากอดอย่างกระทันหันที่สุด เขาคนนั้นรัดร่างของพี่สาวตนเองไว้แน่น แนบชิดกับกาย... เสี้ยววินาทีแรก... นายหน้าสาวรู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีต่อมา เธอกลับรู้สึกร้อนระอุเหมือนประหนึ่งสัมผัสไฟนรก... หญิงสาวกะจะผลักร่างของคนคนนี้ออก แต่ก็จำกลั้นใจไว้... ให้สองมือนั้นพันธนาการร่างของตนไว้นานเท่านาน...
เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้... ในที่สุดชายหนุ่มก็ปล่อยร่างผู้สาวตนเองออกจากอ้อมกอด แล้วจ้องตรงมายังหน้าของหล่อนก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“ฉันไปล่ะ! ไว้ปีหน้าจะมาละเลงหน้าเธอใหม่นะ!” กล่าวจบ เขาก็วิ่งออกจากห้องของพี่สาวตนไปทันทีทิ้งให้ชาล็อตยืนมองเงาของน้องชายที่กำลังจากไปแต่ลำพัง
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะรู้สึกดีขึ้นเหรอ!” ชาล็อตตะโกนไล่หลัง... แต่มันก็กลายเป็นคำถามที่ปราศจากคำตอบเมื่อคนคนนั้นลับสายตาตนหายไปเสียแล้ว...
แล้วฉันรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่านะ... ที่วินซ์ทำบ้าๆแบบนั้นเนี่ย...
และโดยไม่รู้สึกตัว... หยาดน้ำตาใสๆก็ไหลลงมาอาบแก้มของนายหน้าสาว... เธอค่อยๆยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนที่จะก้มตัวลงปล่อยให้ความเศร้าโศกกลั่นตัวออกมาเป็นชลาใส... หญิงสาวตัวคนเดียวที่ไม่อยากมีใครเคียงข้าง... ชาล็อต ควินเนอรอสวูด ทรุดกายลง ณ ตำแหน่งนั้นโดยลำพัง... เข่าสองข้างสัมผัสพื้น... เสียงร่ำไห้แผ่วเบาดังประสานกับความเงียบ...
ฉันควรจะมีความสุข... ฉันควรจะหลุดพ้นจากวัฏจักรบ้าๆนี่ให้ได้สักที... แต่ฉันก็ทำไม่ได้... เพราะฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว... แปลกนะ... ทั้งๆที่หลายๆคนแสวงหาความรักจากคนอื่น... แต่สำหรับฉัน... ฉันกลับรู้สึกว่า... ความรักของคนอื่นนั่นแหละคือความทุกข์... แปลกจริงๆ... แปลกจริงๆ... ฉันควรจะทำอย่างไรดี...
ฉันคนนี้ควรจะทำอย่างไรดี...
เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ ชาล็อตค่อยๆลุกขึ้นจากท่านั่ง หญิงสาวเดินไปจัดการกับเศษสายรุ้งที่ปลิวเกลื่อนอยู่หน้าห้องจนเรียบร้อย ก่อนที่จะกลับมาพิจารณาเค้กที่วางเดียวดายอยู่บนโต๊ะ... ถึงมันจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข... แต่ในเมื่อมันถูกซื้อมาแล้ว... ก็ควรจะทำประโยชน์ให้ตัวฉันเองได้บ้าง...
นายหน้าสาวค่อยๆตักเค้กนั่นขึ้นมารับประทานอย่างช้าๆ ปล่อยให้หยาดน้ำตาผสมกับเนื้อของหวานเป็นรสชาติแห่งความอ้างว้าง.... ครีมสีน้ำตาลยังคงติดอยู่บนแก้มหล่อนไม่จางหาย... แต่ครีมชนิดเดียวกันนี้ระลอกใหม่ได้เปื้อนริมฝีปากที่กำลังกัดกิน... ความน่าสมเพศอะไรจะหาได้เท่ากับคนอย่างฉัน... คนที่ไม่มีอะไร... แล้วก็ไม่อยากจะมี...
ฉันควรทำอย่างไรดี...
ชาล็อตวางจานเปล่าลงบนโต๊ะ...
ฉันควรจะทำอย่างไร... ทำอย่างไร...
ไม่มีอะไรจะอธิบายสาเหตุที่หล่อนได้กระทำลงไปได้... แต่หญิงสาวค่อยๆหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมือ มือข้างหนึ่งยกปาดน้ำตาที่กำลังอาบแก้ม มืออีกข้างหนึ่งกดหมายเลขลงไปบนเครื่องส่งสาร...
“พี่วิเวียนหรือคะ...” เสียงของหญิงสาวกลับมาเย็นหวานนิ่งมั่นคงตามเดิม ผิดกลับใบหน้าที่แดงเรื่อเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ภายใน เธอค่อยๆกล่าวประโยคประโยคหนึ่งด้วยความรู้สึกในหัวอกที่กำลังปะทุสลาย
“ฉันตัดสินใจแล้วล่ะค่ะ... ตกลงฉันจะไปอยู่กับพี่...”
ความคิดเห็น