ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Happy Day - อบอุ่นอำมหิต

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 เศษอสังหา

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 56


    ตัวสามีเป็นชายอ้วนลงพุง เส้นผมสีแดงหลอมแหลมบนศีรษะไม่อาจจะปกปิดปานสีดำกลางกระหม่อมที่แลดูน่าสะอิดสะเอียน ภรรยาของเขานั้นแลดูเด็กกว่าสามีเกือบสิบปี เส้นผมสีบลอนด์ยาวปิดหน้าปิดตา กับสองมือเรียวที่กุมเก็บไว้ทำให้เธอดูเหมือนวัยรุ่นเด็กมีปัญหา ส่วนลูกชายของพวกเขาล่ะ... ไม่ต้องพูดถึงเลย ดูกี่ทีๆ ก็ให้ได้แค่นิยามเดียว... อุรังอุตังชัดๆ

    บ้านหลังนี้เหรอ... ชายอ้วนบ่นกับภรรยาสุดสวาท เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่สายตาตนเองเห็น

    น่าจะใช่นะคะ... แม่นั่นก็ตอบเหมือนกับเป็นทาสของเขา... โรคกลัวสามีจนไม่กล้าหงอ... มันเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคนน่ะแหละ... โดยเฉพาะพวกที่ได้คากคกมาร่วมเตียงเนี่ย...

    พ่อ... ผมว่ามัน... มันดูเจ๋งมาก!” อุรังอุตังแก้มบวมพูดเสียงดังราวกับว่าจะประจานสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้คนทั้งเมืองได้รับรู้... เด็กนี่รู้จักคำว่าสมบัติผู้ดีไหมเนี่ย...

    เท่าที่ดูก็ไม่น่าจะมีหวัง... แต่... เอาเถอะ... ลองดูก็ไม่เสียหาย... ลงจากรถก็ได้...

    รองเท้าส้นตึกสีดำเงาสัมผัสพื้นถนนที่ถูกทับถมไปด้วยใบไม้แห้ง เสียงปลายแหลมเล็กปะทะแผ่นกรอบดังกร๊อบแกร๊บประสานกับเสียงประตูรถถูกดันปิด คุณที่นัดไว้ใช่ไหมคะ...

    คุณควินเนอรอสวูดหรือเปล่า?” ตาอ้วนนั่นเริ่มแผลงฤทธิ์ตั้งแต่คำแรกเลย... น้ำเสียงวางกล้ามชะมัด

    ชาล็อต ควินเนอรอสวูดค่ะ... ยินดีที่ได้รู้จัก... หญิงสาวที่เพิ่งเดินสะบัดสะโพกลงมาจากรถกล่าวด้วยน้ำเสียงหว่านเสน่ห์... ตาลุงนั่นจะเป็นพวกหัวพญานาคหรือเปล่าก็ไม่รู้... แต่มีช่องก็ขอล่อเอาไว้ก่อนล่ะ...

    บ้านหลังนี้เหรอ... ตานั่นยิงคำถามใส่ทันที... มารยาทน่ะมีไหม ไม่แนะนำตัวเองก่อนเหรอ...

    ค่ะ... บ้านเลขที่ 13/404 ถนนไลฟ์บ็อก... ตามที่เห็นก็คือหลังนี้... เธอชี้มือไปยังบ้านทรงวิคตอเรียหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือของถนน ตัวอาคารสีขาว หลังคาสีน้ำตาล... ดูเก่าและโทรมไปบ้าง แต่มองจากภายนอกก็ดูรู้ได้ทันทีว่าภายในนี่ระดับเชื้อพระวงศ์อาศัย...

    อืม... แล้วคุณมีกุญแจหรือเปล่า...

    ถามแปลกๆ ฉันมันนายหน้าขายบ้านนะ... ยังไงๆก็ต้องมีสิ มีค่ะ... เชิญเข้าไปชมภายในได้เลย... จะเข้าไปตอนนี้เลยไหมคะ...

    เร็วสิพ่อ! อยากเห็นข้างในจะแย่อยู่แล้ว!” เด็กนรกนั่นแหกปากอีกครั้ง... ให้ตายเถอะ... เสียงลิงอ้วนนั่นเหมือนกับอมหอยทากไว้ในปาก... ฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียนชะมัด...

    พ่อว่าไปดูรอบบ้านก่อนดีกว่า... ความงามภายนอก... ก็ต้องมาก่อนภายในไม่ใช่เหรอ...

    ไปเอาคำคมนี้มาจากไหนเนี่ย... ตายอีกกี่ชาติก็คงไม่ได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง... ก็ได้ค่ะ... งั้นเดี๋ยวเรา... ลองเดินชมรอบๆดูก่อนก็ได้... ตามมาเลยค่ะ... และแล้ว นายหน้าสาวก็รีบโบกมือให้ลูกค้าทั้งสามเดินตามเข้าไปสู่บริเวณสวน ที่ปกคลุมไปด้วยแผงหญ้าสีเขียวขจี ดอกคอสมอสสีชมพูสดปลูกแซมประดับอยู่เป็นหย่อมๆแลดูสดใส เต่าทองตัวหนึ่งบินร่อนอยู่บนกลีบดอกไม้นั้นแลดูน่าภิรมย์ ทำให้สวนนี้ดูมีชีวิตชีวา ที่จะขัดกันอยู่ก็มีเพียงแค่อย่างเดียวคือต้นโอ๊คใหญ่ที่ยืนต้นตายอยู่มุมหนึ่งของสวน กิ่งก้านหงึกงอเหมือนมือปีศาจแทงขึ้นมาจากดินเป็นเพียงร่มเงาแห่งความน่าหวั่นสะพรึงเล็กๆที่โผล่แสดงออกให้เห็นในสวนเอเดนแห่งนี้

    พ่อ! ผมเกลียดไอ้ต้นไม้นั่น!” เด็กโข่งตะโกนขึ้นอีกแล้ว

    ไม่เป็นไรหรอกลูก... ท่าเราเข้ามาอยู่ที่นี่... เราก็จ้างคนมาตัดทิ้งได้... แม่ของเขาปรามขึ้นเบาๆ เหมือนหล่อนจะรู้ว่านายหน้าคนนี้เริ่มสติแตกกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของลูกชาย

    สวนสวยนะ... ชายอ้วนพูด

    ค่ะ... เจ้าของเก่าที่นี่เป็นคนรักต้นไม้น่ะค่ะ... นายหน้าขายบ้านตอบง่ายๆ ที่ดินของบ้านหลังนี้ มีขนาดอยู่ที่ 114 ตารางวา... แต่ตัวบ้านเนี่ยขนาดแค่ 72 ตารางวา... เพราะฉะนั้น... พื้นที่ของสวนร่มรื่นๆพวกนี้ก็จะค่อนข้างกว้างแล้วก็เหมาะสำหรับเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ...

    วิเศษ! ผมจะได้จับแมลงเล่นกับเพื่อนด้วนใช่ไหมล่ะ!”

    เอ่อ... ไม่มีแมลงหรอกค่ะ... นายหน้าสาวตอบยิ้มๆ

    โกหกน่า! เมื่อกี้ยังเห็นเต่าทองอยู่เลย... เด็กอ้วนทำท่าเหมือนจะงอแงอีกแล้ว... จะเป็นบ้าอะไรมากเนี่ยไอ้อุรังอุตังนี่... น่ารำคาญชะมัด...

    ไม่เอาน่า... ลูกก็รู้นี่ว่ามันไม่มี... แม่ของเขาต้องปรามขึ้นอีกครั้ง... รู้สึกว่าคนในตระกูลนี้ คนที่ท่าจะดูมีเหตุผลที่สุดก็คงจะเป็นคุณนายคนนี้เนี่ยแหละ... ตาพ่อกับลูกชายนี่นิสัยเหลือรับประทานจริงๆ...

    รั้วไม้พวกนี้เคลือบสารกันปลวก... เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลเรื่องสัตว์น่ารำคาญนี่เลย... เอ่อ... พวกพื้นไม้ปาร์เก้ในบ้านปลวกก็ไม่ขึ้นนะ นายหน้าสาวยังคงโฆษณาบ้านในฝันหลังนี้ต่อไป

    นั่นอะไรน่ะ... สามีพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแขวนอยู่บนแง่หนึ่งของโคมไฟสีดำที่ยื่นออกมาจากกำแพงหลังบ้าน เขาผงะถอยหลังมาก้าวหนึ่งเหมือนจะตกใจในพริบตาแรกเห็น... ตานี่ชอบอวดเบ่ง แต่ที่แท้ก็ปอดแหก...

    นายหน้าสาวหัวเราะเล็กๆในลำคอ พลางเดินเข้ามาใกล้ อ๋อ... ตุ๊กตาน่ะค่ะ... บ้านนี้น่ะเคยมีเด็กอาศัยอยู่... เพราะฉะนั้น... เด็กคนนั้นก็คงเล่นพิเรนล่ะมั้งคะ...

    ด้วยการแขวนคอตุ๊กตาเนี่ยนะ...  อุรังอุตังเหลือขอรำพึงในคออย่างไม่ไว้ใจ

    เชือกนี่มันมัดอยู่ที่ขาต่างหากล่ะ... อย่าทำตัวโง่ไปหน่อยเลย... ตาพ่อของเขาบอกลูกด้วนสีหน้าบอกบุญไม่รับ ภาพที่ครอบครัวผู้หวังจับจองที่ดินแห่งนี้เห็น ก็คือ ตุ๊กตาไม้เก่าๆ ถูกเชือกสกปรกๆสีกระดำกระด่าง ผูกปลายข้อเท้าห้อยอยู่กับปลายชะง่อนโคมไฟติดผนังที่ยื่นออกมา

    ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเอาไอ้ตุ๊กตาบ้าๆนี่ออกไปจากผนังบ้านนะ... ไม่งั้นคุณอาจจะขายที่นี่ไม่ออกเพราะมันจะทำให้ลูกค้ารู้ถึงว่าที่นี่เล่นมนตร์ดำ... ชายอ้วนพูด

    ก็อยากจะทำอย่างนั้นนะคะ... เว้นเสียแต่ว่าเจ้าของบ้านกำชับนักกำชับหนา ว่าอย่าโละของชิ้นใดก็ตามที่อยู่ในบ้านนี้ออกไปเป็นอันขาด หน้าที่เอาไปทิ้งก็แล้วแต่ดุลยพินิจของผู้ซื้อเอง... นายหน้าตอบง่ายๆ

    เยี่ยมไปเลย... กลายเป็นว่าฉันต้องแบกขยะของอดีตผู้อยู่อาศัยสัปรังเคออกไปทิ้ง... ตาอ้วนนั่นบ่นอีกแล้ว... บ่นแบบว่าไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาแก้ตัวได้ติดซะด้วย... งานนี้มีหวังขายออกยากซะแล้ว... แต่เดี๋ยว... ยังพอมีอยู่บ้างนี่...  เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณลองไปชมเฟอร์นิเจอร์ข้างในบ้านแล้วคุณจะไม่อยากโละอะไรทิ้งไปเลยล่ะค่ะ... ไปกันเลยไหม... ในที่สุด เธอก็เลยต้องตัดสินใจนำลูกค้าทั้งหมดเข้าไปชมตัวอาคารภายในในขณะนั้นเอง

    เปิดประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบุกระจกสีสเตนกลาส ก็เข้ามาถึงห้องรับแขก ชุดโซฟาเบาะนวมสีแดงเลือดหมูแลดูหรูหราเลิศอลังการก็ปรากฏให้เห็นชัดในทุกจักษุภาพผู้มาเยือน ผนักพิงไม้แกะสลักสีดำสนิทที่ตัดกับนวมเบาะแลดูยั่วยวนน่าพิงอย่างที่สุด

    เยี่ยม... ต้องให้ได้อย่างนี้สิ... ถึงน่าเก็บเอาไว้... ชายอ้วนพูดโพล่งขึ้นมาอีก ทำให้นายหน้าสาวพอใจชื้นขึ้นมาบ้าง

    ถัดไปเป็นห้องอาหาร... เชิญทางนี้เลยค่ะ... และแล้วนางหน้าสาวก็นำทางต่อไป

    ทางนี้ก็เป็นอีกหนึ่งชุดเครื่องเรือนที่น่าตกตะลึง โต๊ะไม้สีงาช้าง เก้าอี้ทางสูงสลักลายเถาไอวี่ โคมระย้าทองเหลืองที่ห้อยอยู่กลางเพดาน จะมีอะไรเลิศหรูไปกว่านี้อีกไหม?

    ห้องครัวภายในก็ไม่ใช่ย่อย... เคาน์เตอร์หินแกรนิตสีดำเงากับตู้กับข้าวสลักสีเดียวกับโต๊ะอาหาร ขาดก็เพียงแต่เตาไฟฟ้าซึ่งถ้าหากขยันควักกระเป๋าหน่อยที่นี่ก็คงจะกลายเป็นห้องอาหารระดับโรงแรมได้อย่างง่ายๆ

    เป็นอย่างไรบ้างคะ... ถูกใจกันหรือเปล่า... นายหน้าสาวถามยิ้มๆ

    ก็... วิเศษเลย... นี่คุณควินเนอรอสวู้ด... ผมถามจริงเถอะ... ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในราคาบ้านแล้วเหรอ...

    ก็... ก็ใช่ค่ะ...

    มันจะไม่ถูกไปหน่อยเหรอ... กับบ้านร้อยกว่าตารางวา แล้วก็เครื่องเรือนไฮโซพวกนี้... ราคาแค่นั้นผมว่ามันซื้อไม่ได้ถึงหนึ่งในสิบของบ้านหลังนี้เลยนะ... ชายอ้วนเซ้าซี้ต่อ

    ก็นะ... ของถูกและดีก็มีแค่ที่นี่แหละค่ะ... นายหน้าสาวยักไหล่

    ว่าแต่ว่าคุณลงประกาศขายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย?”

    เอาอีกแล้ว... โรคขี้เซ้าซี้กำเริบ... งานนี้มาหวังหลุดไปอีกรายแน่... เมื่อไหร่จะเลิกเจอพวกหัวประวัติศาสตร์ถามจ้อกแจ้กถึงอดีตบ้านหลังนี้... ถามโน่นถามนี่อยู่นั่น่แหละ... ถ้าจี้ตรงจุดล่ะก็จบเลย... ปิดไว้ไม่ได้... พูดไปก็วิ่งหนีทุกราย...

    ก็ราวๆ... สักปีหนึ่งได้แล้วล่ะมั้งคะ

    หืม? ตั้งปีหนึ่งเลยเหรอ... ไม่นานไปหน่อยเหรอ...

    ไม่รู้สิคะ... อาจเป็นเพราะตุ๊กตานั่นก็ได้มั้งคะ... อย่างว่าล่ะ... คนสมัยนี้ค่อนข้างขี้ระแวง... เห็นตุ๊กตาห้อยหัวตัวเดียวก็กลับบ้านนอนกุมขมับไปสามวัน แล้วก็โทรมาปฏิเสธ... น้อยคนนะคะ... ที่จะตาถึงแล้วก็กล้าตัดสินใจแบบว่า... ใจเด็ดน่ะค่ะ นางหน้าสาวกระพริบตาให้เชิงยั่ว เธอเริ่มรู้สึกแล้วว่าตาอ้วนนี่แอบเหลือบสายตามองที่อื่นนอกจากบ้าน... บ้านไม่สวยแต่ถ้าคนสวยก็อาจจะเก็บได้ละวะ... เราลองขึ้นไปชั้นบนกันดูไหมคะ?” เธอเอ่ยปากชวน

    ไปเลยก็ได้มั้ง... ชายอ้วนพูดง่ายๆก่อนเริ่มออกเดินตามหลังหญิงนางนั้นไป

    ทางขึ้นชั้นสองเป็นบันไดวนรูปตัวยู แต่ละขึ้นเป็นไม้ปาร์เก้สีน้ำตาลปนแดงแลดูเลิศหรู เงยหน้าขึ้นบนก็เป็นโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ ประกายเล็กๆของเกล็ดสีใสนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ที่สาดผ่านกระจกขนาบข้างบานใหญ่ผ่านสะท้อนแถบสีรุ้งไปสัมผัสกำแพงสีขาวเป็นริ้วระยับ สายตาของคุณนายผมบลอนด์กับอุรังอุตังจิ๋วมองไปยังภาพนั้นอย่างรู้สึกทึ่งในความงามอลังการของสถานที่แห่งนี้ แต่สำหรับชายร่างอ้วนนั่นไม่ใช่... แล้วก็ไม่ต้องเดาด้วยว่าเขากำลังจ้องอะไรอยู่... บั้นท้ายภายใต้กระโปรงรัดติ้วของนายหน้าสาวที่ตั้งใจจะเปิดช่องยั่วเต็มที่ยังไงล่ะ... ยิงเดินขึ้นบันไดแบบนี้ ระดับความสายตาของเขาก็ตรงเท่ากับสัดส่วนซ่อนเร้นของหญิงสาวพอดี

    งานนี้เก็บอยู่แน่... ตาเยิ้มซะขนาดนั้น... ออดอ้อนอีกหน่อยก็คงติดเบ็ดแล้วล่ะ...

    ชั้นสองนี่เป็นห้องนอนนะคะ... แล้วก็... ห้องทำงานด้านโน้น... ตรงจุดที่มองจากด้านนอกเข้ามาแล้วเห็นเป็นหน้าต่างโค้งๆเหมือนหอคอยน่ะค่ะ... นายหน้าสาวชี้ไปทางซ้ายมือ นั่นเป็นอีกหนึ่งจุดขายของบ้านหลังนี้ที่แลดูโดดเด่นกว่าที่อื่น  

    เด็กโข่งนั่นรีบวิ่งตรงไปเปิดประตูห้องทำงานทรงกระบอกนั้นดูอย่างตื่นเต้นทันทีที่สิ้นเสียงของนายหน้าสาว ส่วนสองสามีภรรยาที่แตกต่างกันสิ้นเชิงนั้นเดินไปเปิดประตูห้องนอนหนึ่ง ขณะนั้นเองที่ลูกค้าผละออกจากนายหน้าสาวไปจังหวะหนึ่ง

    ท่ามกลางช่วงลับสายตานี่เอง ที่หญิงสาวได้แอบเหลือบสายตามองขึ้นไปด้านบน จากโคนบันไดชั้นสองที่จะก้าวขึ้นสู่ชั้นที่สูงขึ้นไปอีก โคมระย้าชนิดเดียวได้แขวนเป็นสัญลักษณ์สูงขึ้นไปอีกชั้นก่อนที่จะบรรจบกับทางเดินของชั้นใหม่ และสูงขึ้นไป... คือทางขึ้นห้องใต้หลังคา... นัยน์ตาของเธอเหลือบสังเกตภาพนั้นอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเสียงของตาสามีนั่นดังมาอีก  บ้านนี้กี่ห้องนอนนะ?”

    สี่ค่ะ... ชั้นสองกับชั้นสามนี่ชั้นละสองห้อง... มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง นายหน้าสาวตอบกลับ

    บ้านใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงสร้างแค่สี่... ลูกชายแทรกมาบ้าง

    ก็... เจ้าของเก่าบ้านนี้... อยู่กันแค่สี่พี่น้องนี่คะ... เธอตอบคำถามสิ้นคิดของเด็กนั่นไปง่ายๆ จะขึ้นไปชมชั้นสามต่อไหมคะ...

    ไปเลย... สามีนั่นกล่าวเหมือนจะเซ้าซี้ให้เธอรีบพาขึ้นบันไดไปดูต่อเร็วๆ... ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำไม...

    และแล้วทั้งสี่คนก็เดินขึ้นบันไดวนที่มีลักษณะเหมือนเดิมไปสู่ชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ชั้นสามนี่ก็เหมือนกับชั้นสองทุกประการล่ะค่ะ... ห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำสองห้อง แล้วก็ห้องทำงานหนึ่งห้อง... นายหน้าอธิบายต่อ สายตาของผู้มาชมทั้งสามก็ทอดไปเรื่อยตามผนังพื้นฝาเพดานเหมือนจะเทียบสร้างภาพซ้อนของชั้นสองและชั้นสามว่าทับกันได้พอดีจริงหรือไม่ ซึ่งมันก็เท่าพอดีกันจริงๆ จะต่างกันก็มีเพียงแค่สีผนัง ซึ่งชั้นสองได้ปะวอลเปเปอร์สีเขียวแก่ ลายเถาไม้เลื้อย ในขณะที่ชั้นสามกลับทาด้วยสีขาวโพลนไร้ลวดลาย

    หลังจากปล่อยพวกลูกค้าเดินวนรอบชั้นนี้สักครู่หนึ่ง นายหน้าสาวก็เชิญให้ทั้งสามคนนั้น ขึ้นไปชมห้องใต้หลังคาต่อ และทางนี้ก็คือทางขึ้นห้องใต้หลังคา... ซึ่งก็นับว่าเป็นห้องสุดท้ายที่พวกคุณยังไม่ได้เข้าไปพบกับความงดงามภายในนะคะ... เธอกล่าว

    ห้องใต้หลังคานี่ก็สวยด้วยเหรอ?” ลูกชายนั่นพูดมากอีกแล้ว

    ค่ะ... ก็... ถึงจะเอาไว้เป็นแค่ที่เก็บของ... แต่... พื้นไม้นั่นก็เป็นปาร์เก้แบบเดียวกันกับชั้นนี้... แล้วก็...

    พอแล้วๆ ไปดูเลยก็ได้... เห็นเองง่ายกว่า... ตาอ้วนนั่นพูดเซ้าซี้ให้รีบขึ้นบันไดต่อ... ท่าทางจะติดใจบันไดวนที่แล้วล่ะสิ...

    ประตูห้องใต้หลังคาเป็นไม้สีเข้มขัดเงาอย่างดี หมุนลูกบิดทองเหลืองด้านหน้าเข้าไปก็เห็นได้ชัดถึงพื้นไม้เงาวับน่านั่งเล่น แม้ว่าห้องนี้จะทำหน้าที่เหมือนเป็นห้องเก็บของ... แต่มันก็ยังไม่สูญสิ้นความเป็นห้องผู้ดีที่เต็มไปด้วยการเลือกสรรวัสดุสร้างอย่างเลิศหรู หน้าต่างใสสามบานใหญ่รับแสงตะวันที่สาดเข้ามาจากสามทิศ มีรอยครูดขีดบนบานแก้วเหล่านั้นบ้าง แต่ก็ยังไม่เสื่อมถึงความมีคุณค่าไป ผนังในสุดด้านหนึ่งที่ปราศจากหน้าต่างนั้นคือพื้นสีขาวเหมือนกับผนังชั้นสาม... ที่น่าแปลกใจที่สุดคือในห้องนี้กลับไม่มีข้าวของใดใดที่จะรกหรือเกะกะลูกตาเหลืออยู่เลย... มันกลับโล่ง... โล่งและว่าง... ว่างกว่าทางเดิน ที่อาจยังมีรูปสีน้ำมันประดับอยู่ด้วยซ้ำ

    สวรรค์ชัดๆ ลูกชายโพล่งขึ้นอีก และคราวนี้เขาถึงกับวิ่งเล่นกระโดดไปบนไม้กระดานเงาวับเหล่านั้นอย่างร่าเริง... เด็กหนอเด็ก... ต่อให้ทรามแค่ไหนก็ยังเป็นเด็ก... ไร้เดียงสาและก็มีมุมที่ดูเหมือนกับสิ่งเล็กๆที่น่าถนอม...

    เป็นห้องที่วิเศษจังเลยนะ... แม่ของเขาพูดขึ้นเบาๆบ้าง

    เป็นอย่างไรบ้างคะ... ที่นี่... ถูกใจหรือเปล่า... นายหน้าสาวพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

    ไม่มีใครในครอบครัวนั้นที่สังเกตท่าทางประหลาดๆของหล่อน ที่ค่อยๆก้าวถอยหลังไปช้าๆ จนกระทั่งยืนพิงผนังชิดประตูห้อง และพยายามที่จะชิดปลายเท้าทั้งสองเข้ามาติดกัน

    เยี่ยมเลยค่ะ... หญิงผู้เป็นภรรยาและมารดากล่าวตอบง่ายๆ

    ผมก็ว่าไม่เลวเลยนะ... คุณควินเนอรอสวูด... ผมชักรู้สึกว่าคุณอาจจะได้ลูกค้าแล้วล่ะ...

    ในที่สุดก็สำเร็จ... สิ่งที่รอคอยมานาน... ทั้งๆที่ตอนแรกไม่น่าจะรอด... แต่เอาเข้าจริงก็ใช้ได้นี่... ตาครอบครัวเพี้ยนนี่... หลอกง่ายดีเหมือนกัน... เอาสิ... รีบตกลงเรื่องวันเซ็นต์สัญญาเลยสิ... มันจะได้จบๆกันสักที... ฉันกับบ้านหลังนี้น่ะ...

    แปลว่าคุณตัดสินใจจะซื้อแล้วเหรอคะ... นายหน้าสาวพูดอย่างดีใจออกนอกหน้า เธอเก็บอาการแทบไม่อยู่แล้วตอนนี้

    มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น... จริงสิ... คุณควินเนอรอสวูด... เรามาคุยรายละเอียดกันหน่อยเป็นไง... แต่ลงไปคุยข้างล่างเถอะนะ... ผมต้องยอมรับว่าห้องนี้มันอับจริงๆ... เอ่อ... ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สวย... แต่แปลว่าอากาศมันไม่พอ...

    จะใช่สาเหตุนี้จริงๆน่ะเหรอ... ไม่ใช่เพราะอยากลงบันไดหรอกรึ...

    ค่ะๆ งั้น... เชิญเลยค่ะ... เธอหันไปทางเด็กอุรังอุตังบ้าง หนูน้อย ชมห้องนี้พอหรือยังจ้ะ

    จะไปกันแล้วเหรอ... เด็กนั่นพูดเสียงดัง

    ก็ประมาณนั้นล่ะจ้ะ... แต่เดี๋ยวหนูก็คงจะได้ขึ้นมาวิ่งบนนี้อีกบ่อยเลยล่ะ... นายหน้าสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม งั้นเชิญคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเลยค่ะ... เธอยังคงยืนอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมก่อนที่จะผายมือให้สองสามีภรรยาก้าวออกจากประตูห้องนี้ และลงบันไดไป...

    รีบลงไปสิ... ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก...

    คุณควินเนอรอสวูด... เชิญคุณก่อนเลย... ตัวสามีนั่นจู่ๆก็พูดออกมา

    แหม... ก็ดิฉันต้องปิดห้องนี้นี่คะ... เชิญคุณก่อนเลย... ให้ตายสิ... อย่าบอกว่าจะมาทำหัวงูตอนนี้นะ... ลงไปถึงชั้นสามก่อนแล้วจะจัดท่าอย่างไรก็เอาเถอะ แต่ขออย่างเดียว... ตอนนี้น่ะหยุดก่อน... ออกไปให้พ้นๆจากห้องใต้หลังคานี่ก่อนเถอะ... แล้วจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ... ฉันล่อซะขนาดนี้แล้วมีหรือที่จะไม่ยอมให้ตอดต่อน่ะ... ขอแค่รีบๆลงไปเท่านั้น

    งั้นเหรอ... ชายอ้วนพูดเหมือนไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของหล่อนเท่าไหร่

    ค... ค่ะ ก็ใช่นะสิคะ... ดิฉันต้องล็อกห้องนี้นี่...

    งั้นก็ได้... และแล้วเขาก็ผละลงบันไดไปคนแรก ภรรยาของเขาทำท่าเหมือนจะเดินลงตามไปแต่ก็ย้อนกลับไปดึงมือลูกชายจอมซนนั่นให้ตามลงไปก่อน เธอจึงเป็นคนสุดท้ายในห้องนี้

    ขอบคุณมากนะสำหรับการพาชมบ้านในวันนี้ เธอพูดกับนายหน้าสาวยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินลงบันไดไป

    ในที่สุดก็ออกไปกันหมดเสียที... รอดแล้วคราวนี้... จบสิ้นกันเสียที...

    ตามหลังหญิงผมบลอนด์ นายหน้าสาวก็เดินออกมาจากตำแหน่งเดิมและก้าวลงบันได พลางดึงประตูไม้กลับปิด เธอควานหากุญแจในกระเป๋าสะพาย แต่แล้ว เสียงที่ทำให้ความหวังของเธอต้องดับสิ้นก็ดังขึ้น

    แม่... ลูกอมของผมหายไปไหนก็ไม่รู้... เด็กอุรังอุตังนั่นเอาอีกแล้ว

    อ้าว... แล้วลูกไปทำตกที่ไหนอีกล่ะ... สงสัยคงตอนวิ่งเล่นบนห้องนั้นละมั้ง... เออ... คุณควินเนอรอสวูด ขอโทษนะคะ... แต่ช่วยเปิดประตูนั่นอีกครั้งได้ไหมคะ... ลูกชายฉันทำลูกอมตกไปในห้องนั้นน่ะ... แย่จริงๆเลยเด็กคนนี้...

    ไม่นะ ไม่ๆๆๆ จะรอดอยู่แล้ว ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย... อ๋อ... ค่ะๆ... ได้... คงหาไม่ยากนะคะ... เพราะห้องนี้ไม่มีของอะไรเลย...นายหน้าสาวจำใจเปิดบานไม้นั่นออกอีกครั้ง โถงโล่งสีน้ำตาลเงาก็ปรากฏให้เห็นตามเดิม  สองแม่ลูกนั่นก็เดินผ่านหน้าหล่อนเข้าไปในห้องเดิมนั้นทันที

    รีบเจอ รีบหยิบ แล้วก็รีบออกไปซะเถอะ... อย่ามีอะไรมากกว่านั้นแล้วกัน...

    สามีของหล่อนเงยหน้าขึ้นมามองถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาตะโกนถามมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ มีอะไรงั้นเหรอ...

    เปล่าค่ะ... พอดีลูกชายคุณทำลูกอมตกไปในห้องนั้นน่ะค่ะ... นายหน้าสาวตอบ

    ให้ตายสิ... จะโง่อะไรขนาดนั้นวะเนี่ย... ตานั่นรำพึงกับตนเอง

    ฉันก็อยากพูดแบบนั้นเหมือนกัน... รีบพบ รีบออก... ทุกอย่างจะได้จบ... และแล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น

    เจอแล้ว... นี่ไง... เสียงเด็กโข่งนั่นดังลั่นมาจนหูแทบแตก แต่คราวนี้กับฟังดูน่ายินดีที่สุด

    งั้นเรากลับลงไปข้างล่างกันเถอะนะคะ... นายหน้าสาวโผล่หน้าเข้าไปในห้องนั้น แล้วก็เรียกลูกค้าของตนให้ออกมาจากส่วนบนที่สุดของอาคารแห่งนี้

    ไปลูก... รีบลงไปเถอะ... แม่ของเด็กนั่นก็เรียกตามมา ในจังหวะเดียวกันนั้นเองที่อุรังอุตังจิ๋วกับหญิงผมบลอนด์ได้ย่างกรายผ่านขอบประตู มันเป็นจังหวะเดียวกันที่นายหน้าสาวยกกุญแจขึ้นในมือพร้อมที่จะผนึกห้องนี้กลับไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หัวใจของหล่อนแทบต้องแตกสลาย

    หืม? ที่มันอะไรกันน่ะ... เสียงแม่ผมบลอนด์ดังขึ้น ทำให้ลูกชายของเขาต้องหันกลับไป อะไรน่ะแม่

    โอ้พระเจ้า... ยัยนี่ดีมาตั้งแต่ต้น... จะมาทำเสียเรื่องตอนนี้เนี่ยนะ...

    แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่หล่อนคิด แม่นั่นทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น ณ ตำแหน่งที่นายหน้าสาวเคยยืนบังอยู่ สายตาของหล่อนกับลูกชายจ้องตรงไปยังพื้นไม้ปาร์เก้ที่นายหน้าสาวเคยเอาส้นสูงปกปิดเอาไว้

    คุณควินเนอรอสวูด... นี่มันอะไรกันน่ะ... คุณรู้หรือเปล่าคะ... เสียงเธอเรียกให้หล่อนต้องพบกับความสิ้นหวัง... สิ่งที่เธอคนนั้นกำลังเพ่งพินิจสายตาไป ณ บัดนี้ก็คือรอยมารอะไรสักอย่างที่จารึกอยู่บนแผ่นไม้สีน้ำตาลเข้ม... อักษรสีขาว... อันเกิดจากการใช้ของมีคมขูดลงไปบนเนื้อไม้... ปรากฏชัดเบื้องหน้าผู้มาเยือน

     

    ฆาตกรรมเหรอ... มันก็เหมือนกับการเอามีดแทงเข้าไปในหัวใจของหนูยังไงล่ะ... แทงเข้าไปลึกๆ และดึงมีดออกช้าๆ... ทำให้หนูเจ็บปวด... เจ็บปวดจนตายเลยล่ะ

     

    ฆาตกรรมเหรอ... มันก็เหมือนกับการเอามีดแทงเข้าไปในหัวใจของหนูยังไงล่ะ... แทงเข้าไปลึกๆ และดึงมีดออกช้าๆ... ทำให้หนูเจ็บปวด... เจ็บปวดจนตายเลยล่ะ... คุณควินเนอรอสวูด... นี่มันอะไรกันเนี่ยคะ...

    เอ่อ... จะตอบอย่างไรดี ในเมื่อมันเห็นกันชัดซะขนาดนั้นแล้ว... คือ... นี่มันก็แค่สิ่งที่เด็ก.... เด็กของผู้อยู่อาศัยเก่าขีดเขียนเล่นน่ะค่ะ... อย่าไปสนใจมันเลยนะคะ...

    คุณจะบอกว่า... ประโยคบ้าๆนี่... คือสิ่งที่เด็ก... เด็กเนี่ยนะ... ที่มาเขียนเล่นน่ะ... ตาลุงอ้วนนั่นกลับขึ้นมาแล้ว และเขาก็เห็นในสิ่งที่ภรรยาของตนเห็นซะด้วย... ที่อ่อยไว้ตอนแรกก็หมดกัน... จบสิ้นแล้วรายนี้...

    คือว่า... จะอธิบายยังไงดีเนี่ย... ให้ฟ้าถล่มสิ... ทำไมต้องเห็นกันทุกรายเลยวะ...

    ผมเริ่มรู้สึกว่าบ้านนี้มีอะไรแปลกแล้วคุณควินเนอรอสวูด... ตั้งแต่ที่ราคามันถูกผิดปกติ... ตุ๊กตาห้อยหัวนั่น... แล้วก็อักษรบ้าๆนี่... คุณควินเนอรอสวูด...ผมถามจริงเถอะ... มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่... มันคงไม่มีบ้านสวยๆหลังไหนในโลกที่จะขายไม่ออกหรอก... นอกเสียจาก... ประวัติมันไม่ค่อยดีนัก... บอกผมตรงๆเถอะ...

    เยี่ยมไปเลย... จี้ซะตรงจุดขนาดนั้น... บ่ายเบี่ยงไม่ได้ด้วย... โกหกไปก็ไม่ได้... จบกันแล้วล่ะทีนี้

    ในที่สุดนายหน้าสาวก็จำต้องตัดสินใจปล่อยความจริงออกไป บ้านหลังนี้... เคยเกิดเหตุฆาตกรรมค่ะ

    ฆาตกรรมเหรอ!!!” สามพ่อแม่ลูกตะโกนออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน

    ค่ะ... แต่... มันก็เป็นแค่ประวัติ... แล้วเจ้าของคนปัจจุบันก็จัดการทุกอย่างใหม่แล้ว... เพราะฉะนั้น... อะไรที่มันไม่ดีก็ควรจะถูกลบไปหมดแล้วล่ะค่ะ... นายหน้าสาวกล่าวตะกุกตะกัก... ไม่ชอบเลยที่จะต้องมาพูดแก้ตัวแบบนี้... เลวร้ายที่สุด...

    แต่คุณเป็นคนบอกเองนะว่า เจ้าของบ้านนี้กำชับให้เก็บของทุกชิ้นไว้... งั้นแปลว่า... ทุกชิ้นที่เคยอยู่ในที่เกิดเหตุนั่น... ก็ยังอยู่ถึงทุกวันนี้... คุณควินเนอรอสวูด... มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ตาอ้วนนั่นซักต่อ

    ก็... ก็ใช่ค่ะ... แต่ทั้งหมดนั่นคือของชิ้นอื่นที่อยู่ในบ้าน... แต่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุนะคะ...

    แล้วที่เกิดเหตุนั่นคือตรงไหนล่ะ...

    เอ่อ... จะพูดยังไงดีล่ะ... ก็ในเมื่อมันคือที่ที่คุณยืนอยู่นั่นแหละ...

    ห้องนี้เหรอคะ... ในที่สุดนังคนที่ทำเสียเรื่องก็พูดขึ้น เสียงของเธอฟังดูสุภาพ แต่ก็หนักแน่น หนักแน่นจนนายหน้าสาวไม่กล้าที่จะเถียงหรือเล่นลิ้นอะไรอีก...

    ค่ะ... ประมาณนั้น... หล่อนจำใจต้องตอบไปอย่างนั้น

    มันก็เลยเป็นห้องเดียวที่ถูกโละของออกไปสินะ... แม่นั่นยังคงพูดต่อ คุณควินเนอรอสวูด... ตกลง... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่... ดิฉันขอฟังเรื่องทั้งหมดเท่าที่คุณรู้ได้ไหมคะ... ขอโทษนะคะถ้ามันอาจเป็นการซักไซ้ไม่เข้าเรื่องน่ะ... แต่... แต่สำหรับฉัน... ในฐานะคนที่อยากซื้อบ้านหลังนี้... ก็ควรที่จะรู้ประวัติของมันจริงไหมคะ

    นายหน้าสาวถอนหายใจลึก ค่ะ... ฉันจะเล่าให้คุณฟัง... ไม่มีอะไรจะเสียแล้วตอนนี้... มันจบแล้วล่ะ คนที่ตายนั่นน่ะ... ชื่อ เจนิเฟอร์ ควอนเดอร์โทป... เธอเป็นพี่สาวคนโตของสี่พี่น้องควอนเดอร์โทป ทำอาชีพเป็นดีไซน์เนอร์  หลานชายของเธอพบศพหล่อนในห้องนี้...

    แล้วคนอื่นๆในสี่พี่น้องนั่นก็คือเจ้าของบ้านคนปัจจุบันที่ขายบ้านนี้ทิ้งเพื่อหนีจากความทรงจำเลวร้ายที่เกิดกับพี่สาวใช่ไหมคะ... เธอคนนั้นซักต่อ

    เปล่าค่ะ... นายหน้าสาวกลืนน้ำลายลงคอ พวกนั้นตายกันหมดแล้ว... ตายก่อนเจนิเฟอร์ด้วยซ้ำ

    ตายหมดเลยเหรอ!” ตาอ้วนถามเหมือนแทบจะสำลักน้ำลายตนเอง

    ก็... ใช่ค่ะ...

    ถูกฆาตกรรมทุกคนหรือเปล่า... แม่ผมบลอนด์ยังคงถามด้วยน้ำเสียงปกติ เธอดูเหมือนจะเป็นคนที่สติดีและมีเหตุผลที่สุดในครอบครัว เพราะบัดนี้ ตาอ้วนนั่นก็หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม ส่วนลูกชายอุรังอุตังนั่นก็ซบหน้าไปบนไหล่ของมารดาเสียแล้ว

    ก็... ใช่ค่ะ... แล้วเจนิเฟอร์ก็คือคนสุดท้าย...

    ตายยังไง...ตาสามีทำใจเด็ดถามมาบ้าง

    ให้ตายเถอะ... คำถามของตาอ้วนนี่จะแทงใจดำไปถึงไหน... ไม่มีอะไรถามแล้วเหรอ... ถามมาได้... ตายยังไง... แล้วดูคำตอบของฉันสิ... น่าตอบตายล่ะ... เดี๋ยวก็คิดว่าฉันประสาทเอาเรื่องพวกนี้มาบอกลูกค้าอีก

    อันที่จริง... เธอโดนฆ่ารัดคอ... แต่ศพไม่ค่อยสวย...

    เลือดสาดเหรอ... ตาอ้วนพูดเหมือนอยากจะโชว์ความกล้าทั้งๆที่หน้าไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว แต่คำตอบของนายหน้าสาวกลับทำให้หน้าบวมๆนั้นต้องซีดเข้าไปอีก

    ไม่ค่ะ... เลือดนั่นไม่ใช่ของเธอ... คือ... อันนี้จากปากของเจ้าของบ้านนะคะ... ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าเพราะดิฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนั้นเลย... แต่เธอโดนริบบิ้นสีชมพูพันรอบตัว แล้วก็โยงขึงไว้กับเพดานกับหน้าต่าง... เหมือนแมลงตัวเล็กๆ ที่ติดอยู่ในใยแมงมุม...

    ผมไม่ไหวแล้ว... อยากจะอ้วก!” เด็กนั่นร้องลั่น ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว... ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก... เพราะตอนแรกที่นายหน้าสาวได้ยิน... เธอก็แทบช็อคที่จะต้องขายบ้านผีตายโหงแบบนี้

    เดี๋ยวนะ... คุณพูดว่าเลือดนั่นไม่ใช่ของเธอ... งั้นก็ต้องแปลว่า... มีเลือดด้วย... แต่.... หมายความว่าไง... คุณลองอธิบายให้ชัดเจนหน่อย หญิงผมบลอนด์ถามต่อ ยัยนี่ช่างสังเกตชะมัด แถมยังจับได้ทุกจุดที่นายหน้าสาวหลุดปากพลาดออกมาเสียด้วย

    คือ... ศพของเจนิเฟอร์... ไม่มีเลือดออกสักหยดค่ะ... แต่ทั่วผนัง... นั่นน่ะมี... ฉันไม่รู้ว่ามันคือเลือดหรือเปล่า... แต่เจ้าของคนปัจจุบันบอกว่า มีรอยสีแดงเขียนไปรอบๆห้อง แล้วก็ยาวลงไปถึงชั้นสาม...

    แปลว่าที่ผนังนั่นเป็นสีขาว... ก็เพราะว่ามันโดนแงะวอลล์เปเปอร์เก่าออกแล้วทาสีทับ...

    ค่ะ... แต่คุณคะ... ทั้งหมดที่ดิฉันเล่าให้คุณฟังเนี่ย... ดิฉันยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะดิฉันเองก็เคยกลัว... แต่ตอนนี้น่ะไม่แล้ว... เพราะว่าเรื่องทั้งหมดมันผ่านมาแล้วตั้งปีนึง แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว... บ้านหลังนี้ก็เป็นเหมือนกับแค่... แค่สถานที่หนึ่งที่ไม่มีอะไรเท่านั้น... ก็เหมือนกับทุกที่ในโลกล่ะค่ะ... ที่ต้องเคยมีคนตายมาก่อน... ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นหรือไม่ว่าคนที่ตายนั้นเป็นใคร หรือตายยังไง... แต่คนคนนั้นก็ตายไปแล้ว... เขาก็ไปโลกนั้นแล้ว ไม่ได้มาอยู่กับเรา... เพราะฉะนั้น... ขอร้องเถอะนะคะ... มันไม่ได้มีอะไรเลย... ที่นี่... ก็เป็นแค่บ้านหลังหนึ่ง... ที่สามารถเป็นสวงสวรรค์ของมนุษย์อย่างเราๆได้เหมือนที่อื่นทั่วไป... นายหน้าสาวพยายามอธิบายอย่างช้าที่สุด... พยายามพูดเพื่อจะยื้อลูกค้าไว้จนถึงหยดวินาทีสุดท้าย

    และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นความเงียบสงัด... ผ่านไปตราบนานเท่านาน จนกระทั่ง... เสียงของหญิงผมบลอนด์ดึงขึ้นอย่างเรียบๆ สายตาของหล่อนจับตรงกับนายหน้าสาวอย่างเต็มที่ บ่งชัดถึงความรู้สึกภายในที่เข้าใจหล่อนอย่างเต็มหัวอก

    คุณควินเนอรอสวูด... ดิฉันเข้าใจคุณ... แล้วก็เข้าใจทุกอย่าง... แต่ดิฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ... โดยลำพังตัวฉันแล้ว... มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยที่จะต้องอยู่ในบ้านที่เคยมีเรื่องแบบนี้... จริงอย่างที่คุณพุด... มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ล่ะค่ะ... แต่... สำหรับครอบครัวฉัน... มันคงต้องเป็นสิ่งที่น่าลำบากใจที่จะยอมรับ... แม้ว่าจะรู้อยู่ว่ามันไม่มีอะไร... แต่ตราบใดที่มันมีคำว่าครอบครัวมาเกี่ยวข้อง... เราก็ต้องแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อกันและกันจริงไหมคะ... แล้วอะไรที่มันทำให้คนที่เรารักรู้สึกแย่... เราก็คงจะยอมรับมันเข้ามาในชีวิตไม่ได้... เพราะฉะนั้นดิฉันคงไม่สามารถซื้อบ้านนี้ได้... คุณคงเข้าใจดิฉันดีนะคะ... คุณควินเนอรอสวูด... เพราะดิฉันก็เข้าใจคุณเหมือนกัน... ที่จำเป็นต้องอยู่บนความจริงที่ไม่มีใครรับได้นี้น่ะ...  เธอคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆ แต่ก็ชัดไปด้วยความหมายและด้วยนัยน์คำพูดทุกคำ สีหน้าของหล่อนในตอนนี้ผิดไปจากหญิงกลัวผัวที่เห็นในตอนแรกพบอย่างสิ้นเชิง เธอกลับกลายเป็นแม่เรือนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง... หญิงที่รักครอบครัวอย่างสุดจิตสุดใจ... เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและความอ่อนโยน... อ่อนโยนจนนายหน้าสาวไม่อยากจะโต้เถียงยื้อเธอไว้ในความดำมืดนี้อีกต่อไป...

    ค่ะ... ไม่เป็นไร... ในที่สุดนายหน้าสาวก็ตอบรับอย่างง่ายๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินตามกันลงไปที่ชั้นล่างอย่างปราศจากเสียงพูดใดใด

    ร่างของลูกค้าทั้งสามหันหลังกลับสู่รถยนต์ส่วนตัว กลับออกไปจากบ้านประหลาดหลังนี้อย่างที่ไม่คิดจะกลับมาเหยียบอีกเลย... นายหน้าสาวลงกลอนประตูหน้าบ้านนั้นอย่างสิ้นหวังก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยังถนน ร่างของคนทั้งสามนั้นปรากฏเป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่ที่ขอบระดับสายตา... ภาพของเด็กน้อย ที่อาจซนและน่ารำคาญไปบ้าง แต่ก็ยังไร้เดียงสา เดินวนรอบร่างของพ่อผู้ไม่เอาไหนอย่างร่าเริง... ภาพของชายอ้วนคนนั้นที่พยายามจะตะครุบตัวลูกให้ยืนอยู่นิ่งๆ... ภาพของภรรยาสาวผมบลอนด์ที่ยืนมองสองพ่อลูกหยอกกันยิ้มๆ... ภาพของครอบครัวหนึ่ง... ที่แม้ว่าอาจจะไม่ได้ดีเลิศประเสริฐไปทุกอย่างเหมือนกับเทพยดาลงมาจุติ แต่ก็เป็น ครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์...

    นายหน้าสาวมองภาพนั้นเงียบๆ... เส้นผมสีดำตัดสั้นบ๊อบเสมอคางปลิวไปตามกระแสลมเย็น... นัยน์ตาสีเทาคมแฝงด้วยความนุ่มหวานและความเกรี้ยวกราดดุจเสือตัวเมียที่ทั้งสวยสง่าและอำมหิตจ้องไปยังภาพการจากไปนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นในใจ... ผิวสีแทนของหล่อนกระทบแสงอาทิตย์อัสดง... นิ้วมือที่ปลายเล็บทาด้วยน้ำยาสีดำเงาค่อยๆกำแน่นอย่างช้าๆ...

    ดีแล้วล่ะ... ที่ปล่อยให้คนพวกนั้นจากไป...

    ชาล็อต ควินเนอรอสวูด ค่อยๆออกเดินกลับขึ้นรถของตน ก่อนที่จะขับมันผละออกไปจากบ้านที่ยังคงร้างอยู่ตามเดิม...

    นายหน้าขายบ้านสาวขับรถไปตามถนนอันเงียบสงบ ก่อนที่จะชะลอหยุดมันจอดนิ่งอยู่ ณ จุดพักรถแห่งหนึ่ง... หญิงสาวกระชากเข็มขัดนิรภัยออกจากหน้าอกของตน ก่อนที่จะก้าวลงจากรถไปอย่างทะมัดทะแมง เธอค่อยๆเดินตรงไปยังร้านกาแฟเล็กๆที่ตั้งอยู่มุมสุดของซอกถนนนั้น ก่อนที่จะเปิดประตูกระจกใสเข้าไป และทรุดตัวนั่งลงบนเคาน์เตอร์บาร์ทันที

    หญิงสาวยกมือขึ้นมากุมศีรษะ เพียวเอสเปรสโซ่ ไม่เติมนมไม่เติมน้ำตาล หล่อนตะโกนสั่งพนักงานในร้าน เขาคนนั้นสะดุ้งเฮือกด้วยเสียงอันดังคมแข็งของหล่อน แต่แล้วก็หันกลับมาแล้วยิ้มให้

    เพียวเลยเหรอครับ? เอสเปรสโซ่ของร้านเรานี่รสชาติขมเอาเรื่องเลยนะครับ เด็กร้านกาแฟถามพลางหัวเราะแหะๆ

    ฉันสั่งเพียวก็คือเพียว มีปัญหาเหรอ?” ชาล็อตตวาดใส่ น้ำเสียงและบุคลิกของหล่อนในตอนนี้ต่างจากตอนเป็นแมวขวักยั่วสวาทเปิดประตูบ้านนั่นสิ้นเชิง

    เปล่าครับ ชายคนนั้นบ่นเสียงอู้อี้ในลำคออีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเดินกลับเข้าร้านไปชงของขมอย่างที่หล่อนสั่งโดยจำใจ

    ไม่นานนัก ชายคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับกาแฟสดสีดำสนิทในมือ

    เฮอะ... จะขมแค่ไหนกันเชียว... ยังไงๆก็คงขมไม่เท่ากับชีวิตของฉันตอนนี้หรอก...

    และแล้ว นายหน้าสาวก็ซดกาแฟถ้วยนั้นเข้าไปแบบอึกเดียวครึ่งแก้ว เธออยากจะกลืนๆมันลงไปโดยไม่ลิ้มรสอะไรทั้งสิ้น แต่ความขมเข้มของมันก็บาดลิ้นเหมือนจะแล่เฉือนความขมขื่นเค้นออกจากความรู้สึกภายใน

    น้ำร้อนๆในแก้วนั้นลวกคอของหล่อนกำลังได้ที่...

    จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ได้ดังขึ้น หญิงสาวคว้ามันขึ้นมาแล้วอ่านชื่อ... เยี่ยมไปเลย... หัวหน้ายิงมาแล้ว... สงสัยคราวนี้คงต้องบอกลากับอาชีพนายหน้าขายบ้านเสียที...

    ค่ะ... เธอพยายามจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มร้อยเสน่ห์แบบที่ดัดจริตทำเป็นปกติ

    คุณควินเนอรอสวูดเหรอ... เสียงแก่ๆของชายคนหนึ่งดังมาจากปลายสาย

    ใช่ค่ะ ชาล็อตตอบ

    ผมคิดว่าวันนี้ผมควรได้ฟังข่าวดีจากคุณนะ... โอ้โห... ยกหูแล้วก็โดนใส่เลย...

    ดิฉันก็ควรได้ฟังข่าวดีจากลูกค้าเหมือนกัน... ท้ายประโยคนี่เธอเน้นเสียงประชดกับ

    แปลว่ายังขายไม่ออก... เหรอ?”

    แล้วท่านคิดว่าขายออกหรือยังล่ะคะ... บ้านที่มีประวัติเหมือนกับนิยายสยองขวัญเนี่ย

    ยัง...

    ก็นั่นล่ะค่ะ... ผลลัพธ์ก็ตามนั้น

    แต่มันควรจะขายออก... เร็วๆนี้... ชายคนนั้นตวาดใส่ น้ำเสียงแสดงถึงโทสะอย่างชัดเจน

    ดิฉันก็พยายามอยู่ค่ะ... เมื่อวานซืนนี่มาดูเจ้านึง... เย็นนี้ก็อีกเจ้า...

    แต่คุณก็คว้าน้ำเหลวตามเดิม...

    ก็ใช่... มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาลูกค้าใจแข็งฟังเรื่องสยองขวัญนั่นแล้วตัดสินใจเซ็นต์สัญญาทันทีนี่คะ... ชาล็อตพูด เธอก็เริ่มมีน้ำโหแล้วบ้างเหมือนกัน  ยัดงานช้างใส่กระโหลกแล้วยังจะมามีหน้ามาบ่นว่าทำไมแบกไม่ไหวอีก... ฉันก็คนนะโว้ย

    นี่คุณเล่าเรื่องนั้นให้ลูกค้าฟังเหรอ!” เจ้านายพูดแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง

    ค่ะ... ถ้าเขาถาม... เราก็ไม่อาจจะโกหก...

    คุณควินเนอรอสวูด... ถามจริงเถอะ... คุณแยกแยะไม่ได้เหรอ... ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดน่ะ... บ้านสวยๆ ราคาถูกมันควรจะขายออกง่ายๆ แล้วเราก็จะได้เงินเร็วๆ... ไม่ใช่ดองเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบนั้น

    ก็เพราะบ้านสวยๆราคาถูกมันควรจะขายออกง่ายๆ แต่มันดันขายไม่ออก... เขาก็เลยถามไง...

    แล้วคุณก็เลยตอบไปซื่อเหรอ...

    ดิฉันพูดในแค่สิ่งที่ควรพูด ซึ่ง...การโกหกลูกค้า... ดิฉันถือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด...

    งั้นคุณก็ควรรู้ว่าการพูดตามเจ้านายสั่งคือสิ่งที่ควรพูด...นายคนนั้นแว้งกลับ

    ใช่... แล้วดิฉันไม่ได้ทำหรือคะ... ชาล็อตกระแทกเสียง เธออยากจะเขวี้ยงมือถือไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่จำต้องอดกลั้นเอาไว้

    ผมคิดว่าคุณไม่ได้ทำ... นายนั่นยังไม่เลิก

    งั้นดิฉันจะทำอย่างที่คุณบอกก็ได้... แล้วดูสิว่า ดิฉันจะขายออกไหม นายหน้าสาวเน้นเสียง ริมฝีปากของเธอกระทบกันถี่ยิบ

    ไม่... คุณควินเนอรอสวูด... เจ้านายของหล่อนพูดเหมือนจะเพิ่งนึกออกว่าเขากำลังจะเสียท่า เอาอย่างนี้แล้วกัน... ผมให้เวลาคุณกับบ้านหลังนี้อีกสองสัปดาห์... ถ้าคุณไล่มันออกไปจากบัญชีรายชื่อของสำนักงานเราไม่ได้... ชื่อของคุณจะถูกไล่ออกจากบัญชีแทน... ชัดเจนนะครับ

    ได้ค่ะ... ขอบคุณที่เห็นใจกัน ชาล็อตกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ กาแฟที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วแทบจะพุ่งออกมาจากขอบปากถ้วย... เวรแท้ๆ... ในที่สุดก็ตกงาน... วิเศษจริงๆ

    หญิงสาวคว้าแก้วกาแฟหวังจะเทลวกคอตนให้มันทะลุไปรู้แล้วรู้รอด แต่ก่อนที่เธอจะกรอกน้ำนรกนั่นเข้าปากได้เอง โทรศัพท์มือถือที่เพิ่งกระแทกทิ้งไปก็ดังขึ้นอีก

    ใครอีกวะเนี่ย... ชาล็อตรำพึง หยิบหน้าจอของมันหงายขึ้นดูเบอร์อีกครั้ง แล้วความรู้สึกเลวร้ายกว่าเดิมก็ทำให้เธออยากจะจุ่มเครื่องส่งสารนี้ลงไปในถ้วยกาแฟ เรื่องมันจบแล้วจะโทรมาทำไมอีก...  หล่อนสบดกับตัวเองก่อนที่จะรับสาย

    จอร์จ... ฉันว่าเราจบกันแล้วนะ... นายหน้าสาวกล่าวเสียงนิ่งๆ

    ก็ใช่... แต่... เอ่อ... ชาล็อต... เธอฟังที่ฉันพูดหน่อยนะ...

    จะเอาอะไรอีกล่ะ... ฉันไปเช็คให้ดูแล้วว่าไม่ได้ท้อง... ยังไม่พอใจอีกเหรอ

    เปล่า... แต่เอ่อ... ชาล็อต... ฉันคิดว่า... เธอ... ไม่สิ... ฉัน... เอ่อ...

    ทำไมอีก... ตอนนี้ฉันถังแตก... ถ้าจะยืมเงินน่ะไม่มีหรอก... หญิงสาวฉุนถึงขีดสุด ไอ้บ้านี่จะโทรตื้อไปถึงเมื่อไหร่กันนะ... แค่เห็นชื่อก็อยากจะกระทืบทิ้งแล้ว... นี่เล่นมาทั้งเสียงทั้งชื่อหลังจากมรสุมคว้านสมอง... ไม่อยากจะถีบลงปล่องเหวนรกแล้วเอาฉมวกกระซวกไส้ซ้ำเลยเหรอ...

    คือ... เธอฟังนะ... หลังจากที่ฉันเลิกกับเธอนั่นน่ะ... แล้ว... แล้วฉันก็รู้สึกว่า... ฉันทำผิดมหันต์เลยที่ทิ้งของมีค่าที่สุดในชีวิตไป...เสียงผู้ชายคนนั้นเหมือนจะอ้อนวอนเหมือนลูกสุนัขที่เพิ่งโดนเจ้าของฟาดใส่

    โทษทีนะ... ที่ฉันไม่ใช่กุลสตรีหรืออะไรที่มันมีค่าขนาดนั้น... ลาก่อน...

    เดี๋ยวๆ ชาล็อต... ฉันขอโทษ... ฉันผิดไปแล้วที่ทิ้งเธอ... ให้ตายสิ... ขอโอกาสฉันอีกครั้งได้ไหม

    จะเอาไปเผาทิ้งอีกล่ะสิ... หญิงสาวระเบิดอารมณ์ใส่

    ไม่ๆ มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ชาล็อต... ฉันขอโทษ... ฉันรู้ตัวว่าฉันเป็นคนผิด... จอร์จทำเสียงเศร้า และฟังเหมือนอยากจะสะอื้น... ไม่รู้ว่าจะร้องจริงหรือแกล้งบีบน้ำตากันแน่... แต่ที่รู้คือ สำหรับผู้หญิงคนนี้... เธอจะไม่มีวันเชื่อใจคนระยำอย่างนี้อีกแล้ว

    รู้ตัว... แล้วไง... ก็เลยอยากให้ฉันให้อภัย... เหรอ... นายหน้าสาวยังพูดแบบไม่ใยดี

    ก็... ฉันเคยทำเธอเจ็บปวด... แต่... นั่นมันก็ทำให้ฉันเจ็บปวดเอง... ฉันคิดว่า... อะไรๆจะดีขึ้นถ้าเรากลับมาอยู่ด้วยกัน... แล้วเราก็จะได้มีความสุข... ทั้งคู่...

    ชาล็อตฉุนขาด นั่นเป็นคำขอโทษที่ห่วยและเลวร้ายที่สุดที่เธอเคยได้ยิน... จะอยู่ด้วยกันใหม่... เพื่อความสุข... ของตัวเอง... ไอ้โสมมเอ๊ย เธอคิดว่าฉันเมากลิ่นขนใต้สะดือเธอหรือ จอร์จ... ฉันจะบอกอะไรให้นะ... ตอนนี้น่ะ... ฉันแฮปปี้ที่สุด ที่ได้ออกห่างผู้ชายถ่อยๆอย่างแกน่ะ... มีอะไรจะพูดอีกไหม?”

    อีกฝ่ายเงียบไปในทันที

    ไม่มีก็บาย... โชคดี... นายหน้าสาวกดปุ่มวางหูในทันทีนั้น และคราวนี้เธอก็รั้งอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่จนถึงขึ้นต้องเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือลงไปบนโต๊ะ

    ให้ตายเถอะ... นี่มันวันโลกาวินาศหรือไง... บ้านก็ขายไม่ออก... หัวหน้าก็งี่เง่า... แล้วอีตาบ้านี่ยังจะกลับมาตามตอแยอีก... ไม่ให้ฟ้าถล่มมาทับด้วยเลยล่ะเป็นไง!

    หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ... บัดนี้เส้นเลือดทั่วกายหล่อนสูบฉีดพล่าน...

    ในที่สุด นายหน้าขายบ้านสาวก็ซดกาแฟอีกครึ่งแก้วที่เหลือลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะลุกขึ้นโยน ควักเศษเหรียญในกระเป๋าให้พนักงาน แล้วสะบัดกายออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว

    หญิงสาวเดินกลับไปยังรถของตน หลังคาสีดำเงาของมันสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงเข้ากระทบนัยน์ตาของหล่อนทำให้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น หญิงสาวลั่นกุญแจเปิดประตู กระโดดเข้าไปนั่งบนเบาะ แล้วก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง เธอเสียบลูกกุญแจเข้าสตาร์ทเครื่อง อย่างเดือดดาล

    จังหวะนั้นเองที่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม...

    อีกแล้วเหรอ!” นายหน้าสาวแทบจะเสียสติเมื่อเสียงซาตานเรียกหาดังมาอีกครั้ง ในใจอยากจะทิ้งมันไว้อย่างนั้น... แต่ด้วยสัญชาติญาณ จึงจำต้องหยิบมันขึ้นมา

    สายเรียกเข้า... พี่วิเวียน...

    พี่โทรมาเหรอ?” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง รู้สึกว่าชื่อที่ปรากฏนั่นที่จะให้หล่อนแปลกใจมิใช่น้อย

    หญิงสาวค่อยๆกดรับสายด้วยอารมณ์ที่ยังไม่หายบูด

    ฮัลโหล...

    ชาล็อต... นี่เธอเหรอ... เสียงนุ่มหวานจากปลายสายดังมา น้ำเสียงนั้นฟังดูมีความสุขดี ต่างกับผู้รับสายโดยสิ้นเชิง...

    ใช่... วิเวียน... พี่มีอะไรเหรอ

    ก็... เยอะเลยจ้ะ... ว่าแต่เธอเถอะ... ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ... เสียงเธอคนนั้นยังคงแจ่มใส

    ไม่อยู่บ้านแล้วกัน... จะแวะมาเยี่ยมล่ะสิ... ช่วงนี้ฉันยุ่ง... ขอโทษด้วย ชาล็อตตอบ

    แหม... เธอนี่ล่ะก็... ปลายสายหัวเราะเสียงแหลม

    พี่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้ไหมคะ...

    อ๋อ... เรื่องสำคัญเลยด้วยล่ะ...

    อะไรเหรอ... นายหน้าสาวตอบกลับด้วยเสียงที่เริ่มจะเปิดผนึกความหงุดหงิดในใจ... ยัยนี่โทรมากวนประสาทอีกแล้ว...  ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องแบบนี้เนี่ย...

    คือ... เธอขายบ้านเลขที่ 13/404 ถนนไลฟ์บ็อกอยู่ใช่ไหม?”

    อ๋อ... นี่โทรมาตอกย้ำเหรอ...

    ก็ใช่... แล้วก็กำลังหัวเสียที่มันขายไม่ออกด้วย...

    พี่สาวจากปลายสายหัวเราะเสียงแหลมน่ารำคาญอีกครั้ง

    ดีเลย...

    เยี่ยม... ว่าแล้ว.... โทรมากวนประสาท... ทำไมคนรอบตัวฉันถึงต้องงี่เง่ากันขนาดนี้เนี่ย

    เพราะพี่หาคนซื้อให้เธอได้แล้ว...

    คำพูดของหล่อนทำให้น้องสาวสะดุ้งสุดตัวอย่างแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง

    พี่ว่าอะไรนะ?” ชาล็อตถามกลับ ความรู้สึกที่ตกต่ำถึงขีดสุดนั้นพุ่งขึ้นมาอยู่ในความปลื้มปิติทันที

    พี่หาคนที่จะซื้อบ้านหลังนั้นให้เธอได้แล้ว... เสียงจากปลายสายพูดช้าๆ ชัดๆ ที่ละคำ

    จริงเหรอพี่!” นายหน้าสาวตะโกนขึ้นอย่างดีใจเหมือนถูกหวย ความหวุดหวิดทั้งหลายสูญสิ้นไปในทันทีนั้นด้วยข่าวดีที่จู่โจมมาแบบไม่คาดคิด แล้ว... แล้ว... ใครจะซื้อล่ะ... ฉัน... ฉันขอที่อยู่หรืออะไรก็ได้ที่จะติดต่อเขาคนนั้นหน่อย... พี่ส่งมาเลย... ฉันจะขอบคุณพี่มากๆ ขอบคุณที่สุดเลยล่ะ

    แต่แล้วเสียงของพี่สาวคนนั้นกลับเงียบหายไปชั่วขณะหนึ่ง เงียบหายไปจนทำให้ความสุขที่ก่อขึ้นในใจของนายหน้าขายบ้านเริ่มลดระดับลงไป ด้วยความรู้สึกเหมือนไม่แน่ใจว่าที่ฟังอยู่นี่จะเป็นเรื่องดีจริงอย่างที่คิด

    พี่วิเวียน... ทำไมเหรอ... เธอถามกลับไปอย่างสงสัย

    เสียงหัวเราะในลำคอดังมาก่อนสักชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่คำตอบจากปากพี่สาวจะหลุดลอยส่งกระแสเสียงให้น้องสาวผู้กำลังตกอับได้ยินอย่างชัดเจนที่สุด

    ฉันเอง... คนที่จะซื้อบ้านนั้นน่ะ... คือฉันเอง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×