ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ill Blood

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ห้า

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 49


               แสงตะวันยามเช้าไล่ละเลียตามยอดหญ้าสีเขียวชอุ่ม และพฤกษานานาพรรณที่เรียงรายประดับประดาเพิ่มความสดใสน่ามองให้แก่สวนดอกไม้ เนื่องจากเป็นเวลาเช้าอยู่มาก บริเวณนั้นจึงเงียบสงบแทบไม่มีผู้คนอยู่เลย นอกจากร่างบางเล็กร่างหนึ่ง ที่นั่งกอดเข่าเหม่อมองไปไกลอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขามอบความร่มเย็นให้แก่ผู้ที่หลบมาอาศัยขอร่มเงา

                หมับ!

                มือมือหนึ่งคว้าไหล่มนของเด็กสาวผู้นั้นอย่างนุ่มนวล จนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงกับสะดุ้งเฮือก ทว่าพอหันกลับมาก็พบดวงหน้าหวานแสนคุ้นเคยส่งยิ้มเล็กๆมาให้

                "ไอกะ"

                "ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ นาโอมิ" เจ้าของร่างโปร่งระหงว่าพลางทรุดกายลงนั่งข้างๆ

                "คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ" แขนเรียวโอบกระชับขาตัวเองเข้ามาใกล้ ก่อนจะวางคางลงบนหัวเข่า แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ  

                ไอกะไม่ได้กล่าวซักถามอะไรต่อ เพียงแค่นั่งเงียบๆอยู่เคียงข้างเพื่อนรักของตน เธอรู้ดีว่าหากนาโอมิต้องการระบายอะไรออกมาเมื่อไหร่ก็จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนเสียเอง แต่ถ้าไม่...เรื่องนั้นก็คงเป็นเรื่องที่นาโอมิอยากเก็บไว้คนเดียว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..ไอกะรู้ดีว่านาโอมิยังคงต้องการให้เธอนั่งเป็นเพื่อน

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร กว่านาโอมิจะขยับตัวแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ "วันนี้โดดเรียนเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม"

    "ได้สิ" ไอกะตอบทันทีแทบไม่ต้องคิด รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มลงบนดวงหน้าหวานยามเบือนมาสบ "พวกเราพร้อมไปเป็นเพื่อนอยู่แล้วล่ะ"

                นาโอมิขมวดคิ้ว ทวนคำอย่างไม่แน่ใจ "พวกเรา?"

                อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร แต่พยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของสวน นาโอมิมองตาม..พบเด็กสาวสี่คนยืนอยู่ตรงนั้น พอเห็นว่าเธอจ้องมองพวกนั้นก็ส่งยิ้มกว้างอย่างร่าเริงมาให้ พร้อมกับโบกมือทักทาย

                ความอบอุ่นประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย

                ไอกะลุกขึ้นยืนปัดกระโปรงสองสามทีแล้วยื่นมือเรียวบอบบางมาให้ แสงอาทิตย์สีทองทอประกายอาบไล้เค้าหน้าของสาวน้อยให้แลดูละมุนละไม

                "ไปกันเลยไหม?"

                ภาพนั้น...ช่างอบอุ่นใจเหลือเกินในความรู้สึกของนาโอมิ

     

    ฟิ้ววว...

    สายลมพัดผ่านหมู่แมกไม้บริเวณสุสานจนบังเกิดเสียงเสียดสีดังระงม ทว่าสร้างความสงบจิตสงบใจอย่างน่าประหลาดแก่ผู้มาเยี่ยมเยียน เนื่องจากสุสานแห่งนี้อยู่แถบชานเมือง บรรยากาศจึงสงบร่มเย็นไร้มลภาวะใดๆมารบกวน เด็กสาวทั้งหกคนต่อรถประจำทางมาหยุดที่สุสาน บัดนี้ดวงตาหกคู่กำลังกวาดตามองไปรอบๆด้วยไม่รู้จะทำอะไรดี

    "เรามาที่นี่ทำไมหรอ" ฮิเดะทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก นัยน์ตากลมโตดำขลับฉายแววฉงนสนเท่ห์

    "ชู่ว!" มิไรจุ๊ปากเป็นเชิงให้เงียบ พลางบุ้ยหน้าไปทางนาโอมิ แล้วหันกลับมาถลึงตาใส่คนถาม ฮิเดะทำหน้างงๆอยู่ชั่วครู่ ค่อยเข้าใจความหมายที่เพื่อนต้องการสื่อ พลางยิ้มแหยๆให้อย่างรู้ว่าตัวเองผิด 

    สวบ!

    นาโอมิสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ไร้ถ้อยวาจาบอกกล่าวว่าตนจะไปไหน ทิ้งเพื่อนอีกห้าคนไว้ทางเบื้องหลังและความงุนงนประดับฉาบทาลงบนใบหน้า ยกเว้นไอกะ...ผู้ล่วงรู้ดีถึงเหตุผลของทุกการกระทำของเพื่อนรัก สายตาทุกคู่ล้วนจ้องมองแผ่นหลังของนาโอมิที่ไกลออกไปทุกทีอย่างห่วงใย

    "เฮ้! นาโอมิ รอก่อนสิ" จู่ๆวายะก็ร้องเรียก พลางจะเดินตามไป ทว่าร่างระหงของไอกะกลับขวางทางไว้ นัยน์ตาโตจ้องมองสาวร่างเล็กเป็นเชิงห้ามปราม ก่อนดวงหน้าสวยจะส่ายไปมาน้อยๆ

    "แต่..."

    "ตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียว" ไอกะเอ่ยขัดวายะที่เผยอปากจะแย้ง "เราอย่าไปรบกวนเขาเลยดีกว่า"

    "แม่คะ" เสียงหวานอย่างที่ไม่มีใครเคยได้ยิน เอื้อนเอ่ยจากริมฝีปากของเด็กสาว ร่างบางทรุดตัวคุกเข่าลงอยู่หน้าแผ่นหินแผ่นหนึ่ง บนแผ่นหินนั้นมีตัวอักษรสลักอย่างสวยงามว่า 'ทาคายามะ เอโกะ'

    กลีบดอกซากุระแสนบอบบางสีชมพูอ่อนน่าทะนุถนอมร่วงหล่นจากต้นที่ปลูกเคียงกับป้ายหลุมศพ ตามแรงลมโชยอ่อนซึ่งพัดมาเป็นระลอก นาโอมิยกมือขึ้นแตะกลีบดอกเล็กน่ารักนั้นเบาๆราวกับกลัวว่ามันจะบุบสลายหากเธอแตะต้องมันแรงเกินไป

    "ตอนนี้..."ดวงตากลมโตสีสวยหันมาจ้องมองแผ่นหินอย่างแสนรัก "ดอกซากุระที่บ้านกำลังบานเต็มที่เลยรู้มั้ยคะ กลายเป็นสีชมพูเต็มไปหมด บ้านเราดูยังกับบ้านในนิทานแน่ะ...อย่างที่แม่ชอบไงคะ"

    ม่านน้ำใสรื้นขึ้นมาคลอเต็มดวงตา ถึงอย่างนั้นนาโอมิก็ยังแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนเต็มไปด้วยความสุขระคนเศร้า ขณะพูดคุยกับแผ่นหินราวกับที่อยู่ตรงหน้านี้คือแม่ของเธอ

    "หนูคิดถึงแม่มากเลยนะ....เอ้อ หนูมีข่าวดีจะมาบอกแม่ด้วยค่ะ" น้ำตาไหลเป็นสายอาบแก้มนวล เด็กสาวพยายามกลั้นเสียงสะอื้นขณะพูดต่อ "หนูแก้แค้นให้แม่แล้วนะคะ....หนูแก้แค้นให้แม่แล้ว เซ็ตสึนะตายแล้วค่ะ ไม่มีมันอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว.."

    เธอหยุดชะงักครู่หนึ่ง กลืนก้อนสะอื้นที่รื้นขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลำคอ แล้วกล่าวสืบไป

    "แต่มันยังไม่สาสมหรอกนะคะ...ยังมีคนต้องชดใช้อีกมาก แม่ดีใจมั้ยคะ..คนที่ฆ่าแม่น่ะ มันโดนสับเป็นชิ้นๆยังกับโจ๊กแน่ะ แถมมือของมันยังโดน..."

    ถึงตรงนี้...นาโอมิไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นไห้ซึ่งเล็ดรอดออกมากลบคำพูดจนขาดห้วง ภาพมือขาวนวลอีกมือหนึ่งที่พาดอยู่บนขอบอ่างหวนระลึกเข้ามาในหัว นาโอมิสั่นหัวดิกจนเส้นผมกระจาย

    เธอต้องลืมมัน.. ลืมมัน ลืมมัน ลืมมัน!

    มือบางยกขึ้นมาปาดน้ำตาช้าๆ "ช่างมันเถอะค่ะ... แม่คะ มีนักสืบเข้ามาในบ้านด้วย เขาชื่ออาเอยามะ มาเอดะค่ะ หวังว่าเขาคงจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้นะคะ... เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย หนูยังไม่อยากฆ่าคนบริสุทธิ์"
              
    "เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ อืม..คุยอะไรดีน้า.. เอ้อ แม่คะ นึกถึงดอกซากุระพอดีเลย...ตอนนี้เป็นช่วงเทศกาลฮานามิแล้วนะคะ หนูอยากให้แม่อยู่ด้วยจัง" ไหล่บางสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น น้ำตาของนาโอมิหลั่งออกมาเป็นสาย หยดลงบนแผ่นหินแห้งผากจนเป็นด่างดวง พลางหวนกลับไปยังอดีตแสนสุข...ใบหน้าอิ่มเอิบสดใสของแม่ยามดื่มสังสรรค์กันใต้ต้นซากุระ ซึ่งผลิดอกบานสะพรั่งอวดเผยความงดงามเต็มที่สมกับระยะเวลาแสนสั้นก่อนที่จะร่วงโรย

    เหมือนเธอกับแม่...ระยะเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันช่างหมดไปรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ทันไรวันเวลาดีๆก็ผ่านเลยอย่างไร้หนทางย้อนกลับ เหลือเพียงความทรงจำแห่งความสุขไว้ให้นึกอยากไขว่คว้ามันมาครองอีกครั้ง เหมือนกับความต้องการที่จะได้เห็นดอกไม้แสนงามนั้นบานเต็มต้นอีกคราหนึ่ง

    ทว่า..ดอกซากุระยังเวียนมาอวดโฉมให้เชยชมทุกปี แล้วเมื่อไหร่แม่จะกลับมาให้เธอโผกอดอีกครั้งกันเล่า?

    รอยยิ้มเศร้าๆระบายทั่วดวงหน้า...

    หากวันนั้นมีจริงๆ ก็คงดีหรอก..

    คล้ายกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ นาโอมิปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนตั้งหน้าตั้งตาคุยกับแผ่นหินต่อไป

    "หนูมีเพื่อนมะ...ใหม่ มาแนะ...นำ หะ..ให้ แม่รู้จัก...ด้วยนะคะ" เด็กสาวเริ่มบังคับเสียงตนให้เปล่งออกมาตามปกติไม่ได้ เธอเอื้อมมือล้วงกระเป๋าเสื้อสูทด้านใน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาเด็กผู้ชายออกมา ขยับแขนเล็กๆโบกทักทายแท่นหินเบื้องหน้า

    "ขะ...เขา ชะ..ชื่อคุโร่ค่ะ เป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะคะ นะ...หนู กะ..เก็บเขาได้โดยบังเอิญ ไม่นึกเลยว่าเขาจะทำประโยชน์...ให้ดะ..ได้ มากมาย"

    พูดจบก็เก็บตุ๊กตาเข้ากระเป๋าเสื้อตามเดิม

    "เฮ้อ.. หนูนึกเรื่องคุยไม่ออกเลย... ทะ..ทั้งๆที่มีเรื่องอยากจะคุยกับแม่ตั้งเยอะแหน่ะ หนูคิดถึงแม่ที่สุดเลยรู้ไหม มะ..เมื่อไหร่ ระ..เรา ถึงจะได้ยะ..อยู่ด้วยกันอีกคะ" มือบางยกขึ้นสัมผัสแผ่นหิน ถึงผิวของมันจะเยียบเย็นหยาบกระด้าง ทว่ามันกลับเป็นสัมผัสอันอบอุ่นที่สุดสำหรับเธอ

    "ว้า.. หนูนี่แย่จัง ร้องไห้อีกแล้ว... ไม่ดีเลยเนาะ ตะ..แต่ มันห้ามไม่ได้ หะ..ห้ามไม่ได้ จะ..จริงๆค่ะ มะ.แม่นอนอยู่ใต้พื้นดินนี่..นะ..หนาวมากใช่มั้ยคะ ขะ..ขอโทษนะคะที่หนูช่วยแม่ไว้ไม่ได้ หนูขอโทษนะ..นะ ค..คะแม่" เด็กสาวโผเข้ากอดแผ่นหินหลุมศพ เสียงร่ำไห้ปานขาดใจซึ่งระบายความปวดร้าวอันมิอาจลบล้างดังสะท้อนไปทั่วสุสานอันสงบอ้างว้าง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องราวต้องการทำลายล้างทุกสิ่ง...สายลมพัดมาอีกระลอก.. ก่อเกิดเสียงใบไม้เสียดสีกันฟังคล้ายถ้อยคำปลอบโยนจากผู้ที่อยู่ไกลแสนไกล...

    เหมือนเธอกับแม่...ระยะเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันช่างหมดไปรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ทันไรวันเวลาดีๆก็ผ่านเลยอย่างไร้หนทางย้อนกลับ เหลือเพียงความทรงจำแห่งความสุขไว้ให้นึกอยากไขว่คว้ามันมาครองอีกครั้ง เหมือนกับความต้องการที่จะได้เห็นดอกไม้แสนงามนั้นบานเต็มต้นอีกคราหนึ่ง

    ทว่า..ดอกซากุระยังเวียนมาอวดโฉมให้เชยชมทุกปี แล้วเมื่อไหร่แม่จะกลับมาให้เธอโผกอดอีกครั้งกันเล่า?

    รอยยิ้มเศร้าๆระบายทั่วดวงหน้า...

    หากวันนั้นมีจริงๆ ก็คงดีหรอก..

    คล้ายกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ นาโอมิปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนตั้งหน้าตั้งตาคุยกับแผ่นหินต่อไป

    "หนูมีเพื่อนมะ...ใหม่ มาแนะ...นำ หะ..ให้ แม่รู้จัก...ด้วยนะคะ" เด็กสาวเริ่มบังคับเสียงตนให้เปล่งออกมาตามปกติไม่ได้ เธอเอื้อมมือล้วงกระเป๋าเสื้อสูทด้านใน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาเด็กผู้ชายออกมา ขยับแขนเล็กๆโบกทักทายแท่นหินเบื้องหน้า

    "ขะ...เขา ชะ..ชื่อคุโร่ค่ะ เป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะคะ นะ...หนู กะ..เก็บเขาได้โดยบังเอิญ ไม่นึกเลยว่าเขาจะทำประโยชน์...ให้ดะ..ได้ มากมาย"

    พูดจบก็เก็บตุ๊กตาเข้ากระเป๋าเสื้อตามเดิม

    "เฮ้อ.. หนูนึกเรื่องคุยไม่ออกเลย... ทะ..ทั้งๆที่มีเรื่องอยากจะคุยกับแม่ตั้งเยอะแหน่ะ หนูคิดถึงแม่ที่สุดเลยรู้ไหม มะ..เมื่อไหร่ ระ..เรา ถึงจะได้ยะ..อยู่ด้วยกันอีกคะ" มือบางยกขึ้นสัมผัสแผ่นหิน ถึงผิวของมันจะเยียบเย็นหยาบกระด้าง ทว่ามันกลับเป็นสัมผัสอันอบอุ่นที่สุดสำหรับเธอ

    "ว้า.. หนูนี่แย่จัง ร้องไห้อีกแล้ว... ไม่ดีเลยเนาะ ตะ..แต่ มันห้ามไม่ได้ หะ..ห้ามไม่ได้ จะ..จริงๆค่ะ มะ.แม่นอนอยู่ใต้พื้นดินนี่..นะ..หนาวมากใช่มั้ยคะ ขะ..ขอโทษนะคะที่หนูช่วยแม่ไว้ไม่ได้ หนูขอโทษนะ..นะ ค..คะแม่" เด็กสาวโผเข้ากอดแผ่นหินหลุมศพ เสียงร่ำไห้ปานขาดใจซึ่งระบายความปวดร้าวอันมิอาจลบล้างดังสะท้อนไปทั่วสุสานอันสงบอ้างว้าง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องราวต้องการทำลายล้างทุกสิ่ง...สายลมพัดมาอีกระลอก.. ก่อเกิดเสียงใบไม้เสียดสีกันฟังคล้ายถ้อยคำปลอบโยนจากผู้ที่อยู่ไกลแสนไกล...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×