คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro แก้ไขเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 ค่ะ
ผมคิดว่าจะได้เจอเจนจิราครั้งสุดท้ายในวันที่พวกเราถ่ายรูปปัจฉิมนิเทศร่วมกันทั้งรุ่นกลางสนามกว้างของโรงเรียน แต่ผมมาเจอเจนจิราอีกครั้งในวันหนึ่งที่ที่ทำงานของผมเอง การพบกันในครั้งนี้เกี่ยวกับการถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน รูปถ่ายใบแรกและใบสุดท้ายที่ผมถ่ายกับเจนจิรา ตอนนี้ถูกใส่กรอบ แขวนไว้บนผนังที่บ้าน ตรงที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสเหลือบขึ้นไปมองนัก และหลายทีก็เผลอลืมมันไปแล้ว ส่วนรูปใบแรกที่ผมถ่ายเจนจิรานั้น เวลายังไม่ผ่านไปนานพอที่ผมจะหลงลืมมันไป ตอนที่เรียนมัธยมปลาย ผมไม่เคยมีความทรงจำพิเศษใดๆ กับเจนจิรา เธอเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของผมเท่านั้น อันที่จริง ผมออกจะกลัวที่จะสนิทสนมกับเจนจิราอยู่บ้าง เพราะระหว่างเธอกับคนอื่นๆ ดูราวกับจะมีกำแพงบางๆ กั้นเอาไว้อย่างน่าประหลาด ผมคุยกับเธอไม่บ่อยไปกว่าสัปดาห์ละไม่กี่ประโยค เรื่องการบ้าน การเรียน อาจารย์ หรือบางครั้งก็ดินฟ้า ไม่ได้สนิทสนม แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นห่างเหิน อันที่จริง หากผมได้คุยกับใครสักคนบ่อยเท่าๆ กับที่คุยกับเธอ ผมก็คงสนิทกับคนๆ นั้นไปแล้ว แต่มันไม่เหมือนกัน เมื่อเธอคนนั้นคือเจนจิรา เจน หรือชื่อเต็มว่า เจนจิรา Arntzen ศรีคีรีรัตน์ คือเด็กสาวร่างผอมบาง ผู้มีภาพลักษณ์เป็นการผสมผสานระหว่างใบหน้าหมวยแบบเด็กเชื้อไทยจีนที่เธอหอบเอามาจากทางแม่ กับผิวขาวแบบฝรั่งที่เธอได้มาจากทางพ่อชาวนอร์เวย์ เธอเป็นคนที่อยู่ในโลกส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา ยามพักกลางวันหรือระหว่างเปลี่ยนคาบ มิทน์จะได้เห็นเธออยู่แต่กับหนังสือ บางครั้งก็ใส่หูฟังฟังเพลง บางคราก็นั่งวาดรูปทิวทัศน์อยู่คนเดียวอย่างไม่ใคร่ใส่ใจใคร เรื่องสีผิวของเจนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนรอบข้างกันเธอออกนอกกลุ่ม เธอออกจะป๊อบด้วยซ้ำเนื่องจากมีใบหน้าที่สวยอย่างประหลาดต้องตาต้องใจใครหลายๆ คน แต่สาเหตุหลักที่เธอดูออกจะโดดเดี่ยว ก็เป็นเพราะตั้งใจโดดเดี่ยวตัวเอง พูดง่ายๆ ว่าเจนไม่ใช่คนที่จะสนใจพูดกับใคร หรือถ้ามองในแง่ดีกว่านั้น ก็คงเป็นเพราะเธอไม่ใช่คนพูดเก่ง เรื่องเดียวที่ผมคุยกับเธอแล้วได้คำตอบกลับมาได้ยาวๆ ก็คือเรื่องรูปวาดที่เธอสเก็ตซ์อยู่ ซึ่งมักจะเป็นมุมเดียวกับที่ผมแวะมาหาแสงสวยๆ ให้รูปถ่ายของตัวเอง ส่วนเรื่องอื่นนอกจากนั้นจะเป็นการพูดแบบถามคำตอบคำ ต่อบทกันได้ไม่เกินสองประโยค ส่วนเรื่องหนังสือที่มิทน์คิดว่าเธอชอบนั้น เวลาเธอกำลังอ่าน อย่าไปชวนเธอคุยเลยดีกว่า เพราะเธอจะตอบเพียงส่งๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังรำคาญที่มีใครมารบกวนเวลาส่วนตัวของเธอ การกระทำแบบนี้เองที่ทำให้ผมและเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องไม่ใคร่จะสนิทกับเจนนัก อันที่จริงจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะผมเป็นฝ่ายประเมินตนเองว่า ไม่สนิท แต่คนอื่นๆ ในห้อง ลงความเห็นกันว่าผมเป็นคนเดียวที่พูดคุยกับเจนบ่อยที่สุด ทั้งสองมักหยุดแวะพูดกันในบางมุมของโรงเรียนที่แสงอำนวยและเป็นใจให้เจนจิรานั่งลงสเก็ตซ์รูป และเป็นใจให้ผมในสมัยมัธยมที่ยังมีฐานะเป็นหนุ่มน้อยห้อยกล้อง ผู้รักที่จะเก็บภาพสวยๆ ของโรงเรียนเดินผ่านมาแชะภาพเข้าพอดี “อย่าถ่ายรูปเรานะ เราไม่ชอบให้คนถ่ายรูป” เจนเคยบอกผมอย่างนั้น เมื่อค้นพบว่า ผมมักจะเห็นความงามของโรงเรียนในมุมเดียวกับเธอ จนต้องโผล่มาถ่ายรูปในที่ที่เธอนั่งเขียนภาพอยู่เสมอ “ไม่ต้องห่วง” ผมจำได้ว่าตัวเองตอบไปยิ้มไป ขณะสารภาพว่า “เราไม่ชอบถ่ายรูปคน” หลายปีหลังจากนั้น ผมดีใจสุดขีดที่สอบติดคณะสถาปัตย์ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเดินทางจากเชียงใหม่มายังเมืองหลวง เพื่อศึกษาต่อในสาขาที่ดันคิดว่าตัวเองรัก ส่วนเจนจิราสอบเข้าคณะมนุษยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดเดิม และเราสองคนไม่รู้ข่าวคราวของกันและกันอีกต่อไป จนกระทั่งตอนนี้ เจนจิรานั่งอยู่ไม่ไกลจากผมนัก ใบหน้าซีดขาวไม่มีรอยเลือดฝาดแม้สักนิดตามปกติของเธอดูขาวกว่าบริเวณลำตัวที่มีผิวขาวผิดจากคนเอเชียอยู่แล้วขึ้นไปอีกเมื่อช่างแต่งหน้าพยายามผัดมันให้เนียนยิ่งขึ้น พร้อมบ่นว่า “หน้ามีแต่รอยกระนะคะคุณน้อง” และเจนจิราก็ได้แต่พยักหน้าเรียบๆ ราวกับจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย วันนี้เธอมาเพื่อให้สัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับงานของเธอ ในนิตยสารผู้หญิงปกมันวาวชื่อดังปกหนึ่งของประเทศไทย มันเป็นแค่คอมลัมน์เล็กๆ ยาวหนึ่งหน้า แต่พวกเขาต้องการภาพถ่ายสวยๆ ของเธอสักสี่ห้าใบ และนั่นคืองานของผม ผมเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วและยืนรอให้เธอแต่งหน้าจนเสร็จ แอบมองเธอจากอีกมุมของห้อง หวังว่าจะได้คุยทักทายประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานานบ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะคุยอะไร เพราะสมัยก่อนก็แทบไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน ตอนแรกที่อ่านรายละเอียดงานในวันนี้คร่าวๆ ผมไม่ได้นึกว่านั่นจะเป็นเธอ อันที่จริงมันง่ายมากที่จะลืมชื่อนามสกุลจริงของเพื่อนในสมัยมัธยมที่เราไม่สนิทนักไป แต่เมื่อเธอเดินเข้ามาในออฟฟิศ ยกมือไหว้สวัสดีทีมงานด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้มทักทาย ผมก็จำเธอได้ในทันที เจนจิราโตขึ้นจากสมัยมัธยมมากแล้ว แต่ดวงหน้าขาวซีดอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอยังคงสะดุดใจจนสามารถดึงเอาความทรงจำครั้งยังเยาว์ออกมาจากสมองของใครสักคนที่รู้จักเธอได้ไม่ยาก ดูจากสายตา ผมคิดว่าเจนเองก็จำผมได้เมื่อเห็นผมยืนอยู่ท่ามกลางทีมงานที่เธอเอ่ยสวัสดี ไม่แปลกที่เธอจะดูประหลาดใจที่ได้มาพบกันในสถานที่อย่างนี้ แต่ไม่มีเวลาให้ได้ทักทายกันก่อนที่เธอจะถูกดึงไปเปลี่ยนเสื้อและจับแต่งหน้า แต่ถึงจะมีเวลา มันก็คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเจนจิราผู้ไม่เคยเอ่ยสนทนาเกินสามประโยค อยู่ดีที่จะเอ่ยทักทายใครสักคน ในที่สุดเจนก็แต่งหน้าเสร็จ พี่เอกหัวหน้าทีมพาเธอมาตรงฉากที่จัดไว้ และแนะนำตากล้องให้รู้จัก เจนจิราพยักหน้าโดยไม่บอกพี่เอกสักนิดว่าเธอกับตากล้องหน้าแป้นที่ยืนอยู่ตรงนี้และกำลังถูกแนะนำชื่น่ะ รู้จักกันอยู่แล้ว จนผมต้องเป็นคนเอ่ยเองว่า “พี่ครับ ไม่ต้องทางการมากก็ได้ พอดีเจนกับผมเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตอนมัธยม” “อ้าว จริงหรือ โลกกลมอีกแล้วสิ งั้นก็ไม่ต้องเกร็งมากแล้วมิทน์ โจ๊ะเลย รีบเสร็จ รีบกลับ” ฟังแล้วผมก็อดถอนหายใจไม่ได้ที่พี่เอก take it easy ให้พูดกึ่งคล้ายจะให้ผมเป็นคุมงานเสียอย่างนั้น แต่ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้ผมชินเสียแล้ว ผมถอนหายใจพลางตั้งท่าจะเอ่ยปากบอกเจนให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ไม้หรูๆ ในฉากที่จัดไว้ให้ดูคล้ายห้องสมุดโบราณได้ตามสบาย แต่เธอเอ่ยทักถามขึ้นมาเสียก่อนว่า “ไหนบอกไม่ชอบถ่ายรูปคน” ผมยิ้มออก บอกตามตรงว่าแปลกใจที่เธอยังจำได้ เลยเอ่ยกลับไปว่า “แปลกจัง จำได้ด้วย ก็ไม่ชอบนั่นแหละ แต่การเงินมันบังคับน่ะ” “เรียนสถาปัตย์ ทำไมมาถ่ายรูปในนิตยสารผู้หญิงซะล่ะ” เจนจิราถาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตามีแววสงสัย “ไม่ไปออกแบบบ้าน แบบตึก อะไรที่เคยโม้” “เอาเข้าจริงมันไม่ใช่น่ะ” ผมตอบ ก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อแสดงว่าผมไม่ได้เสียใจอะไรกับความผิดพลาดนี้นัก เพื่อไม่ให้เจนรู้สึกอึดอัดใจ “แต่ถ่ายรูปยังชอบอยู่ ถึงจะไม่ชอบถ่ายคน ถ่ายยาทาเล็บ แล้วก็ถ่ายลิปสติกเลยแม้แต่น้อยก็ตาม” เจนจิรามองไปทั่วออฟฟิศของนิตยสารผู้หญิงปกมันวาวที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยๆ และตัวอย่างเครื่องสำอางที่บริษัทส่งมาให้เขียนรีวิวกองอยู่ตรงโน้นตรงนี้ และพูดว่า “ท่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ ในสถานที่แบบนี้” “ขรั่บ” ผมรู้ว่าเธอเห็นอะไร จึงตอบอย่างขมขื่น และยิ้มออกมาอีกทีให้กับชีวิตนี้ “เอาเถอะ ชีวิตมันง่ายดังว่าทุกอย่างก็ไม่ใช่ธรรมดาสิ เอาทำงานเถอะ เจนเข้าไปนั่งในฉากได้เลย เลือกเก้าอี้ตามสบาย เดี๋ยวลองนิดหน่อยให้หายเกร็งก่อน” ผมเอ่ยบอกไปอย่างนั้น แม้ในใจจะไพล่คิดไปอีกทางว่า งานนี้ต้องยาวแน่ เพราะจากนิสัยไว้ตัวของเจนจิราที่เขาเคยประสบพบเจอมา ไม่มีทางที่จะได้รูปถ่ายในลักษณะที่เธอหายเกร็ง
ความคิดเห็น