ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หากเธอรักฉันจงโอบกอดฉันถึงวันพรุ่งนี้

    ลำดับตอนที่ #6 : Compromise (ลงแล้วนะ)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 304
      8
      25 ธ.ค. 57

    Compromise

    ผมคิดว่าผมกำลังถูกจีบครับ

    เรื่องจะไม่แย่ถ้าคนที่มาจีบไม่ได้เป็นผู้ชาย และมันเป็นเพื่อนผมเอง มันชื่อไอ้อัฐ

    ผมรู้จักกับอัฐตั้งแต่เราเข้าปีหนึ่ง เรื่องเกิดมาจากอาจารย์จับให้เรากับเพื่อนอีกห้าหกคนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน งานกลุ่มทุกงานในวิชานั้นผมจะได้ทำร่วมกับคนกลุ่มนี้ และในเวลาที่มีงานเดี่ยวก็ได้ช่วยเหลือกัน ผมจึงสนิทกับอัฐมาก บวกกับปีหนึ่งจะลงวิชาทุกวิชาเหมือนกัน ผมกับมันเลยเจอกันทุกวันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น กินข้าวกลางวันด้วยกัน เลิกเรียนก็เลยไปกินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นก็ไปทำการบ้านต่อด้วยกันบ้างล่ะ ไม่ก็แยกย้ายกลับห้อง แล้วก็มีเรื่องให้ต้องแชทเฟสบุ๊คหากันอีกจนได้ ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องเจอเว็บงี่เง่าอะไรที่ควรจะปันกันดู พอเสาร์อาทิตย์ไหนปั่นงานไม่ทันก็ไม่กลับบ้าน มานั่งทำงานด้วยกันอีก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเพราะผมเรียนสถาปัตย์ งานมันเยอะ อาทิตย์ไหนไม่มีงาน ก็พากันไปเที่ยวปล่อยผี และก็เหมือนเดิม เห็นหน้ามันอีกนั่นแหละ

    สรุปว่าผมแทบจะติดต่อกับมันตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเจ็ดวัน

    เหตุการณ์ผ่านไปดังนี้จนกระทั่งขึ้นปีสาม จู่ๆ วันหนึ่ง ตอนที่ผมนั่งยองๆ สูบบุหรี่อยู่หลังตึกคณะตอนพักกลางวัน มันก็พูดขึ้นมาว่า “นอม กูจะจีบมึงนะ”

    ผมหัวเราะ นึกว่ามันพูดเล่น แต่มันกลับนั่งลงข้างผม ดึงข้อมือผมใหญ่เลยและพูดว่า “เฮ้ย กูเอาจริงนะเนี่ย”

    “เป็นเหี้ยอะไรของมึง” ผมหัวเราะ

    “กูคิดดีแล้ว” อัฐจ้องตาผม “กูน่ะไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับกูมาก ใครตามเยอะๆ นี่กูหนีเลยล่ะ แต่ถ้ากูต้องใช้ชีวิตกับใครสักคน ต้องเป็นมึงแหละไอ้นอม กูคิดว่ามึงเหมาะสมกับการเป็นเมียกูที่สุดละ”

    “ไอ้เหี้ย กูเป็นเพื่อนมึง กูก็ต้องเข้ากับมึงได้สิวะ ก็เพื่อนน่ะ เพื่อน” ผมพูดแล้วก็หัวเราะ ยังคิดว่ามันพูดเล่นอยู่

    แต่มันกลับมองหน้าผมแล้วบอกว่า “แค่เพื่อนไม่พอแล้ว ต้องเมียแล้วล่ะ”

    แววตามันทำเอาผมสะดุ้งโหยง ผมรู้จักไอ้อัฐมาย่างเข้าปีที่สาม ผมรู้ดีว่าตามันเวลาเอาจริงมันเป็นยังไง และมันกำลังเป็นยังงั้นตอนนี้ ผมเลยเซแซ่ดไปทางขวา ทำบุหรี่ร่วงลงพื้น

    สาเหตุที่ผมตกใจ เพราะตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ไอ้อัฐไม่มีท่าทีจะเป็นเกย์เป็นเก้งอะไรสักนิด มันคบแฟนสาวสวยน่ารักมาสองสามคนและฟันทุกราย มันสนุกกับการส่องสาวๆ น่ารัก และไล่ตามจับคนที่หมายตา แต่เมื่อแม่เจ้าประคุณหลงรัก อัฐก็จะขยาดจนบอกเลิก แต่ไม่นานก็ถูกใจไปจีบสาวคนใหม่อีก ด้วยหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ เจ้าชู้แค่ไหนก็มีคนตกลงคบหา ด้วยเหตุนี้เอง ภายในสามปีมันจึงกลายเป็นเสือผู้หญิงตัวร้ายชื่อเหม็นประจำตึกสถาปัตย์

    ผมไม่เคยคิดว่าอยู่ๆ มันจะเปลี่ยนใจมานึกชอบผู้ชายด้วยกันได้ และยิ่งกว่านั้นผมไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นควรจะเป็นผม ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้ดูออกท่าว่าจะชอบผู้ชายสักนิด ก่อนขึ้นมหาลัยผมเคยคบผู้หญิงรุ่นพี่แนวแม่ปลาช่อนมาสองคน และตอนอยู่ที่นี่ผมก็เหล่สาวไปทั่วอย่างที่ตัวอัฐเองก็รับรู้มาตลอด

    “มะ...มึงใจเย็นๆ” ผมพูด พยุงตัวขึ้นจากท่าเซถลา “มึงเมากาว”

    “กูคิดมาดีแล้ว กูไม่ได้เมากาว”

    “มึงคิดใหม่ หน้ากูไม่ขาวตี๋เกาหลีเลยนะ ผู้บ่าวไทบ้านมาก”

    อัฐมันหัวเราะหน้าเหวอๆ ของผม และพูดว่า “ถ้ามึงไม่หล่อนะนอม มึงคิดเหรอว่ามึงจะได้ขึ้นเวทีไปประกวดเดือนคณะ ถึงมึงจะตอบคำถามแบบกวนตีนจนไม่ได้ตำแหน่งก็เหอะ”

    ผมไม่อาจปฏิเสธเรื่องนั้น เพราะตอนปีหนึ่งผมได้ประกวดเดือนคณะมาจริงๆ แต่ผมคิดว่าคงเป็นไอ้อัฐนี่แหละที่กลั่นแกล้งส่งชื่อของผมให้รุ่นพี่ และรุ่นพี่ก็เห็นดีจึงให้ผมเป็นหนึ่งในผู้สมัครไปโดยที่ผมไม่ได้ส่งใบสมัครแม้แต่น้อย เผอิญในงานประกวดวันนั้นผมดันตอบคำถามพี่พิธีกรแบบแสดงความเป็นตัวเองเต็มขั้น และคนอื่นๆ จึงมอบตำแหน่งเดือนให้คนที่เป็นมิตรและพร้อมทำงานเพื่อคณะมากกว่าแทน ซึ่งก็นับเป็นโชคดีของผม

    ตอนนี้พักเรื่องนั้นไว้ก่อน กลับมาที่อัฐและปัญหาของผม

    “โอ๊ย อย่างี่เง่าเลย” ผมผลักมันเบาๆ และเดินกลับเข้าไปในตึกเรียน พอเข้าไปในตึก เพื่อนอีกคนก็รีบเข้ามาคุยกับผมเรื่องงาน อัฐเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ จนถึงเย็นวันนั้นก็ยังไม่ได้คุย และต่อจากนั้นพอมันตั้งท่าจะพูดอะไร ผมก็จะลากไปเรื่องอื่นเสียเรื่อย จนกระทั่งอัฐมันหงุดหงิดหัวเสีย และพูดใส่หน้าผมในวันหนึ่งว่า

    “นอม กูเป็นคนที่ถ้ากูอยากได้อะไร กูก็ได้มาตั้งแต่เด็ก และอะไรที่กูอยากได้ กูต้องได้ มึงเข้าใจนะ”

    แววตาของอัฐทำให้ผมพอจะรู้ว่ามันโมโห และถ้าผมจะพูดเล่นต่อไป ก็คงโดนโกรธแน่นอน ผมเลยจำใจคุยกับมัน “มึงคิดยังไงเปลี่ยนมาเอาผู้ชาย”

    มันมองหน้าผม และเอ่ยช้าๆ ว่า “กูไม่ได้เปลี่ยนมาเอาผู้ชาย กูแค่คิดว่าถ้ากูอยากอยู่กับใคร ต้องเป็นมึง”

    ผมมองมันกลับ ผมเองก็สนุกกับการอยู่กับมัน แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น สายตาของมันเข้มคมและจริงจังคาดหวังเสียจนผมต้องหลบตา ส่ายหน้าแล้วตอบไปว่า “กูไม่เอาผู้ชาย”

    “กูอยากได้อะไร กูต้องได้” มันเอ่ยเสียงต่ำ ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น และเดินจากไป

    น้ำเสียงและแววตาของมันทำให้ผมออกจะขยาด สรุปว่าไอ้อัฐเอาจริง และถ้ามันเอาจริง ผมก็ไม่เอามันจริงๆ

    หลังจากนั้นผมหนีอัฐแบบเห็นได้ชัดว่ากำลังหนี เรื่องงาน ผมไม่คุยกับมัน หรือหากจะคุยได้ ก็ต้องให้มันฝากคำพูดมาผ่านเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ มันโทรมาผมก็ไม่รับ เมื่อมันชวนคุยต่อหน้า ผมก็เสมองทางอื่นเหมือนไม่เห็นไม่ได้ยิน ผมไม่ตอบมันทางเฟสบุ๊คหรือช่องทางใดๆ และทำเอาชีวิตว่างขึ้นมาจนน่าตกใจ เพราะไม่มีคนให้คุยด้วยตั้งแต่ตื่นยันนอน (มันจะส่งแชทมาด่าและปลุกผมเป็นอย่างแรกในวันที่มีเรียนเช้า “ตื่นโว้ยนอม” หรือตอนเที่ยงวันเมื่อมันตื่นในวันที่ไม่มีเรียน “ตื่นยังวะเหี้ยนอม แดกข้าว” เราสองคนจะคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างเรียนทั้งวัน และเรามักคุยกันตอนดึกๆ ไปจนนอนประสาวัยรุ่นทั่วไปคุยกับเพื่อนนั่นแหละครับ คุณคงไม่เห็นว่ามันเกินเลยไปหรอกนะ) และไม่มีใครชวนไปเที่ยวไหนด้วยกันอีกแล้ว

    เมื่อไม่มีมัน ผมรู้สึกคล้ายสิ่งที่ต้องทำลดลงไปแปดในสิบ เหงาเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งในการจมตัวลงในกองหนังสือของรงค์ วงษ์สวรรค์ที่ตั้งมั่นจะอ่านมานานปีแต่ไม่มีเวลาเสียที ผมขึ้นสเตตัสเฟสบุ๊คอันสุดท้ายว่า

    “จนกว่ามึงจะหายเมากาว ตาสว่างแล้วค่อยกลับมาเป็นเพื่อนกัน”

    เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้สถานการณ์ว่าผมกับอัฐไม่คุยกัน แต่ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร ทุกคนกระอักกระอ่วน แต่ผมเลือดเย็นโหดเหี้ยมเกินกว่าจะสนใจ

    วันหนึ่ง มันเห็นผมเดินมาในห้องเรียน และจ้องตาผมอยู่ตั้งแต่เข้าประตู ผมมองเมิน เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งรออาจารย์เข้าสอน มันถือข้าวของ เดินตามมานั่งข้างๆ ผมจึงลุกขึ้นหอบของหนี มันลุกพรวด จับแขนผม และพูดว่า “มึงจะเล่นอย่างนี้อีกนานแค่ไหนนอม”

    กูจะเล่นอย่างนี้จนกว่ามึงจะเห็นว่ากูไม่ดี และเลิกรักกู ผมคิดไม่ตอบ นิ่งเงียบเหมือนมันเป็นอากาศ แต่พอหันไปอีกที มันก็น้ำตาคลอแล้ว

    “มันไม่สำคัญเลยใช่มั้ยหัวใจกู” มันถาม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินเสียงมันสั่น

    ผมยอมรับว่าตอนนั้นใจผมอ่อนลงอย่างที่ไม่คิดว่าจะอ่อนได้ ผมจ้องตามัน ริมฝีปากมันสั่นเหมือนจะร้องไห้ ความรู้สึกสงสารบังเกิดขึ้นในใจจนผมต้องนั่งลงข้างๆ มัน และเรียนในวันนั้น ตลอดทั้งวันเราไม่ได้พูดอะไรกัน ผมไม่ได้ตอบอะไร และมันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องไปในอากาศว่างเปล่า ไม่มองหน้าผม ราวกับว่าหากมันมองหน้าผมอีกเพียงนิดเดียวมันจะเสียใจจนร้องไห้ออกมา มันคงเสียใจ เสียใจที่ผมทำกับมันได้ถึงขนาดนี้

    เย็นวันนั้น ผมเดินออกจากห้องเรียนโดยไม่บอกลามัน และไปเดินเหม่ออยู่ในมหาลัย ผมเห็นเก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ริมน้ำ มันเชื้อเชิญให้ผมไปนั่งทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมจึงลากร่างของผมไปหย่อนลงที่นั่น และจ้องมองสายน้ำไหลผ่านไป เสียงและเรื่องราวของไอ้อัฐย้อนคืนในห้วงคิด

    ผมรู้ดีว่า อัฐเป็นคนที่พูดตรงกับที่มันคิดอย่างเหลือร้าย มันระวังทุกคำพูด และรับผิดชอบต่อทุกพยางค์ที่มันเอ่ยออกไป เท่าที่รู้ มันไม่เคยบอกผู้หญิงคนไหนว่ามันจะจริงจังด้วย ดังนั้นถ้ามันพูดว่ามันเอาจริง มันก็เอาจริง จริงๆ

    การรักจริงของไอ้อัฐไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ มันมีค่า และมันเป็นเพื่อนผม ผมไม่อยากทำอะไรให้มันเสียใจ แต่ผมก็ทำให้มันเสียใจ...

    แต่ใครจะไปยอมมันได้เล่าในเมื่อผมไม่ได้คิดอะไรกับมันเกินเพื่อน

    ความจริงแล้วมันจะยากแค่ไหนกันนะ ที่จะมาสารภาพรักกับเพื่อนสนิทที่มันรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ชอบผู้ชายแน่ๆ มันคงน่าหวาดหวั่น ผมจินตนาการไปว่าอัฐอาจหวาดกลัวที่จะพูดคำนี้กับผม มันอาจจะกลัวว่าผมจะเกลียดมัน แต่ในที่สุดมันก็พูดออกมาในตอนที่ผมกำลังสูบบุหรี่อยู่หลังตึกคณะ ไม่ใช่ในโอกาสพิเศษใดๆ เหตุผลที่มันพูดออกมานั้นคงเป็นเพราะความรู้สึกภายในใจมันขุ่นข้นจนไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกต่อไป และก็ทะลักออกมาในวันนั้น

    เหตุผลที่มันทะลักออกมาจะมีอะไรได้นอกจากความรักในตัวของมันหนาแน่นและร้ายแรง พร่ำแต่รบกวนมันเสียจนมันต้องมาเอ่ยกับผม

    ผมหลับตาและลืมตาอีกครั้ง ความรู้สึกของมันหนักแน่นเกินกว่าที่ผมจะตอบอย่างไม่จริงจัง หรือเมินเฉยไปได้

    ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือวาบแสงเตือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อัฐส่งข้อความมาให้ผมในเฟสบุ๊ค ผมจึงกดเปิดดู

    มันเป็นภาพคำคมที่เอามาจากเพจทั่วๆ ไป แต่เป็นเพจภาษาอังกฤษ บนภาพเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า ถ้าคุณกำลังจะตาย ใครคือคนที่คุณอยากอยู่ด้วยในสองสามชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต จากนั้นก็ส่งข้อมีความมาอีกข้อความ เขียนแค่ว่า “มึง”

    ผมเหม่อมองข้อความของมัน หลับตาลงเชื่องช้า นึกถึงภาพตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงกำลังจะตาย อาจจะมะเร็งไม่ก็อะไรสักอย่าง และผมอยากให้ใครมาอยู่ด้วยตอนสุดท้าย

    พ่อกับแม่คงเป็นคำตอบที่เศร้าเกินไป ผมไม่อยากให้พวกท่านเห็นผมตอนลมหายใจสุดท้าย มันเศร้าเกินไปที่ลูกจะตายก่อนพ่อแม่ ผมไม่มีพี่น้อง ผมมีเพื่อนไม่กี่คน และคงต้องเป็นมัน หอบขวดเหล้าแพงเข้ามาและรินให้ผมอย่างไม่สนใจความศักดิ์สิทธิของโรงพยาบาล ผมสนิทกับมันพอจะนึกคำพูดของมันออกด้วยซ้ำ

    “เอ้า นอม มึงกินซะ ตายไปแล้วจะไม่ได้กินเหล้าดีๆ อย่างนี้อีก อย่าสนสุขภาพเลย ไหนๆ มึงก็จะตายแล้ว” มันจะย้ำคำว่าตายกับผมสามหนสี่หน ไม่หลีกเลี่ยงคำๆ นี้อย่างที่คนอื่นจะทำ รินให้ผมและพูดเรื่องสนุกๆ ที่เราเคยผ่านมาด้วยกัน และไอ้อัฐมันก็จะน้ำตาซึม

    ผมจะถามมันว่า “มึงอยากพูดอะไรกับกูเป็นครั้งสุดท้ายมั้ยไอ้เหี้ย” แล้วมันก็จะร้องไห้หนักเลยทีนี้ ผมคงแตะหน้ามัน เพราะหน้ามันตอนร้องไห้น่าสมเพชและน่าเอ็นดู

    “กูอยากจะพูด แต่ถ้ากูพูดมึงจะเกลียดกู” มันคงว่างั้น

    “ถ้ามึงไม่พูดมึงจะคาใจไปตลอดนะเว่ย เอ้าพูดเข้า อย่าลีลา...อีก...” ผมคงคว้านาฬิกาปลุกหัวเตียงมาดู “...ยี่สิบนาทีกูจะตายแล้ว”

    คิดถึงตรงนี้ริมฝีปากของผมกระตุกยิ้ม เมื่อความตายในจินตนาการเรื่อยเปื่อยของตัวเองแลดูกวนประสาทกว่าที่ผมคาดไว้ ฉับพลันยิ้มของผมกระตุกค้างเมื่อไอ้อัฐในจินตนาการเอ่ยถ้อยคำหนึ่งออกมา

    “กูรักมึงมาตลอดเลย”

    ผมลืมตาขึ้นในทันที กะทันหันจนเห็นเป็นภาพสีขาวสว่างจ้า หน้าจอมือถืออยู่ในมือแต่ในความรู้สึกนั้นมันเหมือนอยู่ตั้งไกลแสนไกล

    ผมรวบรวมสติกลับมา มองข้อความของอัฐ บอกตัวเองว่าต้องจริงจังกับเรื่องนี้ ทำร้ายความรู้สึกของมันด้วยการปฏิเสธที่จริงใจ ยังดีกว่าการทำร้ายความรู้สึกของมันด้วยการเพิกเฉยเห็นว่าไม่สำคัญ

    ผมต้องบอกมันว่าผมก็คิดเหมือนกันว่าอยากให้มันอยู่ข้างๆ ตอนกำลังจะตาย

     “กูก็คิดว่าคงดีถ้าเป็นมึง แต่มันคือความเป็นเพื่อนน่ะ” ผมพิมพ์แชทตอบด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่ต้องทำให้เพื่อนเสียใจ แต่ผมไม่คิดอะไรกับมันมากไปกว่านั้น

    “กูเข้าใจว่ามึงคงไม่ได้ชอบกู” มันพิมพ์มา ผมเห็นมันพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่เป็นนานกว่าจะส่งมาได้ แต่ผมก็ใจเย็นพอจะอดทนรอ

    “แต่ทำแบบนี้ทำงานลำบากกันหมด และกูทรมานมาก”

    “กูขอคุยกับมึงต่อไป เหมือนเป็นเพื่อนธรรมดา เหมือนเมื่อก่อนได้ไหม อะไรที่เคยพูดให้ลืมมันไป กูรู้ว่ามันลืมยาก แต่อยากให้มึงทำตัวเหมือนปกติ”

    “กูขอโทษจริงๆ ที่กูพูด”

    “ช่วยกลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนเถอะ”

    “แต่...”

    อัฐทิ้งช่วงเกือบห้านาทีก่อนข้อความถัดไปจะโผล่มา

    “กูขอชอบมึงเงียบๆ ต่อไปได้มั้ย”

    ผมนิ่งนึก ผมเห็นด้วยกับมันที่ว่าตอนนี้เรากำลังลำบากกันไปหมด และถ้าอะไรๆ กลับมาเป็นดังเดิมคงจะง่ายกว่าสำหรับทุกคน ทั้งมันก็คงดีใจขึ้นถ้าได้กลับมาสนิทสนมกับผม ทั้งผมก็คงสบายใจขึ้นที่ไม่ต้องหลบหลีกมัน และเพื่อนในกลุ่มจะได้ทำงานกลุ่มต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

    และผมเข้าใจดีลึกซึ้ง ว่ามันคงไม่ง่ายที่อัฐจะถอนหัวใจของมัน ในเมื่อมันเอาจริงขึ้นมาเสียแล้ว ผมจึงได้แต่ถอนหายใจและคิดว่า อัฐเสนอทางเลือกนี้อย่างคิดมาดีแล้ว มันไม่มีทางจะเป็นอื่นไปได้อีก เพราะไม่มีทางที่ผมจะรักมัน และไม่มีทางที่เราจะเลิกคบกันตลอดไป

    ผมสูดลมหายใจ พิมพ์ตอบไป

    “จะให้ตามที่ขอก็แล้วกัน”

    “ปกติกูไม่ชอบผู้ชาย และคงไม่ยอมให้ผู้ชายมาชอบกู” ผมบอกมัน “และนี้คงเป็นกรณีแรกที่กูจะยอมประนีประนอม”

    และแล้วมันก็จบลงแบบนั้น เรากลับมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นมา ไอ้อัฐไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนอีก และไม่เคยพูดเรื่องนี้อีกเช่นกัน ครั้งเดียวที่มันพูดถึงเรื่องนี้คือตอนที่มันเมาสุดๆ ตอนคืนวันรับปริญญา มันคว้าข้อมือผม เอ่ยเสียงงี่เง่าว่า “เมื่อไหร่จะใจอ่อน” และหลังจากนั้นก็ฟุบหลับไปทันทีโดยไม่รอให้ผมคิดหาคำตอบใดๆ

    แต่เวลามันสติครบ มันทำตามสัญญา ทำราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น มันคงกลัวที่จะเสียผมไปอีกครั้ง

    แต่มันไม่เคยปกปิดอะไรมิด ทุกครั้งที่ผมหันไปมองมัน และเห็นสายตามันมองกลับมาหา

    ผมรู้ดีว่า มันยังรักผมอยู่ - เสมอ



    ตอนแรกบทนี้นี้ส่งประกวดเรื่องสั้นรักระหว่างเพศเดียวกัน ของธัญวลัยจ้ะ
    ส่งไปสองเรื่อง เรื่องนี้ (วาย) กับอีกเรื่อง (ยูริ)
    เรื่องนี้ไม่ได้ เลยเอามาลงให้อ่านจ้ะ
    ส่วนเรื่องยูริได้!!!
    ได้เข้ารอบนะ ตอนนี้กำลังชิงรอบสุดท้ายกันอยู่ ต้องโหวตด้วยล่ะ ถ้าเอ็นดู ช่วยโหวตให้เราหน่อยนะ
    โหวตซ้ำได้ทุกชั่วโมงจ้ะ ที่ลิงค์นี้
    ไปอ่านกันก่อนก็ได้ เป็นยูริที่น่ารักมากๆ เลย
    http://www.tunwalai.com/story/awards/15971?slug=warm-orange-sunshine&page=1

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×