คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : empty
หลายวันผ่านไปจนกลายเป็นสัปดาห์ อัญญายังคงอยู่กับฉัน พูดจาไร้สาระรื่นเริงบันเทิงใจไปตามแบบของเธอ แย่งฉันกินเวลาพยาบาลเอาอาหารมาให้เหมือนทุกที สิ่งที่ต่างออกไปมีเพียงแค่ว่า ไม่มีอาหารส่วนของเธอ และไม่มีใครเห็นเธอ...
ไม่มีใครเข้ามาเก็บเตียง เก็บข้าวของของอัญญา มันหายไปเฉยๆ ฉันลองเปิดตู้เสื้อผ้าใบนั้นดู ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งของใดๆ ไม่เคยมีใครที่ไหนมาเยี่ยมอัญญา เช่นเดียวกันนั้น ไม่มีใครมารับศพเธอ ฉันไม่เห็นแม้ปลายเท้าของศพเพื่อนสนิท
การที่ไม่เห็นศพมันทำให้ฉันนึกไปว่าแม่เพื่อนตัวดีคงมีโจ๊กระยะยาวที่ใช้เทคนิคชั้นเซียนเป็นแน่แท้ แถมยังเตี๊ยมกับพยาบาลไว้ซะด้วยซี เลยแอบลอบถามพยาบาลที่รู้จักกันคนหนึ่ง
“พี่คะ พี่คะ มีคนมารับศพของอัญญารึยังคะ”
“อัญญา ใครหรือจ๊ะน้องวา ไม่เห็นเคยเห็นเลย” พยาบาลตอบแบบไม่คาดฝัน
ฉันได้แต่คิดทบทวนเรื่องทั้งหมด แล้วก็ได้พบข้อเท็จที่ว่า เมื่อมีพยาบาลเข้ามาดูอาการ เอาอาหารมาให้ ยัยอัญญาตัวดีมักหายตัวไปอยู่เสียที่ไหนก็ไม่รู้ทุกที แม้ในเวลาที่ฉันต้องการเธอที่สุดอย่างตอนที่แม่มาหา อัญญาก็ต้องติดตรวจหรือออกไปสูดอากาศเป็นประจำ ช่องโหว่ช่องเล็กๆโผล่ขึ้นมาในการสรุปความของฉัน อัญญาหายไปไหนในช่วงเวลาเหล่านั้นกันแน่?
ความสงสัยมากขึ้นจนฉันเอ่ยปากถามอัญญา “เธอไปไหนกันแน่นะอัญ เวลาที่พี่ๆพยาบาลหรือตาหมองี่เง่าเข้ามาน่ะ” แต่คำตอบที่ได้รับก็แค่ “ถามตัวเองดูสิ เธอรู้ดีนี่นา” ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวนิดหน่อย แต่มันก็หายไป
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเชื่อ ยามค่ำคืนมาถึงอีกครั้ง ความคิดในหัวสมองของฉันโลดแล่นเกินหักห้ามไหว ร่างบางเคลื่อนกายอย่างเงียบเชียบออกจากผ้าห่ม สายตาฉันเหลือบไปเห็นอัญญาหลับใหลไม่ได้สติในแบบผีๆ ข้อมือของเธอตกห้อยลงมาข้างเตียงดูน่าสยดสยอง เสียงหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะที่ฟังแล้วชวนให้คิดไม่ได้ว่า ผีเองก็หายใจเหมือนกันนะ
ฉันเปิดตู้ลิ้นชักและหยิบหนังสือเล่มโปรดมาลูบไล้อย่างทะนุถนอม ก่อนวางลงและหยิบกระดาษเขียนหนังสือมาจรดปากกาลงไป...คุณจะไปไหน เจนีวาค่ะ นั่นมันโลกแห่งความจริงไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจ ค่ะ เราจะกลับกันแล้วนะคะ มือเรียวยาวล้วงลงในกระเป๋าก่อนหยิบเอาผลึกแก้ววาวใสออกมา... ต่อยังไงดีนะ ใครควรจะพูดต่อดี ฉันมีความสุขกับนิยายเรื่องใหม่เหลือเกิน ขณะที่หัวกำลังคิดเนื้อเรื่องต่อไปนั้น หูของฉันพลันแว่วยินเสียงฝีเท้าเบาๆ มือขาวๆรีบกระชากลิ้นชักให้เปิดก่อนยัดปึกกระดาษลงไป ฉันลุกขึ้นยืนเดินออกไปที่ระเบียง ฮัมเพลงเบาๆอย่างต่อเนื่องในขณะที่หลับตา แผนเดิม ฉันกำลังแกล้งทำเป็นละเมอ ทันใดนั้น...
“ตายแล้วน้องวา ออกไปทำอะไรตรงนั้นคะ เดี่ยวก็ตกระเบียงตายกันพอดี มานี่เร็วๆเลย” พยาบาลเข้าเวรก้าวฉับๆเข้ามาในห้อง หล่อนคว้ามือฉันก่อนดึงกึ่งลากเข้ามาในห้อง ดันฉันให้นอนลงที่เตียงแล้วห่มผ้าให้ “หลับซะนะคะน้องวา แล้วอย่าละเมออีกล่ะ หมอเค้าห่วงจะแย่” ฉันที่แกล้งละเมอได้แต่นึกสาปแช่งพี่พยาบาลในใจ พี่ไม่รู้หรือไงว่าหมอน่ะแค่มองคนแบบแม่ฉันยังมองไม่ออก แล้วจะมามองโรคสารพัดได้อย่างไรกันเล่า เอาเถอะ ภารกิจวันนี้สำเร็จอีกส่วนแล้ว
“น้องวานอนละเมออีกแล้วหรือครับ” หมอถามฉันผู้ซึ่งกำลังมึนหัวตึ๊บๆ
“ไม่รู้สิคะ คงใช่แหละค่ะเพราะรู้สึกว่านอนไม่พอ ปวดหัวมากเลย” ฉันตอบไปตามจริง จำไม่ได้ เหมือนทุกที หมอทำหน้าแบบ เหมือนเดิมว่าแล้วเชียว จนฉันลอบสบถเบาๆ แล้วจะถามทำไมเล่า
“เอาเป็นว่าวันนี้ไปนอนให้เต็มที่แล้วกัน ถ้ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรบอกหมอแล้วกันนะ”หมอหนุ่มตบท้ายก่อนยิ้มให้กำลังใจฉันราวกับว่าฉันเป็นเด็กประเภทที่โลกนี้จะพังทลายถ้าหมอไม่เอาใจช่วยอย่างงั้นแหละ
“ถ้าหนูบอกหมอว่า หนูมองเห็นวิญญาณของอัญญาล่ะคะ” ฉันถาม
“ภาพหลอนมากกว่า พักนี้หนูต้องมีอะไรเครียดแน่ๆเลย คิดถึงเพื่อนข้างนอกเหรอ ไว้หมอจะบอกคุณแม่ให้พาหนูไปหาเค้านะ”
“เค้าเป็นผู้ป่วยในที่โรงบาลนี้” ฉันพูด “และหนูไม่มีเพื่อนข้างนอก หมอไม่ต้องบอกคุณแม่นะคะ”
“แน่ใจเหรอหมอว่าในโรงพยาบาลนี้ไม่มีผู้ป่วยเด็กคนไหนชื่ออัญญานะ หรือแม้แต่เคยมีด้วย ไม่งั้นหมอก็ต้องเคยได้ยินสิ” คุณหมอแสดงความสงสัย อีกแล้ว เรื่องทะแม่งที่ฉันคิดยังไงก็คิดไม่ออก
“แหมหมอคะ ก็แน่อยู่แล้วล่ะค่ะ หนูแค่ลองหยอกเล่นดูเอง” ฉันตอบไปเพื่อไม่ให้หมอสงสัยกอ่นเดินกลับห้องพัก มีเรื่องด่วนจี๋ต้องเอาคำตอบจากแม่ตัวดีให้ได้
“อัญ หมอทีมไหนน่ะที่รักษาเธอ” ฉันลองถาม
“ถามอีกแล้ว เธอก็รู้อยู่แก่ใจ นี่เอาหนังสือ Wind มาอ่านหน่อยดิ” อัญญาเปลี่ยนเรื่อง
ฉันส่งหนังสือให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนบ่นพึม “ตอบอย่างงี้อีกละ” เท้าเปล่าเปลือยก้าวไปตามพื้นเย็นเฉียบก่อนล้มตัวลงบนเตียง “ยาตีซาหวาดน้า” อัญญาพูดอย่างบันเทิงใจ ฉับพลันนั้นฉันนึกขึ้นได้ว่าสื่งที่นึกได้ตอนที่ถามอัญญาตอนที่แล้วคืออะไร
“เธอไปไหนกันแน่นะอัญ เวลาที่พี่ๆพยาบาลหรือตาหมองี่เง่าเข้ามาน่ะ”
“ถามตัวเองดูสิ เธอรู้ดีนี่นา” สิ่งที่ฉันนึกได้ตอนนั้นคือคำว่า empty ว่างเปล่า

ความคิดเห็น