คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : death
“อัญ ดูดิ ดูตรงนี้ซี่ ลีน่าน่ารักสุดๆ อ่านสิ อ่านสิ”สาวน้อยผอมเก้งก้าง ผมยาวเหยียดตรง ผิวขาวเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบยื่นหนังสือนิยายแฟนตาซีสุดฮิตเขย่าใส่หน้าเพื่อนสาว หนังสือเก่าจนดูเหมือนอ่านทวนแล้วทวนอีกมากว่าสิบครั้ง
“เออๆ รู้แล้วๆ ไอ้ตรงนั้นน่ะเธออ่านให้ชั้นฟังตั้งสามรอบแล้วไม่ใช่เรอะ ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงชอบยัยนี่นักนะ ถ้าเป็นพระเอกค่อยว่าไปอย่าง หล่อ เท่ เลิศซะอย่างงั้น น่าร้ากจะตาย” อัญญาบ่น
“แหม ก็เค้าน่ารักนี่นา ชั้นนะถ้ามีเพื่อนอย่างลีน่าจะให้เค้าทู้กอย่างเรยล่ะจะบอกให้” ฉันตอบ ยัยอัญนี่ไม่เข้าใจซะเลย ฉันน่ะอยากมีเพื่อนคนอื่นนอกจากอัญบ้างนี่นา อยู่แต่ในโรงพยาบาลเนี่ยก็มีแต่หนังสือกับอัญญาเพื่อนร่วมห้องพักนี่แหละเป็นเพื่อน
ฉันเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เล็กๆเพราะไม่มีคนดูแล เด็กผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคอย่างฉันต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ อัญญาก็เหมือนกัน เพื่อนฉันคนนี้เจ็บออดๆแอดๆห่างโรงพยาบาลเป็นป่วยเลยต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่เหมือนกัน
“ว่าแต่ว่าเถอะวา ไอ้โรคละเมอของเธอน่ะพักนี้มันกลับมาอีกแล้วนา เมื่อคืนจู่ๆก็ลุกขึ้นมาเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่คนเดียวฉันงี้ตกใจหมดเลย”
“น่า ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าปกติดีก็คงไม่มาอยู่โรงพยาบาลหรอก” ฉันย้อนทั้งๆที่ตัวเองจำไม่ได้สักนิดว่าลุกขึ้นมาเขียนอะไรตอนไหน “เธอน่าจะชินได้แล้วนะอัญ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว”
ฉันป่วยเป็นโรคละเมอ อาการหนักเชียวแหละ บางครั้งยามต้องช่วยกันจับฉันกลับห้องเพราะเดินออกไปข้างนอกทั้งๆที่หลับ นางพยาบาลเห็นฉันเดินอยู่ตามระเบียงตอนกลางคืนเมื่อไหร่เป็นต้องรีบจับกลับขึ้นเตียง แต่เมื่อตื่นมาแล้วฉันจะจำอะไรไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
ห้องที่ฉันพักอยู่มีแค่ฉันกับอัญญา เครื่องเรือนในห้องเป็นสองชุดทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเตียง โต๊ะหนังสือ ตู้ที่ใส่เสื้อผ้าของโรงพยาบาลซึ่งมีชุดไปรเวทของฉันอยู่สองสามชุดและขนมที่แอบซุกไว้กินเล่นเวลาหิว อัญญาฝากซ่อนน้ำหวานขวดใหญ่ไว้ในตู้ของฉันแล้วแอบกินเวลาไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคนทั้งๆที่มันแสลงโรคของเธอ ห้องน้ำที่อยู่ติดระเบียงเล็กและไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นในหน้าหนาวจึงไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร
ฉันหยิบหนังสือเล่มใหม่จากลิ้นชักที่อยู่ใต้เตียง เป็นเล่มต่อของหนังสือที่อ่านเมื่อครู่ก่อนพลิกผ่านๆ Wind ผู้เขียนเรื่องนี้อายุเพียงสิบสี่ปี เท่ากับฉันในตอนนี้แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย หากขอพรได้หนึ่งข้อฉันคงขอให้ตัวเองเป็นคนอย่างเธอ โลดแล่นอย่างงดงามในฐานะนักเขียนอายุน้อย และคงมีเพื่อน มีครอบครัวและคนน่ารักรายล้อมมากมาย ครอบครัวของฉันน่ะเหรอ พ่อตาย แม่มาเยี่ยมฉันเดือนละครั้งอย่างคิดถึงจนไม่มีแม้แต่ของเยี่ยมหรือถ้อยคำเพราะๆ แค่มาโยนหนังสือที่ฉันสั่งซื้อลงบนเตียงก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว...
“น้องวาคะ น้องวา”พยาบาลเข้ามาพร้อมถาดอาหารกลางวัน อัญญาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันจึงออกจากภวังค์แล้วรับประทานอาหารกลางวันเพียงลำพัง
เด็กสาวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบกลางดึกสงัดก่อนย่องฝีเท้าไปที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วเอื้อมมือไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมา ฉันสวมเสื้อกันหนาวและกางเกงยีนส์ทับชุดของโรงพยาบาล สวมรองเท้าแตะและย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบมุ่งไปสู่บันไดหนีไฟ มือของฉันกำซองจดหมายไว้แน่นขณะเดินลงตามขั้นบันไดเหล็กสีแดงอันคุ้นเคย เท้าของฉันแตะพื้นก่อนย่องอย่างแผ่วเบาเลียบรั้วไม้ไปทางประตูเก่าของโรงพยาบาลแล้วปีนออกไปโดยปราศจากอุปสรรคจากยามและพยาบาล
ถนนภายนอกของโรงพยาบาลไม่มีรถหรือผู้คนเลยในเวลาขนาดนี้ ฉันย่องเงียบกริบไปตามทางก่อนหย่อนซองจดหมายลงตู้ไปรษณีย์แล้วรีบกลับเข้าห้องไปตามเส้นทางเดิมอย่างโล่งใจ
ฉบับจบ
ภารกิจวันนี้สำเร็จลงแล้ว
ฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมความรู้สึกนอนไม่เต็มที่ เมื่อคืนนี้ฉันละเมอหรือเปล่านะ โทรศัพท์ในห้องพักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฉันผวาก่อนพุ่งไปรับโทรศัพท์
“วา” เสียงผู้หญิงดังมาตามสาย
“แม่หรือคะ” ฉันถาม
“ใช่ แม่เอง เดี๋ยววันนี้แม่จะไปหานะ” แม่พูดห้วนๆตามเคย
“ค่ะ” ปลายสายกระแทกหูโทรศัพท์ก่อนจะได้ยินคำตอบรับของฉัน อาบน้ำดีกว่า ฉันนึกก่อนก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ
น้ำเย็นๆที่ไหลผ่านปลุกเซลล์สมองให้ตื่นตัว ฉันต้องจัดห้องนี่นา หากแม่มาพบห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือของ Wind กระจัดกระจายคงต้องย่นจมูกแล้วมองด้วยสายตาขยะแขยงแน่ๆ แม่เกลียดหนังสือที่ฉันอ่านเข้าไส้ทีเดียว แต่ก็ยังดีที่ยอมซื้อมันมาให้ เพราะไม่อย่างงั้นแล้วฉันคงบ้าตายแน่แท้เชียวแหละ
ฉันออกจากห้องน้ำแล้วรีบเก็บข้าวของที่กองสุมๆกันอยู่ อัญญาคืบคลานอยู่บนที่นอนก่อนปีนลงมาอย่างเกียจคร้าน แม่เพื่อนสาวแปลงกายเป็นวานรเผือก หาวเป็นดาวเป็นเดือนเสียหนึ่งรอบ แล้วส่งเสียง
“อารุณสะหวาด ทามอารายอยู่เหรอ”
“เก็บของ เดี๋ยวแม่จะมา เธอรีบๆไปอาบน้ำเถอะวันนี้มีตรวจแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” ฉันถาม
“ตายจริง” อัญญาตื่นเต็มตา “ซวยแล้ว ชั้นดันลืมซะเนี่ย เธอจำได้ไงเนี่ยวา นี่กี่โมงแล้ว”
“แปดโมง”
“ตายแหล่ว” อัญญาร้องก่อนใส่ตีนหมาโกยอ้าวไปห้องน้ำทันที
อัญญารีบร้อนวิ่งไปห้องตรวจปล่อยให้ฉันเก็บของคนเดียวต่อไป ฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะและกวาดสายตาเข้าไป ซองกระดาษสีน้ำตาลแบบส่งไปรษณีย์ได้วางอยู่บนสุดเป็นปึก ด้านล่างเป็นกระดาษแบบมีเส้นที่ใช้เขียนงานอีกปึกใหญ่ ฉันไม่ค่อยเปิดลิ้นชักนี้มากนักจึงไม่เคยเห็ยมันมาก่อน มันคงจะเป็นของที่โรงพยาบาลให้ไว้ อาจจะเดือนละครั้ง ด้วยความที่ไม่ได้ใช้เลยจึงเหลือบานเบอะอย่างงี้ ช่างมันเถอะ ฉันคิดพร้อมสอดหนังสือเล่มสุดท้ายเข้าไปแล้วปิดลิ้นชัก เอาล่ะ เสร็จเสียที
ฉันได้แต่เฝ้ารอด้วยใจเต้นตึกตัก อืม หวังว่าแม่จะมาและกลับไปด้วยดีฉันจะได้ปลอดโปร่งโล่งใจ หมดจากความทุกข์กระสับกระส่ายเหมือนกับทุกครั้งที่บุพการีจะมาเยี่ยม ทำไมน่ะเหรอ นั่นเพราะว่า...
แอ้ด เสียงอันน่าสะพรึงกลัว ความเครียดตึงไปทุกอณูของร่างกาย สตรีร่างสูงโปร่ง ผมดัดหยิกรวบเป็นหางม้าสวยเก๋ มือถือกระเป๋าแบรนด์เนมสีฟ้าอมเทาเข้ากับชุดติดกัน เธอเดินย่างเท้าเข้ามาในห้องอย่างสง่างาม ดวงตาของแม่ผู้สวยเสมอจ้องมายังฉัน ความรู้สึกเสียววาบแล่นเข้ามาที่สันหลัง ริมฝีปากเคลือบสีกุหลาบเผยอออกก่อนพูด “มารยาทน่ะหายไปไหนหมด เจอแม่บังเกิดเกล้าไม่ทักทายหน่อยหรือไง ดูผมเผ้าซิ เป็นก้อนๆเชียว สระบ้างรึเปล่าหา บอกใครเค้าคงไม่เชื่อหรอกว่าเป็นลูกของชั้น วันๆดีแต่อ่านหนังสือไร้สาระ พูดอะไรบ้างสิ เป็นใบ้หรือไง”
เสียงใสเหมือนระฆังแผดเข้าใส่หูฉันซึ่งไม่สามารถตอบอะไรได้ แม่น่ากลัวเกินกว่าจะสนทนาพาทีใดๆด้วย อีกเดี๋ยวคงเริ่มทำร้ายฉันเหมือนอย่างเคย
“แก เพราะแกแน่ๆที่เป็นตัวซวยของฉัน ชีวิตฉันมีแต่ความรุ่งเรืองดีแล้วแท้ๆ พอแกเกิดมาทั้งงาน เงิน ชีวิตอันแสนสบายก็หายไปหมด ซาตานตัวไหนกันที่ส่งแกมาเกิด แกต้องได้รับโทษทัณฑ์จากพระเจ้า” ว่าแล้วแม่ก็หยิบมีดโกนขึ้นมากรีดเนื้อฉัน เลือดที่ไหลออกมาความเจ็บปวดทำให้ฉันดิ้นรนขัดขืน มือสองข้างผลักแม่ออกห่างตัวพัลวัน มีดโกนกรีดกระหน่ำลงบนแขนครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันได้แต่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน กลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แต่คงนานพอดู แม่เริ่มสงบสติอารมณ์และยืนหอบ เสื้อของแม่มีเลือดเปื้อนเป็นจุดๆ หญิงสาวหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับก่อนเดินออกไป ทิ้งฉันนอนจมกองเลือดอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง
ฉันเอื้อมมือไปกดกริ่งเรียกพยาบาล เสียงผู้หญิงถามอาการตามปกติ ฉันได้แต่ตอบเสียงระโหยโรยแรงฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนภาพรอบกายจะดับวูบไป
ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งในห้องเดิม เสื้อผ้าได้รับการผลัดเปลี่ยน กลิ่นสะอาดภายในห้องทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ ฉันมองไปทางขวาเห็นอัญญายืนมองอยู่ ร่างกายของเธอโปร่งใสกว่าทุกครั้ง ฉันคิดไปเองมากกว่า เธอยิ้มให้ฉัน
“มึนไหม แม่ของเธออีกแล้วสินะ”
“อืม”ฉันตอบ พยายามไล่ความมึนงงออกจากหัว ทุกครั้งที่ทุกแม่ทำร้ายฉันได้แต่พูดว่า เครียดเหลือเกิน หมอจะเข้าใจเอาเองว่าฉันเครียดและกรีดตัวเอง ยาระงับประสาทก็จะตามมา ฉันย่อมไม่กล้าบอกใครนอกจากอัญญา ไม่งั้นฉันต้องโดนจนตายแน่ๆ
ภาพของอัญญายังบางเบาและดูโปร่งใส เธอมองฉันก่อนเอ่ยความลับเล็กๆที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวฉันตลอดไปออกมา
“วา ฉันตายแล้วนะ”
“หาเรื่องล้อเล่นได้ดีนี่ แค่นี้ฉันไม่ตกใจหรอกน่า”
“จริงๆ ฉันกรีดข้อมือตัวเอง” เพื่อนสาวโชว์แผลที่ข้อมือให้ดู ร่างของอัญญาโปร่งใส ข้อมือของเธอถูกผ่าจนเหลือเอ็นแค่ไม่กี่เส้นยึดมันให้ติดกับแขน ภาพนั้นทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก จริงแท้แน่นอนว่า อัญญาตายไปแล้ว
ความคิดเห็น