fic baramos เปิดประตูนรก ฮาโลวีน - fic baramos เปิดประตูนรก ฮาโลวีน นิยาย fic baramos เปิดประตูนรก ฮาโลวีน : Dek-D.com - Writer

    fic baramos เปิดประตูนรก ฮาโลวีน

    มาหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆกันกับคืนนรกแตก เมื่อตัวละครแต่ละตัวกลายสภาพเปลี่ยนนิสัยไปเป็นคนละคน

    ผู้เข้าชมรวม

    2,228

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    2.22K

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 พ.ย. 49 / 00:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    จะมาอัพเป็นพักๆตลอดคืนนี้ กะจะปั่นให้เสร็จทันฮาโลวีนแต่ก็แป่วจนได้
    จบแล้วจ้า
    che ery
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      "อักกราเล เซลีนา อันฟานีโอ แด่ปีศาจทั้งสาม โปรดกรุณามอบความหฤหรรษ์แก่พื้นปฐพี โปรดให้สายลมที่แกว่งไกวซ่อนเร้นในดวงวิญญาณและกายหยาบจงสิงสถิตย์ เพื่อความปรารถนาของข้าน้อยด้วยเทอญ....

      โอ้ จ้าวปีศาจ เราทั้งหลายคือบุตรและธิดาแห่งท่าน โปรดเปิดทางสว่างแก่เราทั้งผอง โปรดเปิดผนึกความปรารถนาที่ซ่อนเร้นของบรรดาเหยื่อสังเวยทั้งหลาย ให้ดวงจิตอันรุ่มร้อนด้วยความทุกข์ตรมและปรารถนาของเราจงพ้นภัยด้วยเทอญ.....

      หากคำปรารถนาของเราสำเร็จเป็นมรรคผล สิ่งที่เราจะเซ่นสรวงแด่ท่านจ้าวปีศาจคือเลือด และสิ่งที่เราจะมอบเป็นธารกำนัลแด่อักกราเล เซลีนาและอันฟานีโอคือหยาดน้ำตา...."

      ………………………………………………………………………………………….

                  ในยามกลางคืนที่เงียบสงัดไร้สายลมและเสียงใด

                      ยามที่ดอกราตรีเบ่งบานเต็มที่ ยามที่โคมรัตติกาลเบิกบานครอบครองอาณาเขตทั่วท้องฟ้า

                      คงไม่มีสิ่งใดในยามนี้งดงามกว่าเดือนเพ็ญที่ทอแสงเต็มวงกลมโต

                      แม้แสงดาวนับร้อยที่เคยพร่างพราวระยับระยิบอยู่ในคืนเดือนมืดทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจแข่งขัน

                      ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง ทุกสรรพเสียงเงียบสงัด

                      ไร้ชีวิต

      ไร้จิตใจ

      ไร้วิญญาณ

                      แต่งดงาม

                      โศกเศร้า

                      และบ้าคลั่ง

                      ยิ่งกว่าครั้งใดที่พิภพนี้เคยเป็นมา

                      ราวกับทั้งนรกและสวรรค์ต่างพร้อมใจกันเพื่อต้อนรับ

                      การเปิดออกซึ่งประตูแห่งนรก

                      ฮาโลวีน

      …………………………………………………………………………………………

                      เหล่าลูกแกะหลงทางทั้งหลาย อย่าได้รื่นเริงและเฉลิมฉลองแด่เทศกาลซึ่งน่าสะพรึงขวัญเยี่ยงนี้เลย พวกเจ้ารื่นเริง หลอกเล่น ไหลหลงไปในกลลวง ยอมปรับเปลี่ยนรูปกายของตนเพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าภูติทั้งหลายได้ออกมาร่วมสนุกเริงระบำในคืนอันงดงามเหล่านี้บ้าง โดยหวังเพียงเพื่อเราจะเอ่ยปากชมเจ้าว่ามีใจกุศลงั้นหรือ หรือพวกเจ้าเพียงหวาดกลัวที่จะเห็นเขาเหล่านั้น จึงช่วยเขาเหล่านั้นพรางกายเสีย ให้หลบซ่อนอยู่ในชุมชน เพื่อว่าเจ้าจะได้ไม่ต้องพานพาน หรือสำนึกรู้แก่ใจว่าเบื้องหน้าเจาคือภูติพราย เพียงเพราะไม่อาจแยกแยะ เหตุผลของเจ้ามีเพียงเท่านั้นเองหรอกหรือ

                      เหล่าลูกแกะทั้งหลาย ลืมเลือนไปแล้วหรือว่าวันนี้คือการเปิดออกแห่งขุมประตูนรก วันที่การเริ่มต้นและจุดจบบรรจบพบกันคนละครึ่งทาง ขณะที่สนุกสนานกันอยู่นั้น พวกเจ้าลืมความหมายแท้จริงของวันนี้ไปแล้วหรืออย่างไรลูกแกะน้อยของข้า

      ………………………………………………………………………………………….

                      เช้าที่สดใส สายลมโบกโบยพาให้เหล่าพฤกษาพลิ้วไหวเบ่งบาน วิหคสกุณาส่งเสียงทักทายเจ้าชายคนสำคัญแห่งคาโนวาลราวกับจะร้อง อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์

                      ดวงตาสีฟ้าสดลืมตาขึ้นมาราวกับรำคาญแสงที่แยงตา เขาใช้มือปัดซ้ายป่ายขวาหาต้นกำเนิดเสียงที่ทำให้ตื่นแต่เจ้านกน้อยนั้นอยู่ไกลเกินจะเอื้อมถึง คาโลลุกขึ้นอย่างโมโห นัยน์ตาคู่สวยเหลือบเห็นเฟรินนอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางสมควรมอบตำแหน่งเจ้าหญิงน้ำท่อให้ไปครอง ฝ่าพระบาทหนักๆขององค์ชายทรงเขี่ย(เกือบจะได้เป็น)พระคู่หมั้นเล็กน้อย ก่อนนึกในใจว่าควรจะซัดโครมไปให้ติดกำแพงดีหรือไม่

                      "คาโล นายทำอะไรอยู่น่ะ" คิลถามอย่างงัวเงีย

                      "เขี่ยขยะ"

                      ทำไมมารยาทมันแย่ลงฟะ คิลนึกในใจก่อนบางอย่างในตัวเขาจะกระตุ้นว่า เจ็บหน้าผาก......

                      หนุ่มน้อยนักฆ่าคลานไปหากระจกก่อนต้องร้องอุทานเสียงดังลั่น

                      "ว้าก นะ นะ นะ นั่นมันอะไรน่ะ"

                      เสียงตื่นๆของคิลทำให้อีกหนึ่งบุรุษผู้กำลังสาวเท้าเข้าห้องน้ำย้อนออกมาดูก่อนจะผงะด้วยความตกใจ รอยเย็บที่พาดยาวตลอดความยาวของหน้าผาก และรอยเดินจักรที่แสนจะไม่แนบเนียนที่เย็บมือของเพื่อนให้ติดกับแขนนั่น มันคืออะไรกันแน่

                      คาโลสาวเท้าไปกระชากเสื้อคิลออกดู อย่างที่เขาคิด รอยเย็บประหลาดพวกนี้ราวกับเย็บหนังของคิลให้ประติดประต่อกันป็นร่างกาย!

                  "คาโล ดูนี่สิ"

                      เมื่อคนตรงหน้าหันหลังมาให้ยล เขาก็ได้เห็นนอตสองตัวที่ฝังอยู่ตรงท้ายทอย….

                      สิ่งแรกที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลคิดกับภาพที่ได้เห็นคือ แฟรงเก้นสไตน์ นี่มันอมนุษย์ชัดๆ

                      "นาย....นาย....นายเป็นอะไร...คิล นายใช่คิลรึเปล่า"

                      นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างสุดขีด ดวงตาที่แทบถลนจับจ้องที่หน้าผากเขา เลื่อนลงมาที่ใบหู ไหลลงมาตามร่างกายก่อนหยุดที่ปลายเล็บ ริมฝีปากซีดเอ่ยถาม

                      "นายเป็นใคร เป็นตัวอะไรกันแน่ เอาคาโลไปไว้ที่ไหน"

                      "ว่าไงนะ ฉันไงล่ะคา..." คำพูดของเขามีอันต้องชะงักเพราะภาพสะท้อนตัวเองในกระจก

                      ผมสีเงินที่ยาวลงมาเลยบ่า หางตาที่มีรอยสลักลงมาที่แก้ม หน้าผากที่ปรากฏรอยสีดำคล้ายรอยสักเป็นขีดคล้ายแขนของคนในสุสานอียิปต์ ตรงกลางส่วนที่ควรจะเป็นตัวมีสัญลักษณ์ลูกศรไม่มีหางกลายๆชี้ลงสู่หว่างคิ้ว ใบหูแหลมยาว คาโลก้มมองมือตัวเองก่อนพบว่าเล็บยาวออกมาราวกับเหยี่ยว เขารู้จักรูปร่างแบบนี้ดี ตราบาปของพวกครึ่งพันธุ์ส่วนผสมระหว่างภูติและมนุษย์ที่ตื่นขึ้น สายเลือดต้องสาปของเขาที่ต้องคอยระวังหากไม่ปรารถนาให้มันปรากฏสู่สายตา

                      "....." คาโลเผลอสบถบอกมาก่อนกราดสายตามองคิล เพื่อนจ้องมองเขาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน มันมองเขาเหมือนเห็นของเล่นใหม่ นายเป็นตัวอะไรกันแน่งั้นรึ ถามราวเขาไม่ใช่คน ราวกับตัวมันในตอนนี้ช่างปกติดีเหลือหลาย ร่างอันโสโครก สายเลือดอันสกปรก ใช่ สกปรกเหมือนที่เฟรินเองก็เป็น สายเลือดครึ่งพันธุ์น่ารังเกียจ ทั้งชีวิตมีแต่ถูกเหยียดหยาม

                      ฆ่ามัน ฆ่ามัน ต้องฆ่า อย่าปล่อยมันอยู่ ฆ่ามัน ฆ่ามัน มันดูถูกเจ้า ฆ่ามันเสีย

                      เสียงร้องของใครคนอื่นกระซิบโหยไห้อยู่ในหัว ต้องฆ่า ฆ่าเท่านั้น ฆ่าก่อนจะถูกหัวเราะ ไม่อยากถูกหัวเราะเยาะอีก ไม่อยากให้ใครเห็นอีก ไม่อยากให้ใครรู้จุดอ่อน ไม่อยากถูกเหยียบย่ำอีกต่อไปแล้ว

                      "ฆ่า"

                      คาโลแผดเสียงก่อนตวัดกรงเล็บหมายจะปาดคอบางๆตรงหน้าให้ขาดกระเด็น

                      นี่มันไม่ใช่คาโล ไอ้ตัวข้างหน้าเรานี่มันไม่ใช่คาโล คาโลมันไม่ใช่ตัวประหลาดอย่างนี้ คาโลมันไม่มีทางทำร้ายเรา มันต้องเป็นนักฆ่า มันเอาคาโลไปไว้ที่ไหน หรือมันฆ่าคาโลแล้ว ไม่หรอกน่าคาโลมันเก่งขนาดนั้น

                      คิลเบี่ยงตัวหลบพลางคว้ามีดสั้นมากัน แต่มืดสั้นเจ้ากรรมไม่ได้อยู่กับเขาในสภาพเพิ่งตื่นนอน สิ่งที่กันคอบอบบางของเขาจากกรงเล็บสัตว์ประหลาดที่คิลดูยังไงก็ไม่เหมือนคาโลตรงหน้านี้ก็มีเพียงแค่ข้อมือที่บางกว่าคอเสียอีก

                      ฉึบ

                      กรงเล็บคมกริบตัดกลางรอยเย็บที่ข้อมือทันที เลือดสีม่วงไหลย้อยออกมาทำให้เจ้าของผงะ

                      เลือด....เลือดสีม่วง

                      แทนที่เนื้อจะห้อยย้อย แทนที่กระดูกและกล้ามเนื้อจะปรากฏสู่สายตาแต่สิ่งที่อยู่ตรงรอยขาดกลับมีเพียงหนังบางกลวงที่มีเลือดสีประหลาดหยาดหยดลงมา  ด้ายที่เย็บอยู่ตรงนั้นขาดลุ่ยมาเหมือนชายผ้าไม่มีผิดเพี้ยน นี่เขากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว......

                      เหนือสิ่งอื่นใด กรงเล็บของคนตรงหน้านี่มันช่างคมเหลือหลาย ข้อมือห้อยต่องแต่งอยู่เพราะด้ายเส้นเดียวซะแล้ว

                      ข้อมือขาดก็เย็บสิ เย็บก็ได้นี่ เย็บได้ ไม่ต้องกังวล เราไม่มีวันตายอยู่แล้ว

                      เสียงเล็กๆกระซิบในหัว ดลใจให้คิลเชื่อไปตามนั้น ไม่มีวันตาย แค่เย็บให้เหมือนเดิม สบาย

                      "มา ไอ้ตัวประหลาด มาสู้กัน" เขากระดิกมือข้างที่ยังดีท้าอย่างไม่เกรงใจ

                      "ถ้าแกบอกฉันว่าคาโลอยู่ที่ไหน ฉันจะไว้ชีวิตแกก็ได้นะ"

                      คำพูดที่ทำให้คาโลโกรธขึ้นมาติดหมัด แกน่ะสิเอาคิลไปซ่อนไว้ที่ไหน ฉันก็คือฉันตอนนี้ แต่คิลมันไม่มีทางกลายเป็นตัวน่าสะอิดสะเอียนแบบแกไปได้หรอก ถ้าแกกล้าท้า....ดี คาโลฉีกยิ้ม มาลองสู้กันสักตั้ง

                      .......ถ้าเป็นตอนนี้......

                      นัยน์ตาสองคู่พราวระริกขณะคิดแบบเดียวกัน

                      ......ถ้าเป็นเวลานี้ฉันไม่มีทางแพ้ใคร......

                      "พวกนายเป็นใครมาทำอะไรในห้องฉันน่ะหา" เฟลิโอน่า เกรเดเวลผู้ถูกลืมตื่นขึ้นแล้ว

                      คาโลกราดนัยน์ตาสีฟ้าไปมองก่อนผงะด้วยความตกใจ ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปราวกับจะประกาศว่า ข้านี่แหละธิดาแห่งความมืด ผู้ที่ต้องได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เส้นผมที่เคยสั้นเหมือนหนูแทะกลับยาวสลวย นัยน์ตาบอกความรั้นเอาแต่ใจทว่าทรงอำนาจ มือเรียวยาวยันตัวลุกขึ้นเผยเรือนร่างหญิงสาวสะโอดสะอง คนท่าทางแบบบางที่เดินตรงมาทางพวกเขาคือใครกันแน่ คาโลถึงกับเหลือยตามองคิลอีกครั้งราวกับต้องการคำอธิบายเรื่องทั้งหมดเมื่อเห็นปีกปีศาจสีดำขลับที่งอกออมาจากหลังของเฟริน

                      เช้าแห่งฝันร้าย.......

                  กรี๊ด

                      อ๊าก

                      แกเป็นตัวอะไร ไปให้พ้นนะเฟ้ย

                      โครม เปรี้ยง

                      ตายซะเถอะ

                      ฆ่ามัน

                      เฟี้ยว

                      รุ่นพี่ลอเรนซ์กลายร่างแล้ว

                      ชิวาสกลายเป็นตัวอะไรไปน่ะ

                      รุ่นพี่ไธนอสช่วยด้วย

      อ็อก

      โครม โครม โครม โครม

      เสียงโครมสี่ครั้งตามมาด้วยแผ่นดินที่สะเทือนไหวก่อนเป็นเสียงเอะอะโวยวายระงม

      เสียงอึกทึกที่เกิดมาจากการลอยตัวครั้งที่สองของป้อมอัศวิน และครั้งแรกของปราสาทขุนนาง ปราการปราชญ์ และแผ่นดินประชาชน

      เอวิเดสบุก

      คือสิ่งเดียวในใจของทุกผู้ทุกนาม

      แต่สังหรณ์กลับคล้ายว่า จะเป็นฝีมือของใครบางคนที่มีฤทธิ์เดทมากขึ้นหลังเกิดอะไรสักอย่าง

      กับคนทั้งโรงเรียน

      ก่อนเฟรินผู้ไม่เหลือเค้าหัวขโมยคนเดิมจะเอ่ยขึ้นเรียบๆว่า

      "เรื่องสยองขวัญวันฮาโลวีนหรือไงกัน"

      "ประชุมนักเรียนด่วน ทุกคนออกมาจากห้องเดี๋ยวนี้ มหาปราชญ์ต้องการให้หยุดการกระทำทุกอย่างแล้วไปที่ลานกว้างหน้าโรงเรียนด่วน" เสียงของอาจารย์เจ้าชายชามัลบอกความร้อนใจที่หาไม่ได้ง่ายๆ

      "ไปเถอะ ไม่ว่านายจะเป็นใครก็ตาม ฉันไม่รามือแน่จนกว่าจะบอกว่าเอาคาโลไปซ่อนไว้ที่ไหน" คิลชี้หน้าอย่างเอาจริง มือดึงเส้นเชือกตรงแขนให้ผูกนิ้วชี้ไว้ป้องกันมือหลุด

      "ฉันไม่ฟังคำพูดของใครก็ไม่รู้หรอกนะ เฟรินไปเถอะ"

      "ใครบอกนายว่าฉันชื่อเฟริน ฉันเฟลิโอน่า เกรเดเวล เจ้าหญิงแห่งเดมอส อย่าเอามือสกปรกมาแตะนะ"

      ฟังแล้วไม่สบอารมณ์ อยากกระชากมาตบให้สาแก่ใจ ได้ถ้านายไม่ใช่เฟรินล่ะก็....

      "อ้อ" คาโลพูดเสียงเย็น "นางผู้หญิงอัปปรีย์จัญไรคนนี้คือธิดาแห่งความมืดสินะ งั้นต้องระวังซะแล้ว เดี๋ยวมันจะนำกาลกิณีมาสู่บ้านเมือง"

      "แหม เรนอนไม่เคยรู้เลยนะคะว่าเจ้าพี่คาโลจะปากร้ายอย่างนี้" เจ้าหญิงคนงามที่ผิวกลายเป็นสีเขียว เส้นผมสวยกลายเป็นกิ่งก้านใบของไม้เลื้อยสีเขียวเข้มเอ่ยปาก ขณะที่พูดเห็นลิ้นสีเขียวอยู่รำไร

      "ฉันก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่ามีน้องสาวตัวเขียวอย่างเธอ"

      คำตอบทำให้คนเคยเรียบร้อยผงะ ....เอาเลยกระชากผมยาวๆของคนตรงหน้าแรงๆให้หนังหัวหลุด เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้แล้ว ก็เงี้ยแหละผู้ชาย ชั่วทุกคน... เสียงเล็กๆในหัวกระซิบซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสาวงามเผลอคล้อยตามไปแวบหนึ่ง

      "เลือดภูติมันตื่นแล้วน่ะสิ" ขอทานนามโร ซาวาเรสโผล่มาข้างหลัง รอยยิ้มเ(หอี้)ยมปรากฏบนหน้าราวกับจะประกาศว่า ข้าคือเจ้าชายรัชทายาท อย่างไงอย่างนั้น ซึ่งในวันนี้มาดเจ้าชายจองมันก็ครบสูตรดีอยู่หรอกถ้าไม่ติดตรงที่ข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อนอนของมันเป็นโครงกระดูกก็เท่านั้น ตอนนี้เองที่ทุกคนแอบสำรวจคนรอบตัวกันยกใหญ่เนื่องจากนึกขึ้นได้ว่าช่วงเวลาแห่งความอลหม่านเมื่อครู่ทำให้นักเรียนแทบทุกหมู่เหล่าอยู่ในชุดนอน

      "ใครก็ได้หยุดจลาจลตรงนั้นที" เลโมธีสั่งขึ้นท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

      บรรดาคณาจารย์ที่ยังคงความเป็นมนุษย์เดินเข้าไปในที่เกิดเหตุก่อนต้องหลบกันเป็นแถบๆเมื่อเห็นแวมไพร์เขี้ยวคมกำลังวิ่งหนีมีดสั้นของบุรุษอีกผู้ซึ่งมีหูหมากับอุ้งตีน(มือ)แบบหมาๆ พร้อมหางซึ่งสะบัดแกว่งไกว....แม้แต่เวลานี้ยังตีกันได้....ลูคัสลอเรนซ์

      "หยุด พอได้แล้ว" ชิวาสในร่างผ้าพันแผลเต็มตัว ถลกสายผ้าแถบยาวออกให้มองเห็นก่อน วิ่งสะดุดไปพลาง "พวกนายยังมีเวลาทำอย่างนี้กันอีกเหรอ โรเวนกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วนะเฟ้ย"

      ทุกคนถึงบางอ้อ โรวเนผู้ไม่ชอบถูกปลุกคงได้นอนนานๆแบบที่พี่แกใฝ่ฝันมานาน

      ส่วนไธนอสที่อยู่อีกมุมหนึ่งมีสภาพเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยนแต่ดุร้ายกว่าหลายเท่า  ไม่เหลือคราบความรักเด็กที่มีน้อยนั่นเลยสักนิด

      เหลือบตาไปมองนักเรียนหออื่นก็มีสภาพไม่ต่างจากพวกเขา คือไร้สติ วิ่งวุ่นวาย จะฆ่ากันให้ตาย ร้องโหยหวน พวกที่ยังมีสติแบบชิวาสมีอยู่ไม่มาก บางส่วนที่ออกท่าออกทางต่างจากเดิมลิบลับอย่างเฟรินกับโรก็มีอยู่บ้าง ส่วนที่เป็นตัวประหลาดก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งในสภาพตื่นกลัวและอันตราย

      "บ้าที่สุด ถ้าจะยืมคำคนอื่นมาใช้ล่ะก็ เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย" แฟรงเกนสไตน์มือใหม่พึมพำ

      "เรื่องบ้าวันฮาโลวีนไง" เจ้าชายมาดมากคนใหม่เอ่ย ดวงตาสีเขียวพราวระยิบ

      "งี่เง่าที่สุด" คำที่สามออกจากปากคนที่เคยแต่ถูกด่าว่างี่เง่า

      เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย งี่เง่าที่สุด มีแต่คำที่เขาควรจะพูดทั้งนั้น แต่ที่อยากจะพูดมากที่สุดหนีไม่พ้น ไอ่เสี่ยงที่ทำให้เขากับคิลเกือบลงมือฆ่ากันเองเมื่อเช้ามันเป็นเสียงของใครกันแน่

      .....จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ตัวนายเอง เจ้าชายคาโลแห่งคาโนวาล ยอมรับซะเถอะว่าใจจริงๆของนายน่ะมันเป็นแค่นักรบบ้าเลือดปีศาจหิมะแบบทีคิงหน้าบากนั่นอยากได้เปี๊ยบ.....

      เสียงแผ่วกระซิบจนร่างสูงเหลียวหลังดูว่าใครที่พูดประโยคนั้นแต่ไม่มีใครอยู่ข้างหลังนอกจาก...นอกจากมหาปราชญ์เลโมธี

      "เธอคงกลุ้มใจมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยสินะสำหรับเรื่องนี้ คาโลบุตรแห่งภูติ"

      ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัว ไม่มีใครมองหรือแสดงท่าทางสนอกสนจั้งที่มหาปราชญ์ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่สิ อาจจะแค่ครึ่งคนก็ได้เพราะร่างจริงของคนตรงหน้ายังยืนทำท่าเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงนั้นดูผาดๆเหมือนตาแก่ธรรมดา คาโลไม่เคยนึกอยากยืนในเขตอาคมของใครให้มันเสียลายพ่อมด แต่ถ้าเป็นอาคมของคนตรงหน้คงจะขัดขืนไม่ได้ง่ายๆ

      "ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะ เรื่องวุ่นวายนี้คงไม่จบถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกคน"

      "ทำไมท่านถึงต้องเจาะจงมาที่ผม หรือท่านจะคิดว่าพวกคาโนวาลค่อนข้างดุร้ายปราบให้เชื่องยากแบบที่เอวิเดสคิด"

      "การเดาความคิดของฉันยังไม่ใช่สิ่งพึงกระทำตอนนี้ แต่ขอย้ำไว้อย่าง หากมีปัญหาอย่าเพิ่งผลีผลาม ให้มาหาฉัน เข้าใจไหม"

      "ท่านคงมีเรื่องให้สะสางมากมายอยู่แล้ว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมันก็เป็นปัญหาของผม ผมย่อมจัดการเองได้"

      มหาปราชญ์ส่ายหน้าน้อยๆก่อนคิดถึงประโยคที่กษัตริย์แห่งคาโนวาลเคยพูดมาก่อนนี้เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ในเอดินเบิร์ก

      "ปัญหาของเอเดนและเดมอสต้องการผู้เสียสละเพื่อส่วนรวม ส่วนปัญหาระหว่างรัชทายาทของบารามอสและคาโนวาลเป็นเรื่องที่จัดการกันเองได้ เพราะฉะนั้นการส่งมอบตัวอลิเซีย ฟาโรเวลหรือไม่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนมากขึ้นเท่าไหร่"

      ท่าทางของขัตติยะชาติที่หยิ่งยะโสช่างไม่ต่างจากคนตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว

      "ถือว่าฉันเคารพการตัดสินใจของเธอแล้วกัน เรื่องของเธอฉันจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ถ้ามีปัญหา เธอคงต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันเองนะ"

      ร่างชายชราตรงหน้าหายวับไปราวกลุ่มควัน พร้อมๆกับความรู้สึกของเขตแดนคุกคามเหล่านั้นด้วย...

      "เอาละทุกคน หยุด"

      เลโมธีตัวจริงเปล่งเสียงทรงอำนาจก่อนคาโลจะพบว่า

      ขยับตัวไม่ได้ ร่างทั้งร่างแข็งเกร็งราวไร้ความรู้สึก ตั้งแต่ปลายผมไปจนถึงปลายเล็บไม่มีส่วนไหนกระดิกกระเดี้ยวได้ เขตอาคมของมหาปราชญ์ผู้ไม่เป็นแค่ปราชญ์ แต่เป็นจอมเวทย์ที่กล้าต่อกรแม้จ้าวปีศาจ ครั้งแรกที่ได้เห็นฝีมือของคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าใช้พลังไปมากแค่ไหนในการสร้างเขตแดนครั้งนี้ คนเก่งที่พยายามคมในฝัก แต่จนแล้วจนรอดความคมก็ทะลุฝักออกมาแพลมให้ใครๆได้เล่าลือ ความคมที่เขากระหายสงสัยว่าจะคมกว่าดาบปราบมารไหม อยากรู้นัก....

      "ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือแต่จะไม่ให้ความร่วมมือก็คงไม่ได้สินะ ก่อนอื่นคงต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดก่อน เรื่องนี้เริ่มจากผู้ไม่หวังดีบางคนซึ่งมีพลังมากพอสมควรได้ใช้มนตร์ต้องห้ามสาปให้เธอทั้งหมดกลับสู่สถานะที่ควรจะเป็น เจ้าหญิงก็กลับเป็นเจ้าหญิง เจ้าชายก็กลับเป็นเจ้าชาย ปีศาจก็กลับเป็นปีศาจ ความชั่วร้ายที่อยู่ลึกที่สุดในใจเธอจะแสดงร่างออกมาให้ได้เห็นชัดเจน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่แต่ละคนจะได้รู้จักใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้หลังหน้ากากของมิตร ซึ่งการพิจารณาคนให้ลึกถึงข้างในก็เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของพระราชา ร่างของเพื่อนเธอในตอนนี้มันตีความมาจากส่วนลึกส่วนไหนของเขา เป็นสิ่งที่พระราชาควรจะตีความได้แต่ฉันก็พูดจากใจจริงว่าการรู้ความลับของใครคนหนึ่งโดยที่เขาไม่รู้ตัวนั้นเป็นความชั่วร้ายอีกประการของพระราชาเลยก็ว่าได้

      "แต่การทิ้งให้พวกเธอทั้งหมดอยู่ในสภาพนี้คงไม่ดีนัก สิ่งที่เธอต้องแลกในการกลับสู่ร่างที่พึงมีคือ เลือด และ น้ำตา ของพวกเธอทุกๆคน หากเธอไม่ยอมสละสิ่งเหล่านี้ การแลกเปลี่ยนก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลและพวกเธอก็ต้องอยู่ในสารรูปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

      "นี้คงจะถึงเวลาที่จะปล่อยพวกเธอให้เคลื่อนไหวกันอย่างอิสระอีกครั้งสินะ"

      เฟลิโอน่าเกรเดเวลรู้สึกถึงเขตมนตราที่คลายออก เธอเหลียวมองถาพรวมของทุกคนที่ชุมนุมกันอยู่ในที่นี้ก่อนสรุปในใจตัวเองว่ามันช่างไม่เจริญหูเจริญตาสิ้นดี โดยเฉพาะองค์ชายจากหอคอยงาช้างที่ทำให้เธอทนไม่ได้ บางอย่างในตัวเธอหงุดหงิดเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยนั่น เสียงเล็กๆในหูบอกเธอว่าดีแล้วที่จะได้เห็นดวงตาสีฟ้าแสบตานั่นหลั่งน้ำตาสักที อยากให้ใบหน้ารูปปูนปั้นนั่นแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวเสียบ้าง อยากให้รู้ถึงความโหดร้ายของโลกนี้ให้ถึงที่สุด แม้เสี้ยวเล็กๆของหัวใจจะบอกว่านั่นคือคนที่สำคัญที่สุดของเธอ แต่เมื่อเสียงเล็กๆกระซิบข้างหูอีกครั้งเฟรินก็ลืมมันสิ้น

      ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเบิกกว้างขึ้นไปอีกด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเจ้าชายแห่งคาโนวาลชักกริชเล่มบางออกมาแทงแขนตัวเองเป็นทางยาวก่อนมองหน้าคิลซึ่งเสียงเล็กๆในหัวบอกว่าอย่าไปนับเป็นเพื่อนเนื่องจากเป็นตัวประหลาดอะไรไม่รู้

      "ทีนี้นายเข้าใจรึยังว่าฉันคือคาโลจริงๆ" คาโลถาม

      "เออ แล้วนายก็ต้องยอมรับด้วยฉันนี่แหละคิล"

      "ได้ ทีนี้ถือว่าเสียเลือดแล้วใช้ไหม"

      คาโลใช้มือปัดเลือดที่ไหลออกมาให้พนจากสายตาก่อนรีบรักษาบาดแผลให้ตัวเองอย่างเร็วทันใจ

      "ไหนดูซิ ทำไมต้องรีบปัดทิ้งด้วย"

      เธอเดินไปกระชากแขนเสื้อที่คาโลใช้ปาดเลือเมื่อครู่มาดู คราบเลือดสีเงินทำให้เธอชะงักเล็กน้อยก่อนวาดรอยยิ้มเหยียด

      "เลือดสีเงินนี่เอง พวกครึ่งภูติก็อย่างนี้แหละ มีอะไรผิดมนุษย์มนาเขา"

      คนตรงหน้ากัดฟันกรอดก่อนเอ่ยตอบ

      "เธอมันก็พวกครึ่งพันธุ์เหมือนกันนั่นแหละ"

      "ใช่ แต่สายเลือดของปีศาจอย่างชั้นมันสูงกว่าพวกภูติอย่างนาย รู้ไว้ซะด้วย พวกชั้นต่ำ"

      เป็นคุณ คุณจะไม่โกรธหรือ เป็นคุณ คุณจะไม่เสียใจหรือ  แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำเหมือนคาโล ผู้ซึ่งหันหลังและเดินจากไป....

      ถ้าหากว่าต้องการเพียงเลือด ถ้าหากว่าต้องการเพียงน้ำตา เพียงแค่นั้น เธอให้ได้เสมอ

      ของเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันไม่มีค่าอะไรกับเธอ

      นอกเสียจากว่าน้ำตาของเขาคนนั้นในครั้งนี้จะหลั่งให้เธอ

      นอกเสียจากว่าภาพของเธอจะหลุดเข้าไปในสายตาของเขาบ้าง

      นอกเสียจากว่าเขาจะรับรู้ความพยายามของเธอที่ทำทุกอย่างเพื่อเขาสักนิด

      แค่เลือดและน้ำตา เรนอนคนนี้จะยอมมอบให้อย่างไม่เสียดาย

      ขอเพียงคนที่รักจะเหลือบตามามองเธอ

      เพียงแค่คิดน้ำตาไหลเธอเป็นคนเจ้าน้ำตาอยู่แล้ว ไม่ยาก แค่ร้องไห้ ส่วนเลือด...ก้ไม่มีอะไรยากเลย

      มือเรียวบางคว้ามีดเล่มน้อยอย่างช้าๆก็แทงฉัวะลงไปตรงปลายนิ้วชี้ เลือดสีแดงทะลักล้นราวเปรมปรีดิ์ที่จะได้แย้มใบหน้าออกมาสูโลกภายนอก ผิวที่เคยเป็นสีเขียวสดใสก็กลับขาว ผมที่เปลี่ยนไปจากเดิมกลับคืนสภาพร่างกายที่เกิดวิปริตผิดเพี้ยนย้อนกลับเป็นสาวน้อยผู้งดงามอีกครั้งหนึ่ง

      …………………………………………………………………………………………...

      "ท่านพ่อ ท่านพ่อ"

      เด็กชายตัวน้อยในรูปร่างอันผิดมนุษย์เดินไปดึงชายเสื้อของคนที่ไม่ยอมหยุดเดินเบาๆ ดวงหน้าน่ารักเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่เจ้าตัวป้ายออกครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะกลัวจะถูกพ่อดุ

      "มีอะไร"

      "ท่านแม่ไปไหน ท่านแม่อยู่ที่ไหนกระหม่อม"

      บาโรก้มลงลูบศีรษะลูกชายเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับความสงสารลูกที่กลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ร่างเล็กๆของลูกไม่อาจทนพลังที่มากขึ้นเมื่อปัจจัยภายนอกกระตุ้นให้ร่างภูติปรากฏได้ สิ่งที่เกิดจึงกลายเป็นความเจ็บปวดทรมานเจียนตายเพราะความพยายามที่จะควบคุมพลังนั้นไว้ก่อนมันจะระเบิดออกมาทำลายทุกสิ่งรอบกายให้พังพินาศ มีเพียงจอมภูติแห่งสโนว์แลนด์ แม่ ของเด็กคนตรงหน้านี้เท่านั้นที่จะช่วยแกให้พ้นทรมาน ไม่ใช่ตัวเขาผู้ซึ่งพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าแต่หยุดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับลูกไม่ได้

      "ถ้าไม่มีแม่เจ้าคงทรมานมากสินะ"

      "ท่านแม่อยู่ไหนกระหม่อม" เด็กชายเริ่มตีหน้าบิดเบี้ยวเพราะพลังที่แย่งกันทะล้นทะลักออกจากร่างจนเจ้าตัวแทบจะสะกดไว้ไม่ไหว มือที่มีกรงเล็บยาวเริ่มจิกเข้าที่แขนอย่างเจ็บปวด

      "คาโล แม่เจ้าไม่อยู่แล้วล่ะ ต่อไปนี้เจ้าคงต้องพยายามคนเดียวแล้วล่ะ"

      เมื่อแม่จากไปไกลนัก ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะพาเขากลับสู่ร่างเดิม ชายหนุ่มยิ้มเหยียดอย่างสมเพชตัวเอง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะยืนอยู่เคียงข้าง หมดแล้วความฝัน ความหวัง และทุกๆอย่าง แม้เลือดจะไหล แม้น้ำตาจะหลั่งแต่สิ่งที่มีระหว่างเขากับเธอคนนั้นก็ไม่มีทางกลับเป็นดังเดิม

      ....ฆ่ามันเสียถ้าไม่อยากเจ็บปวดอีก….

      เสียงเล็กๆกระซิบข้างหูแต่คาโลไม่สนใจ

      ....ไม่เห็นต้องกังวลเลยนี่.....

      "แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงเล่า" คาโลเผลอตะโกนออกมา

      .....ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็เท่านั้นเอง.....

      นั่นสินะ กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน กลับไปเป็นเด็กที่ร้องไห้อยู่คนเดียว.....

      "ถึงจะร้องไห้ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอกเพคะองค์ชาย องค์ราชินีก็ไม่อยู่แล้ว นมว่าองค์ชายควรยืนด้วยตัวเองแล้วนะเพคะ เพราะหลังจากนี้แม้แต่องค์ราชาก็จะไม่มาเหลียวแลอีกแล้ว"

      พ่อไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นในเวลานั้น

                      ยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

      คาโล วานบลี ยังเป็นเด็กที่ร้องไห้อยู่คนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง

      เพราะไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีใครมาช่วยอีกแล้ว

      แม้ตอนนี้น้ำตาจะไหลออกมาก็ตาม

      ………………………………………………………………………………………...

                      "ลอรี่ หยุดเถอะ"

                      มือที่บีบรอบคอของเขายังคงแน่นเข้า ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเล็ดรอดเข้ามาอย่างยกาลำบากจนจวนเจียนจะขาดอากาศหายใจแต่มือที่ปกคลุมไปด้วยขนสั้นๆของหมาป่าคู่นั้นยังคงรัดแน่นขึ้น

                      "ลอ...รี่"

                      เสียงสุดท้ายของลูคัส ซาโดเรีย ในร่างแวมไพร์ไม่ได้ร้องขอชีวิต แต่เพียงต้องการเรียกชื่อคนรักเป็นครั้งสุดท้าย ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องฆ่าฉัน นายอาจจะเสียใจเมื่อนายรู้ตัวอีกครั้ง เมื่อคำสาปหมดไป เพราะแนผิดเองที่ยอมนายฆ่า

                      แต่ฉันทำร้ายนายไม่ได้

                      ฉันอยากบอกนาย แต่ฉันไม่มีแรงแล้ว

                      ฉันเลิกเกิดไม่ได้ ฉันและนายจึงไม่อาจเคียงข้าง

                      แต่ฉันเลือกตายแล้วในวันนี้

                      เลือกตายด้วยน้ำมือของนาย....

                      หยาดน้ำใสๆไหลออกจากนัยน์ตาซึ่งปิดลงรอความตายที่กำลังจะมาถึง และหยดเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ทำให้ลูคัสกลับคืนสภาพของตนอีกครั้ง เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงออกจากใจจริง ร่างแท้จริงของเขาจึงเป็นเขาคนเดิมผู้ครบพร้อมด้วยสติสัมปะชัญญะ เหมือนกับชิวาส เลือดและน้ำตาทำให้เขาคืนร่างอีกครั้ง ทว่าไม่ได้ทำให้เขากลับคืนชีวิต.....

                      เมื่อเงาบดบังจันทร์กระจ่างฟ้า ดวงจันซากลมโตเลือนหาย สัญชาตญาณดิบแห่งมนุษย์หมาป่าก็จางหายตามไปด้วย ดวงตาที่ขุ่นมัวกลับเป็นสีม่วงสวย รูม่านตากลับมาสู่ขนาดปกติอันควรจะเป็น และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่รักที่สุดสิ้นใจคามือ

                      "ลูคัส นายกำลังเล่นตลกใช่มั้ย"

                      "....." คนตายไม่สามารถตอยคำ

                      "ตื่นสิ อย่าล้อเล่นกับฉันน่า"

                      ลอเรนซ์รู้ว่าจะหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้ ร่างตรงหน้าไร้ซึ่งลมหายใจแต่ก็ยังคงเหลือคราบน้ำตาไว้ให้เขาสะเทือนใจเล่นๆ ชายหนุ่มใช้เล็บคมกริบกรีดแก้มตัวเองตัวว่าไม่ใช่ความฝัน แล้วเลือดก็ไหลออกมาจริงๆ กลิ่นคาวเลือดที่ไม่ได้ปรุงแต่งตอกย้ำความรู้สึกของเขาที่สะท้านราวทำนบจะพังเมื่อความจริงที่ไม่อยากยอมรับได้รับการพิสูจน์ ลูคัสตายด้วยมือคู่นี้.....

                      น้ำตาที่ไหลช้าๆแต่ไม่หยุดหย่อนตกลงบนร่างของคนตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนร่างตรงหน้าจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ลูคัสลืมตาขึ้นช้าๆ มองใบหน้าของเขาซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาก่อนขยับรอยยิ้ม

                      "ลูคัส ฉันนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก ทำไม…"

                      "น้ำตาของนาย ปลุกชั้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งลอเรนซ์ ขอบคุณ"

                  คำสาปหายไปอีกสองรายแล้ว

      ……………………………………………………………………………………….......

                  เพียะ

                      "เฟริน ตื่นซะทีเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ นายมันงี่เง่า งี่เง่ารู้ไหม นายพูดกับคาโลอย่างนั้นได้ไงกัน ฉันไม่คิดเลยนะว่านายเป็นคนแบบนี้ นายเคยเป็นคนเฮฮาที่เห็นมิตรภาพสำคัญที่สุด แต่ตอนนี้นายเป็นคนที่ทำลายมิตรภาพมากกว่าใคร เป็นคนที่ด่าว่าเหยียดหยามคนอื่นทั้งที่แต่ก่อนนายมันก็แค่ขโมยธรรมดาเท่านั้น ฉันเข้าใจนะว่าคาโลมันมีส่วนผิด แต่คำว่าชั้นต่ำ แสดงความชั้นต่ำของตัวแกเองออกมาได้มากมายเลย แกไม่คิดเหรอว่ามันแรงไป ฉันทนไม่ไหวจริงๆนำ ถ้าแกชอบนักกับการเป็นเจ้าหญิงอะไรของแกก็เก็บของกลับไปอยู่เดมอสเลยสิ อยู่เอเดนมันมีแต่คนต่ำๆกว่าพันธุ์แกอยู่แล้วนิ

                      คิลโกรธจนหน้าเขียว

                      "อ๋อเหรอ แล้วที่มันพูดกับฉันล่ะ อัปปรีย์ จัญไร กาลกิณี แกเรียกคนที่ใช้คำพวกนี้ว่าอะไร"

                      "ก็ธรรมดา เป็นคำด่าสำหรับพวกที่คิดว่ามือคนอื่นสกปรกไง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตัวบ้าอะไรมันมาสิงแก แต่มันก็มาสิงชั้นเหมือนกัน แค่ทำเป็นไม่สนใจมันก็น่าจะทำได้ไม่ใช่เหรอ แกจะทำตามที่มันบอกทำไม ตอนที่มงกุฎแห่งใจทำคล้ายๆกันนี้แกยังรอดมาได้ไม่ใช่หรือไง ตื่นซะทีสิเฟริน แกรักคาโลไม่ใช่เหรอ ถ้าแกทำอย่างนี้ฉันจะถือว่าทุกสิ่งที่แกเคยทำมามันโกหก ไม่ว่าความเป็นเพื่อนระหว่างชั้นกับแกและความรักของกับคาโล

                      "คิดได้ยังไง คิดได้ยังไงว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องโกหก แกจะบอกว่าทุกอย่างฉันเสแสร้งงั้นเหรอ ทั้งเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็ด้วย"

                      "ก็เมื่อกี้ท่าทางแกมันบอกอย่างนั้น"

                      "ฉันไม่รู้ เหมือนมีอะไรมาดลใจ มาคอยสั่งข้างๆหู"

                      "ทุกคนก็โดนเหมือนกันหมด ทุกคนต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่ให้หลงไปกับอะไรที่มันมาล่อหลอก ฉันว่าถ้าตอนนี้แกยังมีสติอยู่ก็รีบไปขอโทษคาโลซะ อย่าให้มันมาสิงแกอีกรอบล่ะ"

                      "อื้อ ขอบคุณนะคิล"

      …………………………………………………………………………………………...

                      "คาโล"

                      "..."

                      "คาโลนั่นนายใช่มั้ย"

                      "มีอะไร"

                      แล้วเธอก็เหลือบไปเห็น คาโลกลับร่างเดิมแล้ว ก็ดีแล้ว ไม่อยากเห็นหรอกน้ำตาของคนที่เรารัก มันเป็นมันเปมนเปนมมนอะไรที่สะเทือนใจเกินไปจริงไหม

                      "นายกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วเหรอ"

                      "...."

                      "คือ ฉันจะมาบอกว่า...."

                      "...."

                      "ฉันขอโทษ"

                      "...."

                      "คาโล นายโกรธเหรอ ฉันไม่นึกหรอกนะว่านายจะเข้าใจ แต่นายก็รู้ คำสาปทั้งหมดเนี่ย มันทำให้ชั้นเป็นแบบนั้น นายอย่าโกรธเลยนะ"

                      "...."

                      "คาโล"

                      "....."

                      เธอแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง คนตรงหน้าไม่ตอบอะไรเลยแปลว่ามันยังโกรธอยู่ เฟรินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าทว่าพบเย็นความเย็นชาว่างเปล่า...จนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

                      "ถ้าน้ำตายังไม่เหือดแห้งไป ถ้านายยังร้องไห้ได้ฉันก็จะถือว่านายไม่แล้วน้ำใจซะทีเดียว"

                      มันหลอกเขาให้ร้องไห้เพื่อจะได้คืนร่างเดิม เจ้าเล่ห์นักนะ

      ……………………………………………………………………………………….......

                      "โรเวนยังไม่ยอมตื่นเลยแฮะ" เสียงหนึ่งกล่าวถึงเจ้าชายนิทราผู้น่าเป็นห่วง เพราะจะปลุกก็ไม่ได้ จึงไม่มีจะให้ทั้งเลือดและน้ำตา

                      "ตื่นสิโรเวน" ชิวาสซึ่งตัวเองก็ยังพันเป็นมัมมี่เรียก

                      "รุ่นพี่ ตื่นเถอะ" คาโลซึ่งถูกแกนมาช่วยอีกแรงช่วยเขย่า

                      "จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย"

                      "นั่นสิครับ จะหาใครมาช่วยก็คงไม่ได้"

                      "ตอนนี้แค่ดูแลตัวเองมันก็จะไม่รอดกันอยู่แล้ว ลูคัสลอเรนซ์ก็หายจ้อย ไม่รู้ฆ่ากันตายรึยัง"

                      "งั้นทางนั้นก็น่าเป็นห่วงกว่าโรเวน เอ๊ย รุ่นพี่โรเวนสิฮะเนี่ย" เฟรินโผล่มาแจมก่อนดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้คาโลรู้ว่าต้องมีอะไรมาให้ปวดหัวอีกแล้ว "อย่างนี้ก็เข้าทำนองนั้นเลย"

                      "ทำนองไหนเฟริน" ชิวาสให้ความสนใจแต่คาโลรู้ว่าอย่าสนใจเลยจะยิ่งดี

                      "เจ้าหญิงนิทรา เพราะฉะนั้นต้องให้คู่แท้เป็นคนปลุก" เฟรินเฉลย

                  "สวัสดีค่ะ" ร่างเล็กบอบบางที่เพิ่งโผล่เข้ามาในห้องส่งเสียงทัก

                      "จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่า"

                      "พี่หญิงส่งสารไปเรียกหญิงให้บินด่วนมาจากเวนอลค่ะ"

                      "เฟริน นายนี่มัน......ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษารุ่นพี่ก่อนเฮอะ แล้วทางเวนอลวุ่นวายกันขนาดไหนเนี่ย แม่จักรพรรดินีอะไรนั่นเป็นขี้ข้าทำตามคำสั่งนายรึไง" ชิวาสโวยลั่น

                      "เจ้าพี่" วิวเวียนหลุดปากเมื่อเห็นร่างที่หลับอยู่บนเตียง

                      "ก็อย่างที่บอกน่ะแหละวิเวียน ไม่ว่าทำยังไงโรเวนก็ไม่ยอมตื่นซะที..."

                      "แล้วจะทำยังไงดีคะ"

                      "คือว่านะ ไอ้คำสาปอะไรเนี่ยมันต้องสังเวยด้วยเลือดแล้วก็น้ำตา แต่ว่าโรเวนไม่อยู่ในสภาพที่จะให้อะไรได้นี่นา พี่ก็เลยอยากให้วิเวียนช่วยหน่อย"

                      "หญิงจะช่วยอะไรได้ล่ะคะ"

                      "เรื่องที่นี้จนปัญญาน่ะ แต่ว่าถ้านี่มันตรงกับนิทานเรื่องนั้นจริงจุมพิตของเจ้าหญิงก็จะปลุกเจ้าชายไง"

                      "ถ้ามันไม่ตรงก็ซวยน่ะสิคะ"

                      "ใช่แต่ว่าโรเวนน่ะจะไม่ตื่นจนกว่าจะเสียเลือดและน้ำตา เพราะคำสาปกำหนดมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น..."

                      "นายกำลังจะบอกว่าให้ใช้เลือดและก็น้ำตาของคนอื่นแทน ส่วนคนที่น่าจะใช้ได้ก็..." คาโลเหลือบตามองคนที่มาทีหลัง

                      "อื้อ คนสำคัญของพี่เค้าไง"

                      วิเวียนหน้าแดงเมื่อถูกเรียกว่าเป็น "คนสำคัญ"

                      "งั้นจะให้หญิงทำยังไงล่ะคะ"

                      "ถ้าจะให้ชัวร์ที่สุด เอาเลือดโรเวนจะดีกว่า" ชิวาสแนะนำหลังเงียบมานาน ใบหน้ายังคงเหลือร่องรอยความไม่พอใจที่เฟรินทำเกินเหตุอยู่

                      "ก็ได้ฮะ" เฟรินหน้าจ๋อยเมื่อเห็นใบหน้าเข้มงวดของรุ่นพี่

                      ชิวาสชักกริชออกมากรีดเลือดโรเวนออกมาหน่อยหนึ่งก่อนที่คาโลจะรีบทำการรักษาทันที

                      "แล้วน้ำตา..." ทั้งสามคนหันไปมองความหวังสุดท้าย

                      "เอ่อ น้ำตาของ..." วิเวียนชี้มือที่ตัวเองขณะที่บุรุษสองคนในห้องพยักหน้าพร้อมกันเหมือนจะบอกว่า เร็วสิ อยากให้โรเวนฟื้นรึเปล่าล่ะ

                      "หญ..หญิงทำไม่ได้หรอก"

                      "ทำไมล่ะ ถ้าไม่ใช่วิเวียนคนอื่นก็ทำไม่ได้แล้ว" เฟรินกล่อมก่อนหระซิบข้างหูว่า "ไม่อยากพิสูจน์ให้มันแน่ไปเลยหรือไงว่าตกลงคนพิเศษของโรเวนน่ะใช่เรารึเปล่า"

                      ได้ผล จักรพรรดินีองค์น้อยพยักหน้า

                      "หญิงจะลองดูค่ะ"ก่อนเอ่ยเสริม

                      "แต่มีข้อแม้..."

      …………………………………………………………………………………………

                  ข้อแม้ของวิเวียนคือ เธอต้องการอยู่คนเดียว ทั้งสามจึงมีอันต้องอพยพออกจากห้องไปตามระเบียบ

                  "แล้วรุ่นพี่ไม่คิดจะเอาผ้าพวกนั้นออกซักหน่อยหรือฮะ"

                  "พี่เองก็คิดจะเอาอกเหมือนกันนะแต่ดูเหมือนแค่ดึงจะไม่ออกง่ายๆ"

                      "ไม่ออกง่ายๆ" เฟรินทวน

                      "อืม มันแบบ งอกออมาจากเนื้อน่ะ"

                      "แหยะ"

                      "เฟริน คิลล่ะเป็นไงบ้าง" คาโลถาม

                      "ฉันก็แน่ใจนะ เราไปดูกันเถอะ"

                      "งั้นแยกกันตรงนี้เถอะ" ชิวาสบอกยิ้มๆก่อนเดินออกมา

                      ทันทีที่ร่างทั้งสองลับตาไป ร่องรอยแห่งความกังวลก็ปรากฏบนใบหน้าของอดีตสี่ผู้คุมกฎทันที เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้คนอื่นจะยังไม่รู้ แต่ความจริงแล้วมหาปราชญ์ยังจับตัวการไม่ได้ จะเป็นเด็กนักเรียนของหอไหนหรือเป็นฝีมือของคนนอกที่แค่อยากป่วน แต่เรื่องที่ทุกฝ่ายก็ไม่อาจนิ่งเฉยนี้กลับยากขึ้นไปอีกเมื่อกุนซือคนสำคัญของสภาสูงเอดินเบิร์กโรเวนฮาร์เวิร์ดกลับไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอย่างเคย

                      แต่สิ่งที่น่าจะทำที่สุดตอนนี้น่าจะเป็นเอาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่า ชิวาสคิดก่อนทบทวนสิ่งทีมหาปราชญ์พูดกับเขา

                      "ฉันดีใจมากที่ยังมีคนที่มีสติสตังเหลืออยู่ ชิวาสฟังนะ จุดประสงค์หลักของคำสาปนี้คือการให้ทุกคนแสดงตัวตนออกมาอย่างแท้จริง ดังนั้นการที่เธอยังเป็นตัวของตัวเองก็หมายความว่า ตัวตนของเธอที่พวกเราเคยเห็นมาก็คือตัวเธอจริงๆ เธอเป็นคนที่จริงใจและแสดงความเป็นตัวของเธออกมาโดยไม่ต้องกลัวสายตาคนรอบข้าง ฉันดีใจที่มีนักเรียนอย่างเธอยู่ในสถาบันของเรา ฉันภูมิใจในตัวเธอนะ"

                      มหาปราชญ์ใช้คำพูดของท่านให้ความหวังกับเขาและทำให้เขาเชื่อว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่ท่านจะมอบหมายได้ สิ่งนั้นก็คือ การปลุกโรเวน (ให้ความหวัง กรุณาอย่าคิดลึกเพราะคนเขียนคิดลึกพอแล้ว)

                      แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่ถอนคำสาปให้ตัวเองก็ทำไม่ได้ นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย เป็นผู้ปกป้อง เป็นนักดาบ ผู้ที่จะอ่อนแอไม่ได้ ร้องไห้ไม่ได้ ชิวาสรู้ดีว่าการทำแบบนี้ทรมาน มันทำให้เขาจมดิ่งสู่ความสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนคนเศร้าที่มักไม่รู้ว่าตัวเองจะหาทางออกจากความเศร้ายังไง และได้แต่ทำให้ตัวเองเสียใจมากขึ้นเท่านั้น

                      เพราะเขาทำอะไรต่างๆล้มเหลวไปหมด ถึงแม้เขาจะแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้กับทุกคน แต่กับคนที่ชอบที่สุดกลับไม่สามารถบอกความรู้สึกของตัวเองได้ เขายอมเป็นคนที่ใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่นเสียยังดีกว่าถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาจะสามารถบอกความรู้สึกของเขากับ "เธอ" ได้ เพียงแค่เรื่องนั้น เขายอมแม้เสียทุกอย่างไป...........มันเป็นแค่ความคิดโง่ๆของคนที่ยิ้มกับร้องไห้ในเวลาเดียวกันได้เท่านั้น

                      เพราะเป็นคนที่ไม่ได้เข้มแข็ง ไม่ได้ปกป้องใครเหมือนอย่างที่ใครคนหนึ่งเคยสอน เลยร้องไห้ได้เป็นธรรมดา เพราะว่าเป็นคนที่อ่อนแอ ไม่ได้เป็นแบบที่พ่อตั้งใจอยากให้เป็น

                      "ชิวาส นั่นเธอรึเปล่า"

                      "อ่ะ โซมาเนีย"

                      "จ้ะ อ้าว ชิวาส เธอร้องไห้เหรอ ลำบากจังนะตอนนี้ ใครๆก็ต้องบีบน้ำตากันหมด"

                      ชายหนุ่มรีบปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยเขาก็หลับมาเป็นปกติ

                      "เธอยังไม่กลับร่างอีกเหรอ"

                      โซมาเนียอยู่ในร่างปีศาจเงา ผิวซีดลงและดูเหมือนมีควันดำๆลอยตามตัว

                      "อือ ปวดตาไปหมดแล้วแต่ก็ไม่มีเรื่องเศร้าๆซักที มีเรื่องเรียกน้ำตาเล่าให้ฉันฟังบ้างมั้ย แบบที่เธอร้องไห้เมื่อกี้น่ะ"

                      "มีสิ ตั้งใจฟังนะ มันเป็นเรื่องของผู้ชายคนนึงที่เป็นคนเปิดเผยแล้วก็พูดอะไรตรงๆ แต่ว่ากับคนที่ชอบเขากลับไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วก็ไม่กล้าบอกคนๆนั้น เรื่องนี้ทำให้เขาทุกข์ใจมาก...."

                      "แต่ว่าการที่ไม่เป็นตัวของตัวเองต่อหน้าคนที่ชอบเนี่ย ใครๆก็เป็นกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นแปลกเลย ไม่เศร้าด้วย"

                      "ชู่ว์ อย่าขัดสิ เพราะเธอเป็นซะอย่างนี้แหละมันถึงดูไม่เศร้า ฟังต่อนะ ทีนี้ผู้ชายคนนี้ก็ต้องทำอะไรหลายๆอย่าง แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จซักอย่างเดียว เขาก็ทำเรื่องนู้นเรื่องนี้ กว่าจะเสร็จก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีก แล้วเขาก็ไม่เคยมีเวลาว่างเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง เป็นวันที่เขาตัดสินใจจะสารภาพรักกับเธอคนนั้น ราชาแห่งเงาก็พาเธอไปซะแล้ว ไปเป็นราชินีเงา ชายคนนั้นก็เลยทำอะไรไม่ได้อีก เขาก็เลยได้แต่นั่งร้องไห้ เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ"

                      "ไม่ค่อยเศร้าเลย แต่ผู้ชายคนนั้นก็ดีจังนะ ถึงจะดูซื่อบื้อไปหน่อยแต่ฉันคงดีใจถ้ามีคนมาร้องไห้ให้ฉันบ้าง"

                      "แล้ว โซมาเนียไม่มีใครที่อยากร้องไห้ให้กับเค้าบ้างเหรอ คนที่ชอบน่ะ"

                      "ไม่รู้สิ ชิวาสมีใช่ไหม เมื่อกี้ร้องไห้ให้คนรักเหรอ"

                      "อืม ไม่ใช่คนรักหรอก รักเขาข้างเดียวน่ะ"

                      "แล้วจะรู้ได้ไงว่าเค้าไม่ได้รักเธออยู่น่ะ"

                      "ก็...เขาบอกว่าไม่มีคนที่ชอบนี่นา"

                      "เธอถามเขาแล้วเหรอ แย่จัง ถ้ามีคนมาถามว่ามีคนที่ชอบรึยังใครก็ต้องตอบว่าไม่มีทั้งนั้นแหละ มันน่าอายออกนี่นา เธอต้องถามเค้าว่า พวกเธอจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ ต่างหาก"

                      "เอ๋"

                      "ก็ถ้าเค้ามีคนที่แอบชอบหรือคนที่คบกันอยู่มันก็ต้องมีคำตอบอะไรซักอย่าง แต่ถ้าใจเค้าไม่มีใครจริงๆเค้าก็จะงงว่าจะแต่งกับใครอะไรประมาณนั้นไงเล่า"

                      "แล้ว... เธอล่ะ จะแต่งงานกับเค้าเมื่อไหร่"

                      "แหม พูดอะไรอย่างนั้น ฉันยังไม่ชอบใครซักหน่อย"

                      "ก็...ความจริงฉันก็ถามเค้าแบบที่เธอว่าแหละนะ แบบ คนอื่นก็บอกอย่างนี้น่ะ และเค้าก็บอกว่าเค้ายังไม่มีใคร เพราะงั้นเราก็แน่ใจได้เลยว่าเค้าไม่ชอบฉันจริงไหมล่ะ"

                      "อือ แต่นั่นน่ะดีแล้วนา ถ้าเกิดว่า ถ้าเกิดว่าคนที่เธอแอบชอบมีคนที่ชอบอยู่แล้วล่ะก็เธอจะหมดหวังไปเลย แต่ถ้าเขายังว่างก็แปลว่ายังมีที่สำหรับเธอ"

                      "จริงสินะ ขอบคุณมากนะ ฉันน่าจะลองบอกเขาดูว่าฉันชอบเขา"

                      หลังคำพูดของเขา โซมาเนียก็ร้องไห้ออกมา

                      "โซมาเนีย เป็นอะไรไปน่ะ"

                      "ชิวาส ชิวาสชอบผู้หญิงคนนั้นมากเลยเหรอ"

                      "มากสิ มากที่สุดในโลกเลย"

                      "เหรอ ถ้างั้น...คงไม่มีที่เหลือให้ฉันแล้วสินะ"

                      "พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"

                      "ถึงชิวาสจะไม่รู้ แต่ฉันชอบชิวาสมาตั้งนานแล้วนะ แต่อย่ากังวลเลยนะเพราะฉันจะไม่ขัดขวางความรักของเธอหรอก"

                      "ถ้างั้น....โซมาเนียจะยอมให้ฉันสารภาพรักกับคนที่ชอบใช่ไหม"

                      "เอาสิ ชิวาสเองจะได้มีเรื่องที่สมหวังบ้างไงล่ะ ฉันรู้นะว่าเรื่องที่เธอเล่าคือเรื่องของเธอเอง รู้ไหม ฉันคิดว่าเธอไม่ได้ทำอะไรล้มเหลวไปหมดหรอกนะ เธอน่ะ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ฉันเคยพบมาเลย"

                      "ขอบคุณนะ ตอนนี้ความรักของฉันคงถึงเวลาต้องบอกซะที"

                      "เธอรู้ไหมว่าเธอใจร้ายมากที่ยังพูดถึงคนๆนั้นต่อหน้าฉันอยู่อีกทั้งที่รู้ว่าฉันชอบเธอและรู้ว่าฉันจะต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดแบบนั้น" โซมาเนียน้ำตาไหลพราก

                      "ขอโทษ แต่ฉันจำเป็นต้องพูดนะ เพราะคนที่ฉันรักก็คือเธอ โซมาเนียฉันรักเธอนะ"

                      ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมามองเขา มีแววแห่งความประหลาดใจ

                      "ไม่จริง..."

                      "จริงสิ ฉันรักเธอ"

      ...................................................................................................................................................................................

                      "เจ้าพี่คะ ตื่นขึ้นมาเถอะค่ะ ด้วยน้ำตาของหญิง ให้หญิงพิสูจน์หน่อยเถิดว่า หญิงยังไม่หายไปจากใจเจ้าพี่ เรื่องนี้สำคัญมากนะ เจ้าพี่ กรุณาตื่นขึ้นมาเถอะ"

                      "วิเวียน" เจ้าชายแห่งเจมิไนลืมตาขึ้นก่อนเอ่ยเรียกคนตรงหน้าอย่างลืมตัว "เอ่อ องค์จักรพรรดินี มีธุระอะไรทำให้ต้องมาเสด็จมาเองถึงเอดินเบิร์ก"

                      "เจ้าพี่อย่าทำห่างเหินอีกเลย ตอนนี้น้ำตาของหญิงคือข้อพิสูจน์แล้วว่าในใจของเจ้าพี่ยังมีหญิงอยู่บ้าง แม้ไม่ใช่ในตำแหน่งคนรัก หญิงก็ดีใจ

                      "วิเวียนเกิดอะไรขึ้น"

                      จักรพรรดินีองค์น้อยเล่าเรื่องราวที่ผ่านจากปากเฟรินไปอีกทอดหนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีเขียวกลมโตจ้องมองอย่างแน่วแน่

                      "น้ำตาของหญิงพิสูจน์แล้วว่าหญิงเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเจ้าพี่ เพราะฉะนั้นหญิงอยากให้เจ้าพี่อย่าทำห่างเหินกับหญิงอีก หญิงอยากรู้ให้แน่ว่าหญิงมีฐานะอะไรในสายตาของเจ้าพี่ หากเจ้าพี่ประกาศออกมาให้ชัดหญิงก็จะตัดใจ"

                      "ทรงเป็นจักรพรรดินีแห่งเวนอล" โรเวนกล่าวเนิบๆพลางหลบตา "และเป็นน้องสาวคนสำคัญของพี่"

                      น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาราวกับทำนบแตกทำเอาคนโตกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดึงร่างบางมากอดไว้ก่อนกระซิบข้างหู

                      "ขอให้ความสัมพันธ์ของเราหยุดแค่นี้เพราะพี่ไม่อาจทิ้งเจมิไนเหมือนที่หญิงต้องอยู่คู่เวนอล หากเรื่องนี้จบลงที่พี่น้อง เราก็จะเจ็บกันคนละครึ่งทาง พี่จะแบกรับ....ความเจ็บปวดที่หญิงมี มาไว้ที่พี่ เราจะรับมันไว้คนละครึ่งนะ"

                      "อย่าเลยค่ะ หญิงเจ็บปวดมากพออยู่แล้ว จะเจ็บเพิ่มอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร เจ้าพี่อย่ารับไปเลย ความเจ็บปวดไม่ใช่ลูกแก้วที่ใครจะตักตวงไปง่ายๆ ดีแต่จะทำให้หญิงเจ็บขึ้นเท่านั้น และหากหญิงตีความคำพูดของเจ้าพี่ไม่ผิด หญิงเชื่อว่า เจ้าพี่เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว เจ็บที่ต้องเป็นผู้ตัดขาดความสัมพันธ์ของเรา เจ็บมากกว่าหญิง มากกว่าใครๆ มากเกินกว่าจะต้องมารับความเจ็บปวดของหญิงหรือของใครไปอีก ไม่เอาอีกแล้วค่ะ อย่าเจ็บปวดมากไปกว่านี้เลย"

                      วิเวียนพูดถูก รักของเรามันเป็นไปไม่ได้ และจะจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น เป็นชะตากำของเขา ซึ่งต้องเป็นมหาราชแห่งเจมิไน ตามที่ควีนออฟมูนซิตี้พูด อาจเป็นเขาผู้นี้ก็ได้ที่จะปลิดชีวิตเจ้าชายอาเธอร์ด้วยมือของเขาเอง

      …………………………………………………………………………………………

                      "รู้ไหม ฉันเข้มแข็งไม่พอที่จะจ้องตาของนายเหมือนเดิม"

                      "เมื่อกี้นายพูดอะไรรึเปล่าคาโล"

                      "นาย...คิดยังไงกับเรื่องเมื่อเช้า"

                      "ไม่คิดยังไงนี่ เรื่องก็จบแล้ว คนร้ายก็คือขุนนางของเดมอสที่อยากให้เกิดสงครามอีกแต่เสียดายฝีมือไม่ถึงเลยม่อยกระรอก แล้วพ่อฉันก็จัดการส่งมาให้เลโมธีดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ท่านกำชับมาว่าให้จัดการให้ถึงที่สุดเพราะเห็นแก่ลูกสาวสุดที่รักคนนี้ ท่าทางพ่อห่วงฉันเอาเรื่อง หรือนายว่าไง คาโล"

                      "เปล่าฉันหมายถึงร่างของฉัน....ที่นายเห็น"

                      "ก็เฉยๆ คนที่ประหลาดกว่านายน่ะมีเยอะไป นายจะมากลุ้มใจทำไม ตอนนี้นายก็หน้าตาเหมือนเดิม"

                  "นายไม่รู้อะไร แต่ก็ดีแล้วล่ะ"

                      "ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายพูดถึงอะไร โรมันรู้แต่มันไม่ยอมบอกฉัน มันบอกว่าเรื่องแบบนี้ถ้าได้ยินจากปากคนอื่นมันน่าเจ็บปวด ฉันล่ะเบื่อมัน รู้มาก วางมาดเจ้าชายขี้กะโล้มากขึ้นทุกที"

                      "นายถามมัน"

                      "ฉันก็ถามๆเรื่องเลือดภูติอะไรนั่น"

                      "นายอยากรู้"

                      "แหงสิ นายรู้ฉันมันชอบเสือ-ก แต่...ฉันรู้ว่านายไม่อยากบอก รอวันไหนนายพร้อมจะบอกฉันค่อยฟังก็ได้ นายน่ะมันใจอ่อน สักวันคงขี้มูกโป่งมาร้องไห้เล่าความในใจให้ฉันฟังหมดอยู่ดี"

                      "แต่มันอาจจะไม่มีวันนั้น ฉันอาจจะไม่บอกนายเลย ชั่วชีวิต"

                      "ฉันไม่เชื่อ"

                      "นายไม่เชื่อ"

                  "ก็เออสิวะ ถ้าคนกลัวดอกพิกุลร่วงอย่างนายลองอ้าปากออกมาหน่อยแบบนี้ล่ะ ก็ต่อให้เป็นเรื่องน่าอายขนาดไหนมันก็คงใหญ่ยักษ์ซะจนนายแทบทนไม่ไหว ระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็คงลงรูหูฉันอยู่ดีล่ะน่า"

                      "นั่นสินะ"

                      "คาโลเอ๊ย นายนี่มันจริงๆเลย เพื่อนน่ะมันก็เหมือนโถส้วมแหละวะ ไม่สบายใจก็ระบายออกมา ถึงเรื่องที่ออกมาจะไม่ชวนฟังไม่ชวนดม แต่ก็สบายใจขึ้นใช่ไหม พอกดชักโครก เอ๊ย ขอสัญญาปิดปากกับมันซักทีสองที สุดท้ายเรื่องก็จบ ไม่มีขี้พุ่งกลับมาให้รำคาญใจ วันหลังมีเรื่องใหม่ก็มาใช้บริการอีกหน"

                      "สักวันนายจะมาขี้ใส่ฉัน"

                      "เออ ถ้าจะเปรียบแบบนั้น มันก็คงมีสักวันหรอกน่าที่ฉันจะได้ทำขี้มูกยืดใส่เสื้อนายบ้าง"

                      "ฉันจะรอ"

                      "ดีโว๊ย เป็นเจ้าชายดีๆไม่ชอบ ดันมาอยากเป็นส้วม"

                  "หึ นายนี่มันเป็นส้วมที่ตลกจริงๆเลย"

                      "เป็นเพื่อนที่ตลกจริงๆเลยต่างหากล่ะฟระ"

      ...................................................................................................................................................................................

                      พ่อเคยบอกว่าเพื่อนทำให้เสียเวลา เสียเงิน เสียอะไรหลายๆอย่าง แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนพ่อคงให้อะไรหลายๆกับพ่อเหมือนเพื่อนผม

                      ตอนนี้ผมยังไม่ได้ถามพ่อว่าเพื่อนพ่อเคยทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาบ้างไหม แต่ตอนนี้ผมกลับอยากถามคำถามใหม่ พ่อเคยต้องเสียน้ำตาเพราะคนที่พ่อไม่เคยเห็นหน้าบ้างไหม....อย่างเช่นขุนนางจากเดมอสสักคน

                      ถ้าน้ำตาเป็นของหายากสำหรับพ่อ ขอบอกเลยว่ามันหายากสำหรับคนอย่างผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคงไม่มีวันที่ผมจะเสียน้ำตาจากก้นบึ้งหัวใจของผมให้กับใครไม่รู้ ผมว่าแค่น้ำตาธรรมดาก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับขุนนางที่มีปัญญาแค่ปั่นใจคนให้จิตป่วน

                      และถ้าผมไม่รู้ว่าน้ำตาธรรมดาหาได้จากที่ไหน ผมก็ไม่คิดจะถามพ่อ เพราะพ่อคงให้คำตอบไม่ได้ ถ้าจะถาม ถามครี้ดจะได้เรื่องกว่า เพราะคำตอบที่มันคืนกลับมา

                      .............คือยาหยอดตาที่มันยืนยันว่าคืนร่างชัวร์..................


                     
      ปล.พิมพ์ผิดตรงไหนแจ้งด่วนเพราะคนเขียนง่วงจะตายอยู่แล้ว (ว้อยย)

      ในที่สุดก็จบ เลยกำหนดไป12วันขอโทษจริงๆนะคะ แง หนูผิดไปแล้ว
      เม้นท์ๆกันหน่อยน้าอยากรู้ว่าคนอื่นคิดยัไงกันบ้างอ่ะเนี่ย
      ไปแปรงฟันแว๊บนึงเดี่ยวมา เอิ๊ก

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×