ตอนที่ 42 : Chapter 37 : Closer
Chapter 37 Closer
การให้เจ้าจันทร์โตเป็นผู้ใหญ่…เงื่อนไขที่มิสเตอร์หยางไม่ได้มีคำแนะนำอะไรหรือคำสั่งอะไร ก็แค่ทิ้งโจทย์ไว้ให้ตีความ การเลี้ยงเจ้าจันทร์เป็นนกในกรงคือความผิดพลาดของเขากับกันติชาที่ควรจะหยุดลงสักทีแต่มันก็กลายเป็นความเคยชินที่จะต้องเผลอเย้าแหย่...อย่างเรื่องการขอแต่งงานที่จะให้เจ้าจันทร์มาขอ
ก็เจ้าจันทร์น่ารัก...พูดจาก็น่ารัก ทำให้ชอบเผลอตัวแกล้งบ่อยๆ แล้วมองข้ามจุดที่ความจริงมันถูกบิดเบือนไป แถมยังเผลอได้ใจว่าจะได้เอาคืนกันติชา แต่คนอ่านเกมขาดอย่างมิสเตอร์หยางก็ยื่นมาเข้ามาปกป้องครอบครัวกระต่าย
แผนการต้องถูกรื้อมาคิดใหม่ ทำใหม่ จะดื้อดึงไม่ทำตามก็คงได้ เพราะรู้ว่าการให้เจ้าจันทร์ได้เติบโตมันจะดีกับตัวน้องเองมากกว่า ถึงจะขัดใจที่ต้องทำภายใต้เงื่อนไขของมิสเตอร์หยางก็ตาม
เขาลืมไปได้ยังไง...ว่าคนที่อุ้มเจ้าจันทร์คนแรกตอนน้องลืมตาดูโลกคือมิสเตอร์หยาง...สัญชาตญาณความเป็นพ่อคงหวนกลับคืนมาจนล้นทะลัก
ตาคมหลุบมองคนที่นอนหลับสนิทกอดเจ้ากระต่ายหูยาว งานเลี้ยงทำให้คนนอนไวอยู่เล่นนั่นเล่นนี่จนเกือบเที่ยงคืน ทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ ไหนจะของขวัญที่เหมือนซื้อกันมาถมที่ ยิ่งกลุ่มเพื่อนเขาที่ชอบซื้อของขวัญมาให้เจ้าจันทร์เพื่อแหย่เขาด้วยนั้น จัดเต็มกันทุกคน
อายุ 20 แล้วแต่เจ้าจันทร์ของเขาก็ยังเป็นพระจันทร์ดวงน้อยเหมือนเมื่อสิบสี่ปีก่อนที่ได้อยู่ด้วยกันครั้งแรก เขาเคยเจอเจ้าจันทร์ตอนน้องเพิ่งคลอด ก็แค่มองว่าเป็นเด็กทารกตัวเล็กๆในตู้อบที่สุขภาพไม่แข็งแรง ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นก้อนความสุขของเขา
แล้วมันจะเป็นตลอดไป...บางทีมิสเตอร์หยางก็พูดถูก ต้องปล่อยให้เจ้าจันทร์โตได้แล้ว โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้มีแค่ความสุข เจ้าจันทร์จะต้องรับมือกับทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้
อุปสรรคของชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องการสอบ...มันยังมีอีกหลายด่าน อีกหลายปีข้างหน้าเจ้าจันทร์ต้องเป็นคนเข้มแข็งคนหนึ่ง ไม่ใช่อ่อนแอแล้วแพ้ไป เราทุกคนต่างอยู่ในสังคมแห่งการแข่งขัน มันไม่มีอะไรรับประกันว่าเจ้าจันทร์จะอยากเป็นแม่บ้านเต็มตัว มันก็คงถึงเวลาต้องเตรียมพร้อม ถ้าน้องจะเลือกทำงาน...เลือกการใช้ชีวิตนอกบ้าน ก็ต้องเข้มแข็งกว่านี้
“พี่คงต้องใจร้ายกับจันทร์...”
อุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นไม่ให้จันทร์โตก็คือ...ตัวเขาเอง
“ซัมเมอร์ต่างประเทศ? จันทร์หรอ?”
“อืม คอร์สสามวีคที่สิงคโปร์”
ผมไม่เคยไปเรียนต่างประเทศเลย ถ้าไปก็คือไปเที่ยวกับเจิ้น แต่นี่เจิ้นจะให้ไปเรียน? ถึงสิงคโปร์มันก็จะใกล้ๆก็เถอะ แล้วตอนเรียนไฮสคูลเพื่อนๆก็ไปกันเยอะ แต่ผมไม่เคยคิดจะไปนี่
“ทำไมอยู่ๆให้จันทร์ไปอ่ะ ไม่ไปไม่ได้หรอ”
สิงคโปร์ไม่มีเจิ้นนี่นา ไม่มีคุณป้าแม่บ้านด้วย แล้วก็ไม่มีนมอุ่นๆ เมอร์ไลออนมันก็อุ่นนมให้ผมไม่ได้นะ ประสบการณ์การอยู่คนเดียวของผมมันยังหลอนไม่หายเลยอ้ะ
“ไปฝึกภาษาอังกฤษบ้าง อาเซียนก็เปิดแล้ว เผื่อพี่จะอยากเพิ่มสาขาธนาคารที่เมืองนอกจันทร์จะได้ไปช่วยงานพี่ได้”
“แต่เจิ้นก็มีสาขาอเมริกาแล้วนี่...”
เจิ้นหรี่ตามองผม เป็นอันว่าคราวนี้เจิ้นจะส่งผมไปเรียนแบบจริงจังแล้วก็งอแงไม่ได้ด้วย บางทีเจิ้นก็จะบังคับผมแบบนี้แหละ แต่เจิ้นไม่เคยขนาดส่งผมไปเมืองนอกเลยนะ
“เจิ้นไม่คิดถึงจันทร์แล้วหรอ จันทร์คิดถึงเจิ้นนะ”
ผมรีบเขยิบไปกอดแขนเจิ้น แวบหนึ่งเห็นความวูบไหวในดวงตา...แต่เจิ้นก็กลับมายกยิ้มที่ทำให้ผมรู้ว่าต้องเตรียมตัวแพคกระเป๋าไปสิงคโปร์ได้แล้ว
“สามอาทิตย์เอง”
“เจิ้นใจร้าย จันทร์ไม่ได้อยากไป! จันทร์ไม่โอเค ไม่โอเคมากกกกกกกก!”
“ศศิมณฑล”
เจิ้นเสียงแข็ง...มันไม่ปกติอ่ะ เจิ้นไม่เคยทำเสียงแข็งใส่ผมมาก่อนเลย แล้วอยู่ๆก็จะส่งผมไปอยู่ไกลๆทั้งๆที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“พี่ไม่ได้ใจร้าย พี่ก็คิดถึงจันทร์ แต่มันเป็นโอกาสที่จันทร์ควรจะได้รับ... สิงคโปร์ห่างกับประเทศไทยชั่วโมงสองชั่วโมงเอง แค่ไปเรียนภาษาสามอาทิตย์ จันทร์จะได้เก่งขึ้น พี่อยากให้จันทร์ไปอังกฤษด้วยซ้ำแต่พี่คิดถึงจันทร์...ไปหาที่สิงคโปร์ก็คงง่ายกว่าไปหาจันทร์ที่อังกฤษ”
ผมรู้สึกน้อยใจ น้อยใจมากแบบว่าเยอะแยะเลยแต่พอเจิ้นกอดผมก็อยากจะร้องไห้ เจิ้นก็คงต้องทำใจส่งผมไปเหมือนกันใช่ไหม? ถ้านับในกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนก็ถือว่าผมช้าแล้วนะที่เพิ่งได้ไปตอนมหาวิทยาลัย เจิ้นก็คงอยากให้ผมเหมือนคนอื่นๆ มันก็ดีแต่มันก็ไม่อยากจะห่างเจิ้นไปนี่
“เจิ้นจะไปหาจันทร์ใช่ไหม?”
“พี่เคยไม่ไปหาจันทร์ด้วยหรอ?”
ไม่เคย....เจิ้นไปหาผมตลอดนั่นแหละ....มันเลยทำให้ผมชะล่าใจยอมไปสิงคโปร์แต่โดยดี และมารู้ทีหลังว่าเจิ้นตัดหางปล่อยวัดผมชัดๆอ่ะ ชัดแบบ HD ด้วย!
เจิ้นส่งผมมาอยู่สิงคโปร์กับพี่เลขาที่ชื่อพี่เอ็ม เอาง่ายๆคือส่งมาเรียนพร้อมกันนั่นแหละ แต่พี่เลขาเรียนคนละคอร์ส ผมเรียนคอร์สสปีคกิ้งธรรมดา แต่พี่เลขาเรียนคอร์บิซิเนสสปีคกิ้ง เราพักอยู่ด้วยกันในหอพักแถวๆมหาวิทยาลัย มันก็ห้องแบบคอนโดแต่มีสองเตียง
ผมต้องไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าแล้วก็แยกกับพี่เอ็มไปคนละห้อง กลางวันกับตอนเย็นถึงได้เจอกัน แล้วอยู่ดีๆพี่เอ็มก็ตีตัวออกห่างผม! พี่เอ็มบอกว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนในคลาสให้ผมไปกับเพื่อนตัวเอง เพื่อนผมก็มีแต่คนเกาหลีญี่ปุ่นที่สำเนียงไม่ได้เรื่องเลยยยย ฟังไม่ออกกกก การเรียนนานาชาติของผมมันล้มเหลวสิ้นดี จริงๆผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษนะ แต่ความแตกต่างของสำเนียงเนี่ยปัญหาใหญ่ แล้วคือคนที่มาเรียนเขาพูดไม่ได้เท่าผมอ่ะผมก็เลยฟังไม่รู้เรื่อง
กิจกรรมในห้องผมก็ได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม! แต่คอร์สเรียนภาษาของที่นี่ค่อนข้างดีมากให้เราได้ลองใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจริงๆ เช่นการถามทาง กลุ่มผมก็ได้รับโจทย์ให้ไปหาสถานที่แห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัยโดยการถามทาง ไปถึงก็ต้องถ่ายรูป แล้วกลับมาแนะนำสถานที่นั้นให้เพื่อนๆ ได้หัดบอกทางด้วย
ความหงุดหงิดเรื่องพี่เอ็มเลยน้อยๆลงไปเพราะผมได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้เป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ บางคนก็มาคนเดียวเหมือนกัน แล้วก็ดูงงๆ ผมเลยเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ดีชวนทุกคนไปกินข้าวด้วยกัน เวลาคุณครูสั่งงานแล้วเพื่อนฟังไม่ทันผมก็ได้เป็นคนอธิบาย
ผมรู้สึกแฮปปี้มาก มีบทเรียนทำอาหารด้วย ผมเลยได้ชวนทุกคนไปซื้อวัตถุดิบในห้างหลังเลิกเรียน และได้โชว์สกิลทำอาหารที่มากกว่าคนอื่นนิดหน่อยให้ทุกคนได้ว้าวกัน อยู่เมืองไทยผมไม่ได้เป็นคนที่โดดเด่นในกลุ่มเท่าไหร่ แต่พอมาอยู่นี่ผมกลายเป็นหัวหน้ากลุ่ม! ดีใจจัง
การได้เป็นหัวหน้ามันเหมือนเรามีความรับผิดชอบมากขึ้นเยอะเลย ถึงจะแค่พาเพื่อนมาซื้อผักซื้อของก็เหอะ แต่เพื่อนในกลุ่มผมก็ทำอาหารกันไม่เป็น ผมเลยได้โชว์ฝีมืออีก! เพื่อนคนเกาหลีในกลุ่มบอกว่าผมทำอร่อยให้ไปเปิดร้านอาหารที่เกาหลีได้เลย
หรือจริงๆผมควรมองธุรกิจด้านอาหารไว้บ้าง? ไม่อยากทำแล้วช่อฟ้าเพราะเจิ้นทิ้งผม ไม่โทรมาด้วย โทรไปก็ไม่รับ พี่เอ็มก็ไม่สนใจผม แค่ไปกลับมหาลัยพร้อมกัน แถมวันหลังๆผมไปเองกลับเอง! เพราะคลาสพี่เอ็มมีไปสัมมนากับบริษัทภายนอกด้วย ส่วนของผมตื่นเต้นสุดก็ไปยูนิเวอร์แซลอ่ะ
มันก็แค่สวนสนุกสู้ของพี่เอ็มไม่ได้หรอก แต่...สนุกจริงๆ แหะๆ ผมกับเพื่อนเล่นนั่นเล่นนี่ คุยกันงงๆ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เล่นๆไปก็เข้าใจกันเอง
กิจกรรมมหาศาลของผมทำให้ผมต้องเก็บความน้อยใจไว้ข้างในแล้วบ่นกับสินเชื่อแทนเพราะเจิ้นไม่โทรมาให้บ่นเลยสักครั้ง ผมพาสินเชื่อมาด้วย จริงๆอยากจะทิ้งไว้อยู่กับเจิ้นแต่มันเป็นการไปอยู่เมืองนอกครั้งแรกของผม ผมต้องการกำลังใจจากสินเชื่อสุดๆ มาอยู่กับพี่เอ็มสองคนก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผมซักผ้าเองได้แล้ว! เพราะพี่เอ็มสอน พี่เอ็มบอกว่าจะให้พี่เอ็มทำให้ก็ได้แต่พี่เอ็มก็เรียนหนักก็ซักได้แค่ตอนกลางคืนนะ ผมก็เกรงใจอ่ะ คลาสพี่เอ็มการบ้านเยอะมากผมเลยให้พี่เอ็มสอนแทน
จริงๆพี่เอ็มเป็นเลขาที่ดูแลเรื่องส่วนตัวของเจิ้นโดยเฉพาะ พอต้องมาอยู่กับผมก็เกรงใจพี่เขาเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่หน้าที่พี่เอ็มเลย แต่พี่เอ็มก็อุ่นนมให้ผมทุกคืนนะ ผมเลยแลกเปลี่ยนกับการทำมื้อเช้าให้ง่ายๆ พวกแซนวิช ห้องเรามีไมโครเวฟ ตู้เย็น แต่ไม่มีพวกเตาแก๊ส ในตู้ก็มีพวกของสดนิดหน่อยเน้นไปเป็นพวกนมกับของกินของผมซะเยอะ เพราะผมเป็นคนกินยาก ก็เลยต้องพยายามเลือกแต่ของที่ตัวเองกินได้มาใส่
หลังเลิกเรียนบางทีถ้าเวลาตรงกันพี่เอ็มก็พาผมไปซูเปอร์ใกล้ๆ ผมต้องพยายามอ่านฉลากเพื่อดูว่ามันจะเหมาะกับท้องผมไหม อะไรที่มีช็อกโกแลตต้องระวัง แต่พี่เอ็มชอบกินช็อคโกแลต ในตู้เย็นเลยจะมีแบ่งเป็นโซนเก็บช็อกโกแลตของพี่เอ็มโดยเฉพาะ
งานบ้านก็ต้องช่วยกันทำ ผมมีถุงมือยางหนึ่งคู่สำหรับซักผ้าแล้วก็มีผ้ากันเปื้อน ทางหอพักมีเครื่องดูดฝุ่นให้ยืม มันก็งงๆหน่อยแรกๆ แต่ผมก็ว่าผมทำได้
ปัญหาที่ผมเคยดีลกับมันไม่ได้ผมก็ทำได้...การอยู่คนเดียวที่คิดว่าผมคงร้องไห้กลับประเทศไทยในตอนแรกก็ทำให้ผมเริ่มจะแฮปปี้มากกกกกกก
ติดแค่อย่างเดียว...เจิ้นไม่ยอมโทรหาผม!
พ่อก็โทรมาทุกวัน ลุงหยางผมยังได้คุย คุณปู่ก็ได้คุย พ่อกับแม่เจิ้นก็ได้คุยแต่ไม่ได้คุยกับเจิ้น พี่เอ็มบอกว่าช่วงนี้เจิ้นทำงานหนักเพราะไม่มีพี่เอ็มดูแล เจิ้นเลยต้องจัดการเรื่องส่วนตัวเอง
เรื่องส่วนตัวที่เจิ้นต้องดูแลตัวเองก็เช่น... จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต ค่าอินเตอร์เน็ต พี่เอ็มบอกว่าเจิ้นต้องไปเข้าแถวเอง ผมนึกว่าเป็นคุณป้าแม่บ้านมาตลอด แต่เจิ้นเป็นห่วงคุณป้าแม่บ้านต้องไปเบียดกับคนเยอะๆเลยเป็นพี่เอ็มไปจ่าย แล้วทำไมค่าบัตรเครดิตเจิ้นต้องจ่ายด้วยอ่ะ
“ถึงเป็นเจ้าของ แต่ถ้าใช้บัตรเครดิตก็เป็นลูกค้าธนาคารครับ จ่ายเงินไม่ตรงก็ติดบูโรเสียประวัติ”
“เจิ้นต้องลงไปเข้าแถวที่หน้าเคาน์เตอร์เองด้วยหรอ?”
“ใช่ครับ”
ผมไม่เชื่อนิดหน่อย...แต่พี่เอ็มทำหน้าจริงจัง...คงไม่ได้หลอกมั้ง?
“แล้ว...เจิ้นจะหยอดกระปุกไหมอ่ะ จันทร์ให้เจิ้นหยอดวันละสิบบาท ครบเดือนต้องไปฝากธนาคารนะ”
“อืม...น่าจะนะครับ พี่ก็ไม่แน่ใจ”
คราวนี้เป็นพี่เอ็มทำหน้าไม่เชื่อบ้าง ผมเลยอธิบายว่าผมให้เงินเจิ้นวันละร้อย ก่อนมาก็ให้คุณป้าแม่บ้านให้เงินเจิ้นแทนผมแล้ว ห้ามเกินนะเพราะเจิ้นต้องรู้จักใช้เงินแบบประหยัดๆ ถึงเจิ้นจะรวยอยู่แล้วแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ออมเงินไว้ก่อนก็น่าจะดี แต่ถ้ามีรายจ่ายสำคัญๆผมก็ไม่ใจร้ายหรอก ให้เจิ้นเอาใบเสร็จมาเบิกได้ ผมเอาไอเดียนี้มาจากตอนทำกิจกรรมในคณะ ที่เพื่อนๆบอกให้เอาใบเสร็จไปเบิกเวลาซื้อของ ก็เลยเอามาลองใช้กับเจิ้นมั่ง
“คุณจันทร์รอบคอบมากครับ”
“จันทร์ก็ว่างั้นแหละ”
เรื่องเงินต้องรอบคอบนะ!
ผมเริ่มกลับมาคิดว่าจะแยกไปอยู่คนเดียวอีกครั้งหลังจากนั่งคุยกับเพื่อนๆ ทุกคนมาอยู่กันเองหมดเลย แล้วพอผมสำรวจตัวเองมันก็น่าจะไหว...บางทีคราวหน้าการไปอยู่คอนโด เป็นวัยรุ่นแบบคนอื่นบ้างน่าจะไม่แย่เท่าครั้งแรก
ตอนนี้ผมทำกับข้าวเป็นแล้วด้วย อุ่นนมก็น่าจะหัดได้ไม่ยาก...ขนาดคิวยังออกมาอยู่คนเดียวแล้วก็กลับบ้านวันเสาร์อาทิตย์ ถึงจะช้าไปหน่อยแต่ผมก็อยากใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยให้คุ้ม ผมคุยไอเดียเรื่องนี้กับพ่อ พ่อก็โอเค พ่อบอกอยู่คนเดียวจะได้หัดเป็นผู้ใหญ่ แล้วอย่าร้องไห้กลับบ้านอีกนะ
ต่างประเทศผมยังอยู่ได้ แค่อยู่คอนโดก็ต้องได้เหมือนกันสิ? แต่คอนโดที่เจิ้นซื้อตรงหน้ามหาวิทยาลัยก็ใหญ่ไปหน่อยอ่ะ มีตั้งสามห้องนอนแต่ผมจะนอนคนเดียว หรือว่าไปอยู่หอในมหาวิทยาลัยดี? จะได้นั่งรถรางไปเรียนด้วย
พ่อก็เห็นด้วยกับการอยู่หอในมหาวิทยาลัยเพราะมหาวิยาลัยของผมเป็นเอกชน พวกหอพักอะไรก็ค่อนข้างสะดวกสบาย เคยคุยกับเพื่อนที่อยู่หอในมันก็มีทั้งห้องเดี่ยวและห้องแบบมีรูมเมท แต่ผมน่าจะเลือกนอนคนเดียว
ผมปรึกษาพี่เอ็มเพราะพี่เอ็มน่าจะเป็นคนที่เห็นผมชัดที่สุด ผมอยากรู้ว่าในมุมมองพี่เอ็มผมสามารถอยู่หอคนเดียวได้หรือยัง? พี่เอ็มก็บอกว่าได้....งั้นกลับไทยแล้วไปอยู่หอดีกว่า
จริงๆเรื่องอยากไปอยู่หอมันเป็นแค่ประเด็นรอง แต่ประเด็นหลักคือผมน้อยใจเจิ้นด้วย เจิ้นไม่ติดต่อมาเลย ทิ้งผมให้อยู่ดินแดนเมอร์ไลออนแบบเหงาๆ ก็ไม่เหงามากเพราะมีเพื่อนแต่ส่วนที่ต้องเป็นเจิ้น มันก็ต้องเป็นเจิ้น...คนอื่นจะมาแทนเจิ้นได้ยังไง
ไหนบอกว่าจะคิดถึง...คนโกหก
ผมบ่นกับพ่อทุกวันเรื่องเจิ้น พ่อบอกว่าเจิ้นอาจจะกลัวตัวเองคิดถึงผมเพราะถ้าเจิ้นได้ยินเสียงอาจจะทิ้งงานมาหาผมทันที ผมก็แอบเห็นด้วยเพราะถ้าเจิ้นบอกว่าคิดถึงผมก็คงอยากตีตั๋วกลับไทยทันทีเลยเหมือนกัน
แต่...มันก็ยังน้อยใจอ้ะ!!!! ผมไม่กล้าร้องไห้ด้วยเพราะอายพี่เอ็ม ก็เลยต้องเป็นคนเข้มแข็ง วันไหนคิดถึงมากๆก็รีบๆหลับไปเลย จะว่าไปพออยู่ห่างๆแบบนี้ก็อดสำรวจตัวเองไม่ได้เหมือนกันนะว่าจริงๆแล้วผมก็อยู่ห่างจากเจิ้นได้
อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าเดี๋ยวเราก็เจอกัน ไม่ได้ห่างกันไปตลอดกาล เจิ้นก็ยังรอผมอยู่ที่ช่อฟ้า สุดท้ายเราก็จะกลับไปอยู่ด้วยกันอีกอยู่ดี
อีกอย่างก็คือ...ผมคิดถึงเจิ้นแบบมากมายมหาศาล แต่ไม่ได้มีเวลามาเพ้อเยอะเพราะว่ายุ่งไปหมด การบ้านเอย เพื่อนเอย ยุบยิบไปหมดเลยแต่มันก็จะมีแวบๆขึ้นมาตลอดว่าคิดถึงเจิ้น
สามอาทิตย์ยังคิดถึงขนาดนี้...แล้วถ้าเป็นปีผมจะคิดถึงขนาดไหน?
แต่เพราะหน้าที่ที่ต้องทำ ก็เลยต้องพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้ เราไม่สามารถทำอย่างที่เราต้องการได้ทุกอย่างเหมือนที่ผมไม่สามารถกลับไปหาเจิ้นได้ตอนนี้เพราะยังต้องเรียนให้ครบสามอาทิตย์...
อยู่ดีๆผมก็กลายเป็นคนมีตรรกะขึ้นมา หรือว่าผมฉลาดขึ้น? พี่เอ็มบอกว่ามันเป็นเหตุผลแบบผู้ใหญ่ที่ต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดี ผมโตขึ้นหรอ? สามอาทิตย์เนี่ยนะ? หรือการเป็นหัวหน้ากลุ่มจะทำให้ผมแบบว่าออร่าจับ พวกความสามารถอันโดดเด่นที่เคยถูกปิดบังไว้ก็เลยผุดออกมาเป็นดอกเห็ด
จริงๆผมอาจจะมีความจีเนียสอยู่ในตัว แบบว่านาซ่าก็ตามหาคนแบบผมอยู่ แล้วเราก็จะได้ร่วมมือกันเพื่อคิดค้นอะไรสักอย่างที่โลกยังไม่มี แบบพวกไฟฉายขยายส่วนในโดเรมอน
หลังจากภูมิใจกับตัวเองนิดเดียวผมก็ว่ามันน่าจะเพ้อเจ้อเพราะผมยังบวกเลขช้าเป็นเต่าเหมือนเดิม เอาเถอะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ถือเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่
คิวบอกว่าผมขี้เห่อ เป็นแค่หัวหน้ากลุ่มในคลาสทำเป็นขี้โม้ ไม่รู้แหละก็ได้เป็นอ้ะ แสดงว่าผมเก่งสุดในกลุ่ม! ถ้ามันมีหัวหน้าห้องด้วยผมก็อาจจะได้เป็นเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันไม่มีไง
วันสุดท้ายของการเรียนเพื่อนๆนัดกันไปฉลอง พี่เอ็มก็จบคอร์สพร้อมกันเพราะเป็นแค่สนทนาธุรกิจก็แยกไปอีกร้านกับเพื่อนๆของเขา พี่เอ็มบอกว่ามันจะดึกเดี๋ยวมารับให้ผมรอ
ถ้าต้องกลับดึกพี่เอ็มจะมารับตลอด ผมก็จะไม่ดื้อกลับเองด้วยการดึงดันไม่เข้าเรื่องจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ ขนาดเรื่องแม่ที่มาทำร้ายกันถึงในเขตช่อฟ้า ไม่ได้เสี่ยงไปข้างนอกหรืออะไรเลยก็ยังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ดื้อกับพี่เอ็ม
พี่เอ็มโทรมาว่าจะมารับผมตอนสามทุ่ม คลาสพี่เอ็มมีปาร์ตี้ห่างจากผมไปประมาณห้าสถานี แต่มันต้องเดินต่อนิดหน่อยซึ่งอาจจะหลงกันได้ ในสถานีก็มีทางออกหลายทางเราอาจจะเดินสวนกันไม่ได้ตั้งใจเพราะคนมันเยอะ
งานปาร์ตี้ทำให้ผมใจหายอ่ะ เพราะทุกคนต้องแยกกันไป บางคนก็เข้ามหาลัยที่นี่ต่อบางคนก็กลับประเทศ คงคิดถึงมากๆแน่เลย ถึงจะแค่สามอาทิตย์แต่เราก็อยู่ด้วยกันทั้งวัน วันหยุดอีก หลังเลิกเรียนอีก
อากาศที่สิงคโปร์เป็นแบบร้อนชื้น ฝนตกบ้าง บางทีก็เย็นๆ คนก็หลากหลายเชื้อชาติมารวมตัวกัน ความแตกต่างของเชื้อชาติที่อยู่กันได้คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งล่ะมั้ง
ผมเดินเล่นเรื่อยเปื่อยรอพี่เอ็มมารับ ห้างใกล้ปิดแล้วแต่พี่เอ็มก็ยังไม่มา เขาแค่ไลน์มาบอกว่ากำลังจะมา แต่ก็ยี่สิบนาทีแล้วนะ ห่างกันแค่ห้าสถานีเอง ผมเริ่มง่วงแล้วด้วย เพื่อนๆก็แยกกันไปหมดแล้ว
“จันทร์”
เสียงที่คุ้นเคย...ที่ไม่ได้ยินมานาน เจิ้นยืนห่างจากผมไปประมาณเจ็ดก้าว เจิ้นก็ยังเหมือนเดิมใส่ชุดสูทสีดำ ผมยาวมัดรวบไว้ด้านหลัง
ความคิดถึงที่ผมพยายามไม่นึกถึงเหมือนจะล้นออกมาจากข้างใน แต่ความน้อยใจที่ผมพยายามหักห้ามตัวเองก็เยอะมากไม่ต่างกัน ผมอยากกอดเจิ้นแต่ก็ไม่อยาก อยากจะบอกว่าคิดถึงแต่ก็ไม่อยากพูด อารมณ์ผมแปรปรวนเป็นพายุเฮอริเคนแต่ผมทำได้แค่ยืนเฉยๆ
จนกระทั่งภาพมันเริ่มพร่าเลือน...ผมร้องไห้ ยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนดึงเข้าไปจมในอ้อมกอดของเจิ้น และมันก็เหมือนฟิวส์ขาดผมพ่นอะไรไม่รู้ใส่เจิ้นเยอะมากเหมือนคนบ้า ฟูมฟายจะเป็นจะตาย ร้องไห้เหมือนผีเข้า แบบว่าถ้าซินแสมาเห็นคงบอกให้เจิ้นไล่ผมออกจากช่อฟ้าไปเลย
เจิ้นกอดผมแน่นรอจนสติผมเริ่มกลับมา เจิ้นโอบเอวพาผมขึ้นรถที่จอดรออยู่ไม่ไกลไปด้วยกัน หลังจากเป็นบ้าจนเลิกบ้าผมก็ไม่อยากคุยกับเจิ้นเลยสักนิดเดียว ในหัวมันมีแต่คำว่า ทำไม ทำไมเจิ้นไม่ติดต่อผมเลย ทำไมเจิ้นไม่คิดถึงผม แต่ผมรู้ว่า...เจิ้นก็คิดถึงไม่งั้นเขาคงไม่มา มันเป็นอย่างที่พ่อพูดนั่นแหละ เจิ้นก็กลัวทนไม่ไหวเหมือนกัน
เพราะเข้าใจเจิ้นล่ะมั้งผมก็เลยหงุดหงิดที่ตัวเองงี่เง่าง้องแง้ง มันเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่อยากจะเข้าใจอ่ะ อยากจะงอนก็งอนไม่สุด อยากให้เจิ้นง้อ นั่นแหละ คนมันงอนก็เพราะอยากให้ง้อกันทั้งนั้นแหละ
เจิ้น ต้อง ง้อ ผม!
เจิ้นไม่ได้พาผมไปหอพักแต่พาผมไปที่มารินาเบย์แซนด์ พี่เลขาคนอื่นรวมถึงพี่เอ็มรอผมกับเจิ้นอยู่แล้ว พี่เอ็มลากกระเป๋าผมเดินตามมาพร้อมอุ้มสินเชื่อด้วย
“คีย์การ์ดครับเจิ้น เช็คอินเรียบร้อยครับ”
“อืม”
พี่เลขาไม่ได้เข้าลิฟต์มากับเรา กระเป๋าเดินทางผมเจิ้นก็เอามาลากเอง ส่วนสินเชื่อเจิ้นก็ไม่ยอมส่งให้ เขาหนีบไว้ข้างตัวและผมก็งอนไม่อยากจะขอสินเชื่อคืน
ลิฟต์ที่นี่เป็นแบบต้องเสียบคีย์การ์ดแล้วก็จะพาไปชั้นนั้นๆโดยเฉพาะ ห้องของเราใหญ่พอสมควร มีห้องด้านนอกที่เป็นโซฟาและทีวีก่อนจะแยกไปห้องนอนด้านในอีกที กระเป๋าของเจิ้นวางอยู่มุมห้อง แต่พวกข้าวของส่วนตัวบางอย่างถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว ถ้าพี่เลขาจัดให้ก็จะพร้อมแบบนี้ แต่ถ้าเจิ้นไปกับผมเอง ก็เจิ้นอ่ะจัดเองเพราะผมมัวแต่ห่วงเล่น
วิวจากบานหน้าต่างเห็นวิวตึกสูงของสิงคโปร์แทบจะทั้งหมด ฝั่งของห้องเราหันไปทางเมอไลออนพอดี เห็นร้านหลุยส์วิคตองกลางน้ำด้วย ทำไมเจิ้นได้พักหรูจัง แล้วทำไมผมกับพี่เอ็มต้องไปนอนห้องเล็กๆตั้งสามอาทิตย์ด้วย
ความสองมาตรฐานทำผมอัพเลเวลการงอนนิดหน่อยเป็นงอนเยอะๆแล้ว อย่างงี้แค่ง้อไม่พออ่ะ จะงอนนานๆเลย ไม่แฟร์สุดๆ ผมทำเป็นสำรวจห้องไม่สนใจเจิ้นที่ถอดเสื้อสูทออกมา เจิ้นมองผมอยู่นั่นแหละ แต่ผมไม่คุยด้วยหรอก
ผมเดินเข้าไปสำรวจห้องน้ำ มันเป็นประตูแบบสองบานที่ไม่มีกลอนล็อค! มีอ่างสีขาววางอยู่กลางห้องด้วย แบ่งโซนชาวเวอร์กับตรงนี้ชัดแจ๋ว มีโต๊ะเครื่องแป้งแล้วก็ชั้นวางผ้าเช็ดตัว หรูมากเลย
พอเดินออกมาก็เจอรูมเซอร์วิสกำลังยกไวน์วางบนโต๊ะหน้าโซฟา และมีของกินสองสามอย่าง...มีไอติมของผมด้วย มันต้องเป็นของผมอ่ะ เพราะเจิ้นไม่กินเองหรอก
เจิ้นรินไวน์ให้ตัวเองแล้วปล่อยอีกแก้วว่างเปล่าไว้ พอผมมองก็ทำเป็นยกแก้วขึ้นแล้วมองผมกลับ ตาของเจิ้นวาววับด้วยอารมณ์บางอย่างที่ทำผม...หายใจติดขัด
ยิ่งตอนนี้เสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่ตรงข้อซอก กระดุมถูกปลดสองสามเม็ดจนเห็นแผ่นอกรำไร...เจิ้นเหมือนเสือเตรียมจะตะครุบเหยื่อ...เขาไม่พูดอะไรด้วยซ้ำทั้งๆที่รู้ว่าผมงอน เจิ้นรู้แหละ รู้ดีด้วย...
ผมคิดว่าเจิ้นมีแผนการบางอย่าง... และจะดีกว่าถ้าผมหนีไปอาบน้ำนอน
ขารีบก้าวไปที่กระเป๋า ส่วนสินเชื่อที่เจิ้นวางไว้บนโซฟาคงต้องทิ้งไว้ก่อนเพราะมันใกล้เจิ้นเกินไป...แต่เจิ้นก็ไวกว่ารวบเอวผมทีเดียวก็ชิดตัวเจิ้น ไม่ยอมให้ผมขยับหนีจากเขา
“ปล่อยจันทร์นะ”
“จะไปไหนหืม?”
“จันทร์จะอาบน้ำนอนแล้ว”
“ดื่มไวน์เป็นเพื่อนพี่ก่อน”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู กลิ่นน้ำหอมของเจิ้นกลับกลิ่นไวน์โอบล้อมตัวผมไว้ หัวใจผมเต้นรัว...
“มะ ไม่เอา จันทร์จะอาบน้ำ..”
“พี่คิดถึงจันทร์...”
“ไม่เชื่อหรอก คนคิดถึงเขาต้องโทรหากัน”
“พี่นอนไม่หลับเลย อยากจะบินมาหาตั้งแต่วันแรกๆ”
เกลียดตัวเองที่เชื่อ ผมอยากร้องไห้อีกแล้ว ผมคิดถึงเจิ้นมากแต่เจิ้นก็ใจร้ายกับผม แต่พอเจิ้นบอกคิดถึงผมเหมือนกันผมก็ให้อภัยเจิ้นไปง่ายๆ
เจิ้นคงเป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง...เพราะเจิ้นเป็นคนที่ผมรัก
เจิ้นมองคนขี้แงดื่มไวน์แดงแก้วแล้วแก้วเล่า เสียงบ่นงุ้งงิ้งเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ ตากลมโตฉ่ำเยิ้ม แก้มนิ่มๆก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ และบทสนทนาแนวตัดพ้อน้อยใจก็กลายเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้
“พอเจิ้นเป็นหัวหน้ากระต่าย พ่อก็ต้องออกจากตำแหน่งนะ เพราะหัวหน้ามีได้แค่คนเดียว แต่จันทร์อยากให้พ่อเป็นหัวหน้า เจิ้นห้ามไปแย่งนะ เจิ้นเปิดธนาคารในหมู่บ้านก็พอ แล้วทีนี้พลเมืองกระต่ายก็เป็นลูกค้าเจิ้น ส่วนพ่อเป็นประธานาธิบดีกระต่าย”
“แล้วจันทร์ล่ะ?”
“จันทร์เป็น...หัวหน้ากลุ่ม ฮ่าๆ”
คนฟังหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ พอจะรู้จากเลขาว่าศศิมณฑลตื่นเต้นกับการได้เป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างมาก การมาซัมเมอร์ทำให้เจ้าจันทร์ได้ทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง... อยากให้จันทร์โตขึ้นแต่ก็ห่วงเลยเลือกคอร์สประเทศใกล้ๆและให้เลขาตามมาอยู่ด้วย การอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวจะทำให้เจ้าจันทร์ต้องปรับตัว และน้องก็ทำได้ดี แต่ที่ไม่ดีคือความคิดที่อยากจะออกไปอยู่หออีกแล้ว
และคราวนี้เจ้าจันทร์คงไม่ร้องไห้กลับมาเหมือนครั้งก่อน น้องสามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ เลขาของเขาได้ทดลองปล่อยให้น้องไปเรียนเอง กลับเองบ้าง น้องก็สามารถทำได้ อยู่กับเพื่อนได้
บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตาแก่...ที่อยากให้ลูกหลานกลับมาหา...ไม่ใช่บินหนีออกไปมีชีวิตของตัวเองเหมือนที่เจ้าจันทร์เริ่มมีความคิดนี้อีกครั้ง
เขาไม่อยากเจอเจ้าจันทร์แค่วันเสาร์อาทิตย์...คราวก่อนที่ยอมปล่อยไปเพราะรู้ว่าน้องอยู่คนเดียวไม่ได้...คราวนี้จะใช้ข้ออ้างอะไร?
“เจิ้น....เป็นอะไรหรอ ทำไมขมวดคิ้ว ไม่อยากไปปาร์ตี้น้ำชากระต่ายหรอ”
เสียงติดจะอ้อนมาพร้อมคนเมาที่ขยับมานั่งตัก คำถามที่ไม่รู้เจ้าตัวเข้าใจไปถึงไหนทำให้ต้องดึงความสนใจกลับมาที่คนบนตัก
สองแขนเล็กกอดรอบคอเจิ้นพร้อมกับซุกหน้าลงกับไหล่กว้างที่แสนจะคิดถึง
“จันทร์กลัวเจิ้นเบื่อจันทร์ เลยไล่จันทร์มาไกลๆ”
“พี่ไม่เคยเบื่อจันทร์...พี่ก็กลัวจันทร์ไม่รัก”
เจิ้นยกมือข้างที่ไม่ได้โอบเอวเล็กขึ้นมาบีบใบหูนิ่ม เสียงครางแผ่วเบาดังลอดออกมา เจ้าจันทร์มีจุดอ่อนไหวที่ใบหูกับที่นิ้ว...แค่งับเบาๆก็หมดแรงหลุดเสียงน่ารักออกมาทุกครั้งไป
“จันทร์รักเจิ้นที่สุดในโลก”
“พิสูจน์สิ”
“ยังไงหรอ”
รู้ว่ามันเป็นการฉวยโอกาสกับคนเมาและความไม่รู้ของเจ้าจันทร์ แต่เพราะบรรยากาศยามค่ำคืนของสิงคโปร์ ประกอบกับความคิดถึงที่ต้องห่างกันคนละฟากน้ำทะเล...และอาจจะเพราะกลิ่นไวน์ผสมกับกลิ่นนมติดผิว...ที่ทำเขาหลงใหล
“ให้พี่เข้าไปในตัวจันทร์”
- ตัด ฉับ ฉับ ฉับ -
(หาอ่านได้ในเว็บ readAwrite หรือ Thaiboyslove เสิร์ชได้จากกูเกิ้ลจ้า)
จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันสิ้นสุดลงตรงไหนและตอนไหน....อาจจะเป็นตอนที่เจิ้นจับผมยืนเท้ากำแพงกระจกของห้องที่มองเห็นวิวทั้งเกาะสิงคโปร์และมีเขาขยับเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
“วิวทั้งสิงคโปร์ยังสู้จันทร์ของพี่ไม่ได้...”
ผมไม่ทันได้มองวิวที่เจิ้นว่านั้นชัดๆ....เพราะน้ำของผมทำกระจกเลอะเสียก่อน...
==============
เจิ้นได้เสียตัวให้มูนนี่ไปแล้ว หลังจากเก็บความสาว(?)มาสามสิบปีเต็ม น่าสงสารเขานะคะ ให้กำลังใจเจิ้นด้วยนะคะทุกคน
ก็พอร์นประมาณนี้เหมาะสมกับมูนนี่เน๊าะ อิอิ
ขอบคุณทุกคอมเม้นจ้ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นกำลังใจให้เจิ้นนะ
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมสส
นึกว่าต้องรอ 21 ปี
อ้ายยยยยยฟินคร้า
เหมือนส่งลูกเจ้าหอ 55555