ตอนที่ 10 : Chapter 9 : Make Love
Chapter 9 Make Love
“เราเป็นอะไรกัน จันทร์กับเจิ้น”
เสียงผมสั่นพอๆกับที่มือผมสั่นมือที่กุมกับเจิ้นไว้แน่นสั่นเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ เรานั่งขัดสมาธิบนเตียง บรรยากาศมีเพียงความเงียบงัน
ผมไม่อยากเชื่อที่พี่ธามพูด เจิ้นกับผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่จากการคิดวิเคราะห์มาตลอดตั้งแต่นั่งรถกอล์ฟกลับมาที่วิลล่า....พี่ธามจะมีเจตนาไม่ดีทำไมในเมื่อเขาไม่รู้หรอกว่าเจิ้นกับผมทำอะไรกันบ้าง
แต่ถ้ากิจกรรมที่พี่ธามบอกมันเป็นเรื่องทั่วไปของแฟน แล้วคนอื่นๆเข้าใจแบบที่พี่ธามเข้าใจไหม? แล้วผมกับเจิ้นไม่ใช่แฟนใช่ไหม เราเป็นแฟนกันไม่ได้นี่ก็เราเป็นพี่น้องกัน
“จันทร์กลัวอะไร?”
เจิ้นตอบคำถามผมด้วยคำถาม นิ้วโป้งเจิ้นไล้อยู่บนหลังมือสั่นๆของผม เสียงของเจิ้นยังคงทุ้มนุ่มราวกับไม่มีเรื่องใหญ่โต หรือเรื่องมันจะไม่มีอะไรจริงๆ ผมแค่กังวลไปเอง
“ที่เจิ้นกับจันทร์เป็น...เราเป็นอะไรกัน คือ พี่ธามบอกจันทร์...”
“ธาม? อ้อ ลูกทนายคนนั้น...”
“เขาบอกที่เจิ้นกับจันทร์ทำมันเหมือนแฟน เขาบอกว่าเรารักใครก็อยากจับ อยากกอด อยากอยู่ด้วย แล้วจันทร์ก็อยากทำกับเจิ้นทุกอย่างเลย แล้วเจิ้นอยากทำเหมือนกันไหม”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจิ้นยิ้ม ยิ้มกว้างด้วย แต่พอเจิ้นยิ้มความกังวลของผมก็หั่นครึ่งหายไปเลย หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผมแค่ไม่เคยรู้เลยตกใจเฉยๆกันนะ แต่ถ้าเป็นพี่น้องก็ไม่อยากทำใช่ไหม
“อย่ายิ้มสิ...จันทร์คิดไม่ดีกับเจิ้นใช่ไหม? แบบนี้เจิ้นก็เสียหายสิ?”
“พี่ไม่เสียหายหรอก กับจันทร์พี่ไม่มีทางเสียหาย มูนนี่มากอดกันมาแล้วพี่จะอธิบายให้ฟังนะ”
ผมเขยิบตัวไปตามคำเชื้อเชิญของเจิ้น เขาทิ้งตัวลงนอนให้ผมนอนข้างๆ แขนของเจิ้นโอบกอดผมไว้แน่น อ้อมกอดของเจิ้นอบอุ่นและทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย มันรู้สึกได้จริงๆว่าสิ่งที่เจิ้นพูดจะทำให้ผมเชื่อ เชื่อแม้ว่าเจิ้นอาจจะหลอก แต่เจิ้นไม่มีทางทำร้ายผม...
“สิ่งที่เราทำ พี่น้องกันทำไม่ได้ ลูกทนายนั่นพูดถูกแล้ว”
ผมเงยหน้ามองเจิ้น เขาก้มหน้าลงมายิ้มให้ผม
“แล้วทำไม...”
“มันเป็นกรณีที่มีสายเลือดเดียวกัน ตามหลักวิทยาศาสตร์เรามีความรักกับคนดีเอ็นเอเดียวกันไม่ได้ถูกไหม? เพราะเจนเนอเรชั่นใหม่จะมีปมด้อยและไม่แข็งแรง”
หลักวิทยาศาสตร์ของเจิ้นก็เป็นเรื่องง่ายๆที่คนเข้าใจกันอยู่แล้ว นั่นสิ... ผมกับเจิ้นไม่ได้เป็นพี่น้องกันแบบมีสายเลือดเดียวกันสักหน่อย
“แต่จันทร์กับพี่ดีเอ็นเอเราไม่ตรงกันสักนิดเดียวและเราก็ไม่ได้จะมีลูกกัน เป้าหมายในการอยู่ด้วยกันของเราจึงไม่เหมือนกับที่ลูกทนายนั่นคุยกับจันทร์ เราไม่ตรงเงื่อนไขที่เขาเอ่ยถึงดังนั้นเราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“แต่พี่ธามบอกว่าอยากจีบจันทร์... อยากอยู่กับจันทร์”
“เจอกันครั้งแรกมาพูดด้วยแบบนี้แสดงว่าเขาไม่ใช่คนดี จันทร์คิดว่าคนปกติอยากจะอยู่กับคนแปลกหน้าตั้งแต่เจอกันครั้งแรกหรือเปล่าหืม?”
“ไม่อยาก...ก็ไม่รู้จักกันสักหน่อย”
“จันทร์ต้องระวัง เขาอาจจะเห็นว่าจันทร์เป็นคนของเยว่ อาจจะอยากให้จันทร์หาเงินให้เขายืม หรือถ้าสนิทกับจันทร์จะมีเส้นสายในช่อฟ้า เขาหวังผลประโยชน์จากความใจดีของจันทร์”
ผมเบิกตากว้างเพราะเพิ่งจะคุยกับเจิ้นไปไม่นานนี้เองว่าผมอาจจะถูกคนเข้าหาด้วยผลประโยชน์ พี่ธามต้องเป็นคนแรกแน่ๆที่แสดงออกชัดเจนแบบนี้ การที่เขามาพูดชักนำผมอาจจะเพราะเขาหวังให้ผมอยู่ข้างเขา คนอะไรนิสัยไม่ดีเลย
“เจิ้นบลอคไลน์พี่ธามไปเลยนะ จันทร์ไม่อยากยุ่งกับเขา นิสัยไม่ดีเลย เห้อ แต่เขาก็อยู่มหาลัยเดียวกับจันทร์ด้วยอ่ะ ถ้าเจอที่มอจันทร์จะทำไงดี”
“การปฏิเสธแบบผู้ใหญ่ก็ทำได้ จันทร์ก็ทำตัวปกติแต่ไม่ให้ความสนิทสนม เขาถามเรื่องส่วนตัวก็ไม่ต้องบอก ยิ้มไปตามมารยาทแล้วก็หาทางหนีออกมา คนพวกนี้ปฏิเสธตรงๆแล้วไม่ฟัง ต้องพยายามตีตัวออกห่าง ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ เขาชวนไปไหนก็ไม่ต้องไป ตื้อไปสักพักเห็นเราไม่เล่นด้วยเขาก็เลิกยุ่งไปเอง”
“อื้อ แล้วเขาจะชวนจันทร์ไปที่ไหนบ้างอ่ะ จันทร์จะได้หาทางปฏิเสธเขา”
“ก็พวก กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว แล้วอ้างว่าชวนเดท อยากจะรู้จัก อยากคุยด้วย ต้องระวังเลยนะ เข้าใจไหม?”
เจิ้นสอนวิธีปฏิเสธแล้วก็ย้ำกับผมอีกหลายอย่างให้ระวังตัว ผมก็ต้องพยายามดูแลตัวเองเพราะว่าเจิ้นไม่อาจอยู่กับผมได้ตลอด ผมจะวิ่งหนีพี่ธามหรือคนไม่ดีมาหาเจิ้นได้ทันทีแบบวันนี้มันเป็นไปไม่ได้
“ให้คิวช่วยจัดการสิ”
“คิวหรอ?”
“ใช่ ให้เพื่อนช่วยป้องกันให้อีกทาง คิวน่าจะช่วยจันทร์นะ?”
ปกติเจิ้นไม่เอ่ยถึงคิวเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้คงต้องระวังจริงๆนั่นแหละและคิวก็น่าจะเข้าใจว่าพี่ธามกำลังจะทำตัวไม่ดีกับผม คิวต้องช่วยผมแน่ๆ ผมย้ำกับเจิ้นว่าจะต้องซื้อของฝากไปให้คิวเยอะๆเลยงั้น
การมีคนไม่ดีเข้ามาในชีวิตทำเราเหนื่อยใจเหมือนกัน เราเลือกไม่ได้เลยว่าคนที่อยากรู้จักเราเขาหวังดีไหมหรือหวังผลประโยชน์ พี่ธามไม่น่าเป็นคนไม่ดีเลย ท่าทางเขาก็ดูสุภาพออก... แต่อย่างนี้ล่ะมั้งคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
“ไปอาบน้ำได้แล้วจันทร์ ไหนชุดกระต่ายให้พี่?”
“เอ้ออออใช่ เราต้องใส่ชุดกระต่าย งั้นจันทร์อาบน้ำก่อนนะ”
ผมกับเจิ้นอยู่ในชุดกระต่ายลายเดียวกัน แต่ของเจิ้นสีฟ้าและของผมสีน้ำตาล เจิ้นไม่เคยใส่ชุดนอนลายการ์ตูนแบบนี้มาก่อนเลย มันค่อนข้างแปลกตาแล้วเจิ้นก็ดูเขินๆ แต่พอผมชวนถ่ายรูปเขาก็ให้ความร่วมมือตลอด
“คุณกระต่ายตัวใหญ่ทำไมขายาวจัง”
“เพราะคุณกระต่ายตัวใหญ่เกิดก่อนคุณกระต่ายตัวเล็ก”
ผมรู้หรอกว่ามันปัญญาอ่อนที่มาเล่นบทบาทสมมุติอย่างกับเด็กๆ แต่พอเจิ้นยอมเล่นด้วยผมก็ว่ามันตลกดีแถมเจิ้นก็หัวเราะด้วย เราสมมุติกันว่าอยู่หมู่บ้านโพรงกระต่าย มีผมเป็นกระต่ายบ้านเลขที่ 1 เจิ้นเป็นบ้านเลขที่ 2 แล้วเราเป็นเพื่อนบ้านกัน บ้านของเรามีหมอนข้างกั้นเป็นกำแพงไว้
เจิ้นนอนตะแคงยกแขนท้าวคางยิ้มๆ ส่วนผมนักขัดสมาธิกำลังเล่าเรื่องกระต่ายหมู่บ้านอื่นที่ผมจินตนาการขึ้นมาเอง แหะๆ... ขอย้อนวัยวันวานหน่อยนะ
“คุณกระต่ายตัวใหญ่มีแครอทไหม คุณกระต่ายตัวเล็กจะทำกับข้าว ขอยืมหน่อยครับ”
“มาเอาสิ จำได้ว่ามีนะแต่ไม่รู้เก็บตรงไหน คุณกระต่ายตัวเล็กต้องข้ามมาช่วยหาแล้วล่ะ”
“งั้น...รบกวนหน่อยนะคร้าบบบ”
“เชิญคร้าบบ เจิ้น เดอะบันนี่ยินดีต้อนรับ”
ผมขำก๊ากกับชื่อบ้านของเจิ้น เขาก็หัวเราะตัวเองเหมือนกัน ความเครียดของผมดูเจือจางลงไปเยอะ เจิ้นยกหมอนข้างที่กั้นอาณาเขตกระต่ายของเราออก แล้วผมเขยิบเข้าไปหา
“ไหนแครอทน้า?”
“เอ อยู่แถวๆนี้นะ”
เจิ้นอาศัยจังหวะผมเผลอดันผมลงนอนกับเตียงแล้วเขาก็ขยับคร่อม จากนั้นเขาก็จักจี้ผมเล่นเอาหัวเราะจนเหนื่อยหอบ แครอทก็ไม่ได้ยังต้องโดนโจมตีอีกกกกก
“กระต่ายตัวเล็กหมดแรงแล้วหรอ?”
“ก็เจิ้นแกล้งจันทร์อ้ะ ทำไมเจิ้นไม่เห็นบ้าจี้เหมือนจันทร์เลย”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...”
ผมยกแขนโอบคอเขาไว้ เจิ้นก็โน้มตัวลงมาใกล้ผม สายตาของเจิ้นจรดจ้องอยู่ที่ปากผม..และผมก็เผลอแลบลิ้นเลียปากตัวเอง
“กระต่ายมูนนี่....”
เจิ้นกระซิบเรียก และผมไม่ทันได้ตอบเขาก็ประทับจูบลงมา กลายเป็นว่าปากผมฉ่ำชื้นเพราะลิ้นของเจิ้นแทะเล็มไปจนทั่ว เรากำลังจะไนท์แคร์ใช่ไหม?
ขั้นตอนการไนท์แคร์ครั้งนี้มันยาวนานกว่าที่ผ่านมาและผมก็เหนื่อยมากกว่าปกติ เจิ้นให้ผมได้ดูแลเจิ้นอย่างเต็มที่และผมก็เต็มใจ...ปกติเป็นเจิ้นที่ดูแลผมคนเดียวผมเลยต้องพยายาม
แม้ว่าผมจะแทบขาดใจ...
ขาของผมถูกเจิ้นรวบขึ้น สะโพกลอยจากพื้นเตียง เขารวบขาผมให้หนีบกันแน่นพาดอยู่บนบ่า... เจิ้นแข็งแรงมากเพราะเขามีแรงพอที่จะยกตัวขาผมลอยและยังมีแรงที่จะสอดกระแทกมาในช่องขาคับแคบของผม
มืออีกข้างของเจิ้นจับรวบของผมและของเขา...ผมหมดแรง ตาพร่า และทำได้แค่ขยำผ้าปูเตียง เสียงเนื้อกระแทกกันดังชัด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทางมันถึงมาเป็นแบบนี้ ผมทำได้แค่เรียกชื่อเจิ้น
“เจิ้น เจิ้น...อา...”
เจิ้นก้มมองผม เสียงหายใจเขาหอบดังชัด แม้ผมจะเห็นเขาลางเรือนผ่านม่านน้ำตาแต่ผมรู้ว่าเขามองอยู่ ผมยาวทิ้งตัวลงเหมือนม่านกั้นไม่ให้ผมมองอย่างอื่นนอกจากเขา
นานเท่านาน....ผมจมน้ำ จมแล้ว..จมอีก
ผมจมน้ำไปหลายรอบเจิ้นก็ยังไม่หยุด
ผมคิดว่ามันอาจะเป็นเพราะเจิ้นไม่ค่อยได้ตรวจสุขภาพ วันหยุดคราวนี้เลยเช็คละเอียดเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าความพอใจของเจิ้นอยู่ตรงไหน เขาจัดท่าทางแสนซับซ้อนให้ผม..
“เด็กดี...ขยับแบบนั้นแหละ”
ผมคร่อมอยู่บนตัวเขา เสียดสีร่องขาไปกับตรงกลางของเจิ้น สองมือเขาบีบก้นผมไว้และตรงนั้นของเจิ้นก็...แข็งแรง ผมทำได้แค่จิกมือกับหน้าท้องของเจิ้น การหายใจเป็นไปอย่างยากลำบากพยายามจะขยับไปมาแบบที่เจิ้นต้องการ
สายตาของเจิ้นราวกับมีลูกไฟอยู่ในนั้น เขาจ้องมองผม มองไปทั้งตัวที่เปล่าเปลือย...เราต่างเปล่าเปลือย ชุดนอนคุณกระต่ายกระจัดกระจายไปจนหมด
ตัวผมเปียกชื้นและเลอะเทอะเหมือนทุกครั้ง... เจิ้นก็ไม่ต่างกัน ผมกรีดร้องเมื่อผมถูกกระชากให้จมน้ำอีกครั้ง ล่องลอย และโหยหายอากาศหายใจ
จังหวะที่แทบทนไม่ไหวแล้ว ผมก็ถูกกระชากให้กลับมาด้วยจูบของเจิ้น....ผมเกือบจะตายอยู่แล้วเจิ้นถึงยอมหยุดไนท์แคร์อันยาวนาน แสงจากระเบียงเริ่มเปลี่ยนท้องฟ้าให้สว่างขึ้น เราได้ผ่านข้ามคืนอันยาวนานมาด้วยกันจนรุ่งสาง
แต่เจิ้นก็ยังคงกัดผม...เขายังกัดไปตามหน้าอกและสีข้าง...ไล้ไปถึงแอ่งสะดือ... ก่อนจะเลื่อนมากัดนมผม ผมหมดแรงแล้ว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากบิดกายอย่างห้ามไม่อยู่
“เจิ้น เจิ้น...อา”
“มูนนี่....”
ผมไม่รู้ผมหลับไปตอนไหน... อาจจะเป็นตอนที่เจิ้นเลื่อนตัวขึ้นมากัดคอผมอีกรอบ
ผมตื่นมาอีกทีตอนสิบเอ็ดโมง ตัวปวดเมื่อยและเหมือนจะมีไข้ เจิ้นแนบหน้าผากเขาแตะกับหน้าผากผมแล้วโทรบอกพี่เลขาให้เตรียมยาไว้ เราไม่ได้กินข้าวเช้าที่รีสอร์ทแต่แวะกินสเต็กร้านดังและซื้อของฝากคิวแบบที่ผมต้องการ
เจิ้นจับผมใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวตัวหนา มันเป็นชุดที่คุณแม่ป้าบ้านจัดไว้ให้ผมเสมอแม้ว่าอากาศจะร้อน เพราะเจิ้นกลัวผมป่วย เผื่อหนาวแอร์หรืออะไรก็แล้วแต่จะได้มีเสื้ออุ่นๆเตรียมพร้อมไว้ ผมกุมมือเจิ้นตลอดทางเพราะผมรู้สึกเพลีย และเจิ้นก็โอบเอวผมไว้ตลอด แปลกที่เราก็เหนื่อยเหมือนกันแต่ทำไมเจิ้นยังอารมณ์ดีและดูสดชื่น
“จันทร์กอดเจิ้นได้ไหม?”
เขาไม่ตอบแต่ดึงผมไปนั่งตัก สองแขนผมโอบรอบคอเจิ้นไว้ปล่อยให้เขาลูบหลัง ผมรู้สึกง่วงทันทีที่กินข้าวและซื้อของเสร็จ ขึ้นรถผมก็อยากจะอ้อนเจิ้นเลย ผมว่าผมคงป่วยจริงๆนั่นแหละเพราะตาผมเริ่มร้อนผ่าว
“นอนนะ พี่กอดจันทร์ไม่ปล่อยหรอก”
ผมพยักหน้าหงึกๆกับไหล่เจิ้นแล้วก็หลับ การนั่งตักกันบนรถมันไม่ใช่ท่าที่สบายหรอก แต่ผมกลับชอบที่จะได้นั่งตักเจิ้นแล้วกอดคอเขาไว้ ขาผมพาดยาวไปกับเบาะไม่ถนัดนิดหน่อยแต่กลับสบายใจ
อยู่กับเจิ้นสบายใจที่สุด
วันจันทร์ผมไม่ได้ไปเรียนเพราะผมไม่สบาย แม้จะเป็นแค่ไข้อ่อนๆไม่ถึงกับต้องไปหาหมอแต่คุณป้าแม่บ้านก็จัดวิตามินและยกข้าวมาให้ผมกินที่เตียง เจิ้นขึ้นมาหาเป็นพักๆเพราะเขาต้องทำงาน ผมปล่อยตัวเองจมไปกับเตียงและผ้านวมหอมๆ สินเชื่อนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนผม
ตอนบ่ายมันก็ชักจะเบื่อผมเลยไลน์หาเพื่อนๆ ผมมีกรุ๊ปไลน์กับเพื่อนเก่าที่แยกย้ายกันไปเรียนคนละที่
เพื่อนในกลุ่มผมต่างเลือกเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ คงเพราะพวกมันฉลาดและเก่ง เราคบกันมาตั้งแต่สมัยประถม แม้จะมีบางคนที่เพิ่งมาสนิทตอนมัธยม
มีบางคนที่ไม่ตอบไลน์เพราะอาจจะยังเรียนอยู่ บางคนก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน ผมถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองนอนป่วยส่งไปในกรุ๊ป พวกมันต่างแซวว่าผมหน้าอืดบ้าง ตาตี่บ้าง เหมือนที่ชอบแซวผมมาตลอด
‘เห้ย คอมีรอยจูบว่ะ หัดมีแฟนหรออออ’
‘ไอ้นัทหุบปาก เดี๋ยวซวยกันหมดโว้ย’
‘อ่า...เห้ยกินนอันนั้นกันยัง ร้านเปิดใหม่...’
ผมเริ่มงงที่อยู่ดีๆทอปปิคก็ถูกเปลี่ยน แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันชวนคุยเรื่องของกินแทน ผมกลับมาดูรูปตัวเองนอกจากหน้าผมก็ยังมีบางส่วนของคอติดมาด้วย... มันเห็นรอยกัดของเจิ้นชัดแจ๋ว
อันนี้ไม่ใช่รอยกัด? แต่เป็นรอยจูบ?
ผมลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ ดึงเสื้อตัวเองขึ้นก็เจอรอยแบบเดียวกันทั้งตัว มันเกิดจากเจิ้นคนเดียว งั้นถ้าเป็นรอยจูบสิ่งที่ผมเข้าใจว่าเจิ้นกัดทำโทษผมก็คือการจูบมาโดยตลอด? มันเลยไม่มีรอยฟันใช่ไหม?
มันก็ช้ำบ้าง แดงบ้าง...
แล้วทำไมเรื่องจูบถึงเกี่ยวกับเรื่องแฟน?...แฟนอีกแล้ว...แฟนเหมือนที่พี่ธามพูดเลย...
ผมรีบเปิดแอพซาฟารีในมือถือกดเสิร์ชว่า ‘รอยจูบ แฟน’ สองคำโดดไม่ใช่ประโยค สิ่งที่ค้นพบคือกระทู้เว็บบอร์ดชื่อดังที่มีตั้งกระทู้ว่าจูบคอยังไงให้ขึ้นรอย หรือบทความเกี่ยวกับการจูบคนรัก เรื่องเสิร์ชแนะนำก็เกี่ยวกับการจูบ มันก็ยังไม่ชัดเจนจนกระทั่งผมกดเข้าไปอ่าน
ความเชื่อมโยงระหว่างรอยจูบกับแฟน คือจูบจะเกิดขึ้นกับแฟนเท่านั้น ไม่มีแบบพี่น้องหรือแบบครอบครัวเหมือนทีผมกับเจิ้นทำ
ผมพยายามเสิร์ชที่มาที่ไปแบบที่เจิ้นอธิบาย การเสิร์ชแคบไปมันอาจจะหาไม่เจอผมเลยเสิร์ชไปแค่ ผู้ชายจูบกัน ความเข้าใจของผมถูกพลิกกลับไปคนละด้าน
ผู้ชายจูบกันมันหมายถึง คู่จิ้น ... หรือคู่เกย์
แล้ว...ผมเป็นเกย์หรอ?
แล้ว...ตกลงผมจูบกับเจิ้นได้ไหม
แล้ว...ที่เราทำมันคืออะไร
แล้ว แล้ว แล้ว...
ผมงงและสบสนคำถามมากมายล้านแปดประดังประเดในหัว ผมกดเปิดคลิปจากเว็บไซต์มหาศาลที่ผมกดไปเรื่อยๆ ภาพเคลื่อนไหวของผู้ชายสองคนที่กำลังไนท์แคร์แบบที่ผมทำกับเจิ้นปรากฏออกมา
‘คลิปเกย์เด็ด’
คอมเม้นน่ากลัวโพสต่อใต้คลิปหลายคอมเม้น ผมพอจะจินตนาการภาพตามคอมเม้นเหล่านั้นได้ ทั้งเรื่องไซส์ ลีลา ความรุนแรง
ผมอยากจะอ้วก
มันพะอืดพะอมและผมก็ตกใจ... มือถือร่วงหล่นกับพื้นห้องน้ำพอๆกับที่ผมถลาไปหาโถส้วมแล้วอ้วกออกมา เสียงประตูห้องน้ำเปิดพร้อมๆกับที่เจิ้นหรี่ตามองผม
“อะ อ๊า”
เสียงครางจากคลิปในมือถือดังลั่น เจิกขมวดคิ้วมองโทรศัพท์สลับกับหน้าผม
“จันทร์ทำอะไร?”
“เจิ้น.... ทะ ทำไมคนในคลิปทำเหมือนเรา...ทะ ทำไม มันบอกว่าไม่ใช่ไนท์แคร์นะ เขาเรียกว่า sex เพศสัมพันธ์ ทำไมเรามีเพศสัมพันธ์ล่ะ แล้ว...นี่ เจิ้นทำมันคือจูบใช่ไหม ทั้งตัวจันทร์ที่แดงๆ มันต้องแฟนใช่ไหม ในเว็บเขาบอกแบบนั้น แล้วทำไม...”
“จันทร์! ชู่ววว”
เจิ้นกดปิดมือถือผมแล้วโยนไปนอกห้องน้ำ เขากอดผมแน่นแต่ผมก็ยังสติแตกพยายามจะดันเขาออกแต่เจิ้นก็ยึดผมไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งผมสงบสติลงมากขึ้น
“ที่เราทำมันก็เหมือนในคลิป เหมือนที่จันทร์เห็น แต่มันก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด”
“ยะ ยังไง...”
“ในคลิปเขาบอกหรือเปล่า...ว่าคำอื่นนอกจาก SEX คือ MAKE LOVE ที่พี่ทำกับจันทร์....อยู่บนพื้นฐานของความรัก มันไม่ใช่แค่การที่เราสัมผัสและแตะต้องกัน...ที่พี่ทำไป เพราะพี่รักจันทร์”
“งะ...งั้นเจิ้นก็ไม่เจ็บเหมือนที่คนในคลิปร้องใช่ไหม? เขาดูทรมานมาก จันทร์ก็ทำแบบนั้นกับเจิ้นใช่ไหม จันทร์ขยับแรงแบบเขาหรือเปล่า เจิ้นเจ็บไหม แล้วเจิ้นจะเลือดออกไหม? จันทร์ตกใจ จันทร์กลัวว่าจันทร์จะดูร้ายกาจแบบนั้นกับเจิ้น มันไม่ดีเลย จันทร์ขอโทษนะ”
“....หึ ไม่เลย พี่ไม่เจ็บครับ ที่จันทร์ทำให้พี่ไม่เจ็บเลย และพี่มีความสุขมาก จันทร์มีความสุขเหมือนกับพี่ไหม?”
“อื้อ...จันทร์มีความสุข แต่จันทร์เหนื่อยมาก จันทร์กลัวว่าจันทร์จะทำแรงๆแบบในคลิป...”
“คลิปพวกนี้เขาทำมาเพื่อคนที่ไม่ได้มีสัมพันธ์บนเงื่อนไขของความรัก จันทร์ก็อย่าไปสนใจเลย”
“จันทร์แฮปปี้กับการเมคเลิฟกับเจิ้นนะ แล้วทำไมเจิ้นไม่เรียกว่าเมคเลิฟล่ะ ทำไมเป็นไนท์แคร์”
“ก็ถ้าคนอื่นมาได้ยินว่าเมคเลิฟ เขาอาจจะแยกแยะไม่ออกแล้วคิดว่าเรามีแค่ SEX ซึ่งมันคนละอย่าง เราก็รู้กันสองคนดีกว่าว่าเรา ทำรัก กัน ดีไหม?”
“อื้อ.... จริงด้วย”
“ป่ะ ไปกินข้าวกัน วันนี้มีกะเพาะปลาเนื้อปูด้วย ของโปรดใครนะ?...”
เจิ้นกดน้ำให้แล้วยกผมขึ้นนั่งบนขอบอ่างล้างหน้า ผมปล่อยให้เจิ้นเช็ดปากให้ผมแล้วชวนคุยเรื่องของกิน ผมสบายใจมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
อันที่จริงผมก็แค่ตกใจนั่นแหละ...แต่ถึงเจิ้นไม่อธิบายผมก็คิดว่าเจิ้นไม่มีทางทำอะไรไม่ดีกับผมหรอก ผมต่างหากกลัวว่าตัวเองจะไปเผลอรุนแรงกับเจิ้น เพราะตำแหน่งผมก็อยู่ด้านบน แล้วคนด้านบนในคลิปก็ขยับแรกแทกคนด้านล่างแรงมาก วันนั้นผมก็ขยับคล้ายๆอย่างนั้นบนตัวเจิ้น ถึงผมจะไม่ได้ใส่อะไรเข้าไป แต่เจิ้นบอกว่าไม่เจ็บงั้นก็คงไม่เป็นไรมั้ง...
แล้วคำว่า MAKE LOVE ของเจิ้นที่รอยยิ้มมันแต้มไปถึงนัยนต์ก็ฟังดูเพราะจัง...
=============
แบมว่าต้องมีคนเอะใจแล้วล่ะ ว่าสังคมที่เจิ้นเลือกให้ มันมีเรื่องอะไรบ้างน้าาา (ใครไม่เอะใจอ่านต่อไปค่ะเดี๋ยวมีเฉลยตอนอื่นๆ 555+)
ที่นิสัยมูนนี่จะใสๆก็มีเหตุมีผลค่ะ ติดตามก่อนน้า อิอิ แต่มูนนี่เขาน่ารักตรงที่น้องมีเหตุผลทุกอย่าง ไม่รู้สังเกตไหม มูนนี่จะอธิบายวิธีคิด หรือมุมมองตัวเองละเอียดมากและมีเหตุผลซัพพอร์ตตลอด เพราะน้องโตแล้วทำอะไรต้องมีเหตุผล แต่ก็ติดนิสัยเด็กๆงอแงเพราะคุณกระต่ายตัวใหญ่เขาสปอยล์มาทั้งนั้น
ส่วนคนพี่นี่ทุกปัญหาสามารถแก้ได้หมด มีเรื่องก็ไม่ใช้วิธีปฏิเสธ แต่ยอมรับแล้วก็ให้เหตุผลที่แม่งทำน้องเข้าใจไปคนละทิศละทางเลย สีข้างถลอกไปกี่แผลแล้ววว
ฝากให้กำลังใจเจิ้นหน่อยนะคะ เหนื่อยอีกเยอะ อิอิ
ส่วนเราก็จะเอ็นดูน้องต่อไป 5555 มีอย่างที่ไหนคิดว่าตัวเองจะทำเจิ้นเสียหาย เป็นฝ่ายรุนแรงใส่เจิ้น โอ้ยยยนังหนู ที่หนูทำเขาเรียกออนท๊อปค่ะลูก อยากบีบจริงๆ (แต่งเองก็หมั่นเองง่ะ)
พิมพ์เยอะสักนิด และ อัพติดกับตอนที่แล้วเลยเพราะ จะขออนุญาตดองนิยาย 2-3 อาทิตย์ แหะๆ แบมจะติดรับปริญญาค่า คงได้เจอกันหลังจากนั้นน้า อย่าเพิ่งลืมกันนะจ๊ะ
ปล. อีกไม่นานเรื่องนี้อาจจะโดนแบนด์จากเด็กดี 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นับถือเจิ้น แกเลี้ยงน้องยังไงให้โตมาเปนงี้ได้ นับถือๆ คาดว่าคงเสียเหงื่อ เสียทรัพย์ไปมากโข...