คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 0.4: Quest of the Aion Clock.
ภายในโกดังเก็บของร้างที่ซึ่งไม่สมควรจะมีคนอยู่ในเวลาดึกสงัดเช่นคืนนี้ แสงไฟสว่างเลือนรางส่งลอดออกมาจากช่องหน้าต่างไม้ที่ถูกปิดไว้อย่างหยาบๆ ท่ามกลางความมืดสนิทของเวลากลางคืน แสงเลือนๆ นั้นเด่นชัดราวกับแสงโคมไฟ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสนใจแสงอันน่าสงสัยนั้น เพราะรัศมีรอบโกดังนั้นหลายร้อยเมตรไม่มีแม้กระทั่งวี่แววของบ้านเรือนเลยแม้แต่น้อย และภายในโกดังเก็บของร้างนั้นเอง บางสิ่งที่ประเมินคุณค่าไม่ได้กำลังเคลื่อนเข้ามา
ชายในชุดสูทสีดำเหมือนกันราวกับเครื่องแบบ สวมหมวกสีเดียวกันเดินเรียงรายเข้ามาในห้องเก็บของขนาดใหญ่ที่วางเครื่องมือต่างๆ ไว้ระเกะระกะไม่เป็นที่ ใยแมงมุมปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณบ่งบอกให้รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ชายชุดดำเดินเข้ามาแล้วก็มองไปรอบๆ ดูสภาพของสถานที่อย่างรอบคอบ อีกฝั่งหนึ่งของห้องเก็บของนั้นมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว ชายอีกกลุ่มหนึ่งสวมชุดคล้ายๆ กัน ในจำนวนนั้นมีชายคนหนึ่งร่างเตี้ยกว่าคนอื่นแต่แต่งตัวดีกว่า ชายคนนั้นสวมสูทขาวสวมหมวกสีเดียวกันมีผ้าพันคอพาดไหล่ ปากคาบยาเส้นมวนใหญ่สูดเข้าออกอย่างสบายใจ แต่สีหน้าท่าทางนั้นดูเคร่งเครียด
“ มาสักที ” ชายในสูทสีขาวเปรยขึ้นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นกลุ่มชายสูทดำทยอยเข้ามาในห้อง
ชายสูทดำที่เข้ามาใหม่ไม่ตอบอะไรนอกจากเดินเข้ามายืนเรียงแถวข้างๆ เปิดทางให้กับชายอีกคนหนึ่งที่กำลังเดินตามเข้ามา ชายคนนั้นสวมสูทดำเช่นกัน แต่ท่าทางบ่งบอกว่ามีอำนาจกว่าคนอื่นมาก ชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเบิกบานผิดกับชายที่รออยู่มาก
“ อย่าได้ใจร้อนไปสหาย ” ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างใจเย็นพลางเดินเข้าไปหาคนที่รออยู่พร้อมกับยื่นมือให้สัมผัส ชายสูทขางยื่นมือมาจับอย่างเสียไม่ได้แล้วก็ปล่อยมือแทบจะทันที แต่กระนั้นผู้มาเยือนกลับยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจ “ โลกนี้ไม่มีอะไรสูญเปล่า แม้กระทั่งการเสียเวลาก็มีความหมายของตัวมันเอง การที่ชั้นมาสายก็เช่นกัน ”
“ หวังว่านายคงจะไม่ได้กลับมามือเปล่าหรอกนะ ” ชายสูทขาวกล่าวห้วนๆ ท่าทางยังหงุดหงิดไม่หาย แต่ชายคู่สนทนากลับยิ้มกว้างพลางแตะหมวกให้อย่างนอบน้อม พร้อมกันนั้น ขบวนรถเข็นก็แบกลังไม้ขนาดใหญ่หลายอันเข้ามาพร้อมกับคนออกแรงอีกหลายคน แต่ที่น่าแปลกใจคือในจำนวนนั้นมีผู้หญิงปนอยู่ด้วย เมื่อลังไม้เข้ามาถึงผู้มาเยือนก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ เชิญเลือกชมได้ตามใจชอบ ”
ชายสูทขาวแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นมากพอที่จะลบความหงุดหงิดก่อนหน้าไปได้ เขาจ้องดูลังไม้พลางเดินเข้าไปช้าๆ พร้อมกับผู้ติดตามอีกสองสามคน
เมื่อเดินถึงรถเข็น คนงานก็หลบออกมาเปิดทางให้ ยกเว้นคนที่คอยเปิดฝาลังให้เจ้านายเดินเข้าไปมองดูของในลังพร้อมกับแววตาตื่นเต้น เพียงพักหนึ่งก็ยกแจกันงดงามใบหนึ่งขึ้นมาจ้องดูอย่างหลงใหล
“ งดงามมาก ” เขากล่าวด้วยเสียงตื่นเต้นขณะจับแจกันใบนั้นอย่างทะนุถนอม “ นายไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ ”
“ ขอรับไว้อย่างเต็มใจ แต่ยังเร็วไปที่จะชม ถ้านายดูของทั้งหมดแล้วอาจจะนึกคำชมไม่ออกเลยทีเดียว ”
ชายที่ยืนประจำลังไม้แต่ละลังเปิดฝาออก ภายในมีทั้งแจกัน กำไล อาวุธโบราณทำด้วยทองบ้าง เพชรพลอยบ้าง แต่ละชิ้นล้วนงดงามราวกับสมบัติของสวรรค์ เมื่อชายคนนั้นเห็นแล้วก็ตาวาวเดินเข้าไปสำรวจดูอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ เขาเดินเข้าไปหยิบสมบัติชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูแล้วก็วางลงย้ายไปดูชิ้นถัดไป ความหงุดหงิดหายไปเป็นปลิดทิ้ง สีหน้าของเขาตอนนั้นเหมือนหลุดเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันที่มีของที่ต้องการมากองอยู่ตรงหน้าและสามารถคว้ามาได้เพียงแค่เอื้อมมือออกไป
“ มากมายจนเลือกไม่ถูกจริงๆ ” ชายสูทขาวยิ้มกว้างพลางหยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาดู “ ดาบเล่มนี้งดงามมากจริงๆ น่าจะเข้ากับห้องรับแขกใหม่ของชั้นได้ดีทีเดียว ชั้นขอเจ้านี่ไปล่ะ ”
ทันใดนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะหยิบดาบเล่มนั้นไป มือของใครบางคนก็รั้งแขนของเขาไว้
“ เฮ้ๆ คิดจะเอาเจ้านั่นไปไหนกัน? ” เสียงของเจ้าของมือนั้นตามมาพร้อมกับที่ชายคนนั้นหันไป เจ้าของร่างเป็นหญิงสาวสวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังทับเสื้อยืดไว้ชั้นหนึ่ง กางเกงยีนส์ขายาวที่เต็มไปด้วยสายรัดของติดตัวหลายชิ้น ผมสีฟ้ายาวลงไปเกือบถึงกลางหลัง ใบหน้ามอมแมมไปด้วยฝุ่นดินแสดงความตรากตรำที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ไม่สามารถซ่อนแววตาที่แหลมคมไว้ได้ ดวงตาสีฟ้าจับอยู่ที่เขาไม่กะพริบมือจับอยู่ที่ตัวดาบแน่นไม่ปล่อย แม้เขาจะพยายามดึงออกมาก็ไม่เป็นผล
“ อะไรกัน ผู้หญิงคนนี้? ” ชายสูทขาวถามพลางออกแรงดึงอีกแต่ก็ไม่ขยับ “ ปล่อยสิเฮ้ย นี่ใครกัน ”
“ เอ่อนี่
” ชายนายหน้าเข้ามาแทบจะทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ นี่คือคนนำทางของเราเอง อย่าได้ถือสาเลยนะ ” เขาบอกแล้วก็พยายามสะกิดให้หญิงคนนั้นปล่อยแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเจ้าตัว
“ ดาบเล่มนี้มีค่าเกินกว่าจะไปเป็นของตกแต่งในห้องรับแขกเฉยๆ ” หญิงคนนั้นกล่าวพลางกระชากดาบมาจากมือและก่อนที่ใครจะทำอะไรทันเธอก็ชักดาบออกมา ตัวดาบที่เงางามสะท้อนกับแสงไฟเป็นแสงสีรุ้งมีลายสลักเป็นอักขระโบราณ รวมกับด้ามดาบที่ทำขึ้นอย่างประณีตและโกร่งดาบที่เป็นลวดลายงดงาม เพียงมองดาบเล่มนี้ก็รู้สึกอัศจรรย์ราวกับดาบวิเศษไม่ใช่เพียงวัตถุโบราณที่จะกลายเป็นเครื่องประดับ “ เป็นดาบที่สวยงามจริงๆ ชักถูกใจซะแล้วสิ ”
ระหว่างที่ผู้หญิงคนนั้นจ้องดูดาบนั้นเอง ลูกน้องของชายสูทขาวก็ล้อมเข้ามา แต่เจ้าตัวยังไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้าง นายหน้าเห็นท่าจะไม่ดีแล้วจึงพยายามบอกให้หญิงคนนั้นวางดาบลง แต่ก่อนจะได้พูดอะไรเธอก็เก็บดาบเข้าฝักตามเดิมแล้วพูดขึ้นเสียก่อน
“ ชั้นถูกใจเจ้านี่แล้ว ครั้งนี้ขอดาบเล่มนี้ละกัน ” เธอกล่าวเสียงดังชัดไปทั่วทั้งห้อง และก่อนที่ใครจะทันตอบสนองต่อคำพูดนั้นทัน บางสิ่งก็หล่นลงมาตรงหน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับควันคลุ้งออกมา เพียงอึดใจเดียวควันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องบดบังสายตาของทุกคนในที่นั้นไปสิ้น
“ เกิดอะไรขึ้น! ” เสียงร้องดังขึ้นโดนที่ไม่มีใครรู้ว่าใครพูดเพราะตอนนี้ แม้แต่มือตัวเองยังไม่มีใครมองเห็น
“ นี่มันอะไรกัน ดาบของชั้น! ยัยผู้หญิงคนนั้นหายไปไหนแล้ว ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอีก คราวนี้พอเดาได้ว่าเป็นเสียงชายสูทขาวที่เป็นลูกค้าแน่ๆ อึดใจใหญ่ๆ ต่อมา ควันก็จางลง แต่ละคนเริ่มมองเห็นหน้ากันแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นหายไป
“ มันขโมยของของชั้นไปแล้ว! หามันให้ทั่ว ” เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณลูกค้าก็ตะโกนสั่งลูกน้องอย่างเดือดดาล
“ อย่าหัวเสียไปเลยน่า ”
เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเหนือหัวพวกเขาขึ้นไป เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นเธอยืนอยู่บนหลังคาพร้อมกับดาบล้ำค่าในมือ ที่เท้าของเธอมีเชือกห้อยลงมาจนถึงกลางทางระหว่างเพดานกับพื้นห้อง ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่เธอใช้หลบหนีแน่ๆ เธอมองลงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจมากกว่าจะเยาะเย้ย แต่คนที่เธอมองนั้นไม่คิดอย่างนั้นแน่ๆ
“ ดาบเล่มนี้เลือกเจ้าของของมันเอง ” หญิงคนนั้นกล่าวพลางเตะเชือกร่วงลงมากองกับพื้น “ นายไม่คู่ควร ไม่สิ ดาบเล่มนี้มันเลือกชั้นมากกว่า คิดซะว่าดวงไม่สมพงษ์กันก็แล้วกันนะ ”
“ อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย! ” ชายสูทขาวร้องพลางชูมือให้สัญญาณ ลูกน้องที่รายล้อมอยู่ก็ชักปืนกลมือออกมากราดยิงทันที
หญิงคนนั้นกระโดดหลบไปเพียงเล็กน้อยก็พ้น แต่จังหวะที่กำลังโดนต้อนยิงอยู่นั้นเอง ไฟในโกดังก็ดับลงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า มีเสียงโวยวายมาเล็กน้อย แต่เมื่อมองไม่เห็นก็เล็งเป้าไม่ได้ และก็กลายเป็นความมืดที่ช่วยในการหลบหนีอย่างดี
“ มันจะหนีไปแล้ว ตามมันไปเร็ว! ” ชายสูทขาวสั่งการทั้งที่ยังมองไม่เห็น แต่ลูกน้องก็เชื่อมั่นหัวหน้าตัวเองจนเกินพอดี เสียงฝีเท้าดังสนั่นห้องเก็บของ ไม่นานนักทุกอย่างก็เงียบลงในที่สุด ไม่มีวี่แววใครอีกเลยนอกจากตัวลูกค้ากับนายหน้าที่ยังอยู่ที่เดิม
“ นี่มันอะไรกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ” คุณลูกค้ากล่าวอย่างหงุดหงิดขณะที่ชายนายหน้าจุดไฟแช็คให้แสงสว่างชั่วคราว ท่าทางไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก
“ เธอเป็นคนนำทางของเรา ” ชายคนนั้นตอบ “ ถ้าไม่มีเธอพวกเราก็คงหาของพวกนี้ออกมาไม่ได้ เพราะอย่างนั้นปล่อยไปเถอะ ยังมีของอย่างอื่นให้เลือกอีกเยอะแยะ ”
“ ยอมได้ยังไงกัน ชั้นจะเล่นงานมันให้ถึงที่สุดเลยเชียว ”
“ ไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้นนะ ” ชายนายหน้ากล่าวพลางส่ายหน้า “ ถ้าดึงดันจะเอาอย่างนั้นก็ติดต่อโรงพยาบาลไว้หน่อยก็ดี ”
“ หมายความว่ายังไง! ” คุณลูกค้าเริ่มหัวเสียขึ้นมาอีก “ ยัยนั่นเป็นใครกันแน่!? ”
“ เธอชื่อ นาเดีย ฮาโรล
”
ดวงตะวันเคลื่อนตัวสูงขึ้นทางทิศตะวันออกพร้อมกับแสงสว่างของวันที่ค่อยๆ ไล่กลางคืนหายไปทางฝั่งตะวันตก นกร้องระงมรับกับบรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น ลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องที่ทำด้วยไม้เก่าๆ ผ้าม่านที่ขึงไว้ลวกๆ พลิ้วไหวตามลมโดยที่หมิ่นเหม่จะหลุดออกมา ในมุมห้องด้านหนึ่งมีเตียงไม้ตั้งอยู่และร่างของเจ้าของห้องนอนเหยียดยาวอยู่ข้างบน ร่างนั้นเป็นหญิงสาวสวมเสื้อยืดคลุมด้วยเสื้อหนังอีกชั้นหนึ่ง กางเกงยีนส์ขายาวมีสายรัดเครื่องมือติดอยู่ หน้าตายังมอมแมมไปด้วยฝุ่นโคลนราวกับว่าเธอออกไปซัดกับลูกน้องพวกค้าของผิดกฎหมายมาทั้งแก๊งแล้วกลับมาเข้านอนอย่างหมดแรงโดยที่ไม่ได้แม้แต่จะล้างหน้า บนโต๊ะข้างๆ หัวนอนของเธอมีซองปืนวางอยู่ ดูเหมือนว่าถึงเธอจะเหนื่อยเพียงไรก็ไม่ลืมที่จะปลดปืนออกก่อนนอน อาจเป็นความรอบคอบหรือสัญชาติญาณของคนที่คุ้นเคยกับสิ่งนั้นมาตลอดก็ตาม แต่ตอนนี้เธอก็ยังหลับไม่ได้สติ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำลายความสงบของตอนเช้าตรู่สองสามครั้งประตูก็เปิดออก ร่างของเด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางอิดโรยไม่แพ้กัน เด็กชายเดินตรงเข้าไปที่ชั้นวางของที่อยู่คนละฟากกับเตียงนอนโดยไม่สนใจเจ้าของห้องที่ยังหลับอยู่ เด็กชายคนนั้นมีผมสีแดง สวมแว่นตาเล็กๆ สวมเสื้อคลุมหนังสีขาวและสะพายบางสิ่งไว้กลางหลัง ตาของเด็กชายมองผ่านแว่นตาจ้องไปที่สิ่งที่วางอยู่บนชั้นวางของไม่กะพริบ มันคือห่อผ้าสีดำที่หุ้มบางสิ่งไว้อย่างแน่นหนาจนมองไม่เห็นของข้างใน แต่เด็กชายก็มีแรงกระตุ้นมากพอจะเดินตรงไปแกะห่อผ้าออกดู แต่ก่อนที่เขาจะทันได้สัมผัสมัน เขาก็ต้องหยุดกระทันหันเมื่อเสียงคนกับเสียงดังแกร๊กดังขึ้นด้านหลัง
“ คิดจะทำอะไร ลอกินัส? ”
เด็กชาย ลอกินัส ยกมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับหันกลับไปช้าๆ อีกมุมห้องหนึ่งนั้นเอง หญิงสาวที่ท่าทางเหมือนหลับสนิทอยู่ลุกขึ้นนั่งเมื่อไรเขาก็ไม่รู้ตัว และในมือของเธอนั้นเอง ปืนสั้นเงางามก็หันปลายกระบอกปืนมาที่เขา โดยที่เด็กชายก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอลุกขึ้นแล้วหยิบปืนตอนไหน ทุกอย่างเงียบเชียบ สงบนิ่งเหมือนกับเสียงนกร้องตอนเช้าที่ไม่มีใครสังเกตหรือรู้สึกตัว แต่ที่รู้ตัวแน่นอนก็คือ เขาควรจะหยุดและผละออกมาจะดีกว่า
“ ชั้นถามว่าทำอะไรไง ” หญิงสาวถามซ้ำ มือยังไม่ลดปืนลง
“ ลูกพี่ก็
” เด็กชายตอบ พยายามหาข้อแก้ตัวอย่างเต็มที่จนตัวสั่น “ แค่อยากดูของในนั้นแค่นั้นเอง ทำงกไปได้ ”
“ อย่าได้แตะต้องของของชั้นก่อนขออนุญาต เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไง ” หญิงสาวย้ำ มือยังไม่ลดปืนลงจนในที่สุด เด็กชายก็ยอมถอย
“ ลูกพี่นาเดียขี้งก ” เด็กชายบอกพลางเดินผละออกมาจากชั้นวางของนั้น เมื่อเด็กชายเดินออกมา ปืนในมือหญิงสาวก็กลับไปวางที่เดิม
“ ไปไหนมาแต่เช้าหืม? ” หญิงสาว นาเดีย ถามพลางบิดขี้เกียจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ ฝึกสิครับ ” เด็กชายตอบพลางเดินไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง “ เช้านี้อากาศดีน่าออกไปวิ่งจะตาย แต่ลูกพี่ไม่ยอมลุกสักทีผมเลยออกไปก่อน ”
“ แน่นอนสิ ” นาเดียลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายพลางตอบ “ เมื่อคืนลุยหนักขนาดนั้นชั้นก็ต้องอยากพักเป็นธรรมดาสิยะ ไม่ใช่เครื่องจักรสักหน่อย ”
“ ก็เลยนอนหลับอุตุอยู่แบบนี้สินะ ” ลอกินัสบ่นอุบอิบแต่ดูเหมือนนาเดียจะได้ยิน
“ ว่าไงนะเจ้าหนู ” นาเดียหยิกแก้มลอกินัสดึงเบาๆ จนเจ้าตัวร้องพักหนึ่งก็ปล่อยให้ลอกินัสกุมแก้มเจ็บแปล๊บๆ อยู่คนเดียว
“ พี่สาวเจ้าของร้านบอกว่าอาหารเช้าเสร็จแล้วนะ จะลงไปเมื่อไรก็ได้ ” ลอกินัสบอกทั้งที่มือยังกุมแก้มอยู่
“ เฮ้อ ดีจัง รู้สึกหิวตงิดๆ แล้วแฮะ ” นาเดียเหยียดแขนพลางสูดหายใจเข้าลึกรับอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอดก่อนจะถอนหายใจยาว “ นายกินอะไรหรือยังลอกินัส? ”
“ ยังหรอก ก็จะรอกินพร้อมลูกพี่นี่นา ” ลอกินัสตอบ ซึ่งเมื่อนาเดียได้ยินก็ยิ้มพลางเดินเข้ามาลูบหัวลอกินัสแรงๆ จนหัวยุ่ง
“ ทำตัวน่ารักนะเรา เอาล่ะ ไปหาอะไรลงท้องกันดีกว่า ” นาเดียพูดเสร็จก็เดินนำลอกินัสออกจากห้องไปเร็วจนลอกินัสท้วงไม่ทัน
“
ลูกพี่จะไม่ล้างหน้าล้างตาก่อนเลยหรอ ”
“ เพิ่งตื่นใช่มั้ย นาเดีย? ”
เป็นคำทักทายแรกเมื่อนาเดียมาถึงส่วนร้านอาหารชั้นล่างของโรงเตี๊ยม ชั้นบนเป็นห้องพัก ส่วนชั้นล่างเป็นร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มเป็นหลัก มีทั้งน้ำนมสัตว์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านทั้งร้านตอนนี้ไม่มีใครเลยนอกจากนาเดียกับลอกินัส และเจ้าของร้านอีกคนหนึ่ง
“ หา? ” เป็นปฏิกิริยาเดียวที่นาเดียตอบสนองต่อคำทักทายนั้น
“ หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ ตื่นเช้ามาส่องกระจกบ้างหรือเปล่า ” เจ้าของร้านเป็นหญิงสาวที่ยังอยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ ทักขณะที่นำอาหารเช้ามาบริการลูกค้าทั้งสองของเธอ
“ หนวกหูน่า แพตตี้ ” นาเดียกล่าวพลางรับจานอาหารมาจากเจ้าของร้าน “ ใครเขาจะมามัวนั่งสนเรื่องหยุมหยิมๆ อย่างใครล้างหน้าไม่ล้างหน้ากันล่ะ พอออกไปเดินที่ถนนก็ไม่มีใครสนแล้ว ”
“ เฮ้อ แบบนี้จะมีใครมาสนใจล่ะเนี่ย ” แพตตี้ เจ้าของร้าน กล่าวพลางถอนหายใจ “ อายุขนาดนี้แล้วไม่ทำตัวให้สมหญิงจะไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายนะ ”
“ ผมว่าเที่ยวสุดท้ายน่ะผ่านไปนานแล้วล่ะ ” ลอกินัสแทรก ซึ่งก็แทบจะทันทีที่นาเดียเคาะเขาเบาๆ จนแพตตี้หัวเราะคิกๆ
“ ที่ลอกินัสพูดก็ใช่นะ ” แพตตี้พูดต่อ “ มัวแต่ทำงานคลุกฝุ่นแบบนี้เดี๋ยวก็โสดตลอดชีวิตหรอก หัดทำงานบ้านงานเรือนบ้างสิ เผื่อจะยังมีหวัง ”
“ โฮ่ ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ” นาเดียเงยหน้ามองแพตตี้ก่อนจะพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ เธอเองก็จะขึ้นเลขสามอยู่แล้วนี่นา ยังโสดอยู่เลยไม่ใช่เรอะ ”
จบคำพูดของนาเดีย เหมือนค้อนขนาดใหญ่ทุบลงมากลางสนามรบที่กำลังร้อนระอุด้วยไฟสงคราม เสียงปืนกลดังสนั่นราวประทัดแตก เสียงระเบิดดังสนั่นกลบเสียงฟ้าผ่าที่ลงมากลางใจของแพตตี้ ซึ่งแพตตี้ก็เถียงอะไรไม่ได้อีกเลย นอกจากยืนอึ้งอยู่ย่างนั้นเอง
ทันใดนั้นเอง ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นยังหนุ่ม สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาล ผ้าโพกหัวสีเดียวกันถูกถอดออกมาถือไว้ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ผมสีดำหยิกน้อยๆ และหนวดทำให้เขาดูภูมิฐานขึ้น และท่าทางก็ดูสง่างามไปตั้งแต่การเดินจนถึงการแต่งกาย นาเดียเห็นชายคนนี้แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ มาอีกแล้วรึ เจ้าหนวดนี่ ” นาเดียบ่นอุบอิบ ก็พอดีกับที่ชายคนนั้นมาถึงโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
“ อรุณสวัสดิ์ครับ ” ชายคนนั้นทัก ซึ่งนาเดียก็ตอบโดยแทบจะไม่ได้มอง
“ อรุณสวัสดิ์ เอ่อ
นายอะไรนะ ” นาเดียทำท่านึกอยู่พักหนึ่งก็ตอบ “ มาเทโรใช่มั้ย ท่าทางจะว่างจัดนะนาย มาได้ทุกวี่ทุกวัน ”
“ ไม่ได้ว่างหรอกครับ ” ชายคนนั้น มาเทโร-ยิ้มตอบ “ การออกเดินตรวจก็เป็นหน้าที่หนึ่งของเทศมนตรีเหมือนกัน เอ่อ ขอเครื่องดื่มเบาๆ ก็พอครับ ” มาเทโรหันไปบอกกับแพตตี้ ซึ่งเจ้าของร้านก็รับคำแล้วเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสร็จแล้วมาเทโรก็หันไปหาลอกินัสที่กำลังง่วนกับอาหารเช้า “ สบายดีรึ เจ้าหนู? ”
“ สบายดีครับ ” ลอกินัสเว้นช่วงจากการกินหันมาตอบแล้วก็หันกลับไปจดจ่อกับอาหารเช้าต่อ มาเทโรเห็นแล้วก็ยิ้ม
“ นายมาทำอะไรที่นี่ มาเทโร? ” นาเดียพูดขึ้นในที่สุด “ อย่าบอกนะว่านายออกตรวจทุกวันแล้วต้องมานั่งพักที่นี่ทุกวันน่ะ ”
“ เมื่อคืนนี้มีเหตุยิงกันขึ้นที่โกดังร้างนอกเมือง ” มาเทโรกล่าวเรียบๆ แต่นาเดียก็สะดุ้งอยู่ในใจ “ ไม่พบผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา พยานได้ยินเพียงเสียงปืนเท่านั้น พอเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุก็พบแต่ร่องรอยการต่อสู้และปลอกกระสุนปืนเท่านั้น คาดว่าจะไม่ใช่การวิวาทธรรมดาแน่ เพราะปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุเยอะจนแทบเอามากองสุมท่วมหัวได้เลย ”
“ แล้วยังไง? ” นาเดียทำเป็นไม่สนใจยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ คาดว่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้าของผิดกฎหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ” มาเทโรเล่าต่อ “ เพราะในโกดังใกล้ๆ มีร่องรอยการขนของใหญ่อยู่เต็มไปหมด น่าเสียดายที่ไม่เหลืออะไรให้ตามตัวเลยสักนิด ถ้ามีพยานในที่เกิดเหตุก็คงจะดีสินะ ”
“ นายคิดว่าชั้นเป็นพยานให้ได้รึไง ” นาเดียแทรกเรียบๆ แต่มาเทโรมองเธอหน่อยๆ ก็ยิ้มรับ
“ ก็ไม่ได้พูดถึงขนาดนั้นสักหน่อยนี่ครับ ” พอดีกับแพตตี้เดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มที่สั่ง การสนทนาจึงหยุดลงแค่นั้น
มาเทโรยกแก้วดื่มเล็กน้อยก็พูดขึ้นอีก
“ ช่วงนี้มีพวกลักลอบค้าของเถื่อนมากขึ้นทุกวัน ” มาเทโรเปรย “ ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร การขุดค้น การวิจัยก็ช้ากว่าพวกนั้นไปก้าวหนึ่งทุกครั้ง ”
“ คนของรัฐบาลฝีมือไม่ถึงมากกว่ามั้ง อย่างพวกสถาบันผู้ค้นหานั่นก็ทำงานแต่ตามคำสั่งเบื้องบนไม่ใช่รึ แบบนั้นจะทันใครเขาได้ ” นาเดียพูดบ้าง
“ อาจจะใช่ ” มาเทโรกล่าวพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ ทางรัฐบาลขาดทั้งคนที่ชำนาญงาน และติดระบบงานที่ช้ากว่า ซ้ำฝ่ายนั้นยังมีกำลังทุน กำลังเงินสูงกว่า แล้วยังมีคนที่มีความสามารถสูงกว่าอีก ” ถึงตรงนี้มาเทโรเหลือบมองนาเดียเล็กน้อย ซึ่งนาเดียก็ไม่ได้หลบสายตา
“ ตอนนี้รัฐบาลน่าจะห่วงปัญหาอื่นมากกว่าเรื่องนี้ซะอีก ” นาเดียเปลี่ยนเรื่อง “ จะไม่เป็นไรรึที่ปล่อยให้พวกเมจมาทำงานกันพลุกพล่านแบบนี้ ทั้งในสถาบันผู้ค้นหาเองก็มีเต็มไปหมด ไม่ชอบใจเลยแฮะ ”
มาเทโรไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง แพตตี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้นที่สังเกตเห็นความเจ็บปวดที่อยู่ในสีหน้าของมาเทโรตอนนั้น
“ สายมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อนนะครับ ” มาเทโรกล่าวพลางลุกขึ้นแล้ววางเงินไว้บนโต๊ะ “ เอาเป็นว่า อย่าทำงานหักโหมแล้วก็อย่าไปเสี่ยงอันตรายมากนะครับ ”
“ พูดอะไรน่ะ? ”
“ หลักฐานมันอยู่บนใบหน้าน่ะครับ ” มาเทโรกล่าวทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินออกจากร้านไป ทิ้งนาเดียที่เอามือลูบแก้มตัวเองปัดฝุ่นที่ติดอยู่ออก
“ ท่าทางเขาจะเป็นห่วงเธอนะ ” แพตตี้พูดขึ้นเป็นคนแรกหลังจากมาเทโรเดินจากไป
“ ช่างเขาสิ ต้องสนใจด้วยรึไง ”
แพตตี้ถอนหายใจก่อนจะเก็บจานอาหารของนาเดียกับลอกินัสไปหลังร้าน
“ เขารู้งานของลูกพี่แล้วล่ะมั้ง ” ลอกินัสพูดบ้าง
“ แล้วทำไมล่ะ ” นาเดียตอบ “ โลกนี้ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่อยู่รอด ถ้าอยากจะอยู่รอดก็ห้ามเลือกวิธีการที่จะอยู่รอด เรื่องง่ายๆ แค่นั้นเอง ”
“ อื้อ ผมรู้ดี ”
“ ถ้ายังอยากจะตามชั้นมาก็ต้องเข้มแข้งไว้ ” นาเดียตอบ “ ทำใจไว้ได้เลยว่านายอ่อนแอเมื่อไร ชั้นก็จะทิ้งไว้ตรงนั้นเอง ”
“ ครับลูกพี่ ” ลอกินัสพยักหน้า ทันใดนั้นเองประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับชายชุดดำหลายคนเดินเข้ามา ยืนเรียงแถวเปิดทางให้ชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ ชายคนนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่งตัวดีกว่าลูกน้องมากจนแยกได้ตั้งแต่แวบแรกที่มองเลยว่าใครเป็นหัวหน้าใครเป็นลูกน้อง เมื่อนาเดียเห็นชายคนนั้นก็ยิ้มกว้าง
“ งานเข้าอีกแล้ว ”
บรรยากาศภายในร้านอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดเมื่อชายชุดดำยืนอยู่ประจำจุดเต็มร้าน เว้นที่ตรงกลางเป็นโต๊ะสำหรับนั่งคุย ที่นั่น นาเดียนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามของเธอเป็นชายหัวหน้าที่นั่งในท่าสบายๆ บรรยากาศอาจดูอึดอัด แต่นาเดียกลับมีท่าทีสบายๆ เช่นกัน ด้านนอกออกมา ลอกินัสกับแพตตี้ได้แต่มองดูการสนทนาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
“ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณฮาโรล เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณมามาก ” ชายคนนั้นทักทาย “ ผม อาคูรอส บารินเท็น คิดว่าคงเคยได้ยินชื่อนี้บ้างเช่นกัน ”
“ ในวงการนี้ใครล่ะจะไม่เคยได้ยิน ” นาเดียกล่าวยิ้มๆ “ พ่อค้าอาวุธและวัตถุโบราณรายใหญ่ที่สุดของโรเบลเลยนี่นา ”
“ ของประเทศครับ คุณฮาโรล ” บารินเท็นแทรกเรียบๆ ท่าทีชอบใจที่มีคนพูดถึงชื่อของเขาในทางที่เขาชอบ “ ธุรกิจของผมใหญ่โตก็จริง แต่ก็ยังพอมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นทานอาหารกับคุณได้แบบนี้นะครับ ”
“ เสียใจที่ชั้นทานอาหารเรียบร้อยแล้วนะคะ ” นาเดียหัวเราะในลำคอแล้วก็พูดต่อ “ แล้วชั้นก็ไม่เชื่อด้วยว่าคนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของสถาบันผู้ค้นหาจะออกมาเดินเล่นแบบนี้เพื่อทานอาหารเท่านั้น ”
บารินเท็นได้ฟังก็หัวเราะบ้าง พลางหยิบบางสิ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ มันเป็นแผ่นกระดาษเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังพอเห็นลวดลายบนนั้นได้ชัดเจน
“ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยนะครับ ” บารินเท็นพูดต่อ “ นี่เป็นของที่ผมได้มาเมื่อไม่นานนี้ คิดว่าคุณคงสนใจ ”
นาเดียหยิบแผ่นกระดาษนั้นขึ้นมาดูก็รู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัว มันคือลายแทงสมบัติเหมือนที่เธอเคยเห็นในหนังหรือโทรทัศน์ แต่เจ้าสิ่งนี้กำลังอยู่ตรงหน้าเธอและสัมผัสได้
“ นี่มัน
”
“ ลายแทงสมบัติ ซึ่งผมตรวจสอบแล้วว่าน่าจะเป็นพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศนี้ หากคุณสนใจ
”
“ ของที่อยู่ข้างในล่ะ ” นาเดียแทรก
“ ตามตำนานเล่าไว้ว่าเป็นที่ทำงานของจอมเวทย์คนหนึ่ง จอมเวทย์ไร้นามที่มีพลังมากพอจะเคลื่อนภูเขา ย้ายดวงดาวได้ ยังไม่เคยมีใครไปถึงที่นั่นได้เลย แน่นอนว่ายังมีสมบัติอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คุ้มค่าแก่การสำรวจที่สุด ”
“ กรุจอมเวทย์งั้นรึ? ” นาเดียถอนหายใจ สีหน้าดูหน่ายลงทันที “ ท่าทางน่าเบื่อจริงๆ ”
“ ทางเราจะจ่ายให้คุณมากเท่าที่ต้องการถ้าคุณพาพวกเราไปถึงที่นั่นได้ ” บารินเท็นกล่าวต่อ “ ขอเพียงนำของที่ทางเราต้องการออกมาได้ คุณจะเรียกค่าจ้างเท่าไรพวกเราก็จ่ายได้ ”
“ ในนั้นมีอะไรรึ? ” นาเดียจ้องตาบารินเท็นเขม็ง “ ถึงกับทำให้คุณยอมทุ่มขนาดนั้นไม่น่าใช้เพชรพลอยธรรมดาแน่ ”
“ นาฬิกา ” บารินเท็นกล่าว ตอนนั้นแววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากท่าทีสบายๆ กลับดูจริงจังขึ้นทันที “ เพียงคุณนำนาฬิกาที่อยู่ในนั้นออกมาให้ผมได้ก็พอ สมบัติอย่างอื่นในนั้นผมยกให้คุณทั้งหมด เว้นแต่นาฬิกาเรือนนั้นเท่านั้น ”
นาเดียทำท่าเหมือนจะถามอะไรต่อแต่ก็หยุดไว้ เรื่องบางเรื่องของผู้ว่าจ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสอดรู้ นี่เป็นบทเรียนจากประสบการณ์ของเธอที่ทำงานนี้มานับไม่ถ้วน ขอเพียงเธอได้ค่าจ้างก็เพียงพอแล้ว
“ ตกลงชั้นรับงานนี้ จะออกเดินทางเมื่อไรล่ะ ”
“ วันพรุ่งนี้จะมีคนมารับคุณเตรียมออกเดินทาง ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะเหนื่อย แต่งานของผมก็เร่งเช่นกัน ”
“ ไม่ว่าอะไร ตกลง ” นาเดียรับคำ ซึ่งก็ทำให้นายจ้างยิ้มกว้างทันที
“ ยินดีที่คุณตกลง นี่เป็นค่าจ้างล่วงหน้าให้คุณเตรียมตัวสำหรับงานนี้นะครับ รึจะเรียกว่าการแสดงความจริงใจก็ได้ ” บารินเท็นให้ลูกน้องวางกระเป๋าลงตรงหน้าเมื่อเปิดออกก็เห็นเงินหนาปึกอัดแน่นอยู่ข้างในกระเป๋า
“ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง ”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ” บารินเท็นยิ้ม “ ผมได้ยินกิตติศัพท์คุณมาเยอะ รู้ดีว่าไม่ควรเล่นตุกติกกับคนอย่างคุณ แต่ก็เป็นมารยาทในวงการนี้นะครับ ”
นาเดียรับกระเป๋าใบนั้นไว้ก็พอดีกับที่บารินเท็นลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
“ แต่ก็ระวังหน่อยนะครับ ” บารินเท็นกล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ผมได้ยินกิตติศัพท์ด้านความเจ้าเล่ห์ของคุณมาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นอย่าได้คิดจะเล่นตุกติกกับผมเชียวนะครับ ของที่คุณอยากได้ผมยกให้คุณทั้งหมด ยกเว้นนาฬิกาเท่านั้น ”
“ คิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ หืม? ” นาเดียจ้องกลับ ทั้งคู่จ้องตากันครู่หนึ่งบารินเท็นก็หัวเราะ
“ ครับ ต้องขอโทษที่สงสัยคุณเข้า แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ ”
บารินเท็นจากไปพร้อมกับลูกน้องนับสิบของเขา ร้านของแพตตี้ก็โล่งขึ้นทันตาเห็น แพตตี้กับลอกินัสที่ถูกกันออกมาจากวงสนทนาเข้ามาหานาเดียทันทีที่บารินเท็นจากไป
“ นาเดีย
”
“ ไม่มีอะไรหรอก ก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ”
“ ลูกพี่กันผมออกมาอีกแล้ว ” ลอกินัสบ่น ซึ่งนาเดียก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก
“ ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กน่ะอยู่เฉยๆ เถอะ ” นาเดียบอกแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองกลับไปที่ห้อง ทิ้งลอกินัสกับแพตตี้ไว้ เมื่อนาเดียถึงห้องแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่เธอยังไม่ทันจะหลับตาลอกินัสก็ตามเข้ามา
“ มีอะไรลอกินัส? ”
“ ลูกพี่ คราวนี้ให้ผมเข้าร่วมคณะเดินทางด้วยได้หรือเปล่า? ”
“ ว่าไงนะ ” นาเดียลุกขึ้นนั่งมองดูเด็กชายอย่างสงสัย “ เด็กๆ อย่างนายคิดจะเอาชีวิตไปทิ้งรึไง ในซากโบราณสถานพวกนั้นอันตรายแค่ไหนรู้หรือเปล่า ”
“ ผมไม่ได้อ่อนแอแล้วนะ ” ลอกินัสร้อง “ ผมตั้งใจฝึกทุกวันเพื่อที่จะได้ร่วมทางกับลูกพี่เต็มตัวอย่างนี้มานานตั้งแต่ลูกพี่เก็บผมมาแล้ว ตอนนี้ผมก็พร้อมแล้วด้วย ถ้าลูกพี่อยากทดสอบผม ผมก็พร้อมจะ
”
ลอกินัสยังไม่ทันพูดจบบางสิ่งก็พุ่งแหวกอากาศตรงมาที่เขา เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ลอกินัสชักบางอย่างออกมาจากกลางหลังปัดมันกระเด็นไปทางหนึ่ง สิ่งนั้นกระเด็นไปปักอยู่ที่ผนังห้องค้างอยู่ตรงนั้นเอง เมื่อลอกินัสเห็นแล้วก็ถึงกับหน้าซีด มันคือมีดสั้นคมกริบที่นาเดียพกติดตัวตลอด คมมีดที่ตีโค้งแวววาวฝังเข้าไปในเนื้อไม้ลึกจนน่ากลัว ในมือของลอกินัสเองก็ถือดาบเล่มหนึ่งไว้แน่น มือยังสั่นจากแรงปะทะและความกะทันหันของเหตุการณ์อยู่ แววตาของลอกินัสทั้งตื่นเต้นทั้งตกใจแต่ก็ไม่ได้ถึงกับตัวสั่น
“ ผ่าน ” นาเดียตอบสั้นๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่ออย่างไม่ใส่ใจ “ ถ้ารับมือการโจมตีแค่นี้ไม่ได้ก็อย่าได้คิดจะเข้าร่วมคณะสำรวจเลย กลับไปฝึกต่อสักปีสองปีค่อยมาใหม่ ”
“ ถ้าไม่ได้ผมก็หน้าแหกแล้วมั้งลูกพี่ ” ลอกินัสบ่นเบาๆ
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น เพียงเวลาสายของวันนาเดียก็ข้ามประเทศจากฝั่งตะวันตกสุดมุ่งไปยังฝั่งตะวันออก ฐานะทางการเงินของบารินเท็นไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยจริงๆ เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่พานาเดียกับลอกินัสข้ามแม่น้ำลองฮอร์นข้ามเมืองหลายเมืองตรงไปที่ชายแดนฝั่งตะวันออกอันเป็นที่หมาย เพียงไม่เกินเที่ยงก็ถึงที่หมายที่บารินเท็นรออยู่ วันนี้เขาเปลี่ยนชุดจากชุดภูมิฐานกลายเป็นชุดผจญภัยเต็มพิกัด
“ ยินดีต้อนรับสู่ตะวันออก ” บารินเท็นทักทายขณะเดินพานาเดียกับลอกินัสออกจากลานจอด “ บ้านพักของผมอยู่ทางโน้น เชิญพักผ่อนได้ตามสบายเลย
”
“ คนของคุณพร้อมหรือเปล่า? ” นาเดียแทรก “ ถ้าพร้อมแล้วล่ะก็จะเดินทางกันวันนี้เลยก็ยิ่งดี งานยิ่งเร็วก็ยิ่งดีใช่ไหมล่ะ ”
บารินเท็นมองนาเดียแล้วก็ยิ้ม เขารับรู้ความจริงจังของคนนำทางของเขาอย่างดีแล้ว เพียงตอนบ่ายวันนั้น ขบวนรถก็เคลื่อนออกจากบ้านพักมุ่งตรงไปยังเขตป่าผืนใหญ่ติดชายแดนตะวันตก ตลอดทาง นาเดียอ่านลายแทงที่คัดลอกมาจากของบารินเท็นอย่างเคร่งเครียด ลายแทงนั้นไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับภายในซากโบราณสถานที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว บอกเพียงตำแหน่งของสถานที่นั้นเท่านั้น ซึ่งการเดินทางฝ่าป่าเข้าไปยังที่ที่ยังไม่มีใครเคยสำรวจมาก่อนนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับนาเดีย เงินค่าแรงเป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่ง พอๆ กับสมบัติที่เธอจะสามารถเลือกชิ้นที่เธอถูกใจได้ แต่ต้องไม่ลืมที่จะละเว้นของที่ผู้ว่าจ้างต้องการ แต่หากมันถูกใจเธอเข้าแล้วล่ะก็ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะทำอย่างไร
“ นี่คือหมู่บ้านสุดท้ายที่รถสามารถเข้าถึงได้ ” บารินเท็นบอกขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง “ เราจะพักที่นี่กันสักชั่วโมงหนึ่ง ”
นาเดียลงจากรถแล้วก็มองไปรอบๆ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ค่อนข้างยากจน บ้านแต่ละหลังทำด้วยไม้ ฝาบ้านทำด้วยฟางหยาบๆ พอกันลมฝนได้เท่านั้น แต่กระนั้นเด็กๆ ก็ยังสามารถวิ่งเล่นได้อย่างร่าเริงทั้งเด็กเล็กเด็กโต เป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งในเมืองทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ พอความเป็นเมืองเข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็หายไป เหมือนกับลอกินัส นาเดียนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกับลอกินัสครั้งแรก เด็กที่นั่งตากฝนอยู่ข้างถนน แววตาสีแดงเพลิงถูกย้อมไปด้วยความเศร้า ขมขื่น ต่างกับเด็กที่เธอเห็นที่หมู่บ้านนี้อย่างสิ้นเชิง แม้จะเป็นหมู่บ้านห่างไกล ยากจนเพียงไร แต่แววตาของเด็กๆ กลับสดใส เห็นเด็กพวกนี้แล้วนาเดียก็รู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด
“ พวกเจ้า
”
เสียงหนึ่งแทรกเข้ามาขณะที่นาเดียกำลังยืนดูหมู่บ้าน เป็นเสียงของหญิงชราแต่งตัวโทรมๆ หน้าตาเหี่ยวย่นจนดูเหมือนแม่มด ด้วยท่าทางรูปร่างนั้นเอง ลอกินัสถึงกับตกใจจนเกาะนาเดียไว้แน่น
“
พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาของบางสิ่งอยู่ ” หญิงชราพูดต่อ “ พวกเจ้า
กำลัง
”
“ ยายรู้? ” นาเดียนั่งลงตรงหน้าหญิงชราคนนั้นพลางถามอย่างนุ่มนวลที่สุด แต่หญิงชราเหมือนไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตาแล้วก็พูดต่อ
“ สิ่งที่พวกเจ้าตามหา มันคือหายนะ ” หญิงชราพูดต่อเสียงดัง “ กลับไป! สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครเป็นเจ้าของ การครอบครองมันคือหายนะของทุกคน! ”
ลอกินัสสะกิดนาเดียเบาๆ เชิงเตือน
“ เลอะแล้วยายคนนี้ ไปกันเถอะลูกพี่ ” ลอกินัสเรียก แต่นาเดียยังมองดูหญิงชราคนนั้นจนกระทั่งเธอเดินจากมาลับสายตา
การเดินทางช่วงหลังไม่ราบรื่นเท่าใดนัก นอกจากเปลี่ยนจากการนั่งรถเป็นเดินแล้วยังต้องผจญกับอุปสรรคหลายอย่าง นับแต่ต้นไม้ที่รกชัฏจนมองทางไม่เห็น สัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ทั้งบนพื้นและในป่าข้างทาง ถึงจะบอกว่าเป็นทางแต่ก็ไม่ใช่เท่าไรนัก ป่านี้ยังไม่เคยมีใครเคยผ่านยังไม่มีกระทั่งรอยเท้าคนเหยียบต้นหญ้าแถวนี้มาก่อน แต่ความลำบากเหล่านี้ไม่ทำให้นาเดียสะทกสะท้านได้เลย จะมีก็แต่ลอกินัสที่เพิ่งเคยเดินทางแบบนี้และยังไม่คุ้นเคยกับความกันดารของพื้นที่ แต่เด็กชายก็ไม่ได้ปริปากบ่นเลยสักคำเดียว
การค้างแรมกลางป่าก็เป็นของใหม่สำหรับลอกินัส อากาศทั้งหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยโรคภัยที่มาในรูปสัตว์ พืชและสิ่งไม่มีชีวิต ต้นไม้พิษ สัตว์พิษ กระทั่งอากาศก็สามารถทำพิษได้ คณะเดินทางของบารินเท็นมีเครื่องมือสำหรับรับมือสิ่งเหล่านี้ครบครันจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไร ในส่วนนี้ทั้งนาเดียและลอกินัสค่อยๆ ซึมซับมิตรภาพระหว่างเธอกับผู้ว่าจ้างคนนี้ทีละน้อย การผ่านความลำบากตรากตรำด้วยกันวันเดียวสามารถสร้างมิตรภาพระหว่างคนในคณะเดินทางได้มากกว่าเที่ยวเฮฮาด้วยกันเป็นปีเสียอีก และในวันที่เจ็ดนั้นเอง สถานที่ที่พวกเขาตามหาก็ปรากฏตรงหน้า
“ วิเศษที่สุด ” บารินเท็นยืนอยู่ตรงหน้าซากโบราณสถานขนาดใหญ่นั้นด้วยแววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อิฐแต่ละก้อนเต็มไปด้วยร่องรอยของการกัดกร่อนทางธรรมชาติ รากไม้พันยุ่งอยู่เต็มไปหมด เป็นสภาพของโบราณสถานที่สดใหม่ยังไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน เป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้าง และเหตุใดมันจึงถูกทิ้งร้างไว้เช่นนี้ แต่ไม่มีใครในตอนนั้นคิดแบบนั้น เพราะนั่นเป็นคำถามของนักโบราณคดี ซึ่งไม่มีสักคนในที่นี้
“ เห็นจะๆ ตาแบบนี้แล้วน่าทึ่งจริงๆ เลยนะลูกพี่ ” ลอกินัสเปรย
“ ทีนี้ก็จะได้เวลางานของเราสักที ” นาเดียยืดเส้นยืดสายเตรียมพร้อม ไม่ได้สนใจความอลังการของสถานที่เท่าไรนัก “ ใครจะเข้าไปบ้าง บารินเท็น? ”
“ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะเข้าไปด้วย ” บารินเท็นกล่าวพลางนั่งลงบนรากไม้ข้างๆ “ แต่ท่าทางร่างกายผมจะไม่ไหวซะแล้วสิ ” บารินเท็นชี้ที่แผลที่ขาของเขาที่ได้รับระหว่างการเดินทางซึ่งสาหัสพอที่จะทำให้เขาเดินไม่คล่องไปนาน แต่กระนั้นเขาก็ยังบากบั่นมาถึงที่นี่จนได้
“ งั้นนายรอข้างนอก ใครจะเข้าไปบ้าง? ” นาเดียหันไปหาคนอื่นๆ ซึ่งยังท่าทางอิดโรยอยู่จากการเดินทาง “ หมดแรงกันแล้วรึไง ไม่ไหวเลยนะ ”
“ รอสักวันไม่ได้รึ คุณฮาโรล? ” บารินเท็นกล่าว “ พวกเรายังเหนื่อยกันอยู่
”
“ เฮ้อ งานยิ่งเสร็จเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่รึ ชั้นยังไหวนะ ” นาเดียหันไปดูซากอาคารนั้นแล้วก็แทบจะอดกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ แต่เมื่อคนอื่นๆ ยังไม่พร้อมเธอก็ต้องยอมรอ “ ช่วยไม่ได้ งั้นชั้นจะเข้าไปดูที่ทางสักหน่อยละกัน ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากเข้าไป ”
“ ผมไปด้วยสิลูกพี่ ” ลอกินัสพูดแล้วก็วิ่งตามไปโดยไม่ฟังเสียงเตือนของคนอื่นๆ ข้างหลัง
ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสถานที่นี้ สัมผัสบางอย่างที่เธอรู้สึกบ่อยๆ เวลาย่างเท้าเข้าไปในโบราณสถานที่อื่นๆ มันเป็นเสน่ห์เป็นมนต์ขลังที่สัมผัสได้ด้วยจิตโดยตรง แต่สถานที่นี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันรุนแรงกว่าที่อื่นๆ หลายเท่า ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเหมือนจิตจะหลุดลอยไป
“ ลูกพี่! ”
เสียงของลอกินัสแทรกเข้ามาจนนาเดียที่กำลังเคลิ้มอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปก็เห็นเด็กชายสิ่งตามมาจนกระทั่งมายืนหอบอยู่ตรงหน้า
“ อะไรของนาย ลอกินัส? จะตามมาทำไมตอนนี้ ”
“ ก็ลูกพี่จะเข้าไปดูไม่ใช่หรอ ผมก็อยากเข้าไปด้วย ” ลอกินัสตอบ
“ นี่ไม่ใช่ที่เล่นนะ กลับไปอยู่กับพวกนั้นไป ”
“ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเล่นตั้งแต่ตามลูกพี่มาแล้วนี่นา ” ลอกินัสเถียง ทั้งคู่โต้ตอบไปมาจนลืมสังเกตว่าสิ่งรอบตัวกำลังเปลี่ยนไป
“ เฮ้ นี่มัน ” นาเดียเป็นคนแรกที่สังเกต “ นี่เราเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน ”
“ ไม่ใช่มั้งลูกพี่ ” ลอกินัสหันไปดูรอบๆ ตัวบ้างก็เห็นการเคลื่อนไหวรอบตัว “ กำแพงมันเคลื่อนเข้ามาต่างหาก! ”
“ วิ่งเร็ว! ” นาเดียร้องบอกพลางคว้าข้อมือของลอกินัสไว้แล้ววิ่งย้อนกลับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่เร็วพอ กำแพงเคลื่อนตัวเข้ามาปิดทางออกไว้สนิททั้งข้างบนข้างล่าง ไม่มีช่องให้ลอดตัวออกได้เลย
“ ได้เรื่องแล้วมั้ยล่ะ ” นาเดียเปรยพลางสำรวจผนังอย่างละเอียด “ ไม่มีกลไกเลยสักนิด ที่ผนังนี่เคลื่อนที่ได้ก็เพราะเวทย์มนต์ล้วนๆ ”
“ อ้าว ก็ที่นี่มันที่ทำงานของจอมเวทย์ไม่ใช่หรอลูกพี่? ผมว่าเขาคงไม่สร้างกลไกแบบสมัยนี้หรอก ”
“ รู้แล้วน่ะ แต่จะด้วยอะไรก็ตาม พวกเรากำลังติดกับอยู่ในนี้ซะแล้ว ” นาเดียเคาะผนังสองสามทีก็หันไปหาทางอื่น ฝั่งตรงข้ามเป็นทางเดินลึกลงไปใต้ดิน ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าเป็นทางลงไปภายในสถานที่นี้ “ หรือไม่ก็ กำลังตกถังข้าวสารล่ะมั้ง มีอะไรอยู่บ้างแม่จะกวาดให้เกลี้ยงเชียว ”
“ เอ๋ จะลงไปต่อหรอลูกพี่ ” ลอกินัสท้วง “ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ”
“ ถ้าพวกนั้นทำอะไรได้ก็คงทำทีหลัง พวกเราหาทางออกไม่ได้ก็ต้องหาอย่างอื่นทำสิ ” นาเดียเดินไปที่ทางลงมองลงไปก็รู้ว่าลึกไม่น้อย “ บอกไว้ก่อนนะว่าที่ไหนมีสมบัติที่นั่นก็ต้องมีกับดัก นายมีอะไรติดตัวอยู่บ้าง? ”
ลอกินัสสำรวจตัวเองเล็กน้อยก็พบเพียงดาบสั้นประจำตัวกับไฟฉายที่พกติดตัวมาเท่านั้น ส่วนนาเดียมีปืนสั้น ผ้าพันแผล มีดพกประจำตัว เชือก ย่ามกระสุนปืน และห่อผ้าสีดำพันบางอย่างไว้สะพายหลังอยู่
“ ห่อผ้านั่นอะไรน่ะลูกพี่? ” ลอกินัสถามเมื่อสังเกตเห็นห่อผ้านั้น
“ ดาบที่ได้มาเมื่อคืนก่อนออกจากโรเบลไง ” นาเดียตอบพลางตบห่อผ้านั้นเบาๆ “ เป็นดาบที่สวยมาก ชอบจนไม่อยากเอาไว้ห่างตัวเชียวล่ะ ”
“ แบบนี้จะหนักเปล่าๆ นะ ให้ผมช่วยถือมั้ย? ”
“ ไม่ต้อง ห่วงตัวเองดีกว่านะเจ้าหนู ” นาเดียบอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินนำลอกินัสไปที่ทางลงมืดๆ “ ขอไฟฉายหน่อย จากนี้อย่าก้าวนอกเส้นทางเด็ดขาด เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว ”
“ ครับลูกพี่ ” ลอกินัสรับคำพลางกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ก่อนจะเดินตามนาเดียไปในทางเดินมืดๆ ที่เห็นเพียงแสงไฟฉายเล็กๆ ที่ช่วยให้พอที่จะมองเห็นทางเดินบ้าง ยิ่งเดินลงไปลึกเท่าไรก็ยิ่งมืดและเย็นลง ผนังข้างทางมีอักขระจารึกไว้หลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของนาเดียเลยสักนิด เธอเดินนำไปอย่างคล่องแคล่ว หลายครั้งที่เธอบอกให้ลอกินัสหยุดอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ใช้มีดเคาะกำแพงสองสามทีก่อนที่ผนังจะพังลงเปิดช่องทางลับใหม่ ความจัดเจนของนาเดียในซากโบราณสถานเช่นนี้เป็นสิ่งเดียวที่รั้งชีวิตของลอกินัสไว้ เพราะหากนาเดียไม่อยู่ เขาคงตกลงไปในกับดักเกินสิบครั้งแล้ว
“ หมอบลง! ” นาเดียร้องบอกพลางกดลอกินัสลงกับพื้นอย่างฉับพลัน ก่อนที่เปลวไฟร้อนระอุจะพุ่งออกมาจากกำแพงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ลอกินัสรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวเมื่อเปลวไฟพุ่งผ่านหลังหัวเขาไป จนกระทั่งมันจบลง ลอกินัสจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
“ นี่ครั้งที่เท่าไรแล้วที่ชั้นต้องช่วยนาย ฮึ ลอกินัส ” นาเดียบอกพลางปล่อยมือจากหัวของเด็กชาย “ ถ้าไม่ระวังตัวก็ต้องตายอยู่ในนี้แหละ ถ้าชั้นไม่อยู่ล่ะก็นายตายหลายรอบแล้ว ”
“ ขะ
ขอโทษครับลูกพี่ ” ลอกินัสตอบเสียงอ่อยๆ
“ หลังจากนี้ชั้นไม่รู้ว่าจะช่วยนายได้อีกหรือเปล่า ตัวของตัวเองก็ต้องระวังเองด้วยเข้าใจมั้ย? ”
ลอกินัสได้แต่พยักหน้ารับ เด็กชายรู้ว่าตัวเองฝึกมามากแค่ไหนเพื่อที่จะได้มีโอกาสร่วมงานกับนาเดีย แต่ก็เพิ่งรู้ว่าของจริงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ในการทำงานเสี่ยงชีวิตเช่นนี้เขาเป็นเพียงตัวถ่วงของนาเดียเท่านั้นเอง ซึ่งการยอมรับความจริงนี้ก็ทำให้ลอกินัสเจ็บใจอยู่ไม่น้อย สำหรับนาเดียแล้ว ตัวถ่วงก็ตัดทิ้งได้ทุกเมื่อถ้าจำเป็น ลอกินัสรู้ดีและก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น แต่เขาก็พยายามอย่างที่สุดแล้วเช่นกัน
“ ดูท่าว่าจะไม่ได้มีดีแค่กับดักนะเนี่ย ” นาเดียเปรยขณะเดินเข้าสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา ดวงไฟหลายสิบดวงก็ถูกจุดขึ้นโดยไม่มีคนจุด แสงสว่างฉายภาพในห้องเด่นชัดขึ้น ชัดขึ้นจนเห็นสภาพภายในห้องโถงนั้นชัดเจน ซึ่งลอกินัสเห็นแล้วก็ตะลึงไป
เบื้องหน้าของเธอกับลอกินัสเป็นกองสมบัติขนาดใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนของสิ่งล้ำค่านับแต่เพชรพลอย เครื่องใช้ที่ทำด้วยทองคำ ส่องประกายแวววาวรับกับแสงไฟที่สว่างไปทั้งห้องจนแสบตา
“ สุดยอดเลย ” ลอกินัสพึมพำออกมาก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหากองสมบัตินั้นอย่างรวดเร็ว “ ยอดเลยลูกพี่ เรารวยแล้ว! ของพวกนี้น่ะ พวกเรา
”
ลอกินัสยังพูดไม่จบนาเดียก็คว้าคอเสื้อของลอกินัสไว้ก่อนจะดึงเด็กชายกลับมา ซึ่งก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ม่านพลังเวทย์จะพุ่งลงมาเฉี่ยวชายเสื้อคลุมของลอกินัสขาดไปเหมือนถูกตัดด้วยมีด ลอกินัสเห็นชายเสื้อตัวเองขาดไปก็แทบจะหยุดหายใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวก่อนที่เขาจะกระเด็นไปชนกำแพงดังโครมใหญ่
“ บอกอยู่แหม่บๆ ไม่ใช่รึไงว่าให้ระวังน่ะ ” นาเดียบอกพลางเดินก้าวเข้าไปหาม่านพลังนั้น เมื่อลองเอาเศษหินโยนเข้าไปก็ป่นเป็นผงทันที “ สมบัติน่ะมีมากพอๆ กับกับดักนั่นแหละ ยิ่งเป็นกรุของจอมเวทย์ด้วยล่ะก็คาดไม่ถูกหรอก ว่าจะเจออะไรบ้าง สมบัติปลอมน่ะมีอยู่ทั่วไปหมดรอให้คนไม่ระวังตกหลุมเท่านั้นเอง ”
“ อะไรนะลูกพี่ ”
นาเดียไม่ตอบ แต่มองขึ้นไปหาบางสิ่งด้านบน เธอเห็นบางสิ่งเข้าแล้วก็ชักปืนเล็งขึ้นไปอย่างระมัดระวังแล้วก็ลั่นไก สิ้นเสียงปืนของเธอวัตถุบางอย่างก็ร่วงลงมา เป็นหินสีแดงสดที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และพร้อมกันนั้นเอง ม่านพลังก็หายไปพร้อมกับสมบัติที่ส่องประกายแวววาวอยู่เมื่ออึดใจก่อนหน้านี้
“ อะไรกัน! ” ลอกินัสร้อง
“ กับดักไงเจ้าหนูเอ๊ย ” นาเดียบอกพลางเคาะหัวลอกินัสทีหนึ่ง “ กับดักเห็นๆ เลยด้วย ใครที่ไหนจะบริการเปิดไฟให้เห็นสมบัติจะๆ แบบนี้ แล้วสมบัติที่กองอยู่ร้อยกว่าปีแบบนี้จะแวววาวขนาดนั้นได้หรือไง ใช้หัวซะมั่ง ”
ลอกินัสซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เพราะสมบัติหายไป แต่เพราะเขาแสดงความอ่อนหัดให้นาเดียเห็นอีกแล้ว ซึ่งหนทางที่จะพิสูจน์ตัวเองนั้นยังยาวไกลสำหรับเขา ลอกินัสคิดในใจ
“ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ช่วยให้เห็นที่หมายสักทีนะ ” นาเดียมองไปข้างหน้าบริเวณที่เคยเป็นกองสมบัติกลายเป็นบันไดขนาดใหญ่ทอดยาวสูงเหนือพื้นขึ้นไป ที่ปลายสุดของบันไดนั้นเอง วัตถุบางอย่างวางสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องลงมา
“ นั่นมัน นาฬิกาหรอลูกพี่? ” ลอกินัสกล่าวพลางเพ่งมองไปที่สุดปลายบันได
“ เยี่ยม นั่นแหละของที่พวกเราต้องเอากลับไป ” นาเดียยิ้มพลางเดินไปที่บันไดนั้นช้าๆ แต่เมื่อลอกินัสเดินตามเธอก็หันมาห้ามไว้
“ รออยู่ข้างล่าง ” นาเดียสั่งเสียงเฉียบขาด “ ก่อนจะถึงนาฬิกานั่นต้องมีกับดักสักอย่างสองอย่างนั่นแหละ นายอย่าตามไปจะดีกว่า ”
ลอกินัสพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ปล่อยให้นาเดียก้าวขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวังช้าๆ บันไดนั้นสูงมากและไม่มีราวให้จับ หากพลาดก็ตกลงมาบาดเจ็บแน่นอน และยังมีกับดักอีกหลากหลายรออยู่ ทุกย่างก้าวของนาเดียเต็มไปด้วยความระมัดระวังและกดดันจนลอกินัสที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ยังอดใจสั่นไม่ได้
ทันใดนั้นเอง ขณะที่นาเดียเดินไปได้เกือบครึ่งทาง เธอก็เหยียบบางอย่างเข้าโดนไม่รู้สึกตัว พื้นห้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนนาเดียที่อยู่กลางบันไดแทบจะร่วงลงมา ลอกินัสที่อยู่บนพื้นก็แทบทรงตัวไม่อยู่ ผนังหินที่ล้อมห้องโถงนั้นอยู่สั่นอย่างรุนแรง บางส่วนค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นอักขระที่จารึกไว้ชัดเจน และเกือบจะพร้อมกันนั้น พลังเวทย์ก็แล่นผ่านเข้าไปโดยไม่รู้ว่าปล่อยมาจากไหน ทันทีที่คลื่นพลังเวทย์ผ่านไป อักขระจะเรืองแสงขึ้นมาเหมือนกับหลอดไฟที่ได้รับกระแสไฟฟ้า แต่บรรยากาศตอนนั้นไม่มีเวลาให้ตกใจมากนัก เพราะพลังเวทย์เข้มข้นกำลังก่อตัวที่ผนังรอบด้านพร้อมกับแสงสีต่างๆ เปล่งออกมา
“ ยุ่งแล้ว เวทย์อัญเชิญ! ” นาเดียร้องเตือนลอกินัสที่ยังมัวแต่ตะลึงอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลอกินัสก็ชักดาบออกมาเตรียมพร้อมตามสัญชาติญาณ และอึดใจต่อมา สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวก็ก้าวออกมาจากผนังห้องโถงนั้น หลายตัวแสยะเขี้ยวว้างพร้อมจะโจมตี สัตว์ประหลาดทุกตัวที่ออกมาแล้วมองไปที่นาเดีย หรือนาฬิกานั้นเป็นตาเดียวก่อนจะคำรามลั่นวิ่งตรงไปที่บันได
“ ฮึ่ม เจ้าพวกนี้
” นาเดียกัดฟันแน่น มองไปข้างหน้าก็เห็นเป้าหมายอยู่รำไร ข้างหลังก็เป็นลอกินัสที่กำลังจะเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดนับร้อย แต่ขณะที่นาเดียชั่งใจอยู่นั้น ลอกินัสก็ร้องห้ามไว้
“ ไม่ต้องห่วงลูกพี่ เจ้าพวกนี้ผมจัดการได้ ลูกพี่รีบไปเอานาฬิกามาเถอะ จะได้ออกจากที่นี่กัน ”
“ แต่ นายคนเดียวจะ
” นาเดียท้วงแต่ก็โดนตอกกลับทันที
“ บอกว่าไม่ต้องห่วงไง ” ลอกินัสร้องดังกว่าเดิม มือจับดาบไว้แน่นพร้อมจะต่อสู้ “ รีบไปเอานาฬิกานั่นมา เร็วเข้า! ”
ลอกินัสพูดไม่ทันจบสัตว์ประหลาดตัวแรกก็ถึงตัว ลอกินัสหลบเขี้ยวแหลมคมของมันได้พร้อมกับฟันสวนกลับไป ดาบของเขาเข้าเป้าอย่างจังแต่แผลยังตื้นเกินไป จังหวะที่เจ้าตัวแรกผงะออกมา ตัวที่สองก็หนุนเข้ามาแทน แต่ลอกินัสก็รออยู่แล้ว เขาใช้ดาบปัดกรงเล็บของมันออกแล้วฝากแผลลงบนตัวมันแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็ได้ผลดีกว่าเจ้าตัวก่อนหน้านี้ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ลอกินัสได้สัมผัสการต่อสู้จริงกับคู่ต่อสู้ที่หมายเอาชีวิตของเขา เลือดและความเจ็บปวดเป็นของจริง แม้กระทั่งความกลัวที่แทรกซึมเข้ามาโดยที่ความกล้าของเขาแทบจะต้านเอาไว้ไม่อยู่ แต่สำหรับครั้งแรกของการต่อสู้จริง ลอกินัสก็ถือว่าทำได้ไม่เลวนักในสายตาของนาเดียที่พยายามข่มใจวิ่งต่อไปยังของที่พวกเธอต้องการ
ทันใดนั้นเอง มังกรขนาดย่อมกลุ่มหนึ่งก็บินโฉบเข้าใส่นาเดียจนเธอแทบจะหล่นลงมาจากแท่นบันไดสูงนั้น นาเดียเกาะไว้ได้และพยายามปีนกลับขึ้นมาโดยเร็วที่สุด แต่ทันใดนั้นเอง มังกรตัวหนึ่งก็โฉบเข้ามาดักหน้าเธอไว้พร้อมกับอ้าปากกว้างเตรียมจะปล่อยไฟ แต่นาเดียเร็วกว่า เธอต้องการเวลาเพียงเสี้ยววินาทีสำหรับการเล็งและยิงปืน เจ้ามังกรโดนกระสุนเข้าไปสองนัดกระเด็นร่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดัง ลอกินัสเห็นแล้วแต่ก็ไม่มีเวลาให้โล่งใจ เพราะตรงหน้าเขายังมีศัตรูรออยู่อีกหลายสิบ เด็กชายต้องสู้พลางถอยร่นมาที่บันไดแคบๆ เพื่อลดพื้นที่ แต่จำนวนศัตรูที่จัดการได้กับจำนวนที่ทยอยบุกเข้ามานั้นต่างกันมากจนต้องถอยเข้ามาอย่างไม่มีทางต้านได้
“ โอ๊ย เยอะจริง! ” ลอกินัสสบถพลางตวัดดาบฟันสัตว์ประหลาดตัวที่เข้ามาใกล้ที่สุด ร่างของเด็กชายเต็มไปด้วยเลือดเปรอะเต็มตัวโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเลืดของเขาเองหรือเลือดของสัตว์ประหลาดพวกนี้กันแน่ ลอกินัสหันไปดูนาเดียแวบหนึ่งก็เห็นว่านาเดียเองก็รับศึกตึงมือเช่นกัน และจังหวะที่เขาคลาดสายตาไปนั้นเอง สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็บุกเข้ามา
“ ชิ! ” ลอกินัสเหวี่ยงดาบกลับไปทั้งที่รู้ว่าสายไป
ทันใดนั้นเองหน้าของเจ้าสัตว์ร้ายก็ผงะไป ลูกกระสุนจากนาเดียเฉี่ยวไหล่ของลอกินัสพุ่งเข้าไปที่หน้าผากของมันอย่างพอดิบพอดี ลอกินัสหันไปเพื่อที่จะขอบคุณ แต่ภาพที่เห็นคือภาพของนาเดียที่โดนเจ้ามังกรเล่นงานเพราะเปิดช่องว่างมาช่วยลอกินัสเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ลอกินัสไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือพยายามจะเข้าไปช่วยแต่อย่างใด ระยะของเขาไกลเกินไป และการหันหลังให้ศัตรูตอนนี้ก็จะกลายเป็นการทำผิดซ้ำสอง อย่าคลาดสายตาจากคู่ต่อสู้ขณะที่กำลังต่อสู้ บทเรียนของการต่อสู้ที่เด็กชายได้รับบทนี้มีค่ามากถึงขนาดที่บางคนต้องเอาชีวิตแลกมาเพื่อที่จะได้มา
“ อีกนิดเดียว! ” นาเดียสบถในลำคอขณะที่พยายามวิ่งไปพร้อมกับสาดกระสุนสกัดศัตรูที่ตามมารังควาน แสงสว่างรำไรเบื้องหน้าที่สมบัติรออยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงสิบเมตรด้วยซ้ำ แต่ระยะทางก็ดูเหมือนไกลกว่าสิบกิโลเมตร
“ ลูกพี่! ” ลอกินัสร้องเสียงดังขณะค่อยๆ ถอยร่นขึ้นมาทางบันได ที่ตามมาคือสัตว์ประหลาดอีกหลายสิบตัวที่ไม่รู้จักหมด ท่าทางลอกินัสจะรับมือไม่ไหวแล้วด้วย ปลายทางของทั้งสองคนค่อยๆ ร่นเข้าหากันตรงกลางบันไดและล้อมหน้าหลังด้วยสัตว์ประหลาดหลายสิบตัว ราวกับรู้กัน ลอกินัสก้มตัวลงพุ่งผ่านนาเดียไปพร้อมกับที่นาเดียเล็งปืนข้ามหัวลอกินัสไปแล้วลั่นไกชุดหนึ่ง สัตว์ประหลาดที่วิ่งตามมาก็โดนยิงร่วงไป พร้อมกับที่ดาบของลอกินัสเสียบเข้าที่มังกรข้างหลังของนาเดีย ร่างของศัตรูร่วงจากบันไดไปกระแทกพื้นเสียงดัง เจ้าสัตว์ประหลาดถอยห่างจากทั้งสองคนเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นช่องว่างให้ทั้งสองคนพักหายใจครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พอ
“ จนมุมซะแล้วสิ ” นาเดียกัดฟันพูดพลางหอบหายใจ
“ ได้สู้ร่วมกับลูกพี่จนถึงที่สุดเป็นวาระสุดท้ายที่ผมพอใจแล้วล่
” ลอกินัสพูดไม่จบเพราะโดนนาเดียเขกหัวเสียก่อน
“ ไปจำคำพูดแบบนั้นมาจากไหนฮึ ไม่เป็นมงคล! ” นาเดียดุ แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มออกพลางหยิบบางสิ่งออกมา
ลอกินัสยังไม่ทันเข้าใจอะไร สัตว์ร้ายทั้งสองฝั่งก็กรูเข้ามาพร้อมกัน ลอกินัสที่หมดแรงแล้วได้แต่กัดฟันกลั้นความกลัวไว้โดยที่หมดแรงจะสู้ต่อ แต่ทันใดนั้น นาเดียก็คว้าคอเสื้อเขาไว้แล้วกระโดดออกจากบันไดทันที
“ ลูกพี่! ” ลอกินัสร้อง แต่ก็หยุดเมื่อบางอย่างกระตุกตัวเขาที่กำลังร่วงไว้ เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นนาเดียกำลังกำเชือกที่ขึงไว้ด้านบน ทั้งสองคนโหนตัวห่างออกมาจากบันไดและก็ห่างจากศัตรูไปพร้อมกัน
“ จะ
แจ๋วไปเลยลูกพี่! ” ลอกินัสร้องอย่างดีใจแต่นาเดียยังยิ้มได้ไม่เต็มที่นัก
“ ยังเร็วไปที่จะดีใจ นะเจ้าหนู ” นาเดียกัดฟันแน่น ใช้มือหนึ่งจับเชือกไว้ เมื่อลอกินัสเกาะเธอไว้ดีแล้วก็หยิบปืนคู่มือออกมา เพราะมังกรที่เหลือยังตามมาอยู่
นาเดียกราดยิงศัตรูไปพร้อมกับเชือกที่แกว่งไปมา เมื่อโหนเข้ามาใกล้บันไดทีหนึ่งลอกินัสก็ต้องคุ้มกันให้ ทุกครั้งที่นาเดียโหนเข้าใกล้บันไดจะต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดหลายสิบที่รออยู่
“ ลูกพี่! จะเล่นโหนแบบนี้อีกนานมั้ยเนี่ย มันเสียวนะ! ” ลอกินัสร้องขณะใช้ดาบป้องกันตัว
“ อีกนิดเดียว ” นาเดียเปรยกับตัวเองขณะที่กำลังโหนเข้าไปที่บันไดอีกครั้ง และครั้งนี้เอง นาเดียเก็บปืนเข้าซองแล้วเอื้อมมือไปที่ปลายสุดบันไดที่พวกเธอกำลังตรงเข้าไป และทันใดนั้นเองมือของเธอก็สัมผัสกับบางสิ่ง มันคือนาฬิกาอันเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้นั่นเอง
“ เอาล่ะ! ” นาเดียร้องอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นเองมังกรที่บินอยู่ก็พุ่งเข้ามา แต่ลอกินัสเข้ามาขวางไว้ได้ ดาบของเด็กชายกั้นระหว่างเขี้ยวมังกรกับนาเดียไว้เพียงฝ่ามือ แต่พริบตาต่อมาเปลวไฟก็ปล่อยออกมาใส่ทั้งสองคนเต็มๆ
“ อุ๊บ! ” ลอกินัสไม่ทันตั้งตัวและนั่นเองมือเดียวที่เกาะนาเดียอยู่ก็ปล่อยออก ร่างของลอกินัสก็ร่วงลงมาสู่พื้นด้านล่างที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรและเหล่าสัตว์ร้ายที่รออยู่
“ ลอกินัส! ” นาเดียร้อง มือหนึ่งเกาะเชือกไว้ มือหนึ่งถือนาฬิกาอยู่ เวลาสำหรับลังเลของเธอมีน้อยมากและการจะต้องตัดสินใจอย่างเร็วที่สุด รอบคอบที่สุด ในสภาวะคับขันสุดๆ เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่ผู้เจนสนามอย่างนาเดียก็ตาม
“ บ้าที่สุด! ” นาเดียเปรยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยเชือกแล้วทิ้งตัวดิ่งลงตามลอกินัสมาอย่างรวดเร็ว
“ ลูกพี่! ” เป็นคำเดียวที่ลอกินัสสามารถเปล่งออกมาได้ในตอนนั้น จนกระทั่งนาเดียตามมาทัน “ ทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็
! ” เสียงของเด็กชายขาดห้วงไปเมื่อมองเห็นพื้นล่างใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว นาเดียไม่สามารถตอบอะไรได้นอกจากจับตัวเด็กชายมากอดไว้แน่นแม้จะรู้ว่าไม่ได้ช่วยอะไรถ้าจะกระแทกกับพื้นจากที่สูงขนาดนี้ ทั้งสองคนได้แต่มองดูพื้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และหยุดยิ่งอยู่อย่างนั้นเอง
“ เอ๋? ”
นาเดียอุทานออกมาได้เพียงคำเดียว หลังจากเห็นสิ่งผิดปกติรอบตัว ภาพรอบตัวกลายเป็นเหมือนภาพโทรทัศน์หรือแผ่นซีดีที่กดปุ่ม “ หยุด ” เอาไว้ ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่งแม้กระทั่งการหล่นของเธอกับลอกินัสก็หยุดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศนั้นเอง ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้นเอง ร่างกายของเธอก็ขยับไปเล็กน้อยตอนที่เธอพยายามจะเอื้อมมือไปจับลอกินัสให้แน่นขึ้น การเคลื่อนไหวนั้นทำให้เธอยิ่งแปลกใจเข้าไปอีก เพราะทั้งที่ทุกอย่างน่าจะหยุดนิ่ง ร่างของเธอกลับขยับได้ และคำตอบของทุกอย่างก็อยู่ในมือเธอแล้ว
มืออีกข้างหนึ่งที่เธอคว้านาฬิกาไว้ได้นั้นกำแน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้แม้จะกำลังร่วงลงมาก็ตาม นาฬิกาเรือนนั้นเปล่งแสงออกมาเรืองๆ และเข็มนาฬิกาที่น่าจะเก่าชำรุดเพราะผ่านเวลามาหลายร้อยปีแล้วกลับเงาวาวสะท้อนกระทั่งใบหน้าของนาเดียที่จ้องมาที่มันไม่กะพริบ เรื่องน่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือเข็มบอกเวลาบนหน้าปัดค้างอยู่ที่เวลาเดียวกับนาฬิกาของเธอซึ่ง เมื่อร่างกายเธอขยับได้ นาฬิกาข้อมือของเธอก็เดินต่อเช่นกัน นาฬิกานี้เธอจะปรับไว้ตรงเสมอ และนาฬิกาที่เพิ่งตื่นจากการหลับหลายร้อยปีกลับเดินตรงกับนาฬิกาของเธอที่เป็นปัจจุบัน
“ นาฬิกานี่มัน
” นาเดียพูดกับตัวเองเบาๆ แต่สติของเธอก็กลับมาเมื่อเธอนึกสถานการณ์ปัจจุบันออก เธอรีบคว้าร่างของลอกินัสแล้วค่อยๆ ลอยลงสู่พื้นข้างล่างที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งถ้าเวลาเดินปกติแล้วล่ะก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น พวกเธอจะกลายเป็นเศษเนื้อทันที นาเดียค่อยๆ ลงมาสู่พื้นพร้อมกับลอกินัส ราวกับเวลารอบตัวเธอไหลช้าลงจนเหมือนเธอกำลังลอยลงมา เมื่อถึงพื้นแล้ว เหล่าสัตว์ประหลาดยังอยู่ในสภาพเดิม ทุกตัวไม่ขยับ หยุดนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น
“ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ” นาเดียมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้แม้กระทั่งลอกินัสก็ยังหยุดนิ่งอยู่จนกระทั่งเธอวางเด็กชายลงแล้วสายคล้องนาฬิกาไปสัมผัสลอกินัสเข้า เด็กชายก็ร้องออกมาเสียงดังลั่น
“ เหวอ! หวา! ร่วงแล้ว ร่วงแล้ว ร่วง
! ” ลอกินัสแหกปากได้พักหนึ่งก็เงียบลงแล้วมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจเช่นเดียวกับนาเดีย “ อะ
นี่เรามาถึงพื้นแล้วหรอลูกพี่? ”
“ ดูเหมือนอย่างนั้น ” นาเดียตอบพลางมองไปรอบๆ “ แต่เรื่องที่บอกไม่ถูกก็มีเยอะเหมือนกัน ” พูดจบนาเดียก็มองดูนาฬิกาในมือ มันเปล่งแสงออกมาหนาขึ้นแต่เข็มเวลาก็ยังไม่เดินเหมือนเดิม
“ นาฬิกานั่นเปล่งแสงออกมา ลูกพี่ ” ลอกินัสสังเกตเห็นนาฬิกาแล้วก็พูดบ้าง
“ เห็นแล้วน่ะ ” นาเดียตอบพลางยกมันขึ้นมาดูชัดขึ้น “ ดูเหมือนว่ามีแต่ของที่สัมผัสกับนาฬิกานี่เท่านั้นที่สามารถขยับได้น่ะนะ ”
พูดจบนาเดียก็ลองเอานาฬิกาไปสัมผัสกับเศษหินที่ค้างอยู่กลางอากาศ ทันทีที่สัมผัสกัน ก้อนหินก็ร่วงลงมาทันที
“ ไม่ต้องสงสัยเลยแฮะ ” นาเดียบอกพลางยิ้มอย่างชอบใจ “ นาฬิกานี่น่าสนใจทีเดียวล่ะ ”
“ เอ๋ แต่ว่านั่นมันของที่นายบารินเท็นนั่นให้เรามาเอาไปให้เขาไม่ใช่หรอลูกพี่! ” ลอกินัสท้วงอย่างสิ้นหวัง เพราะลองถ้านาเดียสะกิดใจอยากได้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ หมดทางที่จะปล่อยให้หลุดมือไปได้แน่
“ ล้อเล่นน่า ” นาเดียหัวเราะเบาๆ แต่ลอกินัสมองออกว่ามีเลศนัยแฝงอยู่เต็มไปหมด “ เอาล่ะ หาทางออกจากที่นี่กันเถอะ อย่างน้อยนาฬิกานี่ก็จะช่วยให้เราออกไปสบายขึ้นล่ะน่า ” นาเดียบอกพลางหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้ง เข็มเวลายังหยุดอยู่ที่เดิมและเปล่งแสงออกมามากขึ้น “ เดี๋ยวก่อนนะ แสงนี่มันอะไรกัน ยังกับมันสว่างขึ้นงั้นแหละ ” นาเดียลองจับตัวนาฬิกาเขย่าดูก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ ท่าทางมันน่าจะมีกลไกอะไรมากกว่านี้นะ ไหนลอง
” นาเดียพูดยังไม่ทันจบก็เอามือกดไปโดนที่เกลียวปรับเข็มนาฬิกา ซึ่งคล้ายกับปุ่มกดอะไรบางอย่าง ทันทีที่กดลงไปบางสิ่งก็ร่วงลงมา
ก้อนหินที่ค้างอยู่กลางอากาศร่วงลงมาที่พื้นเสียงดังก้องไปทั้งห้องโถงนั้น เป็นเสียงเบาๆ ที่ทำให้นาเดียกับลอกินัสหัวใจแทบหยุดเต้นเพราะสิ่งที่หยุดนิ่งกำลังเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทั้งก้อนหิน รวมทั้งสัตว์ประหลาดอีกหลายสิบตัวในห้องนั้น
“ ละ
ลูกพี่ทำอะไรน่ะ ” ลอกินัสละล่ำละลักถาม
“ ก็แค่กดปุ่มนี่นา ” นาเดียยิ้มแห้งๆ มองดูนาฬิกาในมือ เข็มนาฬิกาหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนตามเวลาปัจจุบันทัน พร้อมกันนั้นเอง สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวก็เริ่มเคลื่อนไหว มันคำรามก้องพร้อมกับวิ่งตรงเข้ามาหาทั้งสองคนอีกครั้ง
“ กะว่าจะได้ออกไปสบายๆ แล้วเชียว ” นาเดียสบถพลางชักปืนออกมาเตรียมพร้อม ลอกินัสก็ชักดาบออกมาเช่นกัน แต่ก่อนที่จะเข้าปะทะกันนั้นเอง นาเดียก็ล้มลง
“ ลูกพี่! ”
“ กะ..เกิดอะไรขึ้น ” นาเดียกล่าวขณะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น “ เหมือนแรงมัน
หายไปหมด ”
นาเดียหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็เห็นแสงสว่างที่เคยเปล่งออกมาค่อยจางหายไป ยิ่งแสงจางลงแรงของเธอก็ยิ่งหดหายตามไปจนกระทั่งแสงสว่างจางหายไปหมด นาฬิกาก็เดินต่อแต่ตัวนาเดียเองไม่มีแรงแม้แต่จะยืนขึ้นแล้ว
“ เกิดอะไรขึ้นน่ะ ลูกพี่! ”
“ จะไปรู้ได้ไงยะ ” นาเดียตอบค่อยๆ “ แต่ตอนนี้แรงจะกระดิกนิ้วยังไม่มีเลย ”
ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ศัตรูก็ถึงตัว ลอกินัสไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าฟาดฟันเหล่าสัตว์ประหลาดไม่ให้เข้ามาใกล้นาเดียที่หมดทางป้องกันตัวอยู่ตอนนี้ แต่ก็เหมือนการดิ้นรนครั้งสุดท้ายมากกว่า เหล่าสัตว์ประหลาดหนุนเข้ามาจากทุกด้าน ในขณะที่ลอกินัสยืนต้านเพียงลำพัง และก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าจะจบลงตอนไหน
“ หนีไปลอกินัส! ” นาเดียร้อง “ นายคนเดียวสู้ไม่ได้หรอก ถ้าหนีไปตอนนี้อาจยังทัน ”
“ จะให้ทิ้งลูกพี่ไว้ได้ไงกัน ลูกพี่ไม่รอดแน่
” ลอกินัสพยายามหาช่องพูดระหว่างจัดการกับศัตรู
“ อย่ามาทำน้ำเน่าตอนนี้จะได้มั้ย! ” นาเดียแทรกพลางพยายามยื่นนาฬิกาไปหาลอกินัส “ นายเอานาฬิกาไปด้วย อย่าให้งานของเราต้องล้มเหลวเด็ดขาด ”
“ ของแบบนั้นผมไม่เอาหรอก! ” ลอกินัสร้องสุดเสียง ซึ่งก็ทำเอานาเดียอึ้งไปเล็กน้อย ลอกินัสหอบหายใจหน่อยหนึ่งก็พูดต่อ “ ของแบบนั้นผมไม่เอา
ลูกพี่ทำงานนี้เพราะต้องการค่าตอบแทนผมรู้ดี แต่
แต่ ผมไม่ต้องการของพวกนั้น แค่ได้อยู่กับลูกพี่ผมก็พอใจแล้ว! ”
“ ลอกินัส
”
“ ผมมีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้เพราะลูกพี่ ถ้าลูกพี่ไม่เก็บผมมาเลี้ยงก็ตายไปนานแล้ว! ” ลอกินัสร้องสุดเสียงแข่งกับเสียงคำรามของเหล่าสัตว์ประหลาดที่กรูเข้ามา “ ถ้า
ถ้าต้องปล่อยให้ลูกพี่ตายน่ะ ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด ถ้าไม่มีลูกพี่แล้วผมจะอยู่ต่อไปยังไงได้ล่ะ! ”
“ เจ้าบ้า! อยู่ต่อนายก็ไม่ได้ช่วยให้ชั้นรอดเลยนะ คิดบ้างสิ! ” นาเดียเถียงกลับ “ ถ้านายตายชั้นก็ตายอยู่ดี มีศพเพิ่มอีกศพนึงแล้วมันดีตรงไหน หุบปากแล้วเอานาฬิกานี่หนีไปซะ! ”
“ ไม่! ” ลอกินัสปฏิเสธเสียงแหลม ตามด้วยเสียงอึกอักในลำคอเมื่อโดนเจ้าสัตว์ร้ายตบกระเด็นกลิ้งไปชนกำแพงข้างๆ นาเดีย
“ เจ้าเด็กโง่เอ๊ย
” นาเดียหรี่ตาลงแล้วพูดเบาๆ ในลำคอ “ สภาพดูไม่ได้เลย แบบนี้จะไปสู้หน้าใครได้ละเนี่ย ”
“ ถ้าจะได้เจอใครอีกล่ะก็ จะขายหน้าแค่ไหนก็ยอมล่ะ ลูกพี่ ” ลอกินัสตอบพลางเช็ดเลือดที่กระอักออกมาจากปาก นาเดียยิ้มหน่อยหนึ่งก็พูดต่อ
“ คนบ้านชั้นไม่มีใครตายบนที่นอน ชั้นเองก็ว่าจะรักษาธรรมเนียมนี้เอาไว้ ” นาเดียพูดแล้วก็ยิ้มอีก เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังแต่กลับอบอุ่นเมื่อลอกินัสยิ้มตอบ “ คิดว่าพอถึงวาระสุดท้ายจริงๆ แล้วมันน่าจะเย็นเยือกกว่านี้น่ะนะ ”
“ นั่นสินะ ผมก็ว่ามันอบอุ่นจังเลยล่ะลูกพี่ ” ลอกินัสยิ้มพลางเอนตัวไปพิงนาเดีย “ ไอ้คนที่เขียนในหนังสือน่ะมันไม่เคยตายมาก่อนแหงๆ ”
นาเดียยิ้มอีกครั้งพลางลูบหัวลอกินัสเบาๆ สิ่งที่นาเดียไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็คือความอบอุ่นในตอนนี้เอง ลอกินัสเองก็เช่นกัน ทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดจนกระทั่งมาเจอกัน แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้รู้สึกเช่นนี้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะไม่ได้รู้สึกอะไรอีกเลย เพราะเหล่าสัตว์ประหลาดกรูเข้ามาล้อมไว้ทุกทิศทาง เขี้ยวและเล็บพร้อมจะฉีกร่างของทั้งสองคนเป็นชิ้นๆ ในที่สุดเจ้าตัวที่อยู่หน้าสุดก็คำรามลั่นนำเข้ามา
ก่อนที่ศัตรูจะถึงตัว เสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องปลุกนาเดียกับลอกินัสขึ้นจากความสิ้นหวัง หลังเสียงปืนเพียงเสี้ยววินาที ร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดก็ล้มลง ตัวแรก ตามด้วยตัวถัดไปและตัวถัดไป เสียงปืนดังราวกับประทัดแตก กลิ่นดินปืนคลุ้งไปทั่วห้องโถงนั้นจนแทบหายใจไม่ออก เมื่อนาเดียกับลอกินัสเงยหน้าขึ้นมาก็ยิ้มได้
“ เป็นอะไรหรือเปล่า คุณฮาโรล! ”
“ ได้จังหวะพอดีเลย บารินเท็น ” นาเดียเปรยเบาๆ แต่ยกมือให้สัญญาณว่ายังดีอยู่ ขณะที่บารินเท็นและคนอื่นๆ บุกเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับปืนกลติดตัว แต่ละคนเข้าต้านเหล่าสัตว์ประหลาดอย่างเต็มความสามารถ ไม่นานก็บุกมาถึงเธอกับลอกินัสได้
“ เป็นอะไรหรือเปล่า! ” บารินเท็นวิ่งเข้ามาดูอาการของนาเดียกับลอกินัส ซึ่งนาเดียก็ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มรับ “ เป็นอะไรไป? ”
“ ผิดคาดนะ ”
“ อะไรรึ? ”
“ นึกว่านายจะถามถึงนาฬิกาก่อนซะอีก ” นาเดียกล่าว ซึ่งบารินเท็นก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“ ก็ส่วนหนึ่งนะ ว่าแต่ถ้าเธอไม่เป็นอะไรแล้วก็ดี แล้ว
นาฬิกา? ”
นาเดียไม่ตอบแต่ชูนาฬิกาที่เธอเสี่ยงชีวิตเอาให้บารินเท็นดู ซึ่งเจ้าตัวเห็นแล้วก็ยิ้มกว้าง
“ ได้ของครบแล้วก็ออกจากที่นี่กันเถอะ ” บารินเท็นกล่าวพลางหันไปหาลอกินัส “ ทั้งสองคนเดินไหวรึเปล่า? ”
“ ไหวน่า ” ลอกินัสตอบยิ้มๆ
“ นายเจ็บขาไม่ใช่หรอ ถามตัวเองเถอะว่าไหวรึเปล่า? ไม่สิ นายบุกเข้ามาถึงนี่ได้ไงมากกว่า ”
“ สบายมาก ” บารินเท็นตอบพลางหัวเราะ “ ผู้ร่วมทางหายไปสองคน หัวหน้าคณะเดินทางก็ทนอยู่เฉยไม่ได้หรอก ”
นาเดียยิ้มพลางพยุงตัวลุกขึ้น ซึ่งก็พอดีกับที่คนของบารินเท็นมาตาม
“ บอสครับ พวกเราแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว รีบไปเถอะครับ ”
“ ดีเลย พวกเราเองก็หมดธุระกับที่นี่แล้วเหมือนกัน ” บารินเท็นบอกพลางช่วยพยุงนาเดียลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินอย่างเร่งรีบ ออกจากห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน กลิ่นความตาย และห้องที่ไร้สมบัติแล้ว
บรรยากาศภายนอกย่อมสดชื่นกว่าภายในห้องแคบๆ เป็นไหนๆ ทั้งนาเดีย ลอกินัส บารินเท็น และคนอื่นๆ ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน และความรู้สึกยินดีที่รอดชีวิตมาได้ก็มากพอๆ กับที่งานลุล่วงและจะได้กลับกันเสียที
“ นาฬิกานั่นมันอะไรกัน บารินเท็น? ” นาเดียถามขึ้นระหว่างทางกลับ “ ไม่ใช่นาฬิกาโบราณธรรมดาๆ แน่ ใช่ไหม? ”
“ เธอรู้ความลับของเจ้านาฬิกานี้แล้วงั้นสิ ” บารินเท็นตอบพลางจับห่อผ้าที่คุ้มครองสมบัติของเขาไว้อย่างแน่นหนาก่อนจะตอบคำถาม “ นาฬิกาเรือนนี้ไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่เธอว่านั่นแหละ มันถูกเรียกว่า นาฬิกาแห่งไอออน
”
“ ใครกัน ไอออน? ” นาเดียแทรก
“ เป็นชื่อของเทพผู้ควบคุมเวลาตามตำนานเก่าๆ น่ะ ” บารินเท็นตอบพลางคลี่ห่อผ้าหยิบนาฬิกาล้ำค่าขึ้นมา “ ผมก็เคยแต่ได้ยินตำนานของมันเท่านั้น ว่ากันว่ามีจอมเวทย์ในอดีตคนหนึ่งสร้างนาฬิกานี้ขึ้นมาเพื่อที่จะได้พลังที่ทัดเทียมเทพมาไว้ในกำมือ แต่สุดท้ายจอมเวทย์คนนั้นก็หายตัวไป บางตำนานบอกว่า เขาถูกเทพแห่งเวลาลงโทษเพราะบังอาจตีตัวเสมอเทพ เขาจึงถูกลบไปจากเวลาของโลก ซึ่งนั่นก็เป็นแค่เรื่องเล่าต่อๆ กันมาน่ะนะ ”
“ อืม งั้นรึ? ” นาเดียฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอภายในวิหารนั้น “ ที่ว่าควบคุมเวลานี่มันยังไงกัน ”
“ เท่าที่สืบมา ” บารินเท็นยกนาฬิกาขึ้นมาชี้ให้นาเดียเห็นเกลียวที่ใช้หมุนปรับเข็มนาฬิกาแล้วก็พูดต่อ “ ตรงนี้ จะสามารถใช้หยุดเวลา หรือย้อนเวลา หรือเร่งเวลาได้อิสระ แต่จะมีผลแค่รัศมีหนึ่งเท่านั้น โดยผู้ใช้จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในช่วงเวลาที่ต่างไปนั้นและต้องจ่ายพลังเวทย์ตามจำนวนเวลาที่ใช้
”
“ รู้ละเอียดจังนะ ” นาเดียแทรก
บารินเท็นเงียบไปพักหนึ่งก็ตอบเบาๆ
“ พอดีสนใจเรื่องพวกนี้อยู่นะครับ ” บารินเท็นตอบแล้วก็เก็บนาฬิกาไว้ตามเดิม บารินเท็นไม่ได้อธิบายอะไรต่อ และนาเดียก็ไม่ได้ซักเพิ่มเติม หลักการยังเหมือนเดิม เรื่องบางเรื่องของผู้ว่าจ้างก็ไม่จำเป็นสำหรับเธอเพียงได้ค่าตอบแทนก็เพียงพอแล้ว และครั้งนี้เธอก็ไม่ได้อะไรนอกจากเงินค่าจ้างจากบารินเท็น นาฬิกาเรือนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เข้าตาเธอหลังจากทำเธอเกือบไม่รอดเพราะถูกดูดพลังไปจนหมด
“ ขอบใจที่มาส่ง ” นาเดียกล่าวหลังลงจากรถพร้อมกับลอกินัสที่หน้าร้านเดิมที่เธอพัก
“ ไม่เป็นไร โอกาสหน้าคงได้ร่วมงานกันอีกนะครับ ” บารินเท็นกล่าวพลางปิดประตูรถ
“ งานของนายเสี่ยงตายเหลือเกิน ไม่เอาด้วยหรอก ”
“ ก็ปกติของคุณไม่ใช่หรือครับ ” บารินเท็นตอบยิ้มๆ ซึ่งนาเดียก็ยิ้มตอบ แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะเบาๆ
“ แล้วเจอกันนะครับ ลาล่ะเจ้าหนู รักษาสุขภาพล่ะ ” บารินเท็นกล่าวพลางหันไปลาลอกินัส ซึ่งเด็กชายก็โบกมือให้
“ นายก็ด้วย ” นาเดียกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนรถของบารินเท็นจะเคลื่อนออกไปจนลับตา
“ เสร็จอีกงานนึงละ ” นาเดียกล่าวพลางเหยียดแขนคลายเมื่อย “ ได้ค่าตอบแทนงามซะด้วย ไว้เราไปหาอะไรดีๆ ให้รางวัลชีวิตกันสักหน่อยดีกว่า ”
“ อื้อ แต่ไปนอนก่อนเถอะลูกพี่ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมก็ง่วงเต็มที ” ลอกินัสบอกแล้วก็หาว นาเดียเห็นแล้วก็ยิ้มก่อนจะเดินตามลอกินัสเข้าไปในร้าน แต่เงาร่างหนึ่งก็หยุดเธอไว้
“ นาย
มาเทโร ใช่ไหม? ” นาเดียทัก เจ้าของร่างเดินเข้ามาในรัศมีแสงไฟ เป็นมาเทโรจริงๆ แต่สภาพดูอิดโรยลงไปเยอะเพราะการทำงานตรากตรำ
“ กลับมาแล้วหรือครับ คุณฮาโรล ” มาเทโรทัก
“ อื้อ ว่าแต่นายมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเดินตรวจรอบดึกน่ะ ”
“ คนที่มาส่งคุณเมื่อกี๊
”
“ ผู้ว่าจ้างน่ะ ว่าแต่ถ้าไม่มีธุระอะไร ก็ขอตัวก่อนนะ ง่วงเต็มทนแล้ว ” พูดจบนาเดียก็เดินต่อโดยไม่ใส่ใจ
“ เดี๋ยวสิ ” มาเทโรรั้งแขนของนาเดียไว้แต่ก็โดนสะบัดออกแทบจะทันที
“ อย่าแตะต้องตัวชั้นเชียวนะ ” นาเดียพูดเสียงเฉียบขาด ซึ่งทำมาเทโรอึ้งไปทันที
“ งานอันตรายแบบนี้เลิกซะดีกว่าไหม คุณฮาโรล ” มาเทโรพูดต่อพลางมองดูร่างของนาเดียที่เต็มไปด้วยบาดแผล
“ อย่ายุ่งกับเรื่องคนอื่นนักเลยน่า ชั้นไม่ได้สบายแบบนายนะ ทางไหนที่จะเอาชีวิตรอดได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน จะยังไงก็ตามก็เถอะ ”
“ ผมรู้ว่าคุณทำอะไรอยู่นะ ที่เธอทำตอนนี้มันไม่ต่างกับการปล้นสมบัติของชาติเลย ถ้า
”
“ ชั้นรู้ว่าชั้นทำอะไร ไม่ต้องให้นายบอกหรอก และต่อให้เลวเพียงไหนชั้นก็ต้องทำ ชั้นไม่ได้มีทางเลือกเยอะเหมือนคนอื่นๆ เขาหรอก ต่อให้ต้องเป็นคนเลว เป็นยักษ์มารที่ไหนชั้นก็เอาตัวรอดได้ ”
“ มันไม่ใช่
ถึงคุณจะต้องดิ้นรนแค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องที่สมควรไม่สมควรก็ยังมีอยู่นะ ”
“ อย่ามาพูดดีหน่อยเลย ” นาเดียหันมาเผชิญหน้ากับมาเทโร “ นายบอกว่าการขโมยมันไม่ดีใช่ไหม ถ้าไม่ขโมยแล้วไม่มีกิน นายก็ว่าผิดหรือเปล่า หรือว่าการขโมยก็ต้องแยกแยะเอาเป็นกรณีๆ อีก เรื่องพวกนั้นนายไม่ต้องมาอธิบายเลยนะ ชั้นไม่ต้องการฟังข้ออ้างพวกนั้นหรอก ชั้นตัดสินใจเองได้ เรื่องที่ต้องทำชั้นก็จะทำ เรื่องที่ไม่อยากทำชั้นก็ไม่ทำ แค่นั้นแหละ ชัดหรือยัง ”
นาเดียพูดจบแล้วก็เดินเข้าร้านไปโดยไม่รอคำตอบ ลอกินัสก้มหัวให้เล็กน้อยก็เดินตามนาเดียเข้าไป ทิ้งให้มาเทโรอยู่ข้างนอกคนเดียวโดยที่ไม่ทันได้พูดอะไรเลย นาเดียล้มตัวลงบนที่นอนซุกหน้ากับหมอนที่ห่างกันไปหลายวัน เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องอารมณ์เสียกับมาเทโรด้วย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือเรื่องที่ยังคาใจอยู่ตอนนี้เพราะคำพูดของมาเทโรซึ่งทำให้เธอสับสนมากกว่าจะอารมณ์เสียซะอีก
หลายวันผ่านไป นาเดียยังคงพักอยู่ที่เดิม หลังเสร็จงานแล้ววันของนาเดียก็สงบสุขลงราวกับเรื่องเสี่ยงตายที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน อย่างไรก็ตามวันของลอกินัสก็ยังเหมือนเดิมทั้งยังดูเหมือนหนักกว่าเดิมเสียอีก การได้ออกผจญภัยจริงๆ ทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังอ่อนหัดอยู่มาก ก่อนที่นาเดียจะได้งานต่อไป เขาต้องเก่งขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นตัวถ่วงอีก
“ ท่าทางสบายจังนะ นาเดีย ” แพตตี้ถามขึ้นในเช้าวันหนึ่งขณะที่นาเดียกับลอกินัสทานอาหารเช้าตามปกติ
“ งานครั้งที่แล้วได้คาตอบแทนเป็นถังเลยน่ะ คงสบายไปอีกหลายเดือน ” นาเดียตอบพลางหัวเราะเบาๆ
“ อืม เห็นเธอดูมีความสุขดีก็ดีแล้วล่ะ ตอนที่นายนั่นมาติดต่องานดูน่ากลัวออกจะตายไป ”
“ ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่ทางนี้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า? ”
“ ก็ปกติดี มีแค่ท่านเทศมนตรีที่แวะมาทุกวันเลย ”
“ งั้นรึ ” นาเดียเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อโดยพยายามไม่ให้เสียงขุ่น “ หมอนั่นมาหาเธอล่ะมั้ง ว่างงานนักรึไงนะ ” แพตตี้ได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน แพตตี้ไม่อยากบอกเลยว่าที่มาเทโรมาทุกวันนี่มาหาใครกันแน่ซึ่งนาเดียคงยังไม่รู้ตัว
“ ว่าแต่ช่วงนี้เกิดคดีปล้นเยอะจังนะ ” แพตตี้เปลี่ยนเรื่องพลางหันไปดูข่าวในโทรทัศน์ที่เปิดไว้
“ ปล้นที่ว่านี่ปล้นธนาคารงั้นหรอ ” นาเดียเหลือบดูเล็กน้อยก็เลิกสนใจ “ เมื่อก่อนก็มีประปรายนี่นะ ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ ”
“ ระยะนี้ปล้นกันมากขึ้นเยอะเลยนะ ยิ่งช่วงสองสามวันหลังเธอกลับมานี่แทบจะปล้นกันรายวันเชียวล่ะ ”
“ ตำรวจมัวทำอะไรอยู่นะ ” นาเดียเปรยเบาๆ แล้วก็ทานอาหารต่ออย่างไม่ใส่ใจเท่าไร ทันใดนั้นเอง ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับมาเทโรเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่อิดโรยลงกว่าเดิม
“ สวัสดีครับ ” มาเทโรทักทายสั้นๆ ซึ่งแพตตี้ก็ทักตอบเล็กน้อย ส่วนนาเดียเพียงยกมือทักทายเท่านั้น เมื่อแพตตี้ถามเกี่ยวกับอาหารมาเทโรก็ยกมือห้ามไว้ “ ไม่ต้องหรอก พอดีมีเรื่องต้องคุยกันสักเล็กน้อยเท่านั้นเอง คุณฮาโรล ”
“ มีอะไร ” นาเดียกล่าวห้วนๆ หลังจากมีเรื่องกับมาเทโรตอนนั้นเธอก็แทบไม่ได้คุยกับเขาอีกเลย การปรากฏตัวของมาเทโรครั้งนี้ทำให้นาเดียวางตัวยังไม่ค่อยถูกเท่าไร เช่นเดียวกับมาเทโร แต่เขาหาทางออกโดยการใช้ท่าทีเป็นทางการหรือจะเรียกว่าตีตัวถอยห่างออกมามากกว่า
“ ผมมีคำถามอยากจะถาม
” มาเทโรวางแฟ้มงานที่หิ้วมาวางบนโต๊ะแล้วหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาให้นาเดียดู “
เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ”
นาเดียรับรูปถ่ายมาดูแล้วก็ตกใจเล็กน้อยที่เห็นใบหน้าที่เธอรู้จักอยู่ในรูปนั้น
“ บารินเท็น? ” นาเดียอุทานออกมาเบาๆ พลางมองหน้ามาเทโรเหมือนจะถามเพิ่มเติม
“ รู้จัชายคนนี้สินะครับ เขาเป็นผู้ว่าจ้างคนล่าสุดของคุณ ”
“ มีอะไรกันแน่ ”
“ ตามรายงานของเรา มีชื่อของเขาพัวพันกับคดีปล้นต่อเนื่องในขณะนี้ ”
“ ว่าไงนะ ” นาเดียเค้นถามเสียงเข้ม “ ถึงหมอนี่จะเป็นนักค้าวัตถุโบราณแต่ก็ไม่ได้เป็นนักโจรกรรมสักหน่อยนะ สายข่าวนายมั่วหรือเปล่า ” มาเทโรได้ฟังก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ สองวันก่อนที่คุณจะออกเดินทาง เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น ” มาเทโรพูดต่อ “ ผู้เคราะห์ร้ายเป็นชายแก่นักสะสมวัตถุโบราณคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง บ้านของเขาถูกปล้นและเขาก็ถูกสังหาร พยานในที่เกิดเหตุระบุว่าของที่หายไปมีเพียงแผนที่เท่านั้น ”
“ แผนที่อะไร ”
“ ทางเราไม่ทราบ แต่ตอนนี้ตัวฆาตกรยังลอยนวลอยู่
”
“ ถ้าจะมาหาหลักฐานล่ะก็ไปที่อื่นเถอะ ชั้นไม่ใช่พยานแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าแผนที่นั่นคือแผนที่อะ-ไร ” บางสิ่งวิ่งเข้ามาในหัวนาเดียซึ่งทำเธอชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็สลัดมันทิ้งไปทันที
“ คุณรู้อะไรงั้นรึ? ”
“ เปล่า ” นาเดียส่ายหน้า “ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น นายมาเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ ”
มาเทโรถอนหายใจหน่อยหนึ่งก็พูดต่อ
“ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คุณให้ความร่วมมือด้วยนะครับ เพราะอาคูรอส บารินเท็นเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง และคุณเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนเกิดเหตุ ยิ่งกว่านั้น
” มาเทโรเว้นช่วงหน่อยหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ ตอนนี้ทางเราไม่สามารถหยุดยั้งการปล้นต่อเนื่องนี้ได้แม้แต่ครั้งเดียว ”
“ มันเกิดอะไรกันแน่ ” นาเดียถาม
“ ทางเราไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่เหมือนมีพลังเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ”
“ หรือว่าจะเป็นฝีมือของพวกเมจ ”
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมคงต้องขอกำลังหน่วย MHS มาจัดการคดีนี้ต่อไป ” มาเทโรกล่าวพลางลุกขึ้นเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม “ ขอบคุณที่สละเวลาให้นะครับ ”
เมื่อมาเทโรจากไปแล้ว นาเดียยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิมจนกระทั่งลอกินัสทักขึ้น
“ คิดว่ายังไงลูกพี่ ถ้าที่ท่านเทศมนตรีพูดเป็นอย่างนั้นล่ะก็
”
“ ไม่รู้สิ ” นาเดียตัดบทแต่เหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างหนัก
ในคืนนั้นเอง ธนาคารกลางของโรเบลถูกวางกำลังอย่างแน่นหนาเพราะคดีปล้นต่อเนื่องที่เกิดขึ้นอย่างหยุดยั้งไม่ได้ ตำรวจและหน่อยรักษาความปลอดภัยหลายคนถืออาวุธครบมือยืนประจำแต่ละจุดของธนาคารไว้เพราะไม่รู้ว่าจะถูกบุกปล้นเมื่อไร
“ นายว่าจะมีใครกล้าปล้นธนาคารที่รอรับมือเต็มที่แบบนี้มั้ย? ” ตำรวจนายหนึ่งถามเพื่อน
“ โอ๊ย มาก็แหลกสิ ใครจะกล้า
” เพื่อตอบยังไม่ทันจบก็ร่วงลงไปกับพื้นเสียก่อน กระสุนเจาะเข้าที่ตัวอย่างจังจนล้มลงก่อนจะทันรู้ตัวเสียอีก เมื่อเห็นเพื่อล้มลงนายตำรวจคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าหาที่กำบัง แต่ก็ไม่ใช่ทุกนายที่รอด กระสุนพุ่งมาจากความมืดเจาะเข้าที่ร่างของตำรวจคนแล้วคนเล่าอย่างเงียบเชียบ
“ รายงาน! รายงาน! พวกเราถูกโจมตี! ” ตำรวจนายหนึ่งที่ยังรอดพยายามส่งข่าว แต่พูดได้เพียงเท่านี้ สายก็ถูกตัด เพราะชายคนหนึ่งเดินเข้ามาบรรจงฝังกระสุนลงบนร่างของเขาในระยะประชิด ปลายกระบอกปืนติดที่เก็บเสียงมีควันลอยออกมาหลังลั่นไก เจ้าของปืนเก็บปืนเข้าซองก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวธนาคารพร้อมกับคนอีกหลายสิบคนตามมา ชายคนนั้นสวมชุดคลุมยาวมีหมวกปิดใบหน้าไว้ เดินเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้านเสียงหวอของตำรวจที่ดังตามมาข้างหลัง
“ ทางนี้ล่ะมั้ง ” ชายคนนำเปรยเบาๆ พลางหยิบแผนผังขึ้นมาดู เมื่อเดินไปอีกสองสามก้าวก็หยุด “ ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะมั้ง ” พูดจบ ชายคนนั้นก็หยิบบางสิ่งออกมา สายคล้องสีเงินเงาวาวสะท้อนกับแสงไฟในธนาคาร เข็มสีเงินกำลังเดินอยู่บนหน้าปัดที่ตกแต่งด้วยลายแกะสลักงดงาม นาฬิกาสวยงามเรือนหนึ่งกำลังอยู่ในมือของเขา
“ ภายในรัศมีสองร้อยเมตร ข้าขอละเว้นกระแสอันยิ่งใหญ่จากมือของท่าน ผู้ควบคุมเวลาผู้ยิ่งใหญ่ ” ชายคนนั้นเปรยกับตัวเองแล้วก็บิดเกลียวเข็มนาฬิกาเพียงเล็กน้อย เข็มนาฬิกานั้นก็หยุดลงพร้อมกับทุกสิ่งรอบตัว ทั้งของที่กำลังตก ทั้งพรรคพวกคนอื่นๆ ที่เดินตามชายคนนั้นมา เมื่อทุกอย่างหยุดลง ชายคนนั้นแตะนาฬิกาที่พรรคพวกของตน เมื่อขยับตัวได้ก็วิ่งเข้าไปในธนาคารอย่างรู้งาน
“ มีเท่าไร กวาดออกมาให้หมด ” ชายคนนั้นร้องสั่งพลางเปิดหมวกคลุมหัวออก ชายคนนั้นคือบารินเท็นนั่นเอง
เพียงเวลาไม่นาน พรรคพวกของบารินเท็นก็กลับมาพร้อมกับถุงใบใหญ่หลายถุง ไม่ต้องอธิบายมากก็รู้ว่าพวกเขาไปเอาอะไรมา เมื่อบารินเท็นเห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินนำเตรียมออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้แสงบนนาฬิกาค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่เขาสามารถควบคุมได้ก็มีจำกัด
เมื่อออกมานอกธนาคารนั้นเอง ตำรวจก็ล้อมไว้ทุกด้านพร้อมอาวุธครบมือ แต่กระนั้นบารินเท็นกลับยิ้มอย่างมั่นใจ แม้ฝ่ายตรงข้ามจะสั่งระดมยิงเข้ามาแล้ว
“ เปล่าประโยชน์น่า ”
ทันทีที่กระสุนปืนพุ่งเข้ามาใกล้ ทุกนัดที่ยิงออกมากลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศนั้นเอง ท่ามกลางความตกตะลึงของตำรวจ ลูกน้องของบารินเท็นก็กราดยิงใส่ตำรวจล้มไปเป็นใบไม้ร่วง
“ ภายในอาณาเขตที่หยุดเวลาไว้ ไม่มีเวลาใดจะผ่านเข้ามาได้เด็ดขาด นอกจากผู้ที่ถูกละเว้นภายในนี้เท่านั้น พวกตำรวจกระจอกอย่างแกทำอะไรไม่ได้หรอกน่า ”
เพียงอึดใจเดียว กองตำรวจที่ล้อมอยู่ก็โดนถล่มราบไม่เหลือแม้แต่คนเดียว บารินเท็นเห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ปลดนาฬิกาออก
“ เวลาเริ่มเดิน ” เพียงบารินเท็นกดปุ่มที่นาฬิกาเท่านั้น เวลาทั้งหมดก็เริ่มเดินต่อ ลูกกระสุนที่ค้างอยู่ก็พุ่งตรงไปชนกับกำแพงที่ขวางอยู่เพราะคนที่เคยเป็นเป้าหายไปแล้ว เวลาทั้งหมดเดินต่อเหลือเพียงผลลัพธ์ที่เป็นความย่อยยับของฝ่ายตำรวจเท่านั้น
“ อึก!... ” พลังเวทย์ในตัวของบารินเท็นก็หดหายไปเช่นกัน แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินไหว “ ใช้พลังานไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่มีใครขวางเราได้อีกแล้ว ”
“ คิดอย่างนั้นรึ ”
เสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน เมื่อบารินเท็นหันไปก็เห็นนาเดียกับลอกินัสยืนอยู่ที่อาคารข้างๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก
“ นาเดีย ฮาโรล
” บารินเท็นจ้องกลับด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มออก “ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ”
“ ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก จนเห็นกับตาถึงได้รู้ว่าเป็นนายจริงๆ ”
“ ท่าทางอารมณ์ไม่ดีนะครับ ”
“ แหงสิเจ้าบ้า ” นาเดียพูดเสียงดัง “ นายไม่ใช่คนลักลอบค้าของเถื่อนแล้ว นายก็แค่อาชญากรปล้นฆ่าเท่านั้นเอง แค่นึกว่าเคยร่วมมือกับนายก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว ”
“ อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ” บารินเท็นตอบเรียบๆ “ พวกเราก็อาชีพเดียวกันไม่ใช่หรือ? ”
“ ว่าไงนะ! ”
“ คุณรับจ้างนำคณะเดินทางบุกเข้าไปขโมยของในโบราณสถาน แล้วก็หยิบของที่ต้องการออกมา แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นการโจรกรรมเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ”
“ มันต่างกัน! ของพวกนั้นไม่มีเจ้าของ! ”
“ สมบัติพวกนั้นเป็นสมบัติของแผ่นดิน ” บารินเท็นโต้ “ ขโมยของพวกนั้นก็ไม่ต่างจากปล้นชาติตัวเองหรอก ยอมรับเถอะ คุณฮาโรล พวกเราไม่ต่างกัน มาร่วมมือกับเราดีกว่า แล้วคุณจะมีชีวิตสุขสบายไปตลอดชีวิต ”
นาเดียได้ฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง นึกย้อนไปถึงตอนที่มาเทโรพูดเมื่อหลายวันก่อน คำพูดของบารินเท็นทำให้เธอสั่นคลอนได้ไม่น้อย นึกถึงเรื่องที่ผ่านมา มือของเธอกำแน่นจนลอกินัสสังเกตได้ ในที่สุดนาเดียก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อ
“ ได้ยินว่ายังไม่มีใครหยุดการปล้นของนายได้เลยสักครั้งเดียวนี่นา ” นาเดียกล่าวเรียบๆ แต่ได้ยินชัดทุกคน “ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนายจะชวนชั้นเข้ากลุ่มไปหารส่วนแบ่งทำไมกันนะ ” บารินเท็นได้ฟังก็เงียบไป ซึ่งนาเดียเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ เพราะมีแต่ชั้นที่รู้ความลับของนาฬิกาเรือนนั้นสินะ มีแค่ชั้นกับเจ้าหนูนี่เท่านั้นที่รู้ว่านายทำแบบนี้ได้เพราะอะไร และจะหยุดนายได้ยังไง นายก็เลยต้องดึงชั้นไปเป็นพวกเดียวกันล่ะสิ เพื่อไม่ให้มีใครสามารถต่อต้านนายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ชั้นพูดผิดหรือเปล่า? ”
“ ที่ผมชวนก็เพราะไว้ใจคุณที่เคยร่วมงานกันมา ที่ตอนนั้นผมบอกความลับของนาฬิกานั่นให้ก็เพราะเชื่อใจคุณ นั่นไม่ใช่แผนการ แต่เป็นการแสดงความเชื่อใจต่างหาก ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ขอปฏิเสธย่ะ! ให้ชั้นเป็นโจรอย่างพวกนายไปไม่เอาหรอกมันคลื่นไส้ นายเป็นตัวร้ายไปเถอะ ส่วนชั้นก็จะอัดนายให้เละแล้วยัดใส่ถุงขยะส่งตำรวจเอง ”
บารินเท็นได้ฟังก็กำมือแน่นก่อนจะพูดต่อ
“ กล้าพูดแบบนั้นได้เชียวรึ นาเดีย ฮาโรล! เธอเองก็เป็นแค่แมวขโมยสมบัติ วันๆ หมกตัวอยู่ในซากโบราณสถานฝุ่นเขรอะ อยากได้อะไรก็ช่วงชิงมาเท่านั้น ถ้าเธอบอกว่าเธอทำเพื่อคุณธรรมล่ะก็นั่นจะเป็นมุกฮาที่สุดของศตวรรษ! ”
“ คุณธรรมเรอะ! ความดีเรอะ! เรื่องพวกนั้นช่างมันเถอะน่า ชั้นทำอะไรตามใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครก็ตามที่ขวางทางชั้นมันจะโดนอัดจนเละ ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมก็ตาม และนี่คือคำตอบ! อาคูรอส บารินเท็น! ”
ทันทีที่พูดจบ นาเดียก็ชักปืนออกมาพร้อมกับลั่นไกสามนัดรวด พริบตานั้นเองร่างของลุกน้องบารินเท็นที่ถือถุงเงินอยู่ก็ล้มลงกับพื้นทันที เป็นสัญญาณให้บารินเท็นลงมือเช่นกัน คนของเขากระจายตัวเข้าที่กำบังก่อนจะสาดกระสุนใส่นาเดียกับลอกินัสชุดหนึ่ง แต่ทั้งสองคนก็กระโดดหายไปแล้ว และก่อนที่บารินเท็นจะรู้ตัว ลูกน้องของเขาก็โดนยิงล้มไปอีกคน นาเดียบุกเข้ามาเร็วราวกับเงาท่ามกลางแสงไฟสลัวบนถนนเส้นนั้นร่างของเธอแทบจะหายไป
“ หายไปไหนแล้ว! ” ลูกน้องของบารินเท็นคนหนึ่งร้อง ซึ่งเพียงเขาโผล่หน้าขึ้นมาจากรถตำรวจที่จอดทิ้งไว้เพื่อมองหาเท่านั้น เชื่อกเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามารัดคอไว้ก่อนจะถูกกระตุกลากไปกับพื้นถนนจนหมดฤทธิ์ เมื่อมีการเคลื่อนไหว นาเดียจะจับไว้ได้ทันทีและความสามารถของลูกน้องบารินเท็นก็ห่างชั้นกับนาเดียมากนัก นาเดียยิงสลับกับวิ่งหลบหาที่กำบังกระสุนปืนที่ยิงมาที่เธอราวกับฝน ต้องขอบคุณรถตำรวจที่จอดทิ้งไว้จึงมีที่ให้เธอหลบกระสุนอย่างเหลือเฟือ
“ ตรงนั้น! ” ลูกน้องคนหนึ่งร้องพลางยิงปืนกลสกัดไม่ให้นาเดียหลบออกมาจากที่กำบังได้ แล้วอีกคนหนึ่งก็โยนบางสิ่งตามเข้าไป มันคือระเบิดมือนั่นเอง และนาเดียก็ไม่มีให้หนีแล้ว
ทันใดนั้นเอง ลูกระเบิดก็โดนปัดกระเด็นไปพร้อมกับร่างของลอกินัสและดาบในมือ ลูกระเบิดกระเด็นไปอีกฝั่งถนนหนึ่งก่อนจะระเบิดดังสนั่น
“ นี่มาปล้นรึมาก่อจลาจลเนี่ย ” ลอกินัสสบถก่อนจะวิ่งเข้าหาที่กำบังพร้อมกับลูกปืนที่ไล่ตามหลังมา แต่จังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามมัวสนใจลอกินัส นาเดียก็ได้ช่องยิงสวนกลับจนลูกน้องของบารินเท็นร่วงไปอีกสองคน และคนอื่นๆ ก็พยายามยิงให้ถูกนาเดียบ้างแต่ก็ไม่สามารถตามความเร็วของเธอทัน
“ นี่แหละ กาเซลล์สเต็ป ” ลอกินัสเปรยเบาๆ หลังจัดการลูกน้องของบารินเท็นได้อีกคนหนึ่ง “ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วบิกพลิ้วได้เหมือนก้าวย่างของกวาง แค่มองตามน่ะ ตามความเร็วของลูกพี่ไม่ทันหรอกเฟ้ย! ”
นาเดียจับลูกน้องของบารินเท็นบิดข้อมือก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาลอยขึ้นฟาดพื้นดังโครมใหญ่ แต่ก็เปิดช่องว่างให้คนอื่นเล็งมาที่เธอได้ แต่เพียงพริบตาก่อนลั่นไก นาเดียก็ถีบพื้นหลบไปข้างๆ ยันตัวกับรถตำรวจอีกครั้งก่อนจะถีบตัวกระโดดลอยหมุนตัวลั่นไกกลางอากาศ ส่งลูกน้องของบารินเท็นล้มลงไปอีกคนหนึ่ง
“ บ้าจริง! ” บารินเท็นสบถเบาๆ เมื่อเห็นลูกน้องตัวเองโดนเล่นงานทีละคน
“ แล้วจะรู้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับชั้นมันน่ากลัวแค่ไหน บารินเท็น ” เสียงของนาเดียดังขึ้นข้างๆ ซึ่งบารินเท็นหันตามทันที แต่ก็ช้าไป มือของบารินเท็นโดนจับบิดไปทางหนึ่งแล้วเหวี่ยงออกไปกลางถนน
“ ทางนั้นเรียบร้อยแล้วลูกพี่ ” ลอกินัสเดินเข้ามาล้อมบารินเท็นไว้ และนาเดียก็ไม่ยอมละสายตาจากศัตรู บารินเท็นที่เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้วตอนนี้ก็หมดทางหนี
“ โทษทีเถอะ นายมันอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นหัวหน้าจริงๆ เลย ” นาเดียกล่าว “ ว่าไปก็ไม่เคยเห็นนายสู้ใครเลยนี่ เป็นมันสมองของกลุ่มที่ร่างกายปวกเปียกหรือไง เอ้า ชูมือขึ้นทั้งสองข้างนั่นแหละ ลอกินัส ไปเอานาฬิกานั่นมา! ”
“ ได้ทีเลยนะ นาเดีย ฮาโรล เธอเองก็ต้องการนาฬิกานี่เหมือนกันสินะ ”
“ ของแบบนั้นที่ใช้ครั้งเดียวก็หมดแรงน่ะชั้นไม่อยากได้หรอกย่ะ เอ้า อย่าชัก
ช้า
” นาเดียเงียบเสียงลงเล็กน้อยเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เธอใช้เพียงครั้งเดียวก็ถูกดูดพลังไปจนหมดแล้ว แล้วที่การปล้นเมื่อครู่นี้บารินเท็นใช้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังเดินลอยหน้าได้สบายๆ แบบนี้อีกล่ะ? นาเดียพยายามไม่คิดในส่วนนั้น แต่สังหรณ์ร้ายของเธอก็กวนใจเธอจนสลัดไม่หลุด
“ นึกอะไรออกหรือไง นาเดีย ฮาโรล ” บารินเท็นยิ้มขณะชูมือขึ้นสองข้าง ลอกินัสก็กำลังเข้าไปค้นตัวเพื่อหานาฬิกานั้น “ อย่าได้ดูถูกกันเชียวนะ ”
“ ลอกินัส ถอยออกมา! ” นาเดียร้องลั่น แต่ก็ช้าไป มือของบารินเท็นเปล่งแสงออกมาสว่างจ้าพร้อมกับแท่งน้ำแข็งพุ่งออกมาแทงเข้าใส่ตัวลอกินัสเต็มที่ ร่างของเด็กชายลอยคว้างกระเด็นข้ามหัวนาเดียไปกระแทกพื้นถนนเสียงดัง
“ ลอกินัส! ” นาเดียร้องขณะก้มดูอาการของเด็กชาย
“ สบายมากลูกพี่ แค่เฉี่ยวไปเท่านั้นเอง ” ลอกินัสฝืนยิ้มให้ และจังหวะที่เธอผละจากบารินเท็นนั้นเอง เธอก็พลาด
“ บอกแล้วว่าอยาดูถูกผมให้มากนัก ” บารินเท็นลุกขึ้น มือทั้งสองข้างของเขาสวมถุงมืออยู่และในช่องหลังถุงมือนั้นเอง แผ่นหินสองแผ่นกำลังเปล่งแสงออกมาสว่างจ้า
“ มิซติกงั้นรึ ” นาเดียกัดฟันแน่น “ ที่แท้นายก็เป็นเมจนี่เอง ”
“ ถูกต้อง ” บารินเท็นหัวเราะเบาๆ “ คนทั่วไปได้นาฬิกานี่ไปก็ใช้ได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ แต่ถ้าเป็นเมจที่มีพลังเวทย์เหลือเฟือล่ะก็ จะสามารถดึงพลังของนาฬิกานี่ได้สูงสุด วางใจได้ นาเดีย ฮาโรล ไม่ต้องใช้นาฬิกานี่ ชั้นก็สามารถชนะเธอได้สบาย ”
พูดจบ แท่งน้ำแข็งก็พุ่งเข้าใส่นาเดียอย่างรวดเร็ว นาเดียกับลอกินัสหลบไปคนละทางก่อนที่แท่งน้ำแข็งจะเสียบถนนเป็นรูใหญ่ นาเดียเล็งปืนไปที่บารินเท็นแล้วก็ลั่นไกอย่างรวดเร็ว
“ เปล่าประโยชน์ Shield! - ”
ม่านพลังกางขึ้นรอบตัวบารินเท็นสะท้อนกระสุนของนาเดียออกไปจนหมด จังหวะที่นาเดียกำลังอึ้งอยู่นั้นเอง บารินเท็นก็ยิงเวทย์ตามมา
“ Frost Magnum! ”
ลำแสงสีฟ้าพุ่งเฉี่ยวขานาเดียไปเล็กน้อย แต่ขากางเกงของเธอก็จับเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว แท่งน้ำแข็งแหลมคมพุ่งตามมาอีกครั้ง แต่ลอกินัสเข้ามาขวางไว้ได้ แต่ก็กระเด็นไปทั้งคนทั้งดาบ ลอกินัสกระเด็นไปกระแทกกับรถที่จอดอยู่จนยุบไป นาเดียใช้ช่วงว่างนั้นพุ่งเข้าใส่บารินเท็นอีกครั้งแต่ก่อนจะถึงแท่งน้ำแข็งก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้นาเดียหลบได้อย่างไม่ยากเย็น ความเร็วของแท่งน้ำแข็งตามเธอไม่ทันและถ้าบุกถึงตัวได้เธอก็ชนะ
“ Slow! ”
บารินเท็นร่ายเวทย์ใส่เธออีกครั้ง ร่างกายของเธอหนืดลงราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยลูกตุ้มเหล็กและเธอก็ไม่รู้วิธีแก้
“ Forcepeller! ”
บารินเท็นยิงเวทย์อัดเข้าใส่อีกครั้งจนนาเดียกระเด็นไปชนกับรถตำรวจอย่างแรง
“ ว่ายังไงล่ะ นาเดีย ฮาโรล ” บารินเท็นหัวเราะลั่น “ ถึงเธอจะมีฝีมือแค่ไหนก็เก่งได้แต่กับพวกฟิสิกส์ด้วยกันเท่านั้น เธอรับมือเมจอย่างชั้นไม่ได้หรอก ได้ยินว่าเธอเกลียดเมจเข้าไส้เลยนี่นา รู้สึกยังไงบ้างที่ต้องโดนเมจเล่นงาน ถ้ายอมร่วมมือกันก็ไม่ต้องจบแบบนี้แล้วแท้ๆ น่าสมเพชจริงๆ ” นาเดียไม่ตอบอะไร บารินเท็นจึงเตรียมลงมือต่อ แท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือหัวนาเดียเตรียมที่จะเสียบลงไป “ ลาก่อน นาเดีย ฮาโรล ”
ทันใดนั้นเอง บางสิ่งก็พุ่งเข้ามาชนแท่งน้ำแข็งจนแหลกละเอียด จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่บารินเท็นอย่างรวดเร็ว ถึงบารินเท็นจะตกใจแต่ก็ยังกุมสติร่ายเวทย์ป้องกันตัวได้
“ Shield! ”
โล่แสงป้องกันร่างของบารินเท็นไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่บางสิ่งจะรัดเข้ามาได้ เมื่อมันหยุดนิ่งบารินเท็นจึงเห็นว่ามันคืออะไร ร่างนั้นคือร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงของงูตัวใหญ่รัดม่านพลังของเขาไว้แน่น เจ้างูใหญ่แลบลิ้นสองแฉกของมันเข้าออก ตาจ้องบารินเท็นเขม็ง ส่วนหัวมีบางสิ่งคล้ายโลงศพติดอยู่ มันขู่ฟ่อเสียงดังน่ากลัว หากไม่มีโล่แสงแล้วบารินเท็นคงโดนรัดกระดูกป่นแน่นอน
“ นี่มัน
” บารินเท็นเปรย ทันใดนั้นเอง ร่างของคนอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในระยะแสงไฟ
“ นายเองก็อย่าเก่งแต่กับพวกฟิสิกส์สิ ” ร่างนั้นกล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ “ ถ้าอยากจะหาคู่มือที่สูสีล่ะก็
” ในที่สุดเจ้าของร่างก็ปรากฏตัว เป็นชายในชุดคลุมสีน้ำตาลโพกหัวด้วยผ้าสีเดียวกัน ไว้หนวด มือถือไม้เท้าสีทองเงาวาวปลายเป็นรูปหัวสัตว์ “ หาคู่ต่อสู้ที่เป็นเมจเหมือนกันดีกว่ามั้ง อาคูรอส บารินเท็น ”
“ มาเทโร แกรนด์ฟิลด์
” บารินเท็นสบถเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าของเสียงชัดๆ สีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่เพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ “ นายตามรอยชั้นมาตั้งนานแล้วนี่นา ”
“ ถูกต้อง เพราะชั้นไม่เชื่อว่านายจะเป็นแค่นักค้าวัตถุโบราณไปตลอดชาติน่ะสิ ทีนี้ยอมจำนนได้รึยัง? สภาพแบบนั้นอย่าดิ้นรนเลยจะดีกว่า ชาลโลวเกรฟแมมบ้าของชั้นอารมณ์ไม่ดีวันนี้ ถ้าดิ้นรนนักศพจะไม่สวยเอา ”
“ อะไรกัน ยังไม่ทันสู้ก็ให้ยอมแพ้แล้วรึ ” บารินเท็นยิ้มอย่างไม่ยอมจนมุม พร้อมกับร่ายเวทย์อีกครั้ง พริบตานั้นเอง แสงไฟก็ระเบิดออกมาจากรอบตัวบารินเท็นพร้อมกับไอร้อนระอุ แต่ก่อนหน้านั้น ร่างของงุยักษ์ก็ถอยออกมาก่อนจะโดนเข้าไป “ เข้ามาเลย มาเทโร! ”
มาเทโรเหลือบมองนาเดียหน่อยหนึ่งก็พูดเบาๆ
“ ถึงจะต้องโดนคุณเกลียดก็ไม่เป็นไร ” มาเทโรกล่าว “ อย่างน้อยผมก็ไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรแน่นอน ”
“ มาเทโร
นี่นาย ”
มาเทโรไม่ตอบแต่ควงไม้เท้าร่ายเวทย์อัดเข้าใส่ตัวงูของเขา
“ Dignity Haste! ”
ร่างของแมมบ้าพุ่งเข้าใส่บารินเท็นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเขี้ยวแสยะกว้าง บารินเท็นสร้างแท่งน้ำแข็งขึ้นมาป้องกันไว้ได้ แต่แรงของมันก็ดันร่างของเขาไถลไปอย่างง่ายดาย บารินเท็นพยายามใช้แท่งน้ำแข็งแทงสวนกลับแต่ก็โดนปัดกระเด็นขึ้นไปเสียก่อน ระหว่างที่บารินเท็นพยายามจะตั้งตัวอยู่นั้นเจ้างูยักษ์ก็พุ่งตามขึ้นมา
“ Frost magnum! ”
ลำแสงสีฟ้าพุ่งลงมาใส่งูของมาเทโรตรงๆ แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็เอี้ยวตัวหลบได้พร้อมกับแยกเขี้ยวเตรียมงับบารินเท็น แต่บารินเท็นก็รับมือทันเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เขี้ยวของเจ้างูยักษ์หยุดตรงหน้าเขาพอดี บารินเท็นร่ายเวทย์เตรียมอัดใส่เจ้างูยักษ์ แต่ก็แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับมาเทโร
“ Flare! ”
“ Dignity ward! ”
บารินเท็นระเบิดไฟใส่เจ้างูยักษ์ในระยะประชิดจนแทบจะสัมผัสกันได้ แรงระเบิดทำให้ร่างของบารินเท็นกระเด็นออกมาเล็กน้อยแต่ก่อนที่ฝุ่นควันจะจางลง หัวของเจ้างูยักษ์ก็พุ่งฝ่าควันออกมา
“ อะไรกัน! ”
บารินเท็นใช้การตอบสนองเต็มที่ในการป้องกันตัวแต่ก็ไม่ทันจึงโดนกระแทกกระเด็นไปอัดกับผนังตึกข้างๆ อย่างแรง งูของมาเทโรเลื้อยกลับมาหาเจ้านายหลังเสร็จงาน ทั้งคู่รอดูท่าทีศัตรูอย่างไม่ยอมไว้ใจ และก็อย่างที่คาด บารินเท็นค่อยๆ ก้าวออกมาจากเศษหินที่ร่วงกราวลงมาพร้อมกับบางสิ่งในมือ ซึ่งนาเดียเห็นแล้วก็ตกใจอย่างที่สุด
“ นาฬิกานั่น! ”
“ นาฬิกา
? ” มาเทโรยังไม่เข้าใจ
“ ไม่นึกว่าจะต้องเปลืองแรงขนาดนี้ ” บารินเท็นกล่าวพลางหอบหายใจ “ แต่อย่างว่า ถ้าจะลุยกับเซียนเวทย์อัญเชิญอย่างนายล่ะก็ ต้องเตรียมเหนื่อยลากไว้ได้เลย ” พูดจบบารินเท็นก็เอื้อมมือไปจับที่เกลียวนาฬิกา
“ มาเทโร! อย่าให้มันบิดเกลียวนั่นได้เด็ดขาดนะ ” นาเดียร้องพลางยกปืนขึ้นเล็งไปที่บารินเท็น มาเทโรเองไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็สั่งงูของเขาพุ่งไปหาบารินเท็นทันที
“ ขอให้ทันทีเถอะ! ” นาเดียร้องแล้วก็ลั่นไก
“ เวลาเอ๋ย จงหยุด! ” บารินเท็นร้องลั่นพร้อมกับกดปุ่ม หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่งไปอีกครั้ง กระสุนของนาเดียหยุดอยู่ตรงหน้าเขาไปเพียงไม่กี่คืบ แมมบ้าเองก็เช่นกัน ทั้งงูทั้งเจ้าของ ทั้งนาเดีย หยุดนิ่งไปราวกับรูปปั้น
“ ชั้นชนะแล้ว
” บารินเท็นกล่าวพลางยิ้มอย่างมีชัย
อีกด้านหนึ่ง ลอกินัสที่โดนเล่นงานไปก่อนหน้านี้ก็ลุกขึ้นมา หัวของเขายังมึนๆ อยู่ ลอกินัสเอามือกุมขมับจนหัวเริ่มเข้าที่ก็เริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว และภาพที่เห็นก็คือร่างของนาเดีย มาเทโร และงูของเขาหยุดนิ่งเป็นรูปปั้น และบารินเท็นที่มีนาฬิกาอยู่ในมือก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นโชคดีของเขาที่อยู่นอกระยะของนาฬิกาพอดี
“ บ้าจริง ” ลอกินัสพยายามลุกขึ้นยืน เด็กชายโล่งใจที่ยังสามารถยืนไหว แต่ดาบของเขาหักเป็นสองท่อนเสียแล้ว เด็กชายมือเปล่าตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ลอกินัสขว้างเศษหินเข้าไปก็หยุดกึกอยู่อย่างนั้น
“ เปล่าประโยชน์น่าเจ้าหนู ” บารินเท็นสังเกตเห็นลอกินัสในที่สุด “ การที่แกอยู่นอกระยะน่ะโชคดีสุดๆ แล้ว แต่ก็ไม่ต่างอะไร เพราะจัดการสองคนนี้เสร็จ ถึงไม่ต้องหยุดเวลาก็จัดการแกได้ง่ายกว่าเหยียบเปลือกกล้วยหกล้มเสียอีก ”
ลอกินัสกัดฟันแน่นมองดูบารินเท็นเรียกแท่งน้ำแข็งเตรียมจะลงมือปลิดลมหายใจนาเดียกับมาเทโรโดยที่ไม่สารมารถทำอะไรได้ ยิ่งเห็นนาเดียที่เป็นญาติคนเดียวของเขาในตอนนี้กำลังจะจากไปโดยที่ไม่มีทางต่อต้าน และตัวเขาทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บใจเอ่อล้นเข้ามาจนกลั้นไม่อยู่ แต่ไม่ว่าจะร้องไห้ฟูมฟายเพียงไรก็ไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้ ลอกินัสขว้างดาบที่หักของเขาใส่แต่ก็หยุดกึกอยู่กลางอากาศนั้นเอง
“ หยุดนะ!!!!!!! ”
ลอกินัสตะโกนลั่น แต่บารินเท็นไม่ได้ใส่ใจ ตราบใดที่เขายังอยู่ในขอบเขตนั้นอะไรก็เข้ามาไม่ถึงตัวเขาเด็ดขาด
ทันใดนั้นเองลอกินัสก็เหลือบเห็นห่อผ้าสีดำที่นาเดียติดตัวไว้ตลอดตกอยู่ ลอกินัสจำได้ว่าเป็นดาบที่นาเดียได้มาก่อนหน้านี้ เด็กชายจับมันไว้แน่น แม้จะรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมอยู่เฉยได้เหมือนกัน ลอกินัสยกมันขึ้นมาสะบัดผ้าออกเผยคมดาบเงาวาวและตัวดาบที่ทำอย่างประณีตสวยงามออกมา ลอกินัสร้องลั่น มือกำดาบแน่นวิ่งเข้าใส่บารินเท็นอย่างไม่คิดชีวิต
“ บ้าไปแล้วหรือไง เจ้าหนู ” บารินเท็นยังไม่ใส่ใจ “ ไม่ว่าอะไรก็ฝ่าเข้ามาไม่ได้ เด็ด
ขาด ”
เสียงของบารินเท็นขาดหายไปเมื่อเห็นลอกินัสวิ่งลากดาบเข้ามาบุกเข้ามาถึงอาณาเขตของเขาและก้าวถัดมายังวิ่งต่อได้ ประกายสีน้ำเงินแตกออกมาเมื่อลอกินัสวิ่งเข้ามาในอาณาเขตของเขาพร้อมกับตัวดาบที่เปล่งแสงออกมา
“ บ้าน่า! ”
“ อาคูรอส บารินเท็น!!!!! ” ลอกินัสร้องลั่นพลางยกดาบเตรียมพร้อม
“ ก็ได้! ถ้าอยากตายขนาดนั้นจะสงเคราะห์แกก่อนเลยแล้วกัน เจ้าหนู! ” บารินเท็นหันมารับมือลอกินัสแทน แท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ลอกินัสตรงเผ็ง
“ อย่าบังอาจทำร้ายลูกพี่เชียวนะเจ้าบ้า!!! ” ลอกินัสร้องพลางตวัดดาบเข้ารับ เพียงตัวดาบสัมผัสเท่านั้น แท่งน้ำแข็งก็สลายไป คนที่ตะลึงที่สุดคงไม่พ้นบารินเท็นแต่ก็ไม่มีเวลามากนัก เพราะลอกินัสบุกมาถึงตัวแล้ว
“ Shield!!! ”
บารินเท็นใช้สติสุดท้ายร่ายเวทย์ป้องกันตัว เพียงเสี้ยววินาทีก่อนดาบของลอกินัสจะถึงตัว แต่พริบตาถัดมาเขาก็รู้ตัวว่าคิดผิด ดาบของลอกินัสเปล่งแสงออกมาก่อนจะผ่านม่านพลังของบารินเท็นเข้าไปเฉือนร่างของเขาเต็มๆ
“ บะ
บ้าที่สุด ” บารินเท็นกล่าวขณะเอนตัวล้มลง แผลของเขายังตื้นเกินไปที่จะพรากวิญญาณของเขาได้ แต่ลอกินัสก็หอบหายใจเต็มที่แล้วเช่นกัน
“ ทำไม
ทำไมหยุดเวลาแล้วไม่มีผลกับเจ้าเด็กนี่! ทำไม่เวทย์มนต์ไม่ได้ผล! ” บารินเท็นกุมแผลไว้แน่น มือข้างหนึ่งจับนาฬิกาไว้ “ ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ” บารินเท็นร้องลั่นพลางบิดเกลียวนาฬิกาย้อนไปอีก ทุกสิ่งในอาณาเขตของนาฬิกาก็เริ่มบิดเบี้ยวไป “ ข้าไม่ยอมรับ! ข้านี่แหละผู้ที่จะควบคุมเวลาทั้งมวล! ” ยิ่งบารินเท็นบิดเกลียวย้อนเท่าไรสภาพรอบตัวก็ยิ่งเปลี่ยนไป ทุกอย่างบิดเบี้ยวไปจนเหมือนภาพสะท้อนยืดๆ ในกระจกโค้ง “ ข้าไม่เชื่อว่าพลังของข้าจะแพ้เจ้าเด็กนี่! จงหายไปจากเวลาซะ! จงหาย
! ”
เสียงของบารินเท็นขาดห้วงไปเพราะบางสิ่งกำลังลงมาเหนือร่างของเขา บรรยากาศกดดันค่อยๆ แผ่ออกมากว้างขึ้นจนลอกินัสก็สัมผัสได้ ทันใดนั้นเอง ร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏออกมา เป็นชายในชุดเกราะสีเงิน มีหมวกปิดใบหน้าไว้ ผ้าคลุมขาดรุ่งริ่ง มือข้างหยึ่งถือไม้เท้าหัวเป็นรูปนาฬิกา มือีกข้างหนึ่งถือหนังสือเล่มใหญ่ไว้ เพียงจ้องมองดูร่างนั้นก็ทำให้ลอกินัสขาสั่นแล้ว
“ ลูกหลานแห่งเอลรอยเอย ” ร่างนั้นเปล่งเสียงออกมาโดยที่ลอกินัสไม่เห็นว่าพูดอยู่หรือไม่ แต่เป็นเสียงที่กังวานจนน่ากลัว “ เจ้ากำลังทำผิดเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของเจ้าเคยทำ ”
“ บัดซบที่สุด ” บารินเท็นกัดฟันแน่นขณะมองดูร่างนั้น “ ท่านเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเราอีกทำไมกัน ไอออน! ”
“ เป็นหน้าที่ของข้า หากมีผู้ที่ทำให้เวลาบิดเบือนล่ะก็ ต้องลงโทษมันผู้นั้นอย่างสาสม ”
“ เหมือนที่ท่านเคยทำกับบรรพบุรุษของข้าสินะ ” บารินเท็นตอบ “ แต่ข้าไม่ยอมเป็นเช่นนั้นแน่ นาฬิกาเรือนนี้เป็นของสายโลหิตข้า ข้าย่อมมีสิทธิ์ใช้มันอย่างชอบธรรม ท่านอย่าได้สอดมือยุ่งเชียว! ”
“ เจ้ามนุษย์โง่งม ” เสียงนั้นคำราม “ อย่าลืมเสียล่ะ บรรพบุรุษของเจ้าสร้างมันขึ้นมาจริง แต่สร้างขึ้นภายใต้นามของข้า หากใช้มันบิดเบือนเวลาของโลกเช่นบรรพบุรุษของเจ้าแล้วก็ต้องรับโทษอย่างเดียวกัน ”
พูดจบ ร่างนั้นก็เปิดหนังสือออก วงเวทย์ก็ปรากฏขึ้นรอบตัวของบารินเท็นพร้อมกันนั้นร่างของบารินเท็นก็ค่อยๆ ถูกกลืนเข้าไป
“ บ้าจริง! ทุกอย่างเป็นของข้าโดยชอบธรรม แล้วทำไมไม่ยอมให้ข้าได้ใช้มัน ” บารินเท็นกัดฟันเปรยกับตัวเอง
“ สิ่งนั้นไม่ใช่ของของเจ้า ไม่ใช่ของของใครทั้งนั้น เวลาเป็นของทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนมีสิทธิ์จะได้อย่างเท่าเทียมกัน คนที่ดึงเวลาเป็นของตัวเองนับเป็นความชั่วช้าอย่างที่เปรียบไม่ได้ ”
ร่างของบารินเท็นถูกดูดหายไปพร้อมกันนั้นร่างชายลึกลับก็หายไปด้วย ภาพที่บิดเบี้ยวรอบตัวก็กลับสู่สภาพเดิม ลอกินัสรู้สึกเหมือนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นหอบหายใจแรงโดยไม่รู้สาเหตุ ตรงหน้าเขานั้นเอง นาฬิกาของบารินเท็นตกอยู่โดยไม่มีวี่แววเจ้าของ ลอกินัสเดินเข้าหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ ก็เปรยกับตัวเองเบาๆ
“ คนที่แย่งชิงเวลาคนอื่นไปเป็นคนที่เลวสุดๆ งั้นรึ ” ลอกินัสเปรย “ แล้วทำไมยังทิ้งไอ้ของพรรค์นี้ไว้อีกฟะ ” ลอกินัสพูดแล้วก็ทิ้งนาฬิกาเรือนนั้นลงบนพื้นก่อนจะเหยียบซ้ำจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ “ จะบอกว่าบาปของคนก็ต้องให้คนจัดการงั้นสิ รึจะบอกว่าอยากเล่นสนุกกับคนมากกว่านี้? ช่างมันเถอะ ”
ลอกินัสนึกได้ก็หันไปหานาเดียที่ล้มลงกับพื้น มาเทโรก็เช่นกัน เวลากลับเป็นปกติแล้ว ลอกินัสได้แต่ยืนเอาดาบค้ำไว้ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกรับกับเสียงรถพยาบาลที่ดังใกล้เข้ามา คืนอันวุ่นวายก็จบลง
วันรุ่งขึ้น ที่ร้านของแพตตี้ที่เดิมของนาเดีย นาเดียกับลอกินัสไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว
“ ดาบเล่มนี้น่ะหรอ? ” นาเดียถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดเมื่อคืน
“ ใช่ลูกพี่ ดาบที่ลูกพี่ตบมาเมื่อคราวก่อนนั่นแหละ ผ่าแท่งน้ำแข็งนั่นเป็นสองท่อนเลย ผมไม่ได้ออกแรงด้วยซ้ำ ”
“ หรือจะเป็นดาบที่ตัดพลังเวทย์ได้อย่างที่มีในการ์ตูน ” แพตตี้ให้ความเห็นอย่างตื่นเต้น
“ เว่อน่า ” นาเดียตัดบท “ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเจ้าบารินเท็นมากว่า ไม่รู้เลยว่าหมอนั่นเป็นเมจ ”
“ อืม อีกคนด้วยนะ ” ลอกินัสบอกพร้อมกับร่างของมาเทโรเดินเข้ามาในร้าน นาเดียแกล้งทำเป็นไม่เห็นเบือนหน้าหนีไปทางหนึ่ง
“ สวัสดีครับ ” มาเทโรทักทาย โดยที่ลอกินัสกับแพตตี้ก็ทักตอบอย่างร่าเริง แต่นาเดียเพียงยกมือตอบเท่านั้น“ บาดแผลไม่เป็นไรแล้วสินะครับ ”
“ อืม ไม่ต้องห่วงหรอก ” นาเดียตอบ มาเทโรถอนหายใจหน่อยหนึ่งก็นั่งลง
“ ต้องขอบคุณทั้งสองคนที่ให้ความร่วมมือในการหยุดการโจรกรรมต่อเนื่องครั้งนี้นะครับ ” มาเทโรกล่าวอย่างเป็นทางการ
“ หยุดอะไรล่ะ จับตัวหัวโจกไม่ได้สักหน่อย ” นาเดียตอบห้วนๆ
มาเทโรมองหน้าลอกินัสหน่อยหนึ่งก็รู้ว่าเด็กชายไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา การปรากฏตัวของชายลึกลับคนนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกับเวทย์มนต์ที่นาเดียเกลียดเข้าไส้ บอกไปก็คงไม่เชื่อ แต่มาเทโรนั้นน่าจะเข้าใจมากกว่า
“ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณมากที่คุณมาตอนนั้น เหมือนผู้ผดุงคุณธรรมอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว ”
“ พูดอะไร ชั้นแค่อยากทำเท่านั้นแหละ ”
“ แล้วก็
ขอโทษที่ปิดบังนะครับ ”
“ เรื่องอะไร? ”
“ ที่ผมเป็นเมจ ” มาเทโรพูดจบนาเดียก็เงียบไป มาเทโรถอนหายใจหน่อยหนึ่งก็ลุกขึ้น “ ที่มาก็เท่านี้ล่ะครับ ขอโทษที่รบกวน ”
“ เดี๋ยวก่อนสิ ” นาเดียพูดขึ้นในที่สุด “ จะเป็นเมจหรืออะไรก็ช่าง ตอนนั้นนายช่วยชั้นไว้ไม่ใช่หรอ จะไม่เปิดโอกาสให้ชั้นตอบแทนเลยหรือไง ” นาเดียเงยหน้ามองมาเทโรก่อนจะพูดต่อ “ นั่งลง ชั้นจะเลี้ยงมื้อเช้านายเอง ”
มาเทโรยิ้มหน่อยหนึ่ง ทั้งแพตตี้ทั้งลอกินัสก็เช่นกัน เวลาของนาเดียกับมาเทโรก็เดินต่อไปอย่างที่ไม่มีอะไรจะหยุดได้ เวลาที่ทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
จนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป เมืองโรเบลเต็มไปด้วยผู้คนหลายร้อยหลายพันมารวมตัวกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของเทศมนตรี
“ ลูกพี่แต่งตัวเสร็จหรือยัง ” ลอกินัสในชุดเป็นทางการวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ ภายในนั้นมีคนอยู่หลายคนแต่คนที่สะดุดตาที่สุดคือหญิงสาวในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ เธอคือนาเดียนั่นเอง
“ วิ่งวุ่นอะไรลอกินัส ” นาเดียบอกพลางเดินเข้ามาหาเด็กชาย
“ งานจะเริ่มแล้วนะ ลูกพี่พร้อมรึยัง ”
“ พร้อมตั้งนานแล้วย่ะ นายนั่นแหละตื่นไปเอง อ้าวพกเจ้านี่มาด้วยรึ? ” นาเดียชี้ไปที่ดาบที่ลอกินัสพกอยู่กลางหลัง
“ ผมขอยืมไปฝึกตอนเช้าน่ะ ว่าจะเอามาคืน ”
“ งั้นรึ? ” นาเดียยิ้มหน่อยหนึ่ง ขณะนั้นคนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากห้องแล้วเหลือเพียงลอกินัสกับนาเดียเท่านั้น “ วันนี้เป็นวันมงคล นายจะพกดาบมาทำไมกัน? ”
“ ว่างั้นเหอะ เจ้าสาวโลกไหนพกปืนมางานแต่งตัวเองล่ะ ” ลอกินัสเถียงพลางชี้ไปที่ปืนพกที่นาเดียยังพกติดตัวไว้แม้จะในชุดแต่งงานก็ตาม ซึ่งนาเดียได้ฟังก็หัวเราะ
“ ท่าทางชั้นจะทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้เลยแฮะ ” นาเดียถอนหายใจ “ เจ้านี่ชั้นได้มาจากเพื่อนน่ะ เพื่อนเก่าที่เคยร่วมงานมาด้วยกัน ถึงพวกนั้นจะไม่อยู่แล้วก็เถอะ ”
“ พวกนั้น
? ”
“ ไซรีน-ลาน่า ” นาเดียพูดต่อ “ ชื่อของสองคนนั้น ถึงเจ้าตัวจะไม่อยู่แต่ปืนกระบอกนี้ก็ยังอยู่แทนพวกเขานะ ” นาเดียยิ้มหน่อยหนึ่งก็พูดต่อ “ การส่งบางสิ่งบางอย่างต่อน่ะมันวิเศษนะ เหมือนกับเรายังได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ตลอดนั่นล่ะ เหมือนสองคนนี้ ” นาเดียพูดแล้วก็ตบปืนของเธอเบาๆ “ ดาบเล่มนั้นน่ะ ชั้นให้นาย ”
“ เอ๋ จะดีหรอลูกพี่ ”
“ นายเป็นคู่หูที่ดีที่สุดที่ชั้นเคยมี เป็นของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ” นาเดียยิ้มพลางลูบหัวลอกินัสเบาๆ “ นายเป็นเจ้าของมันแล้วก็ตั้งชื่อให้มันด้วยสิ ”
“ อืม ชื่อหรอ ” ลอกินัสทำท่าครุ่นคิดพักหนึ่งก็พูดต่อ “ ขอใช้ชื่อลูกพี่ได้มั้ย? มันเหมือนว่าผมจะได้อยู่กับลูกพี่ตลอดไปงั้นล่ะ ”
“ เอาสิ ” นาเดียยิ้มให้พลางหัวเราะเบาๆ ลอกินัสยิ้มกว้างพลางชักดาบออกมา
“ จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ ‘ NADIA ’ ”
เสียงระฆังดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มงานในที่สุด ลอกินัสเก็บดาบแล้วก็เตรียมจะเดินออกไปแต่นาเดียเรียกเขาไว้อีกครั้ง
“ นี่ มีอีกอย่างนึงจะให้ ”
“ อะไรหรอลูกพี่? ”
“ จำวันที่ชั้นเก็บนายมาได้มั้ย? ”
“ ได้สิลูกพี่ ตอนนั้นฝนตกกี่เม็ดยังจำได้เลย ” ลอกินัสตอบเสียงใส
“ นายยังไม่มีนามสกุลใช่มั้ย ” นาเดียพูดต่อ “ นามสกุลเดิมของชั้นคงไม่ได้ใช้แล้ว ยกให้นายละกัน ”
“ เอ๋? ”
“ จากนี้ใครถามชื่อ ให้นายตอบว่า ลอกินัส ฮาโรล นะ ”
“ จริงๆ นะครับลูกพี่! ” ลอกินัสยิ้ม ดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เด็กชายโผเข้ากอดนาเดียไว้แน่น นาเดียลูบหัวลอกินัสเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“ ชั้นคิดว่านายเหมือนลูกแท้ๆ จริงๆ นะ ถึงชั้นจะยังไม่เคยเป็นแม่คนก็เถอะ ”
“ ผมก็เหมือนกัน ลูกพี่! ลูกพี่เป็นแม่คนแรกของผมเหมือนกัน ” ลอกินัสตอบพลางเช็ดน้ำตา
“ จงเติบโตและเข้มแข็งล่ะ ”
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณเริ่มพิธี หลังจากนั้นเวลาของนาเดียกับลอกินัสก็เปลี่ยนไป แต่เวลาของทั้งสองคนจะไม่มีวันหยุดลงแม้จะสิ้นลมหายใจก็ตาม การส่งต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการทำให้เวลาของเขาคนนั้นเดินต่อไม่สิ้นสุด นาเดียก็เช่นกัน เธอยังอยู่เคียงข้างลอกินัสได้ตลอดไป
ความคิดเห็น