คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 0.8 : The Variable x.
ในบทเรียนทั่วไปก็คงจะสอนเหมือนกันว่าค่าของ x นั้นสามารถแทนด้วยอะไรก็ได้ที่ทำให้สมการเป็นจริง
สมการ x + y = 19
เมื่อค่า x เป็นตัวแปรที่จะเป็นอะไรก็ได้แล้ว เพื่อให้สมการเป็นจริง หรือในอีกนัยหนึ่ง เพื่อให้คำตอบเป็นจริง ตัวแปร y ก็จะต้องแปรค่าตามค่าของ x
เพราะอะไร? เพราะหากว่าค่าของ x สามารถเป็นอะไรก็ได้ y จึงเป็นตัวแปรที่ต้องอิงตามค่าของตัวแปรต้น เพราะฉะนั้นค่าของ x จึงเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมีประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อได้พบกับปลายทางที่อยู่หลังเครื่องหมายเท่ากับ
ค่าของ x คือ... ค่าของ y ที่ตามมาคือ...
“ ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหูฟังของโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเด็กชาย
“ ครับ ต้องขอบคุณที่ช่วยเหลือมาตลอด ” เด็กชายตอบด้วยเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่น
“ เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าเอาวิชาที่ข้าถ่ายทอดให้ไปทำอย่างอื่นล่ะนะ ” เสียงนั้นตอบกลับมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจเบาๆ ที่ส่งความรู้สึกของผู้พูดมาอย่างชัดเจน “ ขอให้โชคดี ซาเอล ”
“ ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์ ” คำตอบของเด็กชายแผ่วเบาก่อนจะวางหูโทรศัพท์แล้วคว้าเครื่องแบบทหารขึ้นมาสวมก่อนจะเดินไปพร้อมกับแววตาที่แข็งกร้าวและมั่นคง
คฤหาสน์ของตระกูลคูลวอยซ์นั้นใหญ่โตเสียยิ่งกว่าเนินเขาเสียอีก บ้านที่สร้างด้วยหินอ่อนสวยงามตกแต่งด้วยวัสดุที่สวยงาม เรียบง่ายและลงตัว ทัศนียภาพของคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งอยู่บนเนินเขานั้นเปรียบได้ราวกับวิมานบนสวรรค์ แต่วันนี้บ้านหลังนี้กำลังรับความทุกข์อย่างสาหัส เมื่อบ้านที่ใหญ่โตสามารถจุคนได้เป็นเรือนร้อยกำลังจะเสียเจ้าบ้านไป
เจ้าของคฤหาสน์คูลวอยซ์เป็นชายชราที่ป่วยเรื้อรังมาเนิ่นนาน ผิดกับบ้านที่ใหญ่โตนี้ ตระกูลคูลวอยซ์กลับไม่มีทายาท หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีผู้สืบสายเลือดของเจ้าของบ้านเลยสักคนเดียว จะมีก็เพียงบุตรบุญธรรมเท่านั้น เมื่อเจ้าบ้านไม่มีญาติพี่น้องอื่น เด็กกำพร้าที่เขารับมาเลี้ยงจึงเป็นผู้สืบทอดมรดกทั้งหมด ท่ามกลางกองมรดกกองโตนั้นเอง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็กองลงมาทับที่เด็กชายเพียงคนเดียว
“ ลูกบุญธรรมงั้นรึ? เจ้าหนูนั่นตกถังข้าวสารซะแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำ ”
“ ลูกชายของคุณคูลวอยซ์เป็นคนฉลาด มรดกที่ได้มาน่ะ คงไม่เอาไปทิ้งขว้างหรอก ”
“ เขาเคยสอบวัดระดับทั่วประเทศได้ที่หนึ่งมาแล้วนะ เรื่องเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งน่ะสบายๆ อยู่แล้ว ”
“ เรียนให้สูงๆ เข้าไว้ จะได้ไม่เป็นที่น่าละอายต่อตระกูลนี้ ”
“ ทุกคนคาดหวังในตัวเธอนะ ”
เสียงหลายเสียงประดังเข้ามาไม่มีหยุดหย่อน ความคาดหวัง ความอิจฉา ความรู้สึกต่างๆ ที่แยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จกำลังทับโถมลงมาที่เด็กชายที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย แม้จะเป็นเด็กที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับเด็กทั่วไป เสียงที่ดังเข้ามาก็มีแต่เพิ่มภาระให้กับบ่าของเขาเท่านั้น
“ เจ้า...มีความคาดหวังอะไร? ”
เสียงนี้เป็นเสียงเดียวที่ปลดภาระหนักอึ้งของเด็กชายออกไปหมดสิ้น คำถามปลายเปิดเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ลบล้างประโยคบอกเล่าที่ก้องอยู่ในหัวไปจนหมดสิ้น ความคิดของเด็กชายเหมือนกับจะวิ่งไปสุดขอบโลกแล้วก็วิ่งวนไปมาอยู่อย่างนั้นหลายรอบในชั่วเวลาสั้นที่สุดที่ความคิดจะเร็วได้ ท่ามกลางเสียงสะท้อนของความคาดหวัง เสียงที่มาจากก้นบึ้งของจิตใจเขาเอง คำตอบเดียวผ่านการกลั่นกรองจากปัจจัยทั้งหลายทั้งมวลแล้วออกมาจากปากคือ
“ ผมอยากสร้างสังคมที่สงบสุข ”
“ ทหารใหม่ทุกคน! ” เสียงพูดที่เรียกได้ว่าเป็นตะคอกดังขึ้นหน้าเสาธง เจ้าของเสียงเป็นชายในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม แววตาไม่บ่งบอกว่ามีความปราณีใดๆ และก็แสดงออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านเสียงและสีหน้าของเขา เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น เหล่าชายหนุ่มที่ยืนเรียงรายอยู่ตรงหน้าก็แทบจะสะดุ้ง “ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ค่ายทหารเกณฑ์ของที่นี่ ชั้น เรแกน บรูช จะเป็นผู้รับผิดชอบพวกแกนับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าพวกแกกล้ามากที่ลงมาอยู่หน่วยนี้ MHS เป็นหน่วยที่ใครเห็นก็พูดว่าเท่ ใครเห็นก็พูดว่าสุดยอด ชั้นไม่เถียง แต่ไอ้พวกที่พูดน่ะอยู่ไม่รอดสักคน เดี๋ยวพวกแกก็จะได้สัมผัสไอ้ความสุดยอดที่ว่ากันให้ถึงปอดเลยทีเดียว! ” นายกองกล่าวพลางเดินสำรวจทหารแถวหน้าทีละคน ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้ก็ต่างกันไป “ อย่างที่พวกแกรู้กัน อาชญากรรมเมจกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน หน่วยของเรามีหน้าที่โดยตรงที่จะยับยั้งพวกนั้น และการฝึกที่พวกแกกำลังจะได้รับก็เพื่อไม่ให้พวกแกได้ผ้าห่มเป็นธงชาติตั้งแต่ยังไม่ได้ติดดาว ขอให้ทำใจไว้ได้เลย ต่อให้พวกแกเอาชีวิตรอดจากการฝึกได้ก็ต้องเอาชีวิตรอดต่อในสนามจริงโน่นอยู่ดี คนที่รู้ตัวว่าไม่ไหวน่ะก้าวออกไปได้เลย พวกที่ใจสู้แต่สังขารไม่ไหวก็อย่ามาแอ็คทำหล่อ คนที่ร่างกายพร้อมแต่ป่วยโรคปอดโรคตา ปอดแหกตาขาวก็ไปซะให้พ้นเหมือนกัน ที่กองทัพต้องการ คือคนที่พร้อมทั้งกายและใจเท่านั้น เข้าใจใช่มั้ย! ”
“ เข้าใจครับ! ” นายทหารใหม่ตอบพร้อมกัน
“ นายคนนั้นน่ะถอดแว่นดำออกซิ ” เรแกนบอกทหารคนหนึ่งในแถว ซึ่งเจ้าตัวก็ถอดออกโดยดี “ ที่นี่ผมคือกฎ อย่าลืมซะล่ะ อะไรที่ห้ามก็คือห้ามเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!? ”
“ เข้าใจครับ! ” ทหารใหม่ทุกคนตอบพร้อมกันด้วยเสียงหนักแน่นถึงในใจจะเริ่มสั่นคลอนก็ตาม
ในปัจจุบัน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือการก่อความวุ่นวายของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่าเมจ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ซาเอลคิด การจะสร้างความสงบสุขนั้น กองทัพอาจจะมีคำตอบให้ก็ได้ หัวใจของเด็กหนุ่มที่กำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟที่โชติช่วงเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถก้าวได้อย่างมั่นคงนัก สิ่งที่ซาเอลอยากจะเห็นคือ เมืองที่สงบสุขและคนที่มีความสุข เมื่อสังคมแบ่งออกเป็นขาวกับดำ สิ่งที่เขาพึงปรารถนาก็ถูกย้อมเป็นสีขาวและสิ่งที่เขาเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรก็จะกลายเป็นสีดำโดยอัตโนมัติ ถ้าเมืองที่สงบสุขเป็นสีขาวแล้วล่ะก็ สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สงบก็คือสีดำ คือสิ่งที่ต้องกำจัดทิ้ง
“ หน่วยที่สองไปได้ ระวังปีกเอาไว้ด้วย! ”
เสียงสั่งการในวิทยุดังขึ้นก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายคนจะออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อไปถึงมุมตึกก็เอาตัวเข้าชิดกับผนังไว้แน่นไม่ให้ส่วนใดเล็ดลอดออกไปให้เป็นที่สังเกต สัญญาณมือจากฝั่งตรงข้ามบอกให้ทุกคนบุกเข้าไปต่อ คนที่อยู่หน้าสุดพยักหน้ารับพร้อมกับวิ่งนำออกไป แต่ก่อนที่คนที่สองจะวิ่งตามไป ร่างของคนแรกก็กระเด็นออกมาก่อน และเมื่ออีกคนหนึ่งพรวดพราดออกไปหวังจะช่วยเหลือก็โดนเล่นงานลอยไปอีกคนหนึ่ง
“ เจ้าบ้าเอ๊ย ” คนที่สามที่เหลือเป็นคนสุดท้ายสบถแล้วกระชับปืนกลเล็กในมือแน่นสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะออกจากที่ซ่อนพร้อมกับเอานิ้วแตะไกปืนเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่ทันได้ลั่น เพียงร่างของเขาขยับตัว ศัตรูที่รออยู่ก็ลงมือ
ลูกไฟลูกใหญ่พุ่งตรงเข้ามาเกือบจะพร้อมกับที่เขาโผล่ออกไป เพียงเห็นเท่านั้นก็ต้องกลิ้งหลบไปไม่เป็นท่า เมื่อลุกขึ้นได้ก็จับปืนพร้อมใช้งาน แต่ดูเหมือนจนแล้วจนรอดก็ไม่มีบทให้ ปืนในมือถูกพลังอัดรุนแรงซัดจนหลุดมือ เจ้าของก็พุ่งหลบไปคนละทางและศัตรูก็เผยตัวออกมาในที่สุด
“ MHS อีกแล้วเรอะ! ” ชายในผ้าคลุมหน้าสีดำร้องพร้อมกับเล็งอะไรบางอย่างมาที่ทหารหนุ่ม และเกือบจะพร้อมกับที่ลูกไฟพุ่งออกมา นายทหารก็พุ่งหลบไป
ลูกไฟระเบิดกองเอกสารข้างหลังไหม้เป็นจุณไป แต่ทหารคนนั้นก็ไม่ยอมถอยกลับบุกเข้าหาศัตรูอย่างไม่หยุดยั้ง ศัตรูเองก็เหมือนจะเดาทางออกจึงขยับตัวหลบและเตรียมยิงครั้งต่อไป แต่ก็ไม่ทัน เมื่อทหารหนุ่มรวบข้อมือได้ก็ปัดขึ้นบนไป ลูกไฟก็พลาดไปโดนเพดานแทน เมื่อได้จังหวะแล้วฝ่ายทหารก็ไม่ยอมปล่อยไป เขาหมุนตัวพร้อมกับแทงศอกกระแทกเข้าที่ชายโครงศัตรูจนตัวงอ ต่อด้วยย่อตัวปล่อยหมัดเสยตามไปอีกหมัดหนึ่งจนศัตรูลอยขึ้นไปเล็กน้อยแล้วตามด้วยหมัดตรงสุดท้ายซัดร่างคู่ต่อสู้กระเด็นไปชนกองเอกสารด้านหลังพังระเนระนาด ศัตรูก็หมดทางลุกขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นเอง ศัตรูคนอื่นๆ ก็ออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับแผ่นหินบางอย่างในมือเล็งมาที่ทหารคนนั้นจากทุกทิศทาง เมื่อตกอยู่กลางวงล้อมก็หมดทางหนี แต่ถ้าจะสู้ก็คงได้แค่สู้ตาย ความคิดสุดท้ายที่ออกมาคือกำหมัดแน่นพร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลก แต่ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น ร่างของศัตรูก็กระเด็นไปพร้อมกับเสียงปืนดังลั่น เมื่อศัตรูคนอื่นหันไปหาต้นเสียงก็โดนกราดยิงร่วงไปเสียก่อน คนที่เดินเข้ามาหลังกระหน่ำยิงอีกชุดสองชุดทุกอย่างก็ยุติลง
“ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” เรแกนถามลูกน้อง
“ ไม่เป็นไรครับ ” นายทหารหนุ่มตอบพร้อมกับถอดหมวกออก เขาคือซาเอลนั่นเอง “ ด้านหน้านี้หน่วยสองคุมสถานการณ์ได้หมดแล้วครับ ”
“ นี่คือคุมได้สินะ... ” เรแกนตอบพลางมองร่างของทหารสองนายที่นอนเจ็บกองอยู่กับพื้น “ หน่วยสามกับหน่วยสี่จะมาเคลียร์พื้นที่ส่วนนี้ให้เรียบร้อยในสองนาที ส่วนนาย มากับชั้น พวกเราจะเก็บกวาดศัตรูที่เหลือกันเอง ”
“ ครับ ”
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เสียงปืนก็สงบลง อาคารที่เต็มไปด้วยควันไฟและร่องรอยการต่อสู้ก็ได้รับการปลดปล่อย รถของกองทัพหลายคันรอรับทหารที่บาดเจ็บจากภารกิจอยู่ด้านนอกและทหารกลุ่มสุดท้ายก็ออกมาในที่สุด
“ ฝีมือนายไม่เลวนี่ ” ผู้บังคับบัญชากล่าวชมเชย
“ เพราะได้ฝีมือของผู้กองด้วยผมถึงได้มีโอกาส ” ซาเอลตอบเรียบๆ
“ เป็นทหารใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ แบบนี้ก็น่าจะพอคาดหวังอะไรได้มากกว่าคนอื่นล่ะนะ ” เรแกนกล่าวแล้วก็เดินนำออกไปทิ้งซาเอลไว้เบื้องหลัง
“ อีกแล้วรึ... ” ซาเอลคิดได้เพียงเท่านี้ก็โดนเสียงอื่นแทรกเข้ามา ทหารกำลังคุมตัวผู้ก่อการร้ายไปขึ้นรถ ซึ่งก็กำลังดิ้นรนอย่างเต็มที่พร้อมกับตะโกนโหวกเหวก
“ พวกแกจำเอาไว้นะ! สักวันหนึ่งพวกแกจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม! ” ชายคนนั้นตะโกนพลางดิ้นอย่างเต็มที่เพื่อให้หลุดจากการคุมตัว “ แผ่นดินนี้จะกลับสู่มือเจ้าของในเร็ววันนี้แน่ พวกแกรอก่อนเถอะ ไอ้พวกจอมปลอมที่เสวยสุขบนแผ่นดินของคนอื่น! ”
ซาเอลมองดูชายคนนั้นจนกระทั่งถูกคุมตัวขึ้นรถของกองทัพไป คำพูดของชายคนนั้นก้องอยู่ในหัวครู่หนึ่งก็ถูกสิ่งอื่นเบนความสนใจไป ร่างของผู้บาดเจ็บทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายผู้ก่อการร้ายถูกหามใส่เปลออกมาเตรียมขึ้นรถพยาบาลที่รออยู่ แต่ร่างหนึ่งที่ผ่านซาเอลไปนั้นเป็นร่างของอาชญากรที่ถูกห่อผ้าไว้ทั้งตัวแล้ว ตาของซาเอลมองดูภาพนั้นใกล้เข้ามาจนกระทั่งผ่านหน้าเขาไปด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ทันใดนั้นเอง บางสิ่งก็ร่วงมาจากเปลหามที่ผ่านไป เป็นแผ่นกระดาษแผ่นเล็กๆ จนไม่มีใครสังเกต ซาเอลหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาครู่หนึ่งก็ปล่อยให้ปลิวลงพื้นช้าๆ ก่อนจะออกเดินจากไปทิ้งรูปชายคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกสาวไว้เบื้องหลัง
“ เมจน่ะเป็นคนกลุ่มน้อยที่สร้างปัญหาในสังคม ” วิทยากรกล่าวขึ้นในการบรรยายวันหนึ่ง “ ในทุกพื้นที่จะมีพวกนี้แทรกซึมอยู่โดยที่ไม่มีใครสังเกต อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองมีมากเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ ”
“ อำนาจต่อรอง? ” นายทหารคนหนึ่งเปรยแต่ก็ดังพอที่จะให้วิทยากรได้ยิน
“ ใช่ มีการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มย่อยๆ หลายครั้งเพื่อเรียกร้องสิทธิ์เหนือประเทศนี้ แต่ก็แค่กลุ่มย่อยๆ เท่านั้น ยังไม่มีรายงานว่ามีการปฏิบัติการระดับองค์กรแต่ถ้ามีข้อมูลเข้ามาเมื่อไรก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องจัดการพวกนั้น ” วิทยากรเว้นช่วงหน่อยหนึ่งเมื่อไม่มีใครถามอีกก็พูดต่อ “ นอกจากนั้นก็เป็นอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ การปล้นจี้บ้าง การลักพาตัวบ้าง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงหลังๆ นี้ การรับมือกับอาชญากรที่ใช้เวทย์มนต์นี้อาจเกินกำลังของตำรวจ ซึ่งก็หมายถึงเป็นหน้าที่ของเราเหมือนกัน ”
“ ขอโทษครับ การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของเมจพอจะมีสาเหตุที่อธิบายได้ไหมครับ ” เสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทุกคนในห้องบรรยายก็หันไปพร้อมกันหมด ปลายทางของทุกสายตาคือนายทหารใหม่ที่อยู่กลางห้องนั้นเอง
“ พลทหารคูลวอยซ์...? ”
“ ครับ คือในหนังสือเรียนบอกไว้ว่า เมจเป็นคนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มาก่อนประเทศนี้จะตั้งขึ้นเสียอีก แต่เพราะอะไรในช่วงร้อยปีก่อนที่หน้านี้พวกเขาถึงได้ต้องมาสร้างความวุ่นวายในประเทศด้วย ”
“ ตอนนี้ขอให้เธอลืมหนังสือไปก่อน หน้าที่ของพวกเราคือการปกป้องคนจากการก่อการร้ายและอาชญากรรมที่คนพวกนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง จุดยืนของพวกเธอคือทหารที่คอยปกป้องประเทศนี้ ความสำคัญนี้คือบทบาทที่พวกเธอต้องแบกรับแต่นี้ต่อไป จำไว้แค่นั้นพอเพราะพวกเธอต้องรับผิดชอบชีวิตคนอีกหลายชีวิตหากมีความลังเลใจแล้วล่ะก็ เธอจะพลาดและจะส่งผลร้ายต่อชีวิตคนอื่นด้วย ”
ไม่มีใครถามอะไรอีกเลย แม้แต่ซาเอลก็ฟังโดยไม่ได้ปริปากถามอะไรอีกจนจบการบรรยายทั้งที่ยังมีเรื่องที่คาใจอยู่อีก กองทัพกำลังปิดบังอะไรอยู่ ส่วนหนึ่งในใจของซาเอลยังค้างในข้อนั้น แต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อหน้าที่ของเขาคือปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า คนที่ไม่มีทางต่อสู้ จุดยืนที่เขาก็พอใจแล้ว กองทัพอาจจะปกปิดอะไรอยู่แต่ก็ยังคลุมเครือเกินจะสงสัยให้หนักใจ จนแล้วจนรอด เขาก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประเทศนี้อยู่ดี นี่คือบทสรุปที่ซาเอลได้มา แต่ตอนนั้นซาเอลเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าบางอย่างในตัวเขาเริ่มจะต่อต้านความคิดนั้นแล้ว
“ ทำไมซาเอลมาเป็นทหารล่ะ? ”
“ หืม? ” ซาเอลหันมาหาผู้ถามก่อนจะวางช้อนกับส้อมลง “ ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ? ”
คู่สนทนาของซาเอลเป็นทหารใหม่เช่นกัน เป็นผู้ที่มีแววตาเต็มไปด้วยความฝันของความหนุ่มที่มีพลังล้นเหลือ
“ ก็นายน่ะทั้งหัวดี ฐานะก็ดี มีทางเลือกให้ไปตั้งเยอะแยะ แต่ทำไมมาเป็นทหาร แถมเป็นหน่วยที่ต้องออกงานอันตรายอีกต่างหาก ” เพื่อนทหารของซาเอลถามต่อ
“ นั่นสินะ... ” ซาเอลเปรยก่อนจะพูดต่อ “ เพราะชั้นมีความคาดหวังอะไรอยู่ล่ะมั้ง ”
“ หืม? นายคาดหวังอะไรจากกองทัพล่ะ? ”
“ สังคมที่สงบสุขล่ะมั้ง ” ซาเอลตอบแล้วก็หัวเราะเบาๆ เมื่อไม่ได้รับคำตอบมากกว่านี้แล้วคู่สนทนาก็ตัดใจ
“ ที่ชั้นเป็นทหารก็เพราะไม่มีที่จะไปแล้วน่ะ ” เพื่อนทหารพูดบ้าง “ เมื่อเรียนต่อไม่ได้ ทางเดียวที่จะอยู่ต่อได้ด้วยตัวเองก็มีแต่ยอมเข้าเป็นลูกน้องของกองทัพเท่านั้นเอง ”
“ ลูกน้องกองทัพ งั้นรึ? ” ซาเอลมองคู่สนทนาหน่อยหนึ่งก็ไม่พูดะไรอีก ทันใดนั้นเองทหารอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา
“ พลทหารซาเอล คูลวอยซ์? ” ผู้มาเยือนถามเรียบๆ
“ ครับผม ” ซาเอลตอบพร้อมกับยืนขึ้น
“ ผู้กองบรูชเรียกพบคุณ ตามผมมาตอนนี้เลย ” นายทหารคนนั้นกล่าวเพียงแค่นั้น ซาเอลกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วก็หมดคำพูดเมื่อไม่มีทางอื่นอีก
“ สวัสดี พลทหารคูลวอยซ์ ” เรแกนทักจากหลังโต๊ะทำงาน ตรงหน้าของเขาคือซาเอลที่ยืนอยู่คนเดียวกลางห้อง “ รู้เหตุผลที่ผมเรียกตัวมาที่นี่ไหม? ”
“ ไม่ทราบครับ ” ซาเอลตอบ
“ ที่จำเป็นต้องเรียกคุณมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ ” เรแกนบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ ทางหน่วยกลางตกลงจะเลื่อนยศให้คุณสองชั้น ตอนนี้คุณเป็นสิบเอกแล้ว ”
“ ถ้าเลื่อนยศเพียงเพราะผมมีผลงานโดดเด่นล่ะก็คงไม่จำเป็นต้องมีเรื่องต้องปิดคนอื่นใช่ไหมครับ ”
“ นึกแล้วว่าคิดถูกที่เลือกคุณ ” เรแกนยิ้มหน่อยหนึ่งก็หยิบบางอย่างมาวางตรงหน้า “ นี่คืออุปกรณ์สำหรับสิบเอก ทั้งดาวทั้งเครื่องแบบอยู่ในนี้ทั้งหมด แต่คุณไม่ต้องหยิบไปหรอก ”
ซาเอลมองหน้าเรแกนเว้นช่วงหน่อยหนึ่งเพื่อรอคำตอบและคำตอบนั้นก็ตามมาเร็วกว่าที่คาด
“ เมื่อมีอำนาจมากขึ้นก็ต้องมีภาระมากขึ้นตาม ” เรแกนยิ้มพลางเลื่อนกองอุปกรณ์ของซาเอลไปอีกทางหนึ่งแล้วหยิบเอกสารอื่นมาวางแทน “ เข้าเรื่องเลยดีกว่า นี่คือเอกสารสำหรับภารกิจของคุณ ” ซาเอลรับไปอ่านดูคร่าวๆ ก็พูดขึ้น
“ สายลับ? ”
“ ใช่ นายทหารยศสิบเอกขึ้นไปเท่านั้นที่มีอำนาจออกปฏิบัติภารกิจด้วยตัวคนเดียวได้ เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดแบบนี้ ” เรแกนกล่าว “ ภารกิจของคุณคือสืบหาองค์กรใต้ดินแห่งหนึ่งในโฮแอ็คนี้ เป็นองค์กรเล็กๆ ที่ยังไม่มีข่าวการเคลื่อนไหวมากมายนัก แต่ถึงจะเป็นองค์กรเล็กขนาดไหนก็อาจเติบโตเป็นภัยในอนาคตได้ ”
“ ข้อมูลอื่นล่ะครับ รายชื่อผู้ต้องสงสัย หรือชื่อผู้นำองค์กร? ”
“ ทุกอย่างที่เรารู้อยู่ในเอกสารนั่น ” เรแกนตอบ “ ข้อมูลที่เรามีก็เพียงมีการรวมกลุ่มของเมจเริ่มเคลื่อนไหวเท่านั้น ไม่รู้จำนวน ไม่รู้เป้าหมาย นี่คือหน้าที่ของคุณที่ต้องหาข้อมูลพวกนี้ ”
“ ทำไมถึงต้องเป็นผม? ” ซาเอลถาม “ ผมเพิ่งเข้าประจำการได้ไม่นาน แต่กลับได้รับภารกิจ ได้เลื่อนขั้นแบบนี้ ”
“ เพราะคุณมีศักยภาพ ” เรแกนตอบเรียบๆ “ สำหรับกองทัพแล้วคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ คนที่มีความสามารถก็ก้าวหน้า เมื่อคุณแสดงตัวแล้วว่ามีศักยภาพ คุณก็ได้รับผลตอบแทนนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของกองทัพคือพลังความสามารถ ตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในกองทัพก็ขอให้จำใส่ใจไว้ด้วยว่าต้องใช้กฎนี้ ”
ซาเอลหมดคำพูดในที่สุด ตราบที่เขายังอยู่ในกองทัพ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ เมื่อได้รับงานมาก็ต้องปฏิบัติตาม เป็นกฎเหล็กของที่นี่ซึ่งซาเอลต้องยอมรับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในกองทัพ
“ ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ ” เสียงของมาฮันดังออกมาจากโทรศัพท์ฝั่งซาเอล
“ อย่าถามแบบนั้นบ่อยสิครับ ท่านอาจารย์ ” ซาเอลตอบ “ ตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจเข้ากองทัพแล้วผมก็ตัดสินใจแน่นอนแล้ว ”
“ นั่นมันตอนนั้น นี่นมันตอนนี้ ” มาฮันตอบเรียบๆ “ ข้าดีใจที่ห็นแกก้าวหน้า แต่อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นนัก การตัดสินใจในตอนนั้นอาจจะดีที่สุกสำหรับแกแล้วก็จริง แต่อย่าได้ทิ้งโอกาสที่ดีกว่าเพียงเพราะความยึดติดของแกเลยเชียว นี่คือข้อแนะนำสุดท้ายก่อนแกจะเริ่มงาน ”
“ ผมไม่เข้าใจ ”
“ ข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องอธิบายนี่หว่า ”
วันถัดมาซาเอลออกจากเขตกองทัพเพื่อเริ่มภารกิจ เครื่องแบบกองทัพและการเข้าออกกองทัพบ่อยเกินไปจะเป็นผลเสียต่อภารกิจของเขา ดังนั้นซาเอลจึงต้องออกจากกองทัพระยะหนึ่งจนกว่าภารกิจของเขาจะจบลง
ซาเอลอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนกไทสีดำและกางเกงขายาวสีดำ เป็นชุดเครื่องแบบนักศึกษาที่ทางบ้านซื้อเตรียมไว้ให้แต่เขาไม่มีโอกาสได้ใส่ เพราะเขาตัดสินใจเข้ากองทัพทำให้หลายคนผิดหวังมากเท่าๆ กับความคาดหวังที่คนอื่นมีในตัวเขา แต่ซาเอลตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เสียใจทีหลัง หรือว่านี่คือสิ่งที่มาฮันพยายามบอก เขากำลังทำผิดพลาดในการเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะเดินทางสายนี้งั้นหรือ? ซาเอลคิดแล้วก็ต้องหยุดคิดเพราะตอนนี้ภารกิจของเขาต้องมาก่อน และตอนนี้ยังมืดแปดด้าน
“ ว้าย! ”
เสียงร้องดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของใครคนหนึ่งชนเข้าอย่างจังจนข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นและเจ้าตัวก็ล้มลงเช่นกัน ซาเอลมัวแต่เดินคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนลืมมองทางจนเดินชนคนอื่นเข้า
“ ขะ...ขอโทษครับ ผมเดินไม่ดูเอง ” ซาเอลกล่าวแล้วรีบช่วยเขาพยุงตัวยืนขึ้นทันที
“ มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ” เด็กสาวตอบค่อยๆ ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นจากกระโปรงแล้วก็ยิ้มแห้งๆ “ ขอโทษค่ะ พอดีชั้นเองก็เดินไม่ดูเหมือนกัน ”
เด็กคนนั้นเป็นเด็กสาวท่าทางอายุน้อยกว่าซาเอลพอสมควร สวมแว่นตาอันใหญ่และใส่ชุดสีชมพูตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมสีน้ำตาลมัดเป็นหางม้าปล่อยยาวไปถึงกลางหลัง ซาเอลมองเด็กคนนั้นครู่หนึ่งก็พูดต่อ
“ เอ่อ เดี๋ยวผมช่วยนะครับ ” ซาเอลบอกพลางก้มลงหยิบข้าวของที่หล่นอยู่เต็มพื้นซึ่งมากมายเกินกว่าที่เด็กสาวตัวเล็กๆ ควรจะยกมาตั้งแต่แรก
“ อ๊ะ...ขอบคุณค่ะ ” เด็กสาวบอกพลางก้มลงช่วยอีกแรง “ ยกไปที่รถคันนั้นเลยนะคะ ”
เมื่อซาเอลมองไปก็เห็นรถคันใหญ่จอดรออยู่ บนนั้นมีทั้งโต๊ะ ตู้ และเครื่องเรือนอื่นๆ เต็มไปหมดราวกับจะย้ายบ้าน
“ ตอนนี้เรากำลังขนของย้ายบ้านกันอยู่น่ะคะ ” คำตอบมาเร็วกว่าที่คิด
“ ไม่มีคนอื่นช่วยงานอีกหรือครับ ” ซาเอลบอกพลางมองไปรอบๆ “ ผู้หญิงคนเดียวขนของมากมายขนาดนี้แย่เลย ”
“ อ๋อ ไม่ได้คนเดียวหรอกค่ะ ” เด็กสาวบอกพลางวางของงบนรถ “ ข้างในยังมีคนช่วยอีก... ”
“ เฮ้ คาเร็น มายกลังตรงนี้ต่อเลยนะ! ” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ ค่า~ ” คาเร็นตอบก่อนจะหันมาหาซาเอล “ ขอตัวก่อนนะคะ ”
ซาเอลมองเด็กสาวเดินจากไปตรงไปที่กองสัมภาระกองใหญ่แล้วก็ถอนหายใจยาว
“ ยกนี่ไปก่อนนะ แล้วก็... ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งบอกแต่ก็ชะงักไป “ นั่นใคร? ”
“ เอ๋? ”
“ โทษทีนะครับ แต่ให้ผมช่วยยกเถอะ ” ซาเอลบอกพลางมองไปที่ข้าวของที่กองอยู่สูงเกือบท่วมหัว
“ ขอบคุณค่ะ เอ่อ...คุณ ”
“ ซาเอล ” ซาเอลตอบสั้นๆ
“ ค่ะ ชั้นชื่อคาเร็นค่ะ ” เด็กสาวตอบพลางหันไปที่อีกคนหนึ่ง
“ ชั้นชื่อมิลเน่ ” เด็กสาวตอบ เธออยู่ในชุดสีน้ำเงินสวมหมวกสีเดียวกัน ตัวมอมแมมด้วยฝุ่นที่คาดว่าจะมาจากการขนของย้ายบ้านครั้งใหญ่ครั้งนี้ “ ขอบใจในความมีน้ำใจนะคะ ”
“ ขอบใจพวกเธอมากนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้พวกเธอก็คงแย่แน่เลย ” หญิงชรากล่าวขึ้นหลังจากนั้นเกือบสามชั่วโมง เบื้องหน้าของเธอเป็นเด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งลงกับสนามหญ้าหมดแรงจนหยาดสุดท้าย เนื้อตัวมอมแมมแต่ก็ยิ้มรับคำขอบคุณอย่างเต็มใจ
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ” มิลเน่ตอบพลางเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก “ พวกเราเต็มใจช่วยอยู่แล้วนี่เนอะ ”
“ ค่ะ ” คาเร็นพยักหน้ารับ ส่วนซาเอลนั้นพยักหน้าให้หน่อยหนึ่งก็หอบต่อ
“ ถ้าไม่ได้พ่อหนุ่มคนนั้นพวกเธอก็แย่เหมือนกันนะ ” ชายชราเจ้าของบ้านเดินออกมาพร้อมกับถาดขนมยื่นให้เด็กทั้งสามคนซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธ
“ ขอบใจพวกเธอมากนะ ” ชายชรากล่าวอีกครั้งขณะเตรียมติดเครื่องรถ ข้าวของถูกขนขึ้นมาหมดแล้วและชายชราก็กำลังจะเคลื่อนย้ายของไปในที่สุด “ ขอให้งานของเธอสำเร็จด้วยดีนะ ”
“ ค่ะ ” มิลเน่ยิ้มรับ แต่ซาเอลรู้สึกติดใจอะไรบางอย่างอยู่ จนกระทั่งรถแล่นออกไปลับตา
“ งานของเธอ...? ” ซาเอลเปรย
“ จะว่าไป นายก็หน่วยก้านดีนี่นา ” มิลเน่หันมาหาซาเอลพลางยิ้มที่มุมปาก ซาเอลมองหน้าเธอแล้วมือหนึ่งก็กุมเอกสารที่ได้จากเรแกนแน่น
“ เธอชื่อมิลเน่ใช่ไหม?... ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องทำงานของเรแกนครั้งสองครั้ง เจ้าของห้องก็รับสาย
“ สวัสดีครับ ”
“ ดูเหมือนว่าผมจะพบเป้าหมายแล้วครับ หัวหน้า ” ซาเอลกล่าว
“ การแทรกซึมล่ะ? ”
“ ถลำเข้ามาเต็มตัวเลยล่ะครับ ” ซาเอลตอบพลางถอนหายใจ
“ ดีแล้ว อย่าให้มีพิรุธ ค่อยๆ เก็บข้อมูลส่งมาที่นี่เรื่อยๆ ” เรแกนบอก “ อย่าใช้โทรศัพท์อีก หาทางอื่นส่งข้อมูลกลับมาโดยไม่ให้ผิดสังเกต ”
“ ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว ” ซาเอลพูดเพียงเท่านี้ก็วางสายอย่างเร่งร้อน
“ ...งาน? ”
“ ซาเอลอย่าอู้สิยะ! ”
เสียงของมิลเน่แผดลั่นไปทั้งห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม ในห้องนั้นมิลเน่ คาเร็นและคนอื่นๆ กำลังก้มหน้าก้มตาปัดกวาดเช็ดถูกันยกใหญ่
“ เอ้านี่สำหรับนาย ” มิลเน่บอกพลางยื่นไม้ถูพื้นกับผ้ากันเปื้อนให้ “ ไปจัดการมุมโน้น ชั้นจะจัดการทางนี้เอง ถ้าเสร็จช้ากว่าชั้นล่ะก็ รู้นะว่าจะโดนอะไร ” ซาเอลรับของมางงๆ แต่ก็ไปทำงานโดยไม่อิดออด
“ ที่นี่จะเป็นที่ทำงานใหม่ของพวกเราขัดถูกันให้สะอาดเลยนะ” มิลเน่บอกหลังจากเริ่มงานไปได้เกือบชั่วโมงพลางเดินไปที่กลางห้องแล้วแกะผ้าโพกหัวออก “ นี่ทางนั้นยังไม่เสร็จอีกหรอ ช้าจริงๆ ”
“ อื้อ ยังเหลืออีกนิดหน่อยน่ะ ” ซาเอลหันมาตอบพลางเร่งมือถูพื้น แต่มิลเน่ก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถังน้ำส่งให้ซาเอล “ อื๋อ? ”
“ ตามที่บอก ถ้าเสร็จช้ากว่าชั้นล่ะก็ไปถูตรงนั้เพิ่มอีกแล้วกัน ” มิลเน่ตอบยิ้มๆ แต่ซาเอลหน้าเจื่อนลงทันที
“ อื้อๆ ได้เลย ” ซาเอลตอบพลางรับถังน้ำมาจากมิลเน่
“ ว้า น่าเบื่อจริงๆ เลย นายเนี่ย ” มิลเน่บอกพลางเดินผละออกมาก่อนจะหันขวับไปอีกครั้ง “ อะไรอะไรก็ครับๆ รับไว้หมด ไม่มีเถียง ไม่มีหือเลย ถ้าไม่อยากทำอะไรบอกมาก็ได้ ”
“ ก็ไม่ได้ฝืนใจอะไรนี่ ” ซาเอลตอบแต่มิลเน่เดินตรงเข้ามาพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มที่อกของซาเอลทีหนึ่ง
“ นั่นน่ะอันตรายแล้วนะ ” มิลเน่พูดเสร็จก็เดินจากไป ทิ้งให้ซาเอลยืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มงานต่อ
“ ให้ชั้นช่วยนะคะ ” คาเร็นเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบไม้ถูพื้นอันหนึ่งจุ่มน้ำช่วยซาเอลถูพื้น “ คุณมิลเน่น่ะไม่ชอบคนที่ว่าง่ายนักหรอกค่ะ ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือชอบที่จะมีคนที่เถียงกันได้มากกว่า ”
“ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? ” ซาเอลถาม “ นึกว่าคนที่เป็นหัวหน้าจะชอบคนที่สั่งงานง่ายมากกว่าเสียอีก ”
“ แปลกใช่ไหมล่ะคะ? ” คาเร็นตอบแล้วก็หัวเราะเบาๆ
ซาเอลฟังแล้วก็คิดในใจ ที่นี่ต่างกับกองทัพที่คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นสิทธิ์ขาด หรือจะที่ใดก็ตามที่มีผู้นำกับผู้ตาม การที่สั่งงานได้จะทำให้งานดำเนินไปตามแผนการและส่งผลดีมากว่า สิ่งที่เขาเห็นในผู้นำกลุ่มใต้ดินเล็กๆ นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจนักแต่มันก็จะอยู่ในรายงานที่เขาจะส่งกลับกองทัพแน่นอน
องค์กรใต้ดินยูไนเต็ดวันเป็นองค์กรเล็กๆ ตามรายงานที่ได้รับ สมาชิกมีเพียงไม่ถึงสิบคนในพื้นที่นี้ ซึ่งซาเอลก็ไม่รู้ว่ามีกลุ่มเดียวกันที่อื่นอีกหรือไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องตรวจสอบต่อไป การดำเนินงานของกลุ่มก็ไม่มีอะไรน่าจับตามองเป็นพิเศษ นอกจากการทำความสะอาดห้อง ช่วยขนของย้ายบ้าน ช่วยคนแก่ข้ามถนนแล้วก็ไม่มีอะไรที่บอกว่าจะเป็นภัยต่อกองทัพหรือความมั่นคงของประเทศเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้จากเรแกนมาก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน มิลเน่ แกรนด์ฟิลด์เป็นเมจ และสมาชิกขององค์กรนี้เท่าที่เห็นก็มีทั้งคนที่เป็นเมจและฟิสิกส์ปะปนอยู่ ซึ่งสำหรับซาเอลแล้วเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาเลยจริงๆ ภาพของเมจกับฟิสิกส์ที่เขาเคยเห็นอยู่ด้วยกันก็มีเพียงในสนามรบเท่านั้น
“ ทำอะไรอยู่หรือคะ? ” เสียงของคาเร็นแทรกเข้ามาทำลายความเงียบของห้องอย่างกะทันหันจนซาเอลสะดุ้ง แต่กระนั้นรายงานที่เขาเขียนอยู่ก็ถูกเก็บไปอย่างรวดเร็ว
“ อะ...เอ้อ มีอะไรหรอ ” ซาเอลกลบเกลื่อน
“ กาแฟค่ะ ” คาเร็นยิ้มพลางยื่นแก้วกาแฟให้ ซาเอลรับมาดื่มแล้วก็ยิ้มบ้าง
“ เธอชงกาแฟเก่งนะ ”
“ ขอบคุณค่ะ ” คาเร็นยิ้มรับพลางมองบนโต๊ะ “ เขียนจดหมายอยู่หรอคะ? ”
“ อะ อื้อ ” ซาเอลตอบพลางซุกแผ่นกระดาษมิดชิดขึ้น
“ เอ่อ ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเวลาส่วนตัวหรอกนะคะ ” คาเร็นบอกพลางหันหลังเตรียมจะเดินออกไป
“ มะ...ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกนะ ” ซาเอลรีบแก้ “ ที่จริง มีเรื่องอยากจะถามเธอเหมือนกัน ”
คาเร็นหันกลับมาก็พอดีกับที่ซาเอลเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง
“ มีอะไรหรอคะ? ” คาเร็นถาม
“ อืม...องค์กรนี้ ตั้งใจทำอะไรกันแน่ ”
“ ท่าทางคุณซาเอลจะยังไม่คุ้นกับที่นี่สินะคะ ” คาเร็นหัวเราะเบาๆ “ จะเรียกว่าองค์กรของพวกเราก็ได้ค่ะ ”
ซาเอลชะงักไปเล็กน้อยก็กลบเกลื่อนเบาๆ
“ อื้อ บรรยากาศไม่คุ้นเคยน่ะ ” ซาเอลบอก “ ไม่เหมือนที่ทำงานเก่าที่เคยทำเลยสักนิดเดียว ”
“ คุณซาเอล...เคยทำงานที่ไหนมาก่อนหรือคะ? ”
“ เอ่อ... ” ซาเอลอึ้งไปเล็กน้อย สถานภาพของเขากลายเป็นผู้ถูกถามไปแล้ว และก็เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบเสียด้วย “ บริษัทน่ะ เจ้านายเข้มงวดมาก...อืม ไม่เหมือนที่นี่เลย ”
แม้จะเป็นเพียงการกลบเกลื่อนแต่ซาเอลเองก็คิดอยู่อย่างนั้นจริงๆ การวางระบบองค์กรต่างจากกองทัพราวกับฟ้ากับเหว ไม่มีระบบสายงาน หัวหน้าองค์กรเองก็ลงมาทำงานเหมือนลูกน้องเหมือนไม่มีหัวหน้าอย่างนั้น เหมือนองค์กรมือสมัครเล่นก็จริง แต่ส่วนลึกในใจของซาเอลก็ยอมรับว่าชอบอยู่ในที่แบบนี้มากกว่าในระบบถืออำนาจในกองทัพเสียอีก
“ ที่นี่แปลกกว่าที่อื่นล่ะค่ะ ” คาเร็นหัวเราะอีกครั้ง “ คงเป็นเพราะคุณมิลเน่ล่ะมั้งคะ ”
“ หัวหน้ามิลเน่...เขาต้องการทำอะไรกันแน่ ”
“ คุณซาเอลก็ฟังแล้วนี่คะ? ” คาเร็นกล่าว “ เอ...หรือว่าตอนนั้นคุณซาเอลหลับไป? ”
“ อะ...เอ้อ คงอย่างนั้นล่ะมั้ง ” ซาเอลกลบเกลื่อนอีก ที่จริงเขายังมีสติอยู่ แต่เวลานั้นเขามัวแต่พะวงกับภารกิจและความบังเอิญที่พบตัวเป้าหมายจนเกินไป ตอนนั้นความคิดของซาเอลหลุดไปไกล แต่สุดท้ายก็มาจบที่การเข้าร่วมกลุ่มในที่สุด “ ฟังดูเหมือนฝันไปงั้นล่ะ ”
“ เรื่องที่คุณมิลเน่จะทำก็เหมือนความฝันนะคะ ” คาเร็นตอบ “ การจะรวมเมจกับฟิสิกส์เข้าด้วยกันได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ”
“ รวมเมจกับฟิสิกส์เข้าด้วยกัน? ”
“ ค่ะ ก็คือการสร้างสังคมที่ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่มีการทำร้ายกันเหมือนอย่างในตอนนี้ ” คาเร็นตอบซึ่งซาเอลก็รู้สึกสะกิดใจเล็กน้อยกับเรื่องที่เขาทำก่อนหน้านี้ “ สังคมจะน่าอยู่ขึ้นเพราะไม่มีการแบ่งแยก พอไม่มีการแบ่งแยกก็ไม่มีการทำร้ายกันเพราะเชื้อชาติเป็นชนวน ชั้นเองก็คิดว่าโลกอย่างนั้นน่าอยู่กว่านะคะ ”
“ เท่าที่ดู ไม่เห็นว่าหัวหน้ามิลเน่คิดจะทำอย่างนั้นได้เลยนี่ ” ซาเอลเปรย “ ทุกวันนี้พวกเราก็ทำแต่เรื่องพื้นๆ ทั้งนั้นเลยนี่นา ”
“ ค่ะ คุณมิลเน่เคยบอกว่า การจะเปลี่ยนอะไรต้องเริ่มที่ส่วนฐาน ” คาเร็นบอก “ ก่อนหน้านี้เคยมีองค์กรหลายองค์กรพยายามจะเจรจากับรัฐบาลเพื่อทำอย่างเดียวกัน แต่เพราะเป็นประชาธิบไตยเกินไป มติในรัฐบาลจึงไม่สามารถตอบรับได้ ”
“ เพราะอย่างนั้นจึงคิดจะเริ่มที่รากหญ้าสินะ ” ซาเอลเปรย “ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นทำอะไรเป็นพิเศษเลยนี่ ”
“ เพราะว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษไงคะ ” คาเร็นตอบ “ ที่เราช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อน ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเมจหรือฟิสิกส์ก็ตาม ก็เพราะสังคมที่เราต้องการสร้างเป็นอย่างนั้น ถ้าทำให้คนอื่นเห็นอย่างนั้นได้ ก็เท่ากับว่าก้าวแรกของพวกเราสำเร็จแล้วค่ะ ไม่ใช่การบังคับหรือการชี้นำ แต่ใช้การกระทำธรรมดาๆ นี่เป็นตัวสื่อให้พวกเขาเข้าใจพวกเรา ”
ซาเอลเว้นช่วงเล็กน้อย ตาของเขาเห็นแววตาของคาเร็นสดใสเหมือนกับเด็กที่กำลังเห็นได้รับคำชม เหมือนเด็กที่เห็นความฝันของตัวเองอยู่ตรงหน้าและกำลังจะคว้าไว้ได้
“ หัวหน้ามิลเน่ตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ น่ะรึ? ” ซาเอลทวน
“ ค่ะ เห็นอย่างนั้นแต่คุณมิลเน่ก็พูดแล้วทำจริงนะคะ ” คาเร็นตอบยิ้มๆ “ ไม่ว่าเค้าคิดจะทำอะไรก็งลงมือเองทุกครั้งเลย อย่างที่เห็นนั่นล่ะค่ะ ”
“ นั่นเป็น... ” ซาเอลเหมือนจะถามอะไรต่อแต่ก็ชะงักไว้ เขาเกือบจะถามว่า นั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงแล้วหรือว่ามีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่ แต่นั่นคงไม่เหมาะในตอนนี้ “ นั่นเป็น...เรื่องที่เขาคิดว่าจะทำได้จริงๆ งั้นรึ? ”
“ นั่นสินะคะ แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่เชื่ออย่างนั้นทุกคนจึงได้มารวมกันที่นี่ค่ะ ”
บางสิ่งในใจซาเอลกำลังขยายตัวออกใหญ่ขึ้น ความรู้สึกหลังจากที่ได้ฟังเป้าหมายสูงสุดขององค์กรนี้แล้วเกิดแรงสะท้อนเข้ากับใจเขาอย่างรุนแรง การรวมเมจกับฟิสิกส์เข้าด้วยกันก็อาจจะสร้างสังคมที่สงบสุขอย่างที่เขาคาดหวังก็ได้กองทัพมุ่งสร้างสังคมที่สงบสุข แต่เป็นเพียงสังคมของพวกฟิสิกส์เท่านั้น การได้มาทำภารกิจนี้ทำให้สายตาของซาเอลเปิดกว้างขึ้น ประเทศนี้ไม่ได้มีเพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ยังมีเมจอีหลายคนที่ดิ้นรนนอกจากการก่อการร้ายอยู่อีกมาก และการที่สังคมสร้างกฎขึ้นมาสำหรับปฏิบัติกับเมจอย่างคนร้ายนั้นเป็นเรื่องที่ซาเอลเพิ่งคิดได้ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างที่สุด เขาต่อสู้มาตลอดเวลาที่อยู่กองทัพหวังที่จะสร้างสังคมที่สงบสุข แต่เขายังไม่ได้แม้แต่กำหมัดทำร้ายใครนับแต่แทรกซึมเข้ามาในองค์กรนี้ ในขั้นนี้แล้ว ซาเอลก็สุดที่จะห้ามให้ความรู้สึกส่วนตัวมีอิทธิพลในรายงานของเขาไม่ได้
“ ถ้าประเทศนี้เปลี่ยนไปอย่างนั้นได้ ก็คงดีสินะ ” ซาเอลกล่าวในที่สุด
“ ค่ะ ” คาเร็นยิ้มละไม
ทุกอาทิตย์จะมีงานหนึ่งที่ซาเอลรับผิดชอบประจำ นั่นคือส่งจดหมาย องค์กรนี้ใช้การส่งจดหมายในการติดต่อระหว่างกลุ่ม ซึ่งสิ่งนี้ซาเอลก็เพิ่งรู้เหมือนกัน จดหมายจะถูกส่งในนามของชื่อของสมาชิกด้วยกัน ซึ่งจะไม่สะดุดตาของเจ้าหน้าที่แน่นอน การแบกจดหมายหลายสิบฉบับไปส่งนั้นเป็นงานเหนื่อย แต่ซาเอลก็รับหน้าที่นี้อย่างเต็มใจ เพราะเป็นทางเดียวที่เขาจะรอดสายตาคนอื่นๆ ไปส่งจดหมายหรือรายงานของเขาได้โดยไม่ผิดสังเกต ทุกครั้งที่เขาส่งจดหมายนั้นเอง ความคืบหน้าขององค์กรทุกอย่างจะไปถึงมือเรแกน
“ เป็นอย่างไรบ้างครับ? ” นายทหารคนหนึ่งถามขึ้นขณะที่เรแกนกำลังอ่านรายงานของอาทิตย์นี้
“ ได้ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ” เรแกนตอบเรียบๆ “ เพียงแต่ พักนี้รู้สึกว่าจะขาดความละเอียดไปหน่อย ”
“ ความละเอียดรึครับ? ”
“ ข้อมูลส่วนลึกน่ะ มีแต่ข้อมูลผิวเผินเท่านั้นเอง แล้วก็... ”
“ แล้วก็? ”
“ เปล่าไม่มีอะไรหรอก ” เรแกนตัดบท แต่ในใจเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในรายงานของซาเอลแล้ว เริ่มมีการแทรกความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาในรายงาน ซึ่งปัจจัยนั้นจะส่งผลที่ไม่พึงประสงค์ให้กับกองทัพแน่ๆ “ เตรียมตัวกันเถอะ ได้เวลาเก็บกวาดแล้ว ”
“ เหอ? ”
“ วันนี้วันซื้อของค่ะ ” คาเร็นหันไปตอบซาเอลที่ทำหน้าเหมือนตกใจที่เห็นเธอร่วมทางมาด้วย “ ขอร่วมทางด้วยนะคะ ”
“ อื้อ ” ซาเอลตอบพลางหยิบห่อจดหมายไปด้วยกัน แต่จดหมายของเขาอยู่ในกระเป๋าอย่างดี
“ คุณซาเอลชอบส่งจดหมายหรือคะ? ”
“ ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ? ”
“ ก็เห็นรับหน้าที่นี้มาตลอดไม่เคยบ่นเลยนี่คะ ปกติหน้าที่นี้มีแต่คนบ่นอย่างโน้นอย่างนี้ ”
“ นั่นสินะ เพราะเหมือนออกมาเดินเล่นล่ะมั้ง ” ซาเอลตอบ
“ ยังไงก็อย่าเดินเล่นนานนะคะ มีงานรออยู่เยอะเลย ” คาเร็นบอกพลางหัวเราะเบาๆ
“ เหนื่อยอีกแล้วสิวันนี้ ” ซาเอลตอบแล้วก็หัวเราะบ้าง
ทันใดนั้นเองซาเอลก็จับความผิดปกติรอบตัวได้ บางสิ่งแปลกไป ถนนที่ผ่านมาจนคุ้นเคยมากจนจับความผิดปกติได้ชัดเจน ไม่ใช่เพียงความเงียบที่เงียบผิดปกติ สัญชาติญาณที่คอยบอกอันตรายที่ช่วยซาเอลนับครั้งไม่ถ้วนกำลังเตือนว่า อันตรายกำลังรออยู่ ซาเอลหันไปหาคาเร็นเพื่อจะเตือนเรื่องนี้แต่ก็สายไปเสียแล้ว อึดใจเดียวกับที่ซาเอลหันกลับนั้นเอง ร่างของทหารหลายสิบคนก็ออกมาจากที่ซ่อน ก่อนที่ซาเอลจะทำอะไรทัน ทั้งสองคนก็โดนล้อมไว้ทุกทิศทางด้วยทหารที่มีอาวุธครบมือ
“ นี่มันอะไรกัน! ” ซาเอลร้องพลางใช้มือกันคาเร็นไว้ “ กองทัพงั้นรึ? ทำไมทหารมาอยู่ที่นี่? ” ซาเอลพยายามทำตัวให้ตกใจเหมือนคนทั่วไปเวลาโดนล้อมด้วยอาวุธครบมือ ทั้งนี้ เพราะคาเร็นมาด้วยเขาจึงไม่สามารถแสดงท่าทีที่คุ้นเคยกับกองทัพได้ แต่ตามจริงเขาเองก็ตกใจไม่น้อย
“ ไม่ต้องแกล้งกลบเกลื่อนแล้ว สิบเอกคูลวอยซ์ ” เสียงของเรแกนดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาเดินเข้ามาตามช่องที่ทหารเปิดทางให้ “ จากนี้เราจะควบคุมพื้นที่นี้เอง ”
“ หัวหน้าเรแกน!? ”
“ คุณซาเอล? ” คาเร็นหันไปหาซาเอล ซึ่งซาเอลก็รู้แล้วว่าหมดทางปิด แต่เรื่องนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
“ หัวหน้าเรแกน ภารกิจนี้ผมเป็นคนรับผิดชอบ ” ซาเอลกล่าวเสียงเข้ม
“ ใช่ และคุณก็ทำงานได้ดีมากด้วย ” เรแกนตอบเรียบๆ “ จนถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อคุณได้ข้อมูลเบื้องต้นมาทั้งหมดก็เหลือเพียงข้อมูลจากแหล่งตรงเท่านั้น ส่วนนั้น ทางเราจะสอบสวนเอง คุณถอยไปได้แล้ว ”
นายทหารคนหนึ่งก้าวเข้ามาเตรียมจะเข้าคุมตัวคาเร็น แต่ทันใดนั้นเอง ซาเอลก็ซัดทหารคนนั้นคว่ำไปเสียก่อน คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่ขยับปืนเตรียมพร้อมทันที แต่เรแกนให้สัญาณห้ามไว้
“ คิดจะทำอะไร? ”
“ ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้เรื่องของคนกลุ่มนี้ดีกว่าหัวหน้านะครับ ” ซาเอลตอบ “ คนพวกนี้ไม่มีทางทำอันตรายต่อประเทศหรือต่อใครอื่นแน่ๆ ”
“ เรื่องนั้นเบื้องบนจะเป็นคนตัดสินเอง ” เรแกนกล่าว “ หน้าที่ของคุณคือคุมตัวผู้ต้องสงสัยมาให้เราเท่านั้น ”
“ หัวหน้าครับ! ”
“ พอได้แล้ว ผมกำลังเห็นคุณปกป้องผู้ต้องสงสัยนะ สิบเอกคูลวอยซ์ ” เรแกนกล่าวเสียงเข้มขึ้น “ ทหารอย่างเรามีหน้าที่ปกป้องความสงบสุขของประเทศและทุกๆ คน แม้เป็นเพียงเชื้อร้ายที่ยังเป็นหน่ออ่อนอยู่ก็ต้องกำจัดให้หมดสิ้น ”
“ ผมยอมไม่ได้ ”
“ เพราะอย่างนั้นผมถึงเตรียมคนมาเยอะขนาดนี้ไงล่ะ ” เรแกนตอบเรียบๆ “ คิดว่าการคุมตัวผู้ต้องสงสัยต้องใช้คนมากขนาดนี้เชียวหรือ? นั่นก็เผื่อในกรณีนี้ไงล่ะ ”
“ ว่าไงนะ!? ”
“ ทางกองทัพสังเกตคุณตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ” เรแกนอธิบาย “ ความหวั่นไหวที่ปรากฏอยู่ในรายงานของคุณปิดผมไม่มิดหรอก เมื่อคุณแสดงออกว่าไม่เกิดประโยชน์กับกองทัพแล้วก็ต้องออกไป ”
ซาเอลมองไปรอบๆ เห็นทหารล้อมอยู่ทุกทิศทางก็รู้ว่าหมดหวังจะชนะ ร้ายกว่านั้น ถ้าคาเร็นถูกคุมตัวไปสอบสวนองค์กรก็ไปไม่รอด มาถึงขั้นนี้แล้วซาเอลก็หยุดคิดทันที ทำไมเขาต้องห่วงการอยู่รอดขององค์กรนั้นด้วย? เขาคือทหารองค์กรนั้นเป็นผู้ต้องสงสัย ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะห่วงด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในใจซาเอลขยายใหญ่ขึ้นจนซาเอลเกินจะปิดบังแล้ว ความรู้สึกนั้นคือความขัดแย้งที่สั่งสมมาตลอดตั้งแต่เข้ากองทัพ การต่อสู้ การทำร้ายกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาแม้แต่น้อย ที่เขาต้องการคือสังคมที่สงบสุข สังคมที่สงบสุข สังคมที่สงบสุข
“ เตรียมตัวเข้าจับกุม! ” เรแกนสั่งเสียงดัง ซึ่งก็แทบจะพร้อมกับที่ซาเอลเคลื่อนไหว หมัดของซาเอลซัดใส่ร่างของทหารคนที่อยู่ใกล้ที่สุดร่วงไป แต่คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่ก็เล็งปืนมาที่เขาพร้อมเช่นกัน
“ นี่คือคำตอบสินะ ” เรอกนให้สัญญาณลงมือ ปืนทุกกระบอกที่เล็งไปที่ซาเอลก็พร้อมลั่นไก
เสียงปืนแผดลั่นดังสนั่นถนนสายนั้นเพียงแต่เป้าหมายคือท้องฟ้า ปืนทุกกระบอกหันปลายปืนขึ้นฟ้า เมื่อสังเกตดีๆ แล้ว รากไม้โปร่งใสพันอยู่ที่ปืนทุกกระบอก และก่อนปืนจะลั่นไก รากไม้ก็ดึงปากกระบอกขึ้นฟ้าไปทั้งหมด ทั้งเรแกนและทหารทุกคน หรือแม้กระทั่งซาเอลก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน
“ Ethereal tendril Sword! ”
เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาพร้อมกันนั้นรากไม้โปร่งใสก็ดึงปืนหลุดมือไป ลากไปกับพื้นถนนตรงไปที่ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ตัว ชายคนนั้นสวมชุดยีนทับเสื้อสีน้ำตาลไว้ ผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องมาที่กลุ่มทหารเขม็ง บนใบหน้ามีรอยสักรูปเขี้ยวที่ใต้ตาทั้งสองข้าง มือถือดาบเล่มใหญ่ไว้แน่น
“ นั่นใคร...? ” ซาเอลเปรย
“ คุณวินเซ็นต์! ” คาเร็นร้องอย่างดีใจ
“ ...ปลอดภัยใช่ไหม? ” วินเซ็นต์ถามเรียบๆ และโดยไม่รอคำตอบ เขาก็ตวัดดาบปล่อยรากไม้พุ่งมารัดร่างของทหารไว้ก่อนจะตวัดกระเด็นไป
“ ทุกคนพร้อมโจมตี! ” เรแกนสั่งการ “ ทีมอัลฟ่าโจมตีศัตรู ทีมบราโว จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยทันที ”
ทันใดนั้นเอง กระสุนปืนก็พุ่งเข้ามาตรงพื้นข้างหน้าเรแกนจนเจ้าตัวชะงักไปเช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆ เมื่อมองขึ้นไปที่ยอดตึกก็เห็นเด็กสาวชุดสีน้ำเงินและหมวกสีเดียวกันยืนเล็งปืนมาที่เขา
“ ไม่เป็นไรนะ เจ้าเด็กใหม่? คาเร็น? ” มิลเน่ทักพลางยิ้มอย่างโล่งใจ
“ คุณมิลเน่!? ”
“ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้น่ะรึ? ” มิลเน่ตอบราวกับเดาใจออก “ ก็เพราะคิดว่าจะเป็นอย่างนี้น่ะสิ ถามได้ ”
“ อะไรกัน? ”
“ คิดว่าชั้นไม่รู้หรือไงเจ้าเด็กใหม่ ” มิลเน่หันไปหาซาเอล “ เรื่องที่นายเป็นสายให้กองทัพน่ะชั้นรู้ตั้งแต่ชาติด่อนแล้ว จะใครก็เถอะถ้าจะเข้ากลุ่มของชั้นล่ะก็โดนชั้นตรวจสอบทุกคนแหละ ชั้นจับตาดูนายทุกฝีก้าว ไม่แปลกหรอกที่จะรู้ไต๋นายได้ ”
“ แล้วทำไม... ”
“ ทำไมถึงไม่จัดการนายน่ะรึ? เพราะตามนายจนรู้ไส้รู้พุงนายหมดแล้วน่ะสิ ” มิลเน่ตอบ ซึ่งซาเอลคิดพักหนึ่งก็ตกใจด้วยความคาดไม่ถึงว่า มิลเน่จะมองเขาทะลุไปถึงขนาดนั้น “ ว่าเข้านั่น ที่จริงไม่เฉดหัวนายออกไปก็เพราะกลัวคาเร็นร้องไห้เท่านั้นแหละ ”
“ คะ...คุณมิลเน่คะ! ” คาเร็นร้องแล้วก็ก้มหน้าซ่อนแก้มที่แดงเรื่อไว้
“ พอได้แล้วยัยหนู ” เรแกนขัด “ เธอคือมิลเน่ แกรนด์ฟิลด์ที่อยู่ในรายงานสินะ ”
“ ใช่เลย ” มิลเน่ตอบ “ ท่าทางจะควานหาตัวชั้นให้ควั่กเลยสินะ ผู้กองเรแกน ”
“ ออกมาตอนนี้ก็ดีแล้ว ชั้นจะกำจัดทุกอย่างที่บั่นทอนประเทศนี้! ” เรแกนกล่าวพร้อมกับชักปืนออกมา แต่มิลเน่ไวกว่า กระสุนของมิลเน่พุ่งเข้าใส่เรแกนในจังหวะเดียวกับที่เรแกนเอี้ยวตัวหลบ และนั่นก็เป็นสัญญาณให้ทหารคนอื่นลงมือ ซาเอลที่ยืนรอรับอยู่ก็ยังสับสนอยู่ ในตอนนี้เขาจะกลับเข้ากองทัพก็ไม่ได้ จะอยู่ในองค์ก็โดนเผยความลับไปแล้ว แต่ทันใดนั้นเองเสียงของมิลเน่ก็ดังเข้ามา
“ ซาเอล คุ้มกันคาเรนให้ดีด้วย! ”
“ ว่าไงนะ! อยู่ๆ มาสั่งชั้นแบบนี้...ชั้น...ชั้นไม่สามารถอยู่กลุ่มของเธอได้แล้วนะ! ”
“ เจ้าบ้า คนที่เข้ามาแล้วชั้นไม่ยอมปล่อยไปหรอกย่ะ! ” มิลเน่บอกพลางหลบกระสุนปืนของเรแกน “ เพราะนายเป็นทหารเรอะ เพราะนายอยู่กองทัพงั้นเรอะ!เรื่องพวกนั้นแค่นายลาออกก็ออกมาได้แล้วย่ะ จะยากอะไรเล่า! ”
ซาเอลได้ฟังเท่านั้นเวลาก็เหมือนจะหยุดลง ความคิดของเขาย้อนกลับไปถึงอดีตไปถึงอนาคต เขาต้องการอะไร...เขาต้องการสังคมที่สงบสุข ทางไหนบ้างที่จะทำให้เขาสมหวัง กองทัพที่เขาเคยคิดว่าเป็นทางออกล่ะ...ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเขาแล้วว่าไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้น
ทันใดนั้นเอง ทหารนายหนึ่งก็บุกถึงตัว ซาเอลคว้าข้อมือของทหารคนนั้นไว้ก่อนจะบิดไปอีกทางหนึ่งเกร็งไว้แน่นแล้วมองขึ้นไปหามิลเน่
“ เฮ้ ยัยเด็กแว้น ” ซาเอลกล่าวเรียบๆ “ บอกชั้นที่ซิว่ากลุ่มของเธอมีอยู่เพื่ออะไร? ”
“ ชั้นจะสร้างสังคมที่สงบสุข ” มิลเน่ตอบ
“ กล้าสาบานมั้ยว่าเธอจะทำสำเร็จ? ”
“ ถ้าไม่สำเร็จชั้นก็ไม่ทำหรอกย่ะ ”
ซาเอลได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง มือที่กุมทหารคนนั้นไว้ก็บิดจนร่างหมุนตามก่อนจะเหวี่ยงลงพื้นไป
“ ดี เพราะเป้าหมายของพวกเธอโดนใจชั้นอย่างจังเชียวล่ะ ” ซาเอลบอก “ ชั้นจะขอเดิมพันกับความฝันของเธอด้วยละกัน ชั้นจะช่วยพวกเธอเต็มที่ แต่ถ้าวันไหนพวกเธอออกนอกลู่นอกทางล่ะก็ จำไว้เลยว่าชั้นนี่ล่ะจะถล่มพวกเธอให้ราบ ”
“ ดี ” มิลเน่ตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ ยินดีต้อนรับอีกครั้งแล้วกัน ซาเอล คูลวอยซ์ ”
“ ฝากตัวด้วย มิลเน่ แกรนด์ฟิลด์ ” ซาเอลตอบแล้วก็หันไปหาเรแกน “ อย่างที่ว่าล่ะครับ ผมลาออกตอนนี้เลยแล้วกัน ผู้กองเรแกน ”
“ เจ้าโง่... ” เรแกนสบถแล้วก็หันไปหาซาเอลแต่กระสุนของมิลเน่ก็หยุดเขาไว้ก่อน
“ คู่ต่อสู้ของนายคือชั้นย่ะ ” มิลเน่ร้องพลางหยิบแผ่นหินบางๆ ขึ้นมาร่ายเวทย์ “ ส่วนนี่ก็คือคู่ต่อสู้ของนาย จงออกมา ไอซ์โกเลม! ”
เพียงอึดใจต่อมา ร่างของมนุษย์กลตัวใหญ่ก็โผล่ออกมากั้นซาเอลกับคาเร็นจากทหารขอเรแกนไว้ มือใหญ่ยักษ์ของเจ้ามนุษย์กลกวาดทหารของเรแกนไปเกือบหมดในครั้งเดียว แต่ก็ไม่มีทหารคนใดถอย และการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เวลาเย็นมาถึงในที่สุด เสียงปืนเงียบหายไปนานแล้ว เหลือเพียงเสียงนกที่กำลังบินกลับรัง และเสียงระฆังที่ดังมาแต่ไกลบอกว่าเวลากลางคืนใกล้เข้ามาแล้ว บนเนินที่อยู่ห่างจากตัวเมืองโฮแอ็คนั้นเอง พวกมิลเน่กำลังนั่งพักเหนื่อยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ รอดมาได้แล้วนะคะ ” คาเร็นกล่าวพลางหอบหายใจ
“ อื้อ เล่นซะระเบิดเถิดเทิงไปเลย ” ซาเอลพูดบ้าง
“ นี่ยังน้อยนะยะ ” มิลเน่หัวเราะ ส่วนวินเซ็นต์นั่งเงียบอยู่เหมือนเดิม
“ ปกติทำอย่างนี้เสมอเลยรึ? ” ซาเอลหันไปถามมิลเน่
“ ไม่หรอก ถ้าไม่ถึงที่จริงๆ น่ะนะ ” มิลเน่ตอบ “ เพื่อนอยู่ในอันตราย ต่อให้คนโง่แค่ไหนก็รู้ว่าต้องสู้ ใช่มั้ยล่ะ? ”
ซาเอลมองหน้ามิลเน่หน่อยหนึ่งก็ถอนหายใจ
“ เอาล่ะ~ ” มิลเน่ยืดแขนแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ ท่าทางนายจะอยู่ที่เมืองนี้ไม่ได้แล้วสิ จะไปที่ฐานบัญชาการใหญ่ไหม? ”
“ ฐานบัญชาการใหญ่? นี่ยังมีอีกเรอะ? ”
“ แหงสิยะ เห็นแล้วนายจะอึ้งเลยเชียว ” มิลเน่ยิ้มพลางเอามือเท้าเอว ซาเอลรู้สึกผิดเล็กๆ ที่เขียนรายงานไปว่าองค์กรนี้เป็นองค์กรเล็กๆ ที่ไม่น่าจะทำอะไรได้ “ วินเซ็นต์นายพาสองคนนี้ไปที่ฐานบัญชาการหน่อยสิทางผ่านไปเลซาเลียอยู่แล้วนี่นา ”
“ ...ครับหัวหน้า ” วินเซ็นต์ตอบ
“ เอ่อ...ฝากตัวด้วยนะครับ ” ซาเอลทักทาย แต่ก็ได้คำตอบเพียงการพยักหน้าเท่านั้น
“ แล้วคุณมิลเน่ล่ะคะ? ”
“ ชั้นจะอยู่เมืองนี้ต่อสักหน่อย ” มิลเน่ตอบ “ งานกำลังไปได้สวย ขออยู่สานต่อสักหน่อยดีกว่า ชั้นอยู่คนเดียวก็ได้ ศัตรูรู้จักพวกเรากันหมดแล้วจะอยู่มากก็สะดุดตาเปล่าๆ ” มิลเน่หันไปรอบๆ ก็เห็นกระท่อมร้างหลังหนึ่ง “ ขอยึดนั่นเป็นฐานบัญชาการละกัน ”
“ ไม่เป็นไรแน่นะ ” ซาเอลถาม
“ อะไรกัน นี่เป็นห่วงชั้นด้วยเรอะ คิดว่าพูดกับใครอยู่ยะ? ” มิลเน่ตอบพลางหัวเราะ
“ นั่นสินะ ” ซาเอลยิ้มให้
แสงแดดยามเย็นส่องไปทั่วเมืองโฮแอ็ค ซาเอลมองดูพระอาทิตย์ตกแล้วก็เปรยกับตัวเองเบาๆ
“ ลาก่อน ทุกอย่างในกองทัพ ”
ซาเอลพูดแล้วก็หยิบแว่นดำขึ้นมาสวมไว้ก่อนจะหันหลังกลับเดินตามวินเซ็นต์และคาเร็นไป
“ ไม่เสียใจแน่นะ ” เสียงในโทรศัพท์ถาม
“ ครับ ครั้งนี้ผมแน่ใจจริงๆ นะ ท่านอาจารย์ ” ซาเอลตอบ
“ เออ เห็นแกพูดอย่างนี้ทุกทีล่ะ ชั้นไม่รู้จะว่าอะไรแกแล้ว ” มาฮันตอบพลางถอนหายใจ “ เอาเถอะ มีครั้งนี้แหละที่เสียงแกดูสดใสที่สุด โชคดีละกัน ”
“ ครับ ”
เมื่อ x สามารถเป็นอะไรก็ได้ เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้มันเป็นอะไร หากเราจะเป็นตัวแปร x ก็คิดให้ดีว่าผลการกระทำของเราส่งผลให้เกิด y อะไรตามมาเพื่อที่จะพบกับคำตอบที่อยู่หลังเครื่องหมายเท่ากับ สมการที่มีหลายตัวแปรอาจจะมีคำตอบเดียวกันก็ได้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความต่างมากว่าในกระดาษทดมากมายนัก ซาเอลในตอนนี้เข้าใจสมการของเขาเรียบร้อยแล้ว
x + y = ความสงบสุข
x = กองทัพ y = ความรุนแรง
x = ยูไนเต็ดวัน y = __________
ค่า y ที่ซาเอลกำลังจะได้มาคืออะไร ตัวเขาเองกำลังจะได้รู้หลังจากนั้น...
แต่คำตอบจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่เขาคาดหวังไว้แน่นอน
ความคิดเห็น