ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rune Seeker PERIOD

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 0.9 : The Clock is Ticking.

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 50


         

                    เมืองหลวงไอกรอสเป็นมหานครที่รวมความเจริญทั้งหลายไว้ด้วยกัน เป็นศูนย์รวมการปกครองขององค์กรสูงสุดของประเทศ ซึ่งก็คือรัฐบาล เป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการกองทัพที่มีอำนาจรองลงมา แม้ในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีคนแน่ใจแล้วก็ตามว่าองค์กรสูงสุดของประเทศคือรัฐบาลหรือกองทัพกันแน่ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ไอกรอสมีหน่วยงานทางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นับแต่สำนักงานกระทรวง มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุด และโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากมาย ด้วยอัตราแข่งขันที่สูงมากและสภาพความต้องการตอบสนองต่อค่านิยมที่เปลี่ยนไปตามเข็มนาฬิกาที่นับวันจะหมุนเร็วขึ้น เมืองหลวงไอกรอสแทบจะเปลี่ยนเป็นสนามรบทางการศึกษาที่มีนักเรียนนับพันเบียดเสียด แก่งแย่ง เพื่อที่จะไขว่คว้าสิ่งที่เขามุ่งหวัง แต่สำหรับบางคน สิ่งที่พวกเขาไขว่คว้านั้นเป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่ได้หวังจะได้เลยก็มี เป็นสิ่งที่สังคมต้องการเท่านั้นเอง สังคมที่เปลี่ยนไปโดยคนที่อยู่ในกรอบและกรอบนั้นก็กำลังขยายตัวกว้างขึ้น กว้างขึ้นอย่างที่ไม่มีใครหยุดได้ หรือแม้แต่คิดที่จะหยุดเลยด้วยซ้ำ

    นาฬิกากำลังเดินอยู่อย่างที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

                    โรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นของกรอบ ทุกคนเริ่มต้นที่นี่ เมื่อเรียนดีๆ แล้วก็จบไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ พอเรียนจบแล้วก็หางานดีๆ มีรายได้ดีๆ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหมือนกับนาฬิกาที่เข็มวินาทีต้องหมุนเวียนขวาผ่านเลขหนึ่ง สอง สามไปจนกระทั่งถึงเลขสิบสองแล้วก็เริ่มตั้งต้นใหม่ จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป เพราะจะไม่มีนาฬิกาใดหมุนทวนเข็มอย่างแน่นอน ตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบนาฬิกานั้น

                    เดือนพฤษภาคม จุดเริ่มต้นของภาคการศึกษาใหม่หรืออาจจะเป็นชีวิตใหม่ของบางคนเลยก็ได้ โรงเรียนในไอกรอสนี้ขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันที่สูง คนที่สามารถเข้าเรียนที่นี่ได้จะเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิจากทั่วประเทศเลยทีเดียวและเมื่อเปิดภาคการศึกษาใหม่ เหล่ายอดฝีมือจากทั่วประเทศก็จะเข้าปะทะกันเพื่อความฝันของตัวเอง

                    เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นเป็นครั้งแรกของภาคการศึกษา ในวันแรกนักเรียนจะมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องเรียน ต่างคนต่างมองหน้ากันเพราะเมื่อขึ้นระดับชั้นมัธยมปลายจะมีเพื่อนร่วมห้องจากต่างที่กันมาร่วมชั้นเรียนเดียวกันมากมาย ซึ่งครั้งแรกที่เจอหน้ากันก็แทบจะตัดสินความสัมพันธ์ต่อๆ ไปได้

                    สวัสดี   เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งหันกลับมาถามคนที่นั่งอยู่ข้างหลังพร้อมกับรอยยิ้ม

                    อื้อ สวัสดี ผู้ถูกถามตอบเรียบๆ ถึงจะเป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากันแต่เขาก็ไม่มีท่าทีจะยินดีตอบสนองต่อเพื่อนใหม่เท่าไร แต่กระนั้นเพื่อนของเขาก็ยังไม่ลดความพยายาม

                    เราชื่อ ออร์เลน มาจากทางตะวันออก เด็กชายสนทนาต่อด้วยความมีไมตรี หวังจะสร้างเพื่อนให้ได้ตั้งแต่เริ่มภาคเรียนให้มากขึ้นคนหนึ่งก็ยังดี นายชื่ออะไร?

                   

    เอริคเอริคลาซิลวา

                   

                    เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคยพลางมองหน้าคู่สนทนาของเขา ออร์เลน เป็นเด็กชายท่าทางเรียบร้อยตัดผมสั้นถูกตามระเบียบโรงเรียนเป๊ะ สวมแว่นตา ท่าทางจะเป็นพวกคงแก่เรียนของแท้ รูปลักษณ์ภายนอกผิดกับเอริคโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ผมสีทองที่ชี้ตั้งขึ้น เครื่องแบบที่หลุดลุ่ยจนเกือบจะลอยชาย ท่าทางเหมือนพวกเด็กเก แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือ เด็กอย่างนี้มาอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังที่สุดที่รวมพวกนักเรียนระดับท็อปของประเทศได้อย่างไร ซึ่งน่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนที่สงสัยเรื่องนี้

                    นายมาจากทางเหนือใช่ไหม? ออร์เลนถามต่อ

                    อื้อ มาจากคาโดอัน เอริคตอบ สายตาพยายามมองออกไปนอกหน้าต่าง นายรู้ได้ไง

                    หนังสือประวัตินักเรียน ออร์เลนตอบพลางชูหนังสือให้ดู ห้องเรามีนักเรียนจากหลายที่เลยล่ะ ออร์เลนกล่าวพลางพลิกหน้าหนังสือเปิดหารายชื่อห้องของเขา

                    จำได้ว่าเคยมี แต่คงเอาไปไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว

                    เก็บไว้ก็ดีนะ มีประโยชน์มากเชียวล่ะ… ” ออร์เลนยังไม่ทันพูดจบประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับอาจารย์หญิงในวัยต้นๆ สามสิบก็เดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มหนาเตอะ

                    สวัสดีห้อง 4/2 ทุกคน อาจารย์ทักทายพร้อมกับยิ้มให้ เปิดเทอมใหม่ก็คงมีอะไรแปลกตาไปบ้างนะ อยากให้พวกเธอทำความคุ้นเคยกันไว้ให้มากที่สุด เพราะพวกเธออาจจะได้อยู่ห้องเดียวกันไปจนเรียนจบ นอกจากว่าจะมีใครเลื่อนชั้นขึ้นหรือตกชั้นลงไปเท่านั้นเอง จบคำพูดของอาจารย์สีหน้าของนักเรียนก็ตึงเครียดขึ้นทันที เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการเลื่อนชั้นนั้น อาจจะได้เลื่อนขึ้นไปห้องสูงขึ้นหรือตกลงไปห้องท้ายก็ได้ นั่นขึ้นอยู่กับผลการเรียนที่ทำได้แต่ละภาคการศึกษา เป็นระบบที่นักเรียนทุกคนซึมเข้าถึงแก่นแล้วนับแต่เข้าสู่โรงเรียน

                    อย่าไปเครียดนักเลยน่า อาจารย์หัวเราะเมื่อเห็นนักเรียนทำหน้าเครียดกันหมด ครูชื่อเอเลน่า เอเลน่า ทรีปส์ ยินดีที่ได้รู้จัก จากนี้ครูจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอ มีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินล่ะก็อย่ามาจะดีกว่านะ เพราะครูเองก็กินแกลบอยู่บ่อยๆ ช่วงสิ้นเดือน ฮะฮะฮะ   ครูเอเลน่าหัวเราะแห้งๆ ได้พักหนึ่งก็หยุดเพราะเห็นนักเรียนตีหน้านิ่งเหมือนไม่รับมุก อะแฮ่มเราจะเริ่มโฮมรูมกันเลยแล้วกัน พวกเธอแนะนำตัวกันหน่อยสิ จะได้เช็คชื่อไปด้วยเลย อ้อ บอกชื่อ นามสกุล แล้วก็มาจากเมืองไหนด้วย คิดว่าเจอกันครั้งแรกคงอยากจะรู้จักกันให้มากเข้าไว้นะ

                    การแนะนำตัวครั้งแรกเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเล็กน้อยสำหรับนักเรียนใหม่ เพราะทั้งห้องจะเงียบเพื่อรอฟังการแนะนำตัวของเราและเราต้องมั่นใจว่าจะไม่ทำอะไรขายหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน นอกจากนั้นก็ยังมีหลายคนที่ตั้งใจฟังเผื่อว่าใครจะมาจากที่เดียวกันบ้าง หลายคนมาจากที่เดียวกัน บางคนก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนมาตั้งแต่ที่โรงเรียนเก่าแล้ว จึงมีบ้างที่จะไม่สนใจการขานชื่อลักษณะนี้ จนกระทั่งมาถึงคิวของเอริค

                    เอริค ลาซิลวา จากคาโดอันครับ

                    หลังจากเอริคแนะนำตัวก็เริ่มมีเสียงพึมพำของนักเรียนหลายคน จนกระทั่งอาจารย์ต้องบอกให้เงียบเสียงลง แต่หลายคนก็ยังมองเอริคด้วยสายตาสงสัยเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของเขา

                    เอริค ใช่ไหม ครูเอเลน่ากล่าว พอจะทำอะไรสักอย่างกับผมของเธอหน่อยได้ไหม โรงเรียนนี้ห้ามนักเรียนใช้น้ำมันหรือเจลแต่งผมนะ

                    คงไม่ได้หรอกครับ เอริคตอบพลางจับผมที่ชี้ขึ้นของเขาดึงลงมา แต่พอปล่อยมันก็ชี้ขึ้นไปอีก นี่เป็นตามธรรมชาตินะครับ มันเป็นแบบนี้ของมันเองไม่ได้ใช้น้ำมันหรือเจลด้วย ผมคิดว่าจะใช้เจลกดให้มันลงมาแต่ก็กลัวจะผิดกฎโรงเรียนซะด้วย  

                    พอพูดจบมีบางคนพยายามกลั้นหัวเราะดังพรึ่ด อาจารย์ได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ

                    ก็ได้ เอาไว้ครูไปปรึกษาฝ่ายปกครองก่อนแล้วจะมาแจ้งทีหลังแล้วกันว่าจะมีกรณียกเว้นแบบของเธอให้ใช้เจลแต่งผมให้ดูเรียบร้อยกว่านี้หรือเปล่า ไม่เลวนี่ เอริค ลาซิลวา ประโยคสุดท้ายครูเอเลน่าพูดกระซิบกับตัวเอง แล้วการแนะนำตัวก็ดำเนินต่อ

                    หลังจากโฮมรูมจะมีเวลาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มห้องเรียน ออร์เลนก็หันมาคุยอีกครั้ง

                    หัวนายนี่มีปัญหาจังนะ

                    ที่มีปัญหาน่ะทางโรงเรียนต่างหาก เอริคตอบพลางเตรียมหยิบหนังสือเรียนคาบแรกขึ้นมา ตั้งกฎไม่ครอบคลุมนักเรียนเอง

                    แต่ก็เพื่อให้นักเรียนดูเรียบร้อยสมเป็นนักเรียนนี่นา กฎน่ะตั้งไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโรงเรียนนะ ออร์เลนอธิบาย

                    เด็กหัวเกรียนทำตัวเป็นเด็กเกไม่ได้รึ? เอริคตอบ ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้หมายถึงตัวจะเรียบร้อยด้วยนี่

                    ก็อาจจะจริงของนาย แต่ภาพลักษณ์ก็สำคัญนะ… ” ออร์เลนยังพูดไม่จบก็มีคนแทรกเข้ามาเสียก่อน

                    ขอเวลาสักหน่อยนะหนุ่มๆ เสียงเด็กผู้หญิงแทรกเข้ามาจนทั้งสองคนเงียบลงทันที เมื่อกันไปก็เห็นเด็กหญิงผมยาวสีน้ำเงินกับกระดาษกับปากกาในมือ อยากให้พวกนายตรวจสอบความถูกต้องของชื่อตัวเองในใบนี้หน่อยนะ แล้วก็ลงชื่อรับรู้ด้วย ตรงนี้ เด็กหญิงชี้ไปที่ช่องว่างท้ายชื่อ ซึ่งมีคนลงชื่อไว้ทั้งห้องแล้วยกเว้นเขากับออร์เลนเท่านั้น

                    เธอ… ” เอริคทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกคู่สนทนาว่าอะไรดี

                    เรน่า บลูเสฟียร์ หัวหน้าห้องที่พวกนายเพิ่งเลือกไปเมื่อกี๊นี้ไง ลืมแล้วหรอ เรน่ากล่าวเสียงขุ่นๆ พลางยื่นกระดาษให้ เอริครับมาตรวจดูพอลงชื่อแล้วก็ยื่นให้ออร์เลนลงชื่อบ้าง

                    เรียบร้อยซะที เรน่ากล่าวพลางถอนหายใจ เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยนะ งานหัวหน้าห้องเนี่ย

                    ถ้าไม่อยากเป็นก็ปฏิเสธไปก็ได้นี่ เอริคบอก

                    ได้ไงล่ะ พวกนายโหวตให้ชั้นตั้งครึ่งห้อง ขืนไม่ยอมเป็นก็แย่สิ เรน่าพูดเสียงขุ่นอีก คิดว่าชั้นเหมาะจะเป็นนักรึไงนะ

                    เปล่าหรอก ก็แค่โยนทิ้งเท่านั้นเอง

                    หมายความว่าไง?

                    เพราะไม่อยากเป็นก็เลยโยนให้คนอื่นเป็นไง คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้นแหละ ขอเพียงมีคนเสนอชื่อขึ้นมาสักคน คนนั้นก็ชะตาขาดแล้ว

                    เรน่ามองเอริคหน่อยหนึ่งก็ถอนหายใจ แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างของเอริค

                    เอาเถอะ มันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดจะมานั่งบ่นสักหน่อยนี่นะ

                    เธอนั่งตรงนี้หรอ? ออร์เลนถาม

                    ใช่ เตรียมเสียใจได้เลยที่นั่งใกล้ชั้น เพราะหัวหน้าห้องน่ะจะใช้งานคนที่อยู่ใกล้อย่างหนักเชียวล่ะ เรน่าบอกแล้วก็หัวเราะ เอริคกับออร์เลนก็ได้แต่มองหน้ากัน

                    เมื่อทั้งสามคนหยุดพูด เสียงโหวกเหวกก็ดังแทรกเข้ามา โดยเฉพาะที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งมีนักเรียนหลายคนทั้งชายหญิงไปรวมกันหลายคน ส่งเสียงดังเกือบลั่นห้อง

                    นั่นอะไรน่ะ เอริคกล่าวพลางพยักหน้าไปที่ต้นเสียง

                    อย่าไปใส่ใจเลย เรน่าตอบพลางเปิดหนังสือเรียนคาบแรกอ่านผ่านๆ ก็แค่คนที่ป๊อปเกินธรรมดาเท่านั้นเอง ปล่อยไว้สักพักก็คงเงียบเองแหละ

                    เขาอลันใช่ไหม? ออร์เลนมองไปแล้วก็พูดขึ้นบ้าง คนที่ว่าเป็นลูกชายคนเดียวของผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ เขาอยู่ห้องเดียวกับเราด้วยหรอเนี่ย?

                    ท่าทางดังน่าดู เอริคเปรยพลางมองดูเด็กชายที่ล้อมรอบไปด้วยเด็กชายหญิงหลายคน

                    อ๊ะอา อิจฉาหรอ เอริค? เรน่าแหย่ ซึ่งเอริคก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากส่ายหน้า รูปหล่อพ่อรวยแบบนี้สาวกรี๊ดก็ไม่แปลกหรอก แต่พวกผู้ชายก็ไปเฮด้วยนี่มันยังไงกันนะ

                    เป็นไปตามธรรมชาติน่ะ เอริคตอบเรียบๆ ไม่สิ สัญชาติญาณการรวมกลุ่มมากกว่า

                    นายนี่พูดอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อยเลยนะ เรน่ากล่าวพลางมองเอริคอย่างสงสัย นายมาจากคาโดอันใช่มั้ย อยากรู้ว่าที่นั่นเป็นยังไงนะ นายถึงได้ชอบทำอะไรแปลกๆ แบบนี้

                    ไม่มีอะไรเลย นอกจากต้นไม้กับภูเขา

                    เป็นธรรมชาตินี่เอง แล้วนายล่ะ ออร์เลน?

                    เมืองชายทะเลน่ะ อากาศดีมากเลย ออร์เลนตอบพลางยืดอกอย่างภูมิใจ

                    ดีแล้ว ชั้นมาจากเลซาเลีย อากาศเมืองเหนือน่ะดีอยู่หรอก แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่เหลือบรรยากาศดีๆ แล้ว เรน่าเว้นช่วงหน่อยหนึ่งก็พูดต่อยิ้มๆ เราเป็นเด็กต่างเมืองเหมือนกัน สนิทๆ กันไว้ดีกว่าใช่ม้า

                    เอริคกับออร์เลนพยักหน้ารับ พอดีกับสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้นพอดี นักเรียนที่คุยกันอยู่ ยืมมุงอยู่ก็แยกย้ายเดินกลับเข้าที่ตัวเองทันที เมื่อคนอื่นๆ กลับที่หมดแล้ว อลันก็เพิ่งจะสังเกตสิ่งรอบตัว

                    คนนั้นใครน่ะ? อลันถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ พลางพยักหน้าไปทางริมหน้าต่าง

                    เรน่า บลูสเฟียร์ หัวหน้าห้องไง

                    ไม่ใช่ๆ คนที่นั่งถัดไปริมหน้าต่างน่ะ

                    อ๋อ นั่น เอริค ลาซิลวา คนที่มาจากคาโดอันไง มีอะไรหรือเปล่า?

                    เปล่า ไม่มีอะไรหรอก อลันตอบแล้วก็หันกลับไป เขารู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในตัวเอริคแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วก็เตรียมเรียนคาบแรกตามปกติ

                    เวลาพักเที่ยงเป็นหนึ่งชั่วโมงที่หลายคนรอคอย โรงอาหารจะอัดแน่นไปด้วยนักเรียนที่กรูเข้ามาต่อแถวซื้ออาหาร และสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจะได้ที่นั่ง

                    คนเยอะเป็นหนอน เอริคเปรยพลางนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน

                    อยากจะว่าเป็นปกติของที่นี่อยู่หรอก แต่ที่โรงเรียนเก่าชั้นก็ไม่ถึงขนาดนี้นะ เรน่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบ ท่าทางไม่แปลกใจกับสภาพนี้เท่าไร ออร์เลนช้าจัง

                    มาโน่นละ เอริคบอกพลางยกมือให้สัญญาณ ไม่นานนักออร์เลนก็ตามมาสมทบ

                    แหะๆ ไม่คุ้นกับระบบที่นี่เลยแฮะ ออร์เลนยิ้มแหยๆ พลางวางจานอาหารลงบนโต๊ะข้างๆ เอริค

                    คนเยอะแบบนี้หาที่นั่งได้ก็ดีเหลือหลายแล้ว รีบทานกันเถอะ ชั้นมีธุระต้องจัดการให้พวกครูๆ ตอนพักเที่ยง

                    หลังจากที่เอริค เรน่าและออร์เลนเริ่มทานอาหารไปได้พักหนึ่ง เสียงโวยวายก็ดังมาจากโต๊ะใกล้ๆ ทั้งสามคนและหลายคนในโรงอาหารหันไปมองเป็นตาเดียว เมื่อมองไปก็เห็นนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งยืนล้อมโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่สองสามคน กลุ่มใหญ่นั้นมีมากกว่าห้าคนล้อมไว้พร้อมกับท่าทางไม่เป็นมิตรเลย

                    พวกเรามานั่งก่อนนะครับ หนึ่งในคนที่นั่งอยู่ร้อง

                    ไม่เกี่ยว หนึ่งในคนที่ล้อมอยู่ตะคอกด้วยท่าทีนักเลง ที่นั่งนี้พวกชั้นจองไว้ตั้งแต่แกยังกินนมขวดอยู่เลยนะว้อย ถ้าไม่อยากมีปัญหาล่ะก็ ลุกออกไปเลย รู้มั้ยว่าที่นั่งนี่ของใคร ของคุณอลันลูกชายท่านผบ.เชียวนะ พวกแกคิดจะหือรึไง?

                    ทั้งเอริค เรน่าและออร์เลนหูผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อเพื่อนร่วมห้องเข้ามาในหู ไม่นานนัก เจ้าของโต๊ะก็ลุกขึ้นจากไปพร้อมกับสีหน้าทั้งไม่พอใจทั้งเกรงๆ และอีกครู่หนึ่งอลันก็เดินมาท่าทางเหมือนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พรรคพวกที่รออยู่ก็แทบจะปัดที่นั่งให้

                    พวกเธอนั่งที่พวกเราก็ได้ พวกเรากำลังจะลุกพอดี เรน่าบอกนักเรียนที่โดนไล่ที่พลางลุกขึ้น ทั้งเอริคกับออร์เลนก็เช่นกัน นักเรียนทั้งสองคนยิ้มให้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ แล้วพวกเอริคก็เดินออกไปโดยไม่ทันสังเกตสายตาของอลันที่เพ่งมา

                    เชื่อเลย โรงเรียนนี้ก็ยังมีพวกแบบนี้อยู่อีกหรอเนี่ย เรน่าเปิดประเด็นอย่างหัวเสีย

                    ท่าทางห้องเราจะมีบุคคลอันตรายเพิ่มมาซะแล้วสิ ออร์เลนพูดขึ้นบ้าง น่าสงสารพวกที่โดนแย่งที่นั่นนะครับ

                    ที่น่าสงสารน่ะไม่ใช่พวกนั้นหรอก เอริคพูดขึ้นเรียบๆ ซึ่งทั้งสองคนหันขวับมาทันที

                    นายพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้วนะเอริค เรน่ากล่าวพลางจ้องตาหน้าเอริคไม่กะพริบ หมายความว่าที่น่าสงสารคือกลุ่มนักเลงนั่นหรอ หรือว่านี่ก็เป็นสัญชาติญาณการรวมกลุ่มอย่างหนึ่งเหมือนกัน?

                    เอริคมองเรน่าหน่อยหนึ่งก็เขย่ากล่องนมแล้วเสียบหลอดเข้าไปก่อนจะตอบ

                    ที่น่าสงสารน่ะ นายอลันนั่นต่างหาก

                    เอ๋?

                    พวกที่รายล้อมอยู่น่ะก็แค่ต้องการบารมีของหมอนั่นเท่านั้นเอง หรือจะพูดให้ง่ายก็คือต้องการยกฐานะของตัวเองด้วยการเข้ามาสนิทกับคนที่มีอำนาจก็แค่นั้น เอริคเว้นช่วงเพื่อดูดนมกล่องอึกหนึ่งก็พูดต่อ คิดว่าเกิดเรื่องแบบนี้แล้วอลันนั่นจะถูกมองยังไง? คงไม่พ้นจะถูกรวมเป็นกลุ่มนั้นด้วยแหงๆ

                    อืม แต่ถึงอย่างนั้น ออร์เลนบอกพลางชี้ไปที่โต๊ะอลัน เขาก็ยังป๊อบไม่สร่างเลยนะครับ

                    เอริคกับเรน่าหันไปดูก็เห็นนักเรียนอีกหลายคนล้อมโต๊ะอลันอยู่ตามปกติ และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย เอริคเห็นแล้วก็ถอนหายใจ

                    เนื้อหอมไม่สร่างเลยนะหมอนี่

     

                    หลังเลิกเรียน เอริคได้รับมอบหมายงานจากเรน่าให้รวมสมุดส่งงานไปที่ห้องพักครู ซึ่งนอกจากเรื่องนี้แล้ว เรน่ายังไหว้วานเขาอีกหลายอย่าง แม้จะไม่ใช่งานเบาๆ แต่เอริคก็ต้องช่วย เพราะรู้ว่างานหัวหน้าห้องมีเยอะกว่านี้ และเขาช่วยบ้างก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถึงอย่างนั้น สมุดงานของเพื่อนร่วมห้องกว่าสี่สิบชีวิตก็ไม่ใช่ของเบาๆ เอริคแบกมาถึงหน้าห้องพักครูแล้วก็พยายามจะเปิดประตู ทันใดนั้นเอง มือหนึ่งก็เอื้อมมาเปิดให้ เมื่อหันไปก็เห็นอลันยืนอยู่

                    ท่าทางนายจะเปิดประตูเองไม่ได้ อลันกล่าวพลางเปิดประตูให้

                    ขอบใจ เอริคตอบแล้วก็ยกตั้งสมุดเข้าไป เย็นป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีกรึ?

                    แซมถูกเรียกตัวเข้าห้องปกครอง เลยเรียกให้มาเป็นเพื่อน

                    เอริคนึกหน้าออกว่าแซมเป็นเพื่อนร่วมห้องเช่นกัน เป็นหนึ่งในคนที่มารายล้อมอลันและเป็นคนที่เขาเจอที่โรงอาหารเมื่อตอนพักเที่ยงด้วย เอริคก็พอจะเดาได้ว่าอลันโดนเรียกตัวมาเพื่ออะไร เอริคเอางานไปส่งแล้วก็ออกมาเจออลันยังนั่งอยู่หน้าห้อง

                    ยังไม่กลับอีกรึ? เอริคทัก

                    แซมยังไม่ออกมาน่ะ อลันตอบ

                    เห็นนายอยู่คนเดียวแบบนี้แปลกตาดี ปกติจะมีคนล้อมหน้าล้อมหลังเลยนี่

                    อลันถอนหายใจหน่อยหนึ่งก็เอนหลังพิงพนักพิง

    เคยคิดไหมว่าโรงเรียนมันน่าเบื่อน่ะ อลันเปรย

    ไม่นึกว่าคนดังอย่างนายจะพูดแบบนี้นะ   เอริคตอบพลางนั่งลงบ้าง การที่นายมีคนล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ก็น่าเบื่องั้นรึ?

    ที่ว่าน่าเบื่อน่ะไม่ใช่ตรงนั้นซะทีเดียวหรอก อลันตอบ ที่จริงยิ่งมีเพื่อนเยอะก็ยิ่งดีใช่ไหมล่ะ ชั้นไม่ปฏิเสธตรงนั้นหรอก อลันเว้นช่วงแล้วก็ดึงตัวจากพนักพิงกลับมานั้งเอนตัวไปข้างหน้า ที่น่าเบื่อน่ะ หมายถึงตัวระบบโรงเรียนกับสังคมต่างหาก

    หมายความว่าไง?

    ถามง่ายๆ เลยนะ เอริคใช่มั้ย? นายมาโรงเรียนเพื่ออะไร?

    เพื่ออะไรงั้นรึ?

    ใช่ คำถามง่ายๆ ที่ทุกคนตอบเหมือนกันหมด อลันพูดต่อ เพื่อเรียนให้จบ เรียนต่อ แล้วก็ทำงาน เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เพราะถูกสั่งสอนมาแบบนั้น แล้วพอมีลูกมีหลานก็ต้องสอนไปแบบนั้น เพราะเขาเองก็ทำมาแบบนั้น ก็เลยต้องเป็นแบบนั้นไม่รู้จบ

    ก็อาจจะใช่ เอริคตอบ แต่ชั้นก็ไม่ได้คิดมากมายไปขนาดนั้นหรอกนะ ที่สงสัยกว่านั้นคือนายจะพูดเรื่องนี้กับฉันทำไมกัน? เพื่อนที่รายล้อมนายอยู่ไม่มีใครจะรับฟังแล้วรึ?

    พอได้ฟังเอริคอลันก็เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

    นายนี่ช่างเหน็บแนมจริงนะ อลันพูดต่อ ถึงพวกนั้นจะไม่ค่อยคิดเรื่องยากๆ แบบนี้แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีนะ ถึงจะไม่ค่อยแสดงให้เห็นก็เถอะ อลันกล่าวแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง มีเรื่องอยากจะถามนายอีกเรื่องนึง นายมาจากคาโดอันใช่ไหม? เอริคพยักหน้า นายเป็น… ”

    อลันยังพูดไม่จบ เพื่อนของอลันก็ออกมาพอดี

    โทษทีนะอลัน ช้าไปหน่อย

    เอาเถอะ แต่ก็เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย? อลันตัดบทลุกขึ้นแล้วก็หันมาลาเอริคเล็กน้อยก่อนจะออกเดิน แซมหันมามองเอริคด้วยสายตาเหยียดๆ เล็กน้อยก่อนจะเดินไปพร้อมกับอลัน เมื่อทั้งสองคนจากไปแล้ว เอริคก็เอนหลังพิงกับพนักพิงอีกครั้งแล้วเปรยกับตัวเองเบาๆ

    เรามาโรงเรียนเพื่ออะไรงั้นรึ?

     

    คืนนั้นเอริคเขียนจดหมายกลับไปถึงบ้าน สิ่งที่อลันพูดทิ้งไว้ยังรบกวนเขาอยู่บ้าง เมื่อคิดแล้วก็ระบายลงไปในจดหมาย ถึงพ่อแม่ และถึงอาจารย์ที่บ้านเกิดของเขา อาจารย์ฮอสตัน บลูบิล ผู้ที่สอนการใช้เวทย์มนต์ให้ การมาอยู่ในเมืองหลวงลำพังเช่นนี้เป็นเรื่องที่เอริคไม่เข้าใจที่สุด เขาเป็นเมจ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงอยู่ร่วมกับพวกฟิสิกส์ไม่ได้มาก ต่อให้เรียนจบไปทำงานดีๆ ก็คงทำงานกับพวกฟิสิกส์ไม่ได้อยู่ดี รู้ทั้งรู้ขนาดนี้เขายังอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อของเขาจะส่งเขามาเรียนที่เมืองหลวงท่ามกลางพวกฟิสิกส์เพื่ออะไร พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอริคก็หันไปเปิดตู้เสื้อผ้า เสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มที่พ่อเขาให้มาตั้งแต่ออกจากบ้านมาเมืองหลวงยังถูกเก็บไว้อย่างดี เอริคดูมันแล้วก็ยิ้ม เขาอดคิดถึงบ้านไม่ได้แม้จะเพิ่งจากมาไม่นาน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ อาจารย์บลูบิล และทุกๆ คนที่หมู่บ้าน เอริคหลับตาลงไม่นานเรื่องของอลันก็วกเข้ามาอีกครั้ง คำถามที่ยังตอบไม่ได้ คำถามที่ว่า เขามาเรียนที่เมืองหลวงเพื่ออะไร? เขาหวังอะไรจากการมาที่ไกลบ้านครั้งนี้?

     

    ชั้นมาโรงเรียนเพื่ออะไรงั้นหรอ? ออร์เลนทวนคำเมื่อเอริคถามในเช้าวันหนึ่ง ทำไมอยู่ๆ ก็ถามแบบนั้นล่ะ?

    นั่นสินะ เอริคเกาศีรษะ เอาเป็นว่าไม่ต้องตอบก็ได้ เป็นคำถามลอยๆ น่ะ

    นายพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว เรน่าถอนหายใจพลางจัดเอกสารบนโต๊ะ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้สาระหรอกนะ ที่ชั้นมาเรียนก็เพื่ออะไรดีล่ะ พ่อแม่ส่งชั้นเข้าโรงเรียนตั้งแต่ยังปั้นดินเล่นอยู่เลย จำไม่ได้หรอกว่าเพราะอะไร แต่พ่อกับแม่บอกว่าไปโรงเรียนมีเพื่อเยอะแยะ สนุกดีด้วย

    เหมือนกันเลย ออร์เลนเสริม ที่บ้านชั้นก็พูดแบบนี้ เหมือนกับเพลงที่ชอบร้องตอนเด็กๆ น่ะ ว่าอะไรนะ โรงเรียนน่าอยู่ ครูใจดีทุกคน เด็กๆ ก็ไม่ซน เราชอบมาโรงเรียน อะไรเทือกนี้ล่ะ แต่ตอนนี้ชั้นว่าชั้นอยากจะเรียนให้สูงขึ้น แล้วก็จบมาทำงานดีๆ แล้วก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขจนแก่น่ะนะ

    อืม เป็นแพทเทิร์นเดียวกันทุกที่เลยสินะ เอริคกล่าวแล้วก็เกาคาง

    แล้วนายล่ะ? เหมือนกันหรือเปล่าเอริค

    ตอนเด็กๆ น่ะจำไม่ได้แล้วล่ะ เอริคตอบ แต่ที่ชั้นมาเรียนที่เมืองหลวงครั้งนี้ คุณพ่อบอกว่า….ให้เรียนให้มีความรู้ เพื่อที่จะเอาไปใช้ ทำนองนั้น

    ออร์เลนกับเรน่ามองหน้ากันแล้วก็พูดเกือบจะพร้อมกัน

    พ่อของนายทำงานอะไรหรอ?

    เหมือนจะเคยเป็นนักวิจัยอะไรสักอย่างนึง แต่ตอนนี้ก็เอาแต่เข้าป่าล่าสัตว์น่ะนะ เอริคตอบพลางยักไหล่

    โห มิน่าล่ะ นายถึงได้พูดอะไรแปลกๆ แบบนี้อยู่เรื่อยเลย นักวิชาการนี่เอง

    ยุ่งน่า อื๋อ? เอริคหยุดกะทันหันเมื่อเห็นอลันเดินมา อึดใจเดียวอลันก็มานั่งที่โต๊ะข้างๆ ออร์เลนซึ่งเจ้าของโต๊ะยังไม่มา

    สวัสดี อลันทักอย่างยิ้มแย้ม

    สวัสดี ทั้งสามคนตอบเกือบพร้อมกัน

    เห็นกำลังคุยเรื่องน่าสนุกกันอยู่นี่นา ขอร่วมวงด้วยสิ อลันพูดต่อ

    เฮอะๆ เอริคหัวเราะแค่นๆ เพราะเรื่องที่คุยกันอยู่ก็คือเรื่องที่อลันเป็นคนถามนั่นเอง

    วันนี้อยู่คนเดียวหรือคะ คุณหนู เรน่าแกล้งเลียนเสียงถาม แล้วก็ทำหน้าไม่ชอบใจที่อลันมานั่งตรงนี้

    แหะๆ อย่าเรียกกันแบบนั้นเลยน่า อลันตอบพลางหัวเราะเบาๆ วันนี้พวกแซมไม่รู้หายไปไหนกันหมดน่ะ

    มิน่า ไม่เห็นมีใครล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนเคยนี่

    เอริคกับออร์เลนมองหน้ากันครู่หนึ่งก็โดนอลันรวบแขนลุกขึ้น

    โทษทีนะ แต่ขอยืมตัวสองคนนี้หน่อยสิ อลันกล่าวยิ้มๆ

    เอ๋ อะไร… ”

    บอยทอล์คน่ะ ผู้หญิงอยู่ตรงนี้ไปละกันนะ พูดจบอลันก็ไม่รอคำตอบ ลากเอริคกับออร์เลนออกจากห้องไปโดยที่ทั้งคู่ไม่ทันได้พูดอะไรเลย

     

    ดาดฟ้าตอนเช้าเป็นที่ที่เงียบสงบที่สุด อลันลากเอริคกับออร์เลนมาที่นี่แล้วก็นั่งลง

    อะไรของนายเนี่ย อลัน เอริคถามเสียงขุ่นๆ พลางปรับลมหายใจให้เข้าที่

    อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะ มีธุระอะไรก็ไว้ทีหลังก็ได้นี่นา

    พวกนาย ตอบคำถามอะไรหน่อยสิ อลันหันซ้ายหันขวาแล้วก็ก้มลงถามทั้งสองคน

    อะไรอีกล่ะ ถ้าเป็นคำถามเมื่อตอนนั้นอีกก็ไม่ต้องแล้วนะ! ” เอริคโวย

    อลันเว้นช่วงไปเล็กน้อย ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็ถามต่อเบาๆ

    ถามตรงๆ นะ อลันพูดเบาราวกับกระซิบ นายคิดว่า ชั้นน่ารังเกียจไหม?

    หา?

    ยังไงดีล่ะ รู้สึกว่าพักนี้ในห้องบางคนชอบมองชั้นแปลกๆ ยังไงล่ะหมายถึงหลายคนน่ะนะ ชั้นว่าชั้นก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจเลยนี่นา ทำไมบางคนต้องทำท่าทางรังเกียจชั้นด้วย

    หลายคนที่ว่านี่ใครล่ะ ชั้นเห็นนายก็ยังป๊อบอยู่เหมือนเดิมนี่หว่า เอริคถาม

    นายก็เห็นนี่ อลันเน้นเสียง แต่เอริคก็ยังไม่เข้าใจ

    หมายถึง เรน่าหรือเปล่า? ออร์เลนเสริม ซึ่งก็น่าจะใช่เพราะอลันสะดุ้งทันที

    เฮ่อ ถูกเผงเลย เอริคถอนหายใจ

     

    อย่างนี้นี่เอง อลันถอนหายใจยาวเอนหลังพิงกำแพง ข้างๆ นั้น เอริคกับออร์เลนก็นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสามคนคุยกันพักหนึ่งแล้วก็มาจบที่นั่งถอนหายใจอยู่ตรงนี้เอง เพราะชั้นคบกับพวกแซม คนอื่นๆ เลยมองชั้นไม่ดีไปด้วยงั้นรึ? ไม่น่าเป็นไปได้นะ

    แต่พวกนั้นก็ทำตัวแย่จริงๆ นะ ออร์เลนกล่าว นายไม่รู้สึกตัวบ้างเลยหรอ

    ไม่นะ พวกนั้นอาจจะดูเถื่อนๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ชั้นอยู่กับพวกนั้นประจำชั้นรู้ดี อลันตอบ พวกนั้นรักเพื่อนพ้อง ถึงจะชอบทำตัวไร้สาระก็เถอะ พวกนั้นก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ใครนี่นา

    เรื่องคบเพื่อนของนายนี่แย่จริงแฮะ เอริคเปรย

    อย่าพูดแบบนั้นนะ อลันหันขวับมาทันที อย่างน้อยพวกนั้นน่ะ… ”

    ก่อนอลันจะพูดจบ เสียงประตูดาดฟ้าก็เปิดออกพร้อมกับเสียงผู้ชายกลุ่มหนึ่งดังแทรกเข้ามา พวกเอริคอยู่อีกฝั่งหนึ่งของดาดฟ้าจึงมองไม่เห็นว่าใครเป็นคนขึ้นมา

    ดีล่ะ ที่นี่ไม่มีใครอยู่ เสียงเด็กชายดังขึ้น พามันมาเร็ว

    หลังจากนั้นก็มีเสียงอีกหลายคนตามมาโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ เอริคกับอลันแอบโผล่หน้าออกไปดูก็เห็นเด็กชายกลุ่มใหญ่หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจะเป็นห้องเดียวกัน และอีกคนหนึ่งเป็นเด็กชายที่ไม่คุ้นหน้าเลย

    แซม!? อลันอุทานแต่เอริคอุบปากเขาไว้ก่อน

     

    ไหนล่ะเงินที่ว่า? แซมกล่าวเปิดพลางจ้องเด็กชายเคราะห์ร้ายเขม็ง เอากระเป๋าเงินออกมายลโฉมหน่อยดิ๊

    ขอเถอะครับ เงินนี้ผมต้องไปทำงานพิเศษมานะครับ เด็กชายพยายามขอร้อง

    งั้นก็เอามาแลกกับความปลอดภัยของตัวแกเองจะดีกว่าน่า เหมือนที่เขาเรียกว่าค่าคุ้มครองไง พูดจบเพื่อนๆ ที่ล้อมอยู่ก็ล็อคแขนขาไว้ แล้วหัวโจกก็คว้ากระเป๋าเงินของเหยื่อออกมา ดีแล้วล่ะ นายคงไม่อยากเจ็บตัวใช่มะ กับเงินแค่นิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไปเชียว พูดจบแซมก็ดึงธนบัตรออกมาสองสามใบแล้วก็โยนคืนให้เจ้าของ ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นเหลือค่ารถกลับบ้านไว้ให้แล้ว พูดจบเขาก็หัวเราะเสียงดัง คนที่ล้อมอยู่ก็หัวเราะตาม ก่อนจะหันกลับเตรียมเดินจากไป

    อย่าคิดว่านายจะทำแบบนี้ได้ตลอดนะ! ” เด็กชายตะโกนตามไปอย่างเจ็บแค้น

    หา? แซมยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมแล้วเดินตรงดิ่งกลับมาทันที มือข้างหนึ่งรวบคอเสื้อเด็กชายไว้ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา อย่าหือดีกว่าน่า นายคงรู้จักอลันใช่ไหม? พอได้ยินถึงตรงนี้อลันก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ลูกชายผบ.สูงสุดของกองทัพเลยนะว้อย ชั้นกับอลันน่ะซี้ปึ้กกันนะเฟ้ย อย่าว่าแต่นายเลย ทางบ้านนายก็โดนหางเลขไปด้วยแหง ซึ้งแล้วใช่ไหม งั้นก็ไสหัวไปซะ รกหูรกตา เด็กชายได้ฟังก็กัดฟันแน่น นิ่งเงียบไปจนกระทั่งกลุ่มอันธพาลจากไปแล้วครู่หนึ่งก็ลงจากดาดฟ้าไป ที่นั่นไม่มีใครรู้ตัวเลยสักคนว่าพวกเอริคก็อยู่ที่นั่นด้วย

    คนที่ช็อคกับเหตุการณ์นี้มากที่สุดก็ไม่พ้นอลัน เพื่อนที่เขาคบอยู่ทุกวี่วันมีเบื้องหลังอย่างนี้เอง การที่ทุกคนรายล้อมเขาก็เพื่อหวังอำนาจบารมีของเขาเท่านั้น อลันไม่พูดอะไรนอกจากเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เอริคกับออร์เลนก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีจึงปล่อยบรรยากาศเป็นอย่างนั้นต่อ จนกระทั่งอลันพูดขึ้นเบาๆ ราวกับเปรยกับตัวเอง

    โรงเรียนนี่มันน่าเบื่อนะ อลันกล่าว ทั้งโรงเรียน ทั้งโลกนี้ด้วย จำที่ชั้นเคยถามได้มั้ยเอริค?

    อื้อ

    ทุกอย่างมันเป็นไปตามระบบ อลันพูดต่อ ระบบที่ว่านี่บงการเราตั้งแต่เกิด ตัวชั้นเองก็เอียนกับเรื่องพวกนี้เต็มที ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกชายของท่านผบ.กองทัพ คนที่เข้าหาชั้นมีแต่คนแบบนี้ทั้งนั้น ชั้นไม่อยากจะอยู่ในสังคมแบบนี้เลยสักนิด

    แต่ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่ได้หรอกนะ เอริคกล่าวในที่สุด นายก็เหมือนนาฬิกา ที่เดินไปเรื่อยๆ พอถึงเลขสิบสองก็ย้อนกลับมาหนึ่งใหม่ ความจริงที่ว่านายเป็นลูกชายผบ.อะไรนั่นก็ไม่ลบไปไหนหรอก นายจะเจอแต่เรื่องพวกนี้ต่อไป ต่อให้หนีไปไหนนายก็ยังต้องเจอเรื่องพวกนี้อยู่ดี

    ชั้นไม่อยากหนี อลันตอบ ชั้นเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่าชั้นทำให้คนเดือดร้อนไปมากมายจะหนีไปทั้งอย่างนี้ได้ไงกัน แทนที่จะหนีไปแล้วต้องเจอเรื่องเดิมๆ อีกน่ะ สู้ชั้นแก้ปัญหาที่เกิดแล้วอยู่ที่เดิมไม่ดีกว่าหรอ?

    ใช่ สำหรับคนที่เซ่อๆ อย่างนายรู้ตัวได้ซักทีก็ดีเหลือหลายแล้ว เอริคยิ้ม พลางตบไหล่อลันเบาๆ

    มือหนักนี่หว่า นายน่ะ อลันตอบพลางตบไหล่เอริคบ้าง แล้วก็หันไปตบไหล่ออร์เลนทีหนึ่ง

    มือหนักกันทั้งคู่เลยนะพวกนาย ออร์เลนยิ้มบ้าง

    คิดว่า ถ้าชั้นแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้วจะดีขึ้นมั้ย? อลันกล่าวต่อ ซึ่งเอริคก็พอจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

    ไม่รู้สิ อย่างน้อยเรน่าก็คงไม่บึ้งใส่นายแล้วล่ะ เอริคพูดเสร็จก็เงยหน้าแล้วก็เงียบไป อลันกับออร์เลนเงยหน้าตามก็เห็นอย่างเดียวกัน “ โอ๊ะโอ... ”

    ที่ทั้งสามคนเห็นคือเรน่าที่ยืนอยู่พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกชัดเลยว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ ทั้งสามคนเห็นแบบนั้นก็พูดอะไรไม่ออกจนเรน่าเป็นฝ่ายเปิดเอง

    มาอยู่ที่นี่กันเองหรอพวกนาย

    อะ..อื้อ สวัสดี เอริคตอบเป็นคนแรกและคนเดียว มีธุระอะไรหรอ ตามมาถึงนี่เชียว

    ชั้นอยากถามมากกว่าว่าพวกนายมาทำอะไรที่นี่ เรน่าตอบเสียงดัง นี่มันกี่โมงแล้วดูนาฬิกาบ้าง!  ได้เวลาเข้าเรียนตั้งนานแล้วพวกนายมาเอ้อระเหยลอยชายกันอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน หา? อาจารย์เช็คชื่อไปแล้ว ลำบากชั้นต้องมาตามพวกนายอีก เหนื่อยนะยะ! ”

    อะอื้อ โทษทีนะ อลันตอบบ้าง

    จะขอโทษก็ลุกขึ้นกลับห้องเรียนไปซะทีซี่! รออะไรอยู่ยะ พูดจบทั้งสามคนก็ลุกพรึ่บแล้ววิ่งตรงไปห้องเรียนทันที พร้อมกับเสียงเรน่าที่ไล่หลังมาตลอดทาง

    หลายวันต่อมา หลายสิ่งในห้องเรียนเปลี่ยนไป ผู้คนที่รายล้อมอลันค่อยๆ หายไป ที่จริงเพื่อนผู้ชายกลุ่มเดิมต่างหากที่หายไป แต่กลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยังกรี๊ดอลันยังคงเดิม เอริคไม่รู้ว่าอลันไปจัดการอย่างไรจึงได้ผลออกมาเป็นอย่างนี้แต่ก็รู้สึกว่าอลันดูมีความสุขขึ้น ซึ่งออร์เลนเองก็สังเกตเห็น เรน่าเองก็เริ่มจะพูดคุยกับอลันมากขึ้น ทั้งนี้ อลันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเอริคไปแล้ว

    อะไรนะ?

    ที่ถามไง ว่าพวกนายเรียนจบไปแล้วคิดจะทำอะไรต่อ? อลันถามขึ้นมาในวันหนึ่ง

    ชั้นอยากเป็นพยาบาลน่ะ เรน่าตอบเป็นคนแรก เพราะงั้นก็คงเรียนต่อนั่นแหละ ชั้นชอบช่วยเหลือคนอื่นนี่นะ แหมชั้นเนี่ยเป็นคนดีจัง

    พยาบาลมือหนักอย่างนี้ ให้ชั้นตายดีกว่า ออร์เลนกระซิบกับเอริคเบาๆ

    ว่าไงนะยะ! ” เรน่าค้อนอย่างรวดเร็ว

    เปล่านี่ ชั้นก็แค่บอกกับเอริคว่า พยาบาลแบบนี้น่ะหายากน่าดู ออร์เลนแถเอาตัวรอดไปได้หวุดหวิด จะว่าไป ชั้นเองก็อยากเรียนต่อเหมือนกัน อยากเป็นวิศวกรน่ะ ที่จริงทางบ้านอยากให้เป็นหมอน่ะนะ ชั้นเป็นก็หมอได้ แต่ขอเป็นหมอเครื่องจักรนะ หึหึ

    ชั้นว่า ชั้นอยากเป็นทหาร อลันตอบ ไม่ใช่เพราะเป็นลูกทหารหรอกนะ แต่ชั้นเองก็อยู่ชมรมฟันดาบ พวกรุ่นพี่ที่ชมรมก็บอกว่ามีฝีมือดีน่าจะไปรุ่ง ก็เลยว่าจะเอาฝีมือไปใช้ให้ถูกให้ควรน่ะนะ

    เหลือเชื่อเลย หน้าตกกระอย่างนายอยากทำงานแบบนั้นหรอ?

    เฮ้ ทหารเป็นความฝันของลูกผู้ชายนะ ใครก็อยากเป็นทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ยเอริค?

    โทษทีว่ะ ชั้นไม่เคยอยากเป็นเลยสักครั้ง

    นายจะช่วยต่อมุกหน่อยไม่ได้เลยเรอะ! ”

    แล้วนายล่ะ เอริค? เรน่าถาม

    จะว่ายังไงดีล่ะ? เอริคถอนหายใจพลางเกาศีรษะ ชั้นคงไม่เรียนต่อล่ะ

    เอ๋ ทำไมล่ะ?

    ยังจำที่เคยบอกได้มั้ย? เอริคพูดต่อ ชั้นมาโรงเรียนเพื่อเรียนรู้หาความรู้เพื่อที่จะเอาไปใช้ แต่ชั้นคิดแล้วว่าความรู้ที่จะได้จากมหาวิทยาลัยไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของชั้นเลย ชั้นคงไม่จำเป็นต้องเอาความรู้จากมหาวิทยาลัยไปใช้ก็เลยไม่เรียน แค่นั้นเอง

    แล้วหลังจากนี้ชีวิตนายจะเป็นยังไงล่ะ? ถ้าไม่เรียนต่อนายก็จะหางานทำไม่ได้นะ แล้วชีวิตที่เหลือของนายจะเป็นยังไง? ออร์เลนถามอย่างวิตก

    ไม่รู้สิ ถ้าไม่เรียนต่อชีวิตจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ จะต้องทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ว่า… ” เอริคยิ้มหน่อยหนึ่งก่อนจะตอบ ตอนนั้นก็คงทำสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่นั่นแหละ

    เรน่า ออร์เลนและอลันได้ฟังก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม พวกเขาไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ก็รู้ว่าเอริคต้องเข้าใจตัวเองแน่ว่าตัวเองต้องการอะไร เมื่อรู้อย่างนั้นก็หมดห่วง

    ถึงนายจะเลือกทางเดินแผลงๆ ผิดคนอื่นเค้าแต่คงไม่เป็นไรมั้ง เรน่ากล่าว

    นายคงได้เจอพรรคพวกที่คิดเพี้ยนๆ แบบนายบ้างสักวันล่ะน่า ใช่มั้ย ออร์เลนกล่าวบ้าง

    อื้อ เอริครับคำแล้วก็หัวเราะ

    นาฬิกาก็ยังเดินอยู่ อย่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    ตลอดเวลาที่คนยังมีชีวิตอยู่ นาฬิกาก็ยังเดินต่อไป ไม่ว่าจะเดินวนสักกี่รอบ แต่นาฬิกาก็ไม่เคยหยุด แม้ว่าจะต้องเดินวนมาจุดเดิมสักกี่รอบ นาฬิกาก็ยังไม่ยอมหยุดเดิน คนก็เหมือนนาฬิกาที่เริ่มต้นที่หนึ่งจบที่สิบสองทุกคน แม้จะมีบางคนที่สามารถเดินทวนเข็มนาฬิกาได้ก็เป็นเพียงการเดินย้อนกลับเท่านั้น สุดท้ายก็จะเริ่มที่สิบสองกลับมาจบที่หนึ่งใหม่อีกครั้ง เป็นวังวนที่ไม่มีทางออก และไม่มีทางหยุดยั้งได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

    กรอบสังคมที่ตีไว้ให้เยาวชนทั้งหลายคือการศึกษาที่หมุนไปตามระบบที่จบที่การมีงานทำ แม้เอริคจะพยายามหลุดออกจากกรอบนั้นเพียงไร สุดท้ายสิ่งที่จะพบก็คือกรอบใหม่ที่จะล้อมเขาอีกครั้ง และในที่สุดก็จะกลับมาที่จุดเดิมที่เริ่มต้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเดินสวนทาง หรือไหลไปตามระบบ กว่าจะวนครบรอบก็ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะเป็นบททดสอบชีวิตอย่างดี ซึ่งแต่ละคนจะต้องฝ่าไปให้ได้เพียงเพื่อที่จะย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น แต่เพราะไม่มีใครรู้หรือแม้คนที่รู้ก็ยังเดินต่อไป อย่างไม่รู้จักหยุด เพราะหากหยุดก็คือสิ้นลมเท่านั้น

    สามปีผ่านไป ในที่สุดก็ถึงวันที่เอริค ออร์เลน อลันและเรน่าจะจบการศึกษา ความพยายามกว่าสามปีของทุกคนบรรลุผลแล้วและตอนนี้ทุกคนก็ได้เวลาเฉลิมฉลองความสำเร็จก้าวหนึ่งนั้น ยกเว้นบางคนเท่านั้น

    เอริค จะกลับเลยจริงๆ รึ? อลันถามขณะที่เอริคกำลังแบกกระเป๋าเดินทางออกจากงานเลี้ยงที่อึกทึก

    อลันรึ? เอริคหันกลับมาทัก งานเพิ่งจะเริ่ม นายรีบออกมาทำไมกัน?

    นายมากว่า คิดจะกลับตอนนี้เลยจริงๆ รึ อลันพูดต่อ ถึงจะรีบกลับก็เถอะ แต่ครั้งสุดท้ายแล้วนายก็น่าจะอยู่จนจบสักหน่อยนะ

    ชั้นบอกลาทุกคนไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรติดขัดในใจแล้วล่ะ เอริคตอบพลางจับสายกระเป๋าให้แน่นขึ้น ปัดเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มที่สวมอยู่ให้เรียบร้อยเตรียมจะออกเดินทาง ชั้นจากบ้านมาสามปีเต็ม คงรอที่จะกลับไปไม่ไหวแล้ว

    นั่นสินะ อลันตอบพลางยักไหล่ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ขอไปส่งนายก็แล้วกัน

    เอริคกับอลันยืนรอรถโดยสารที่ข้างทาง ตอนนั้นเป็นสายแล้ว ถนนหนทางเริ่มโล่งขึ้น เอริคกับอลันยืนรอรถโดยสารเงียบๆ ที่ริมทางเท้านั้นเอง

    สุดท้ายนายก็แห้วเรื่องเรน่าจนได้สินะ เอริคเปิดประเด็น

    อย่าพูดเรื่องนั้นตอนจะจากกันสิวะ ที่สำคัญชั้นยังไม่ได้แห้วสักหน่อย อลันตอบพลางถอนหายใจ จะว่าไป นายจะกลับบ้านเกิดใช่ไหม อยากจะไปเที่ยวบ้านนายบ้างจริงๆ

    มีแต่ป่าเขาน่ะ นายอาจจะไม่ชอบก็ได้

    แบบนั้นแหละที่ชั้นชอบเลยล่ะ ไว้ว่างๆ จะหาทางติดต่อนายละกัน ปัดกวาดบ้านให้สะอาดเอี่ยมไว้ล่ะ ชั้นอาจจะบุกไปหานายแบบสายฟ้าแลบแบบที่นายไม่รู้ตัวก็ได้

    เฮอะ มาถูกก็มาซี่ บ้านชั้นพร้อมรับนายเสมอล่ะ

    ทั้งสองคนเว้นช่วงไปพักหนึ่ง อลันก็พูดต่อ

    ชั้นจะไปเป็นทหาร อาจจะไม่ได้เจอกับนายอีกก็ได้

    อย่าพูดแบบนั้นน่า สักวันชั้นกับนายต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ โลกนี้ออกจะกลม ใช่ไหม?

    นั่นสินะ ถึงมันอาจจะนานไม่รู้เท่าไรก็ตามที อลันเว้นช่วงอีกครั้ง เฮ้ เอริค… ”

    ว่าไง?

    เวลาที่ชั้นเจอนายครั้งต่อไป ชั้นจะต้องเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ ถึงตอนนั้น นายจะเป็นอะไรก็ตาม นายจะยังเป็นเพื่อนชั้นอยู่นะเฟ้ย

    เอริคมองอลันหน่อยหนึ่งก็ยิ้มแล้วก็ตบไหล่อลันดังป้าบใหญ่

    เออ จะกี่ปีก็เหอะ หน้าตกกระอย่างนายเจอที่ไหนก็จำได้

    อลันตบไหล่เอริคเช่นกัน แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ พอดีกับที่รถโดยสารวิ่งมาพอดี เอริคหยิบกระเป๋าขึ้นรถไปทันที อลันยืนมองเอริคจากไปก็ยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่เอริคจะลับสายตาไปพร้อมกับเงาของรถโดยสารที่จางหายไป

    เอริคเหลียวหลังมองดูเมืองหลวงไอกรอสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไปพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ ใจหนึ่งของเอริคก็รู้สึกเศร้าใจที่ต้องจากเพื่อนๆ ที่อยู่กันมาสามปีเต็ม แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่จะได้กลับบ้านเกิดที่แสนคิดถึง บ้านเกิดที่มีพ่อแม่และอาจารย์รออยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นเอริคก็ยิ้ม

    กำลังจะกลับไปแล้วนะครับ คุณพ่อ คุณแม่ อาจารย์บลูบิล เอริคเปรยกับตัวเองขณะที่รถแล่นออกจากเมืองหลวงไปช้าๆ

    นาฬิกากำลังเดินอยู่ แต่เอริคไม่รู้ตัวเลยว่าเข็มนาฬิกากำลังจะวนกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×