ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate/Zero (นิยายแปล)

    ลำดับตอนที่ #7 : Book1 Act 1 Part 4

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 51


    จิตใจของมาโต้ คาริยะรวมๆแล้วก็ทรมานอยู่นิดหน่อย แต่ร่างกายของเขานั้นมาถึงขีดสุดแล้ว

    สามเดือนที่ผ่านมาเปลี่ยนเส้นผมของเขาเป็นสีขาว ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไร้สีเลือดฝาดของผิวกาย แต่กลับเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเทาของศพแทน พิษที่เรียกว่าพลังปราณซึ่งไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขานั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังเพิ่มขึ้นภายใต้ผิวหนังที่โปร่งแสง ราวกับร่างกายของเขานั้นกลายเป็นที่บรรจุเศษสีดำๆซึ่งกำลังเลื้อยไปเลื้อยมาอย่างยุ่งเหยิง

    อย่างที่ว่ามา ร่างกายของเขาทรุดโทรมเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก ผลกระทบนั้นตกอยู่ที่ร่างกายฝั่งซ้ายกับเส้นประสาทของเขา ขนาดที่ทำให้ข้อมือและข้อเท้าชาสนิท การบำบัดชั่วคราวทำให้มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้งแต่มือซ้ายก็ยังตอบสนองช้ากว่ามือขวาอยู่ดี การเดินช่วงสั้นๆจึงกลายเป็นการลากเท้าซ้ายไป

    อาการสั่นที่มาจากชีพจรที่เต้นผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้ว อาหารแข็งๆก็กินไม่ได้จึงต้องฉีดกลูโคสเข้าเส้นเลือดโดยตรงแทน

    ตามทฤษฎีของยาแผนปัจจุบัน ถือเป็นเรื่องน่าพิศวงมากที่สิ่งมีชีวิตในสภาพนี้จะยังมีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ กระนั้นคาริยะก็ยังยืนและเดินเหินได้เหมือนประชดกัน มันเป็นของขวัญจากพลังปราณของเขาที่จอมเวทคนนี้ยอมแลกมาด้วยชีวิต

    หนอนประจำตระกูลที่รุกล้ำเข้าไปในร่างกายของคาริยะตอนนี้เติบโตจนเลียนแบบการทำงานของวงจรเวทมนตร์ได้แล้ว เพื่อรักษาชีวิตของเจ้าร่างผู้ทรุดโทรมพวกมันจึงยอมเสี่ยงทำเรื่องนอกเหนือบทบาทของตัวเอง

    ถ้าแค่เรื่องความจุของวงจรพลังเวทล่ะก็ คาริยะได้พลังปราณมากพอจะอยู่ในฐานะของจอมเวทแล้ว กลายเป็นว่าผลลัพธ์ที่ตัวเขาแสดงให้เห็นนั้นเร็วกว่าที่มาโต้ โซเค็นคาดการณ์เอาไว้มาก สุดท้ายรอยแผลเป็นแห่งเรย์จูก็ปรากฎออกมาอย่างชัดเจนบนมือขวาของคาริยะ ดูเหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์จะยอมรับว่าเขาเป็นตัวแทนของตระกูลมาโต้แล้ว

    จากการคำนวณของโซเค็น คาริยะเหลือชีวิตอยู่อีกแค่เดือนเดียว สำหรับคาริยะเวลาแค่นั้นก็ดูจะเพียงพอแล้ว

    เฮเว่นฟีลเข้าสู่ช่วงนับถอยหลัง หากเซอร์แวนท์ทั้งเจ็ดถูกอัญเชิญออกมาครบสงครามอาจจะเริ่มพรุ่งนี้เลยก็เป็นได้ ระยะเวลาของสงครามเมื่อดูจากคราวก่อนๆก็จะประมาณสองสัปดาห์ เป็นช่วงก่อนที่คาริยะจะตาย

    แต่กระนั้นหากคาริยะใช้วงจรเวทของเขา หมายความว่าเขาจะไปกระตุ้นหนอนประจำตระกูลพวกนั้น แปลว่าร่างกายของเขาต้องรับภาระหนักกว่าจอมเวทคนอื่นมาก

    อย่างเลวร้ายที่สุดหนอนประจำตระกูลคงกลืนกินเจ้าร่างก่อนสงครามจะจบลง

    คาริยะไม่เพียงต้องต่อสู้กับมาสเตอร์ทั้งหกคนเท่านั้น พูดได้ว่าศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเขาคือไอ้ตัวที่อยู่ในร่างของเขานั่นเอง

                             X                  X
    คืนนั้นคาริยะต้องไปที่ชั้นใต้ดินของบ้านมาโต้เพื่อเผชิญกับการทดสอบสุดท้าย ซึ่งเขาบังเอิญเจอกับซากุระที่ระเบียง

    “…”

    ความหวาดกลัวที่ปรากฎบนใบหน้าของซากุระตอนเห็นหน้าเขาครั้งแรก ทำให้อกของเขาเจ็บจี๊ดๆ

    มาถึงขั้นนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว คาริยะรู้สึกปวดใจที่ตอนนี้ตัวเองกลายเป็นสิ่งที่ซากุระหวาดกลัว

    “โอ้ ซากุระจัง – กลัวน้าเหรอ?”

    “… อืม หน้าของน้า เป็นอะไรไปเหรอคะ?”

    “อ่า มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

    ตาซ้ายของเขาบอดสนิทตั้งแต่เมื่อวาน เหมือนลูกตาเบลอๆกลายเป็นซากไปแล้ว กล้ามเนื้อรอบๆก็ชาไปหมด คิ้วกับเปลือกตาขยับไม่ได้และบางทีใบหน้าฝั่งซ้ายคงจะตายสนิทไปแล้ว มันแข็วกร้าวเหมือนหน้ากากปลอมๆ อย่าว่าแต่ซากุระเลยเขาก็กลัวเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเหมือนกัน

    “อีกนิดเดียวน้าก็แพ้ ‘หนอน’ ในตัวน้าแล้วล่ะ น้าไม่อดทนเท่าซากุระจังหรอกนะ”

    เขาฝืนยิ้ม แต่หน้าตากลายเป็นน่าขยะแขยง ซากุระกลัวหนักกว่าเดิมและขดตัวเล็กลง

    “– น้าคาริยะ เหมือนน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะคะ”

    “ฮะ ฮะ คงงั้นมั้ง”

    เขาหัวเราะเฝื่อนๆให้มันผ่านๆไป

    “– น้าว่าเธอเองก็เหมือนกันนะ ซากุระ”

    ใช่แล้ว คาริยะพูดจากใจจริง

    ซากุระที่ตอนนี้เปลี่ยนนามสกุลเป็นมาโต้ กลายเป็นสาวน้อยที่แตกต่างกับซากุระคนที่คาริยะเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง

    สายตาที่ว่างเปล่าและพร่ามัวราวกับตุ๊กตา อารมณ์ต่างๆเบื้องหลังตาคู่นั้นที่เขาไม่ได้เห็นเลยตลอดปีมานี้ ใบหน้าไร้เดียงสาของสาวน้อยที่ติดพี่สาวแจและเล่นสนุกอย่างไร้กังวลนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว

    ก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอก แค่ดูจากการฝึกหฤโหดที่ซากุระได้รับมาตลอดปีเพื่อให้กลายเป็นผู้สืบทอดเวทมนตร์ของมาโต้ก็น่าจะเข้าใจ

    ร่างกายของซากุระมีศักยภาพที่เหมาะกับการเป็นจอมเวท เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้ซากุระยอดเยี่ยมกว่าคาริยะกับเบียคุยะพี่ชายของเขาอย่างเทียบไม่ติดแล้ว ถือว่าช่วยไม่ได้ที่ศักยภาพทางเวทมนตร์ของโทซากะเข้ากันได้ดีกับวิชาเวทมนตร์ของตระกูลมาโต้ทั้งๆที่รากฐานแตกต่างกัน

    ร่างกายของซากุระต้องการการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับเวทมนตร์ของมาโต้ได้ การปฏิบัติการที่เรียกว่าการปรับตัวนั้นคือการทรมานในคลังเก็บหนอนใต้ดินของบ้านมาโต้ทั้งวันทั้งคืนโดยเรียกว่า ‘การเรียนการสอน’

    จิตใจของเด็กๆนั้นยังไม่สุกงอม

    พวกเขายังไม่มีความหนักแน่นและความแข็งแกร่งพอจะเปลี่ยนความทุกข์ใจให้เป็นความโกรธเคือง เมื่อต้องเผชิญกับโชคชะตาอันโหดร้ายพวกเขาจะยังไม่สามารถตัดสินใจเลือกอะไรๆด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ได้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังไม่เคยถูกสอนเรื่องการดำเนินชีวิต ความหมายของชีวิตและพวกอุดมคติอย่างเกียรติยศหรือความหวัง

    ฉะนั้นในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง เด็กๆมีแนวโน้มสูงกว่าผู้ใหญ่ที่จะปิดใจตัวเองไว้ ผนึกจิตใจของพวกเขาไว้

    เพราะไม่รู้ถึงความสนุกสนานของชีวิตพวกเขาถึงทิ้งมันได้ เพราะไม่เข้าใจความหมายของอนาคตพวกเขาจึงจมอยู่ในความสิ้นหวัง

    คาริยะถูกบังคับให้ต้องดูด้วยตาของตนเอง ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเธอถูกยัดเยียดความทรมานจนปิดใจไปมากเพียงใด

    เขาทรมานจากความเจ็บปวดที่หนอนพยาธิกัดกร่อนร่างกายของเขา รวมทั้งทรมานจากบาปที่เลวร้ายเกินทนซึ่งกำลังกลืนกินจิตวิญญาณ

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ซากุระต้องเจ็บปวด คาริยะสาปแช่งมาโต้ โซเค็น สาปแช่งโทซากะ โทคิโอมิ และขณะเดียวกันก็สาปแช่งตัวเขาเอง

    สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาผ่อนคลายได้คือ – ซากุระที่กลายเป็นตุ๊กตาจะผ่อนคลายต่อเมื่ออยู่กับคาริยะเท่านั้น ถึงแม้จะได้คุยเรื่องไร้สาระเพียงไม่กี่คำเมื่อได้เจอหน้ากันก็ตาม เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากคนที่ต้องทนกับความปวดร้าวเหมือนกัน ไม่ก็เป็นมิตรภาพที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เธอยังเป็นโทซากะ ซากุระ สาวน้อยคนนี้ปฏิบัติกับเขาแตกต่างจากโซเค็นและเบียคุยะที่เป็น ‘ครู’ ของเธอ

    “วันนี้หนูไม่ต้องลงไปที่คลังเก็บหนอน คุณปู่บอกว่ากำลังจะมีเรื่องสำคัญที่นั่น”

    “อ้า เรื่องนั้นน้ารู้แล้ว น้าถึงต้องไปที่คลังเก็บหนอนแทนเธอไง”

    ซากุระพยักหน้าเหมือนเธอรู้คำตอบก่อนจะได้ยินเขาพูดแล้ว

    “น้าคาริยะต้องย้ายไปที่ไกลๆเหรอคะ?”

    สัญชาติญาณอันเฉียบแหลมเฉพาะตัวของเด็กๆที่ซากุระมี ดูเหมือนจะรับรู้โชคชะตาของเขาได้ แต่เขาไม่อยากให้ซากุระต้องเป็นห่วงมากนัก

    “น้าคงจะยุ่งๆกับงานสำคัญสักพักนึงน่ะ คงไม่ได้คุยกับซากุระจังบ่อยๆแบบนี้แล้ว”

    “อย่างงั้นเหรอคะ…”

    ซากุระละสายตาไปจากคาริยะ สายตาของเธอเปลี่ยนกลับไปว่างเปล่าทันที เป็นสายตาที่มองเห็นแต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องมองเท่านั้น เห็นซากุระเป็นแบบนี้เขาเองก็ปวดใจ เขาเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด

    “นี่ ซากุระจัง พอน้าเสร็จงานแล้วเรามาเล่นด้วยกันอีกมั้ย? กับแม่แล้วก็พี่สาวเธอด้วยนะ”

    ซากุระนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างซึมเศร้า

    “หนูไม่มีคนที่จะเรียกแบบนั้นได้อีกแล้วค่ะ ปู่บอกให้หนูทำเหมือนคนพวกนั้นไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว”

    “อย่างนั้นเหรอ…” เขาตอบด้วยเสียงที่ลังเล

    คาริยะย่อเข่าลงตรงหน้าซากุระ แล้วกอดไหล่เธอด้วยมือขวาที่ยังใช้งานได้ เพราะเธอเอาหน้าซบอกเขาอยู่ซากุระจึงมองไม่เห็นหน้าของคาริยะ เขาก็หวังให้เป็นแบบนั้นจะได้ไม่ต้องกลัวซากุระเห็นเขากำลังร้องไห้

    “งั้น เราชวนน้าอาโออิกับรินจังจากครอบครัวโทซากะ แล้วไปที่ไหนไกลๆด้วยกันแค่สี่คนอย่างที่เราเคยทำดีมั้ยซากุระ?”

    “…เราไปเจอสองคนนั้นได้อีกเหรอคะ?”

    เสียงเบาๆนั้นมาจากในอ้อมกอดของเขา คาริยะกอดซากุระแน่นขึ้นแล้วพยักหน้า

    “แน่นอน เราจะได้เจอพวกเขาอีก ชั้นให้สัญญา”

    ไม่มีเรื่องอื่นให้สัญญาอีกแล้ว

    ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสัญญาเรื่องอื่นๆอีก ถ้าทำได้เขาอยากบอกซากุระตอนนี้เลยว่าทนอีกไม่กี่วันเท่านั้นเขาจะพาเธอออกไปจากอุ้งมือมรณะของมาโต้ โซเค็น

    แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

    ซากุระมีเพียงวิธีเดียวที่จะปกป้องตัวเธอเอง เธอพยายามอย่างมากเพื่อทำให้จิตใจของเธอด้านชาให้ผ่านพ้นความสิ้นหวังรวมทั้งสามารถอดทนต่อไปได้ เพื่อตอบโต้ความเจ็บปวดที่เกินกว่าจะรับได้นั้นสาวน้อยผู้ทุกข์ทนได้แต่ทำลายความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเธอเท่านั้นเอง

    แล้วจะให้พูดคำที่โหดร้ายอย่าง ‘เธอต้องมีความหวังนะ’ หรือ ‘เป็นห่วงตัวเองบ้างสิ’ กับเด็กคนนี้ได้ยังไง? คำพูดพวกนั้นเป็นคำปลอบใจชั่วครั้งชั่วคราวที่ช่วยได้แต่คนพูดเท่านั้น การให้ความหวังกับเธอเป็นการถอดเกราะที่ชื่อ ‘ความสิ้นหวัง’ ออกไปจากวิญญาณของเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นจิตใจที่เยาว์วัยและอ่อนโยนของซากุระคงจะแตกสลายในชั่วข้ามคืน

    ดังนั้น –

    แม้ทั้งสองคนจะอาศัยอยู่ในบ้านมาโต้ด้วยกัน คาริยะก็ไม่เคยทำตัวเป็น ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ของซากุระเลย เขาได้แต่ปกป้องเธอด้วยการอยู่เคียงข้างเธอ ในฐานะผู้ใหญ่เขาก็ถูกโซเค็น ‘ข่มเหง’ และไร้พลังไม่ต่างจากซากุระเลย

    “– ลาก่อนนะ น้าต้องไปแล้ว”

    คาริยะปล่อยมือจากซากุระและหวังว่าน้ำตาของเขาจะแห้งไปแล้ว ตอนนั้นเองซากุระมองขึ้นมาที่ใบหน้าด้านซ้ายอันเน่าเปื่อยของคาริยะอย่างมั่นคง

    “…อืม ลาก่อนค่ะ น้าคาริยะ”

    เป็นคำบอกลาที่เหมาะกับตอนนี้จริงๆ ดูเหมือนเธอจะมองอะไรทะลุปรุโปร่งทั้งๆที่ยังเด็กอยู่เลย

    คาริยะภาวนาอย่างแรงกล้าในใจขณะมองดูซากุระที่ไร้วิญญาณ – ขอให้ทันการทีเถอะ

    คาริยะไม่ห่วงตัวเองอีกต่อไป เพราะเขาได้มอบชีวิตให้กับอาโออิและซากุระแม่ลูกคู่นี้ไปแล้ว หากจะมีอะไรในตัวของเขาที่ ‘สายเกินไป’ ก็คงเป็นเรื่องที่เขามีสิทธิ์ตายก่อนจะได้ครอบครองจอกนี่แหละ

    สิ่งที่เขาเป็นห่วงจากใจจริงๆคือซากุระ ถ้าคาริยะสามารถชิงจอกศักดิ์สิทธิ์มาได้และพาซากุระกลับไปส่งแม่ของเธอแล้ว สาวน้อยที่ห่อหุ้มด้วยความสิ้นหวังจะยังสามารถกะเทาะเปลือกนี้ออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งได้หรือเปล่านะ?

    ความปวดใจที่ซากุระกล้ำกลืนมาตลอดปีนี้คงติดตัวเธอไปตลอดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็หวังว่าเวลาจะค่อยๆรักษามันได้ เขาหวังว่าหัวใจเธอคงจะไม่ทรมานจนสาหัสมากนัก

    เขาได้แต่ภาวนา คนที่ช่วยรักษาจิตใจของเด็กคนนี้ได้ไม่ใช่คาริยะ เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วคงไม่สามารถรับงานนี้ได้

    งานชิ้นนี้เป็นงานของคนที่มีอนาคต

    คาริยะหันหลังและก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง ไปยังบันไดที่ทอดสู่คลังเก็บหนอนใต้ดิน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×