ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate/Zero (นิยายแปล)

    ลำดับตอนที่ #5 : Book1 Act 1 Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 51


    ความมืดนั้นถูกความปรารถนาอันแรงกล้าห้อมล้อมมานานนับพันปี

    เอมิยะ คิริทสึงุ กับ ไอรีสฟีล กำลังตอบรับการมาถึงของหัวหน้าตระกูล พวกเขารีบมุ่งไปยังที่ที่ยิ่งใหญ่ทว่ามืดทึบซึ่งตั้งอยู่ในปราสาทเก่าแก่ของไอนส์เบิร์นที่ถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็ง -- แท่นพิธีกรรมแห่งปราสาทไอนส์เบิร์น

    ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เอาไว้สวดขอพรจากพระเจ้าหรือส่งวิญญาณไปสู่สุขคติอย่างแน่นอน สำหรับปราสาทของจอมเวทห้องที่ชื่อ "ห้องสวดมนต์" คือห้องที่มีไว้ปลิดชีพเพื่อบูชายัญในพิธีกรรมของเหล่าจอมเวท

    เพราะกระจกสีที่อยู่เหนือหัวขึ้นไปนั้นไม่มีภาพของนักบุญอยู่เลย แต่กลับมีภาพประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ไอนส์เบิร์นพยายามจะไขว่คว้าจอกอยู่แทน

    นอกจากจะเป็น "สามตระกูลผู้ริเริ่ม" ตระกูลไอนส์เบิร์นยังเป็นผู้ที่เสียเวลาไปกับจอกมากที่สุดอีกด้วย

    ปิดกั้นตัวเองอยู่ในภูเขาที่เยือกเย็นและห่างไกล แยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างดื้อรั้น พวกเขาตามหาความมหัศจรรย์ของจอกมาเกือบพันปี แต่การไขว่คว้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยขวากหนามและการเสื่อมเสียเกียรติยศเท่าๆกับความทรมานและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น การออกตามหาจอกในสภาพแบบนี้ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์อันใดเลย

    สุดท้ายการตามหาจอกเพียงคนเดียวจึงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เมื่อสองร้อยปีก่อนพวกเขาก็เข้าร่วมกับคนนอกอย่างตระกูลโทซากะและมาโต้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

    ส่วนเฮเว่นฟีลที่ตามมาทีหลัง พวกเขาก็ไม่เคยชนะเลยเพราะมาสเตอร์ของพวกเขามีความสามารถไม่พอ -- การจ้างจอมเวทที่ชำนาญการต่อสู้จึงเป็นคำตอบสุดท้าย ซึ่งการตัดสินใจที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อน

    พูดได้ว่า เอมิยะ คิริทสึงุ เป็นไพ่ตายของตระกูลไอนส์เบิร์นที่ภูมิใจกับสายเลือดบริสุทธิ์ของตัวเองเสมอมา อิทธิพลจากชายคนนี้ถึงกับทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนกฎของตระกูลถึงสองครั้ง

    ขณะผ่านทางเดิน คิริทสึงุเหลือบไปเห็นภาพวาดภาพใหม่ของเพื่อนบ้านบนกระจกสีอย่างไม่ได้ตั้งใจ

    ภาพนั้นคือ "สาวงามเหมันต์" แห่งตระกูลไอนส์เบิร์น ลีซไลฮี จูสทีเซีย กับจอมเวทอีกสองคนที่ขนาบเธอทั้งซ้ายขวา พวกเขาทั้งสามยื่นมือไปยังจอกบนฟากฟ้า จากองค์ประกอบและความสมดุลย์ของภาพนี้ทำให้บอกได้อย่างง่ายดายว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนตระกูลไอนส์เบิร์นดูถูกตระกูลโทซากะกับมาโต้รวมทั้งการที่พวกเขาลดเกียรติมาพึ่งพาความช่วยเหลือของคนพวกนั้นมากเพียงใด ภาพวาดนี้สื่อเรื่องดังกล่าวออกมาจนหมดสิ้น


    ถ้าเขาโชคดีพอจะชนะและรอดจากสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้ได้ล่ะก็ -- คิริทสึงุหัวเราะในลำคอเบาๆด้วยเสียงเย้ยหยัน -- ภาพของเขาคงจะไปอยู่บนรูปที่หน้าต่างในท่าทางเดียวกันนี้ โดยไม่ฟังความเห็นของเขาแน่ๆ

    จอมเวทชราผู้เป็นราชาแห่งปราสาทเหมันต์นี้กำลังคอยคิริทสึงุกับไอรีสฟีลอยู่หน้าแท่นทำพิธี

    จูป์สตัคไฮท์ ฟอน ไอนส์เบิร์น หลังขึ้นเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่แปดก็รู้จักกันในนาม "อาชท์" ผู้พยายามยืดชีวิตตัวเองอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอายุเกือบสองศตวรรษ เขาชี้นำตระกูลไอนส์เบิร์นตั้งแต่ยัง "ตามหา" จอกจนเดี๋ยวนี้กลายเป็น "สงคราม" จอกไปแล้ว

    เขาไม่รู้จักยุคสมัยของจูสทีเซีย ทว่าตั้งแต่เฮเว่นฟีลครั้งที่สองเป็นต้นมา ชายชราอาชท์ก็จมอยู่ในความทรมานจากการพ่ายแพ้ สำหรับเขาความวิตกกังวลจากการเผชิญหน้าเป็นครั้งที่สามนั้นนับว่าผิดปกติมาก การต้อนรับชายที่ได้ชื่อว่า "มือสังหารจอมเวท" เอมิยะ คิริทสึงุ เข้าสู่ตระกูลเมื่อเก้าปีก่อนก็เป็นการตัดสินใจของจอมเวทแก่ๆคนนี้เนื่องจากความสามารถอันโดดเด่นนั่นเอง

    "ในที่สุด โบราณวัตถุที่เราให้คนตามหาในคอร์นวอลล์ก็มาถึงเมื่อเช้า"

    ขณะที่ชายแก่อาชท์ลูบเคราสีขาวราวน้ำตกเยือกแข็งนั้น เขาก็จ้องไปทางคิริทสึงุด้วยดวงตาที่แผ่รัศมีแห่งความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด พลังของดวงตาคู่นั้นกลบความชราของเขาจนหมดสิ้น ถึงจะอยู่ในปราสาทนี้มานานแต่เวลาคิริทสึงุอยู่ต่อหน้าชายคนนี้เขาไม่เคยทนแรงกดดันจากดวงตาของหัวหน้าตระกูลได้เลย

    ในทิศที่หัวหน้าตระกูลเฒ่านั้นชี้ไป บนแท่นบูชายัญมีกล่องขนาดใหญ่สีเหมือนถ่านมัดแบบแปลกๆวางอยู่

    "ใช้สิ่งนี้เป็นวัตถุดิบ มีความเป็นไปได้สูงมากที่เจ้าจะอัญเชิญเซอร์แวนท์ใน 'คลาสเซเบอร์' ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ คิริทสึงุ คิดซะว่าเป็นของกำนัลชั้นดีจากตระกูลไอนส์เบิร์นก็แล้วกัน"

    "ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ท่านผู้นำตระกูล"

    คิริทสึงุแสร้งทำเป็นไร้อารมณ์ แล้วโค้งต่ำ

    ตระกูลไอนส์เบิร์นทำผิดกฎของตระกูลตั้งแต่หลอมรวมและรับสายเลือดจากภายนอกเข้าสู่ตระกูล ส่วนจอกนั้นดูเหมือนจะยอมรับอย่างไม่ขัดข้องเลย เรย์จูปรากฎบนมือขวาของคิริทสึงุได้สามปีแล้ว อีกไม่นานเขาจะต้องแบกรับความหวังอันแสนกระตือรือร้นมานานนับพันปีของตระกูลไอนส์เบิร์นและเข้าร่วมในเฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ที่กำลังจะมาถึง


    ผู้นำของตระกูลหันไปมองไอรีสฟีล ผู้ซึ่งก้มหน้าอย่างนอบน้อม

    "ไอรีสฟีล สภาพของภาชนะเป็นอย่างไรบ้าง?"

    "ไม่มีปัญหาค่ะ แม้จะอยู่ในฟุยูกิมันก็ยังทำงานตามปรกติค่ะ"

    ไอรีสฟีลตอบอย่างคล่องแคล่ว

    เครื่องสมปรารถนาอย่าง "จอกศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงอำนาจ" เป็นเพียงคำกล่าวลอยๆและไม่สามารถจับต้องได้ จึงต้องเตรียมการเพื่อให้ "จอกศักดิ์สิทธิ์" แสดงรูปเป็น "ภาชนะศักดิ์สิทธิ์" สงครามของเซอร์แวนท์ทั้งเจ็ดที่มีขึ้นรอบๆจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดได้ว่าเป็นพิธีกรรมเรียกวิญญาณนั่นเอง

    ภารกิจในการเตรียมภาชนะของจอกนั้นเป็นหน้าที่ของตระกูลไอนส์เบิร์นตั้งแต่เริ่มมีเฮเว่นฟีล ภารกิจในการสร้าง "ภาชนะ" ให้สงครามจอกครั้งที่สี่จึงตกเป็นความรับผิดชอบของไอรีสฟีลไปโดยปริยาย เธอจึงต้องออกเดินทางไปยังฟุยูกิพร้อมๆกับคิริทสึงุ เธอจำเป็นต้องอยู่กลางสงคราม

    ผู้เฒ่าอาชท์ก้มหน้าพูดอย่างจริงจังด้วยแววตาที่มีพลังมหาศาล

    "คราวนี้... ต้องไม่มีใครรอด! ฆ่าเซอร์แวนท์ทั้งหกซะ คราวนี้เราต้องครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์ ทรูเมจิกชนิดที่สามให้ได้"

    "ครับ/ค่ะ ท่าน!"

    เมื่อได้ยินคำสั่งที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันร้อนแรงของหัวหน้าตระกูล จอมเวทกับโฮมุนคลุสคู่สมรสที่มีชะตาเดียวกันก็ตอบขึ้นพร้อมๆกัน

    ทว่าใจจริงของเขานั้น คิริทสึงุไม่ได้ใส่ใจความปรารถนาที่แข็งกร้าวของชายแก่เจ้าตระกูลเท่าใดนัก

    ความสำเร็จ... ผู้นำแห่งตระกูลไอนส์เบิร์นเพ่งความตั้งใจทั้งหมดไปที่คำคำเดียวนี้ แฝงมันไว้ในการอธิบายทุกคำพูดคำจา พอมาคิดดูแล้ว จิตวิญญาณของไอนส์เบิร์นคงจะเหลือแต่ความดื้อด้านต่อ "ความสำเร็จ" เพียงอย่างเดียวก็เป็นได้

    การปรากฎร่างของวิญญาณนั้นนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ตลอดเวลาพันปีที่ตามหาปาฏิหาริย์ที่สาบสูญนี้... ในการผจญภัยที่ยาวนานและลำบากยากเข็ญนี้ พวกเขาได้สูญเสียระบบระเบียบและความตั้งใจไปนานมากแล้ว

    สิ่งเดียวที่พิสูจน์ว่าการเดินทางนับพันปีนี้ไม่ได้สูญเปล่า คือการยืนยันได้ว่า "มันมีอยู่จริง" เท่านั้นตระกูลไอนส์เบิร์นเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้ครอบครองจอก แต่เรื่องที่ว่าพวกเขาจะเอาไปใช้ทำอะไรหลังจากอัญเชิญมันออกมา จุดมุ่งหมายนั้นได้หายไปจากขอบเขตการรับรู้ของพวกเขานานมากแล้ว


    "ไม่เป็นไรครับ ผมจะใช้มือคู่นี้ทำให้ท่านได้จอกที่ท่านตามหา ตามที่ท่านคาดหวังไว้เอง"

    และเพื่อให้ไม่แพ้ต่อศรัทธาของชายชราอาชท์ เอมิยะ คิริทสึงุพูดกับตัวเองในใจว่า

    "แต่ไม่ใช่แค่นั้น ชั้นจะใช้จอกทรงอำนาจมาทำให้สุดยอดความปรารถนาของชั้นเป็นจริง..."

    XX

    คิริทสึงุกับไอรีสฟีลกลับไปยังห้องของพวกเขาแล้วเปิดกล่องทรงยาวที่หัวหน้าตระกูลมอบให้ ของที่อยู่ข้างในทำให้พวกเขาถึงกับอึ้ง

    "ไม่คิดเลยว่า พวกเค้าจะหาเจ้านี่พบ..."

    คิริทสึงุที่ปกติจะสงบนิ่ง ตอนนี้กลับดีใจจนออกนอกหน้า

    ปลอกดาบ

    ทำจากทองคำและตกแต่งด้วยสีฟ้าเคลือบเงาวับ ของล้ำค่าพวกนี้เป็นสมบัติที่ให้แสดงถึงเกียรติยศและความสูงศักดิ์เหมือนมงกุฎหรือคทาซึ่งทำหน้าที่ตรงข้ามกับอาวุธ สิ่งที่สลักอยู่ตรงกลางคือจารึกภาษาภูตที่สาบสูญไปนานแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าปลอกดาบนี้ไม่ได้สร้างจากฝีมือมนุษย์

    "...ทำไมไม่มีตำหนิสักนิดเลยล่ะคะ? เจ้านี่เป็นของยุคโบราณเมื่อห้าพันปีที่แล้วจริงๆเหรอ?"

    "มันเป็นอาวุธแค่ชื่อเท่านั้น ยังไงมันก็ไม่สึกกร่อนลงแน่นอน คงไม่ต้องบอกนะว่ามันเป็นโบราณวัตถุที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ถือว่าเป็นสมบัติในโลกของเวทมนตร์ยังไงล่ะ"

    ไอรีสฟีลหยิบปลอกดาบจากกล่องที่มีผ้าบุนวมอย่างระมัดระวัง แล้วนำขึ้นมาถือในมือเธอ

    "ตำนานว่าผู้ที่มีปลอกดาบนี้อยู่ในร่างสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของผู้ที่ครอบครองได้และยังหยุดยั้งการแก่ชราได้อีกด้วย... แน่นอนว่าที่พูดมานั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทของ 'เจ้าของเดิม' ของมันด้วยนะ"

    "หมายความว่าถ้าอัญเชิญวิญญาณวีรชนได้สำเร็จ สิ่งนี้สามารถใช้เป็น'โนเบิล แฟนทาสซึ่มของมาสเตอร์'ได้ด้วย"

    ปลอกดาบนี้มีการออกแบบที่ดีจนคิริทสึงุพิศวงกับความงามก็จริง แต่แล้วในไม่กี่วินาทีสมองที่ถูกฝึกมาของเขานั้นสั่งให้เขาคิดว่าจะใช้มันเป็น "เครื่องทุ่นแรง" ได้ยังไง เห็นคิริทสึงุเป็นแบบนี้ไอรีสฟีลจึงหลุดยิ้มที่มุมปากออกมาอย่างช่วยไม่ได้


    "สมกับเป็นคุณเลยนะ เครื่องทุ่นแรงยังไงก็เป็นเครื่องทุ่นแรงอยู่วันยังค่ำสินะคะ?"

    "ถ้าจะพูดแบบนั้น เซอร์แวนท์คงเหมือนๆกัน ไม่ว่าจะเป็นวีรชนที่โด่งดังแค่ไหน ตราบที่ถูกอัญเชิญมาในฐานะเซอร์แวนท์เขาก็เป็นเครื่องทุ่นแรงของมาสเตอร์... ใครมองความจริงของเซอร์แวนท์ในเรื่องนี้ไม่ออกไม่มีทางชนะสงครามนี้ได้เลย"

    ไม่ใช่ในฐานะพ่อหรือสามี แต่เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของนักรบ ใบหน้าด้านข้างของคิริทสึงุนั้นจะดูแข็งกร้าว ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอยังไม่เข้าใจสามี ไอรีสฟีลกลัวคิริทสึงุตอนเขาทำหน้าแบบนี้มากๆ

    "ท่านปู่คิดว่ามีแต่คุณเท่านั้นค่ะ -- ที่คู่ควรกับปลอกดาบนี้"

    "อย่างนั้นเหรอ?"

    คิริทสึงุทำหน้าสะใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้าตาเฒ่าอาชท์รู้ว่าลูกเลี้ยงคนนี้มีปฏิกิริยากับฝักดาบที่เขาลงทุนลงแรงมากมายค้นหามาแบบไหน เขาต้องโมโหจนพูดไม่ออกแน่

    "คุณไม่ถูกใจของขวัญของท่านปู่เหรอคะ?"

    ไอรีสฟีลไม่ถือสาที่คิริทสึงุทำตัวหยาบคาย และคิดว่าถ้าถามแบบนี้คงตลกดี

    "จะเป็นแบบนั้นได้ไงกัน? เขาให้พวกเรามามากเกินพอทีเดียว คงไม่มีมาสเตอร์คนไหนมีไพ่ดีๆแบบนี้อีกแล้ว"

    "ถ้างั้นคุณไม่ชอบตรงไหนเหรอคะ?"

    "ด้วยวัตถุโบราณที่สมบูรณ์แบบชิ้นนี้ วีรชนที่ถูกอัญเชิญมาจะต้องเป็นคนที่เราต้องการแน่ๆ แต่นิสัยของเค้ากับชั้นน่ะต่างกันคนละขั้ว

    ปกติตอนอัญเชิญเซอร์แวนท์ ลักษณะนิสัยของวิญญาณวีรชนที่ถูกอัญเชิญออกมาจะขึ้นอยู่กับบุคลิกของมาสเตอร์เป็นส่วนใหญ่ พูดตามหลักก็คือวิญญาณวีรชนที่ถูกอัญเชิญมาจะมีนิสัยเหมือนมาสเตอร์ แต่ยังไงก็ตามโบราณวัตถุที่ใช้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก ยิ่งต้นกำเนิดของโบราณวัตถุชิ้นนั้นชัดเจนเท่าไหร่ วิญญาณวีรชนที่ถูกอัญเชิญมาก็จะตีวงแคบลงเท่านั้น"

    "...คุณกังวลว่าจะไม่ลงรอยกับ 'ราชันย์แห่งอัศวิน' สินะคะ?"

    "แน่นอน คงจะไม่มีใครในโลกที่ขัดแย้งกับเส้นทางแห่งอัศวินมากไปกว่านี้แล้ว"


    คิริทสึงุพูดปนตลก แล้วเผยอปากยิ้มเล็กน้อย

    "การเผชิญหน้าสู้กันมันไม่ใช่วิธีของชั้น ยิ่งถ้าสู้กันถึงตายด้วยล่ะก็ หากชั้นจะโจมตีก็ต้องโจมตีจากข้างหลังตอนที่ศัตรูหลับโดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ คำนึงถึงเป้าหมายในการกำจัดศัตรูด้วยวิธีที่ให้ความสำเร็จสูงที่สุด ...คิดว่าอัศวินที่มีเกียรติจะช่วยชั้นต่อสู้ได้เหรอ?"

    ไอรีสฟีลนิ่งเงียบ และจ้องมองปลอกดาบที่เปล่งประกาย

    คิริทสึงุเป็นนักรบที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ลองก็รู้ว่าคิริทสึงุกับเจ้าของปลอกดาบนี้ต้องเข้ากันไม่ได้เลย

    "...แต่คุณไม่รู้สึกเสียดายบ้างเหรอคะ? เจ้าของ 'ดาบพันธสัญญาสีทองแห่งชัยชนะ' จะต้องเป็นคลาสเซเบอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดแน่ๆ"

    มันก็ถูก

    มีแต่ปลอกดาบที่เต็มไปด้วยรัศมีแห่งเกียรติยศแบบนี้เท่านั้นที่จะเข้าคู่กับสุดยอดดาบเล่มที่ว่า นี่จะต้องเป็นวัตถุโบราณของราชันย์แห่งอัศวินที่มีตำนานเล่าขานจากยุคกลางของยุโรป -- กษัตริย์อาร์เธอร์ อย่างแน่นอน

    "ใช่ 'เซเบอร์' นั้นแข็งแกร่งที่สุดในเจ็ดคลาสที่จอกศักดิ์สิทธิ์อัญเชิญออกมาได้ และถ้าราชันย์แห่งอัศวินอยู่ในคลาสนี้ล่ะก็... เท่ากับชั้นได้ครอบครองเซอร์แวนท์ไร้เทียมทานไว้แล้ว

    แต่ใจความสำคัญอยู่ที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุดได้ยังไง ใจจริงชั้นว่าอะไรๆคงง่ายกว่านี้ถ้าได้พวก 'แคสเตอร์' หรือ 'แอสซาซิน' ซึ่งน่าจะเหมาะกับสไตล์ของชั้นมากกว่า"

    และแล้ว -- เสียงอิเล็กทรอนิกเบาๆก็ดังขึ้นในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยสไตล์ดอกแคแสด ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสองคน

    "อ้า มาถึงสักที"

    บนโต๊ะหนาหนักที่ทำจากไม้จันทน์สีดำนั้นมีโน๊ตบุ๊ควางระเกะระกะอยู่ เป็นการเข้ากันที่ประหลาดเหมือนจักรเย็บผ้ากับเตียงผ่าตัด พวกสายตระกูลจอมเวทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานจะไม่ข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกเลยซึ่งไอนส์เบิร์นก็ไม่เว้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกขนาดเล็กที่ดูประหลาดเมื่อเทียบกับไอรีสฟีลคือของใช้ส่วนตัวที่คิริทสึงุนำมา จอมเวทที่ไม่ขัดแย้งกับการใช้เครื่องจักรนั้นหาได้น้อยคนซึ่งคิริทสึงุก็เป็นคนหนึ่ง ตอนที่คิริทสึงุขอให้ติดตั้งสายโทรศัพท์กับเครื่องกำเนิดพลังงาน เขาทะเลาะกับตาเฒ่าหัวหน้าตระกูลยกใหญ่ทีเดียว


    "...เสียงนั่น คืออะไรเหรอคะ?"

    "รายงานจากลูกน้องที่แทรกซึมอยู่ในหอนาฬิกาที่ลอนดอนน่ะ ชั้นขอให้เขาสำรวจสถานะมาสเตอร์ที่เข้าร่วมเฮเว่นฟีลครั้งนี้ไงล่ะ"

    คิริทสึงุนั่งลงที่หน้าเครื่องและเริ่มใช้คีย์บอร์ดอย่างชำนาญ จอLCDบอกว่ามีเมล์ใหม่หนึ่งเมล์ นี่คือเทคโนโลยีใหม่ที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ "อินเตอร์เน็ต" ตอนที่อยู่ในเมืองไอรีสฟีลได้ฟังคิริทสึงุอธิบายเรื่องนี้มาแล้ว แต่ท่าทางอ้ำอึ้งของเธอแสดงให้สามีเห็นว่าเธอไม่ได้เข้าใจแม้แต่น้อย

    "...อ้อ นี่ไงข้อมูลของมาสเตอร์ทั้งสี่คน"

    แน่นอนว่าตัวแทนจากโทซากะจะต้องเป็นหัวหน้าตระกูลโทซากะ โทคิโอมิ ผู้ชายเรื่องมากที่ชำนาญเวทอัญมณีสาย"ไฟ"

    ดูเหมือนตระกูลมาโต้จำเป็นต้องส่งคนไม่ได้เรื่องที่ไม่สามารถเป็นหัวหน้าตระกูลได้มาเป็นมาสเตอร์ ไร้สาระสิ้นดี... แต่ตาเฒ่าลึกลับของตระกูลนั้นใช้ความพยายามสูงมากเพื่อที่จะครอบครองจอกให้ได้

    จอมเวทซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันทั้งเมือง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาจารย์อันดับหนึ่งจากหอนาฬิกา เคย์เนส เอล-เมลลอย อาร์ชิบัลด์

    อา คนคนนี้เขารู้จักดี ชายผู้มีทั้งธาตุ "ลม" และ "น้ำ" เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งการเรียกวิญญาณ, การอัญเชิญ, และการแปรธาตุ ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้กันว่าเขาดังที่สุดในสมาคม ชักจะเป็นปัญหาแล้วสิ

    และยังมีชายอีกคนที่ถูกส่งมาจากโบสถ์... โคโตมิเนะ คิเรย์ แต่เดิมนั้นรู้จักกันในนาม "ศูนย์รวมของพิธีกรรมที่8" เขาเป็นลูกชายของคนที่เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ - โคโตมิเนะ ริเซย์ ถูกส่งมาหาโทซากะ โทคิโอมิเพื่อเรียนรู้ด้านเวทมนตร์เมื่อสามปีที่แล้ว จากนั้นก็ตัดขาดศิษย์-อาจารย์หลังจากได้รับเรย์จู หืม เพื่อนรักอันตรายสินะ

    คิริทสึงุใช้เม้าส์เลื่อนจอภาพขณะอ่านรายละเอียดต่างๆที่สำรวจมาได้ เห็นสามีเป็นแบบนี้ไอรีสฟีลจึงเบื่อสุดขีด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอสังเกตุเห็นว่า คิริทสึงุซึ่งเอาแต่จ้องหน้าจอตลอดเวลานั้นมีสีหน้าจริงจังและคร่ำเครียด

    "...มีอะไรเหรอคะ?"

    "ลูกชายของหลวงพ่อโคโตมิเนะคนนี้ ประวัติดีเกินคาด--"

    ไอรีสฟีลยืนด้านหลังคิริทสึงุและมองไปยังหน้าจอLCDตรงที่เขาชี้ให้ดู สำหรับไอรีสฟีลการมองตัวอักษรที่ไม่ได้อยู่บนกระดาษเป็นอะไรที่ลำบากมาก แต่เห็นสามีเธอกำลังเครียดจึงไม่ได้บ่นอะไร


    "...โคโตมิเนะ คิเรย์ เกิดปี 1967 ติดตามพ่อเข้าอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อายุยังน้อย จบการศึกษาปี '81 จากเซนต์อิกนาซีโอ วิทยาลัยทางเทววิทยาแห่งแมนเรซ่า... เรียนข้ามชั้นสองปีและเป็นประธานนักเรียนด้วย เป็นคนที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยนะคะ"

    คิริทสึงุพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

    "ดูแนวโน้มแล้วเขาน่าจะไปได้ถึงตำแหน่งคาร์ดินัล แต่เขากลับทิ้งจุดยืนแล้วไปเข้ากับโบสถ์ ที่จริงเขามีทางเลือกตั้งเยอะ ทำไมเขาต้องอุทิศตนทำงานในองค์กรของโบสถ์ล่ะ?"

    "อิทธิพลจากพ่อของเขาหรือเปล่าคะ? โคโตมิเนะ ริเซย์ก็เป็นคนของโบสถ์ใช่มั้ยล่ะคะ?"

    "ถ้างั้นเขาก็น่าจะช่วยกู้โบราณวัตถุกับพ่อเขาอยู่ตลอดสิ สุดท้ายแล้วคิเรย์ได้อยู่แผนกเดียวกับพ่อก็จริง แต่ก่อนหน้านั้นเขาถูกย้ายถึงสามครั้งแถมยังถูกเลือกเป็น 'เพชฌฆาต' ด้วย หมอนั่นน่ะเร็วไปสิบปีสำหรับงานแบบนั้น นั่นไม่ใช่งานที่ใช้ความมุ่งมั่นแบบพื้นๆทำให้สำเร็จได้เลยนะ"

    ที่นั่นเป็นหน่วยงานที่กระหายเลือดที่สุดของโบสถ์ซึ่งถูกเรียกว่า รังอสูร จากงานที่พวกเขารับผิดชอบนั่นคือการลงโทษพวกนอกรีต การได้ตำแหน่ง "เพชฌฆาต" มาหมายความว่าเขาต้องเป็นฆาตกรอันดับหนึ่งเลยทีเดียว แสดงว่าเขาต้องผ่านการฝึกฝนอันแสนโหดร้ายและทรหดจนกลายเป็นอาวุธของมนุษยชาติ

    "บางทีเขาอาจจะคลั่งไคล้ในศรัทธา ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งบริสุทธิ์นี่คะ คงจะคลั่งไคล้ในความเชื่อจนเกินขอบเขตไปหน่อย"

    แม้ได้ยินความเห็นของไอรีสฟีลไปแล้ว คิริทสึงุก็ยังคงส่ายหน้า

    "มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ... ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจะอธิบายสถานภาพตลอดสามปีที่ผ่านมาของหมอนี่ไม่ได้เลย

    ถ้าเขามีศรัทธาที่บริสุทธิ์จริงๆ เขาไม่มีวันยอมย้ายมาเข้าสมาคมจอมเวทแน่ๆ ดูเหมือนนี่จะเป็นคำสั่งของโบสถ์ หรือเขาจะจะศรัทธาในคำสอนมากกว่าตัวองค์กร แต่มันก็อธิบายเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกเวทมนตร์เอาเป็นเอาตายขนาดนี้เลย

    -- ดูนี่สิ รายงานเรื่องคิเรย์ของโทซากะที่ส่งไปถึงสมาคม บอกว่าในขอบเขตการฝึกฝนมีการแปรธาตุ ,การเรียกวิญญาณ, การอัญเชิญ, การหยั่งรู้... แถมเขายังชำนาญเวทรักษายิ่งกว่าโทซากะ โทคิโอมิเสียอีก ศรัทธาแรงกล้าขนาดนี้มาจากไหนกันนะ?"

    ไอรีสฟีลอ่านเอกสารต่อไปเรื่อยๆจนถึงการสรุปความสามารถของคิเรย์ในตอนท้าย


    "...ชั้นว่า คิเรย์คนนี้ประหลาดชอบกล คิดมากเรื่องนี้ไปก็เปล่าประโยชน์มั้งคะ? ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ขนาดนี้เขาก็ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นมากกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่เลย"

    "อา นั่นแหละที่ชั้นว่ามันแปลก"

    เห็นไอรีสฟีลทำหน้างงๆ คิริทสึงุจึงอธิบายต่อไป

    "ไม่ว่าชายคนนี้จะทำยังไงเขาก็ไปไม่ถึงระดับ "สูงสุด" เห็นแบบนี้แล้วคิดว่าเขาคงไม่ได้เป็นอัจฉริยะอะไรหรอก ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่การบรรลุเป้าหมายด้วยความรวดเร็วกับผลลัพธ์ที่ปรากฎนั้นถือว่าน่ากลัว เขาต้องพยายามมากกว่าคนอื่นถึง 10 หรือ 20 เท่าจนมาได้ถึงระดับนี้ แต่พอมาถึงก้าวสุดท้ายจู่ๆเขาก็หยุดแล้วถูกส่งไปที่อื่นโดยไม่อาลัยอาวรณ์เลย ทุกอย่างที่เขาก่อร่างขึ้นมาอย่างยากลำบากจนถึงตอนนี้กลับถูกโยนทิ้งเหมือนขยะไร้ค่า"

    "..."

    "เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตให้ตื่นเต้นกว่าคนอื่น แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำให้ใครรู้สึก 'รักใคร่' ตัวเขาเลย คนคนนี้ -- อันตรายจริงๆ"

    ได้ยินคิริทสึงุอธิบายแบบนี้ ไอรีสฟีลจึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา

    ถ้าเขาบอกว่า "เป็นปัญหา" ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเคี้ยวยากแต่เขาก็ไม่เห็นเป็นภัยคุกคาม วิธีที่จะต่อสู้กับคนประเภทนี้และโอกาสที่จะสำเร็จนั้น คิริททสึงุมั่นใจราวๆแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาเขาบอกว่า "อันตราย"... เอมิยะ คิริทสึงุจะใช้คำคำนี้กับคู่ต่อสู้ที่ต้องสู้อย่างสุดกำลังเท่านั้น

    "ผู้ชายคนนี้ไม่เชื่ออะไรเลย ได้แต่ตามหาคำตอบไปเรื่อยๆ เพราะงั้นเขาถึงมีประสบการณ์สูงมาก ซึ่งผลลัพธ์ก็คือเขายังไม่พบอะไรเลย... หมอนี่เป็นคนที่ว่างเปล่าแบบสุดๆ ถ้าจะให้พูดว่าในใจของผู้ชายคนนี้มีอะไร มันก็คงมีแต่โทสะกับความสิ้นหวังเท่านั้น"

    "...คุณจะบอกว่า เพชฌฆาตคนนี้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจกว่าโทซากะ โทคิโอมิ และ อาร์ชิบัลด์ เหรอคะ?"

    คิริทสึงุนิ่งไปชั่วครู่ และพยักหน้าอย่างจริงจัง

    "...ชายที่น่ากลัว

    แม้โทซากะกับลอร์ดเอล-เมลลอยด์จะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ชั้นว่า 'ตัวตน' ของคิเรย์น่ากลัวกว่ามาก"

    "ตัวตนเหรอคะ?"


    "จิตใจของชายคนนี้ว่างเปล่า เขาไม่มีความต้องการใดๆอยู่เลย แล้วทำไมคนแบบนี้ถึงเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อจอกล่ะ?"

    "...เป็นเจตนาของโบสถ์หรือเปล่าคะ? ตั้งใจให้ชายคนนี้เชื่อผิดๆว่าจอกของฟุยูกิเป็นโบราณวัตถุจริงๆเค้าเลยพุ่งเป้ามาหรือเปล่าคะ?"

    "ไม่หรอก กับเรื่องแค่นี้จอกคงไม่ให้เรย์จู จอกเลือกชายคนนี้เป็นมาสเตอร์แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผลที่ต้องการจอก เรื่องที่เราไม่รู้นี่แหละที่มองข้ามไม่ได้และถือเป็นเรื่องน่ากลัว"

    คิริทสึงุถอนหายใจเสียงดัง มองจออย่างเศร้าศร้อย พยายามหาอะไรที่จะทำให้รู้จักคิเรย์มากกว่านี้จากตัวอักษรที่ไร้ความรู้สึกตรงหน้า

    "คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนว่างเปล่าไร้ความปรารถนาแบบนี้ได้จอกไปล่ะ? ชีวิตทั้งชีวิตของชายคนนี้มีแต่ความสิ้นหวัง พลังของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลให้สมความปรารถนาจะต้องแปดเปื้อนสีแห่งความสิ้นหวังของเขาแน่"

    คิริทสึงุกำลังเศร้าจนหมกมุ่นเกินไป เพื่อปลอบใจเขาไอรีสฟีลจึงส่ายหน้าอย่างเข้มแข็ง

    "สิ่งที่อยู่ในตัวชั้น ภาชนะแห่งจอก ชั้นจะไม่ยอมมอบมันให้ใคร เมื่อจอกสมบูรณ์แล้วคนที่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองมัน -- มีแต่คุณเท่านั้นค่ะ คิริทสึงุ"

    ตาเฒ่าแห่งตระกูลไอนส์เบิร์นต้องการจอกที่สมบูรณ์ นั่นเป็นความปรารถนาเดียวของเขา... แต่ต่อจากนี้ไป หนุ่มสาวคู่นี้ยังมีความปรารถนาที่จะต้องทำให้เป็นจริง ยังมีความฝันที่จะต้องทำให้เป็นจริง

    คิริทสึงุปิดฝาโน๊ตบุ๊คแล้วสวมกอดไอรีสฟีลไว้แน่น

    "ไม่ว่ายังไง เราต้องไม่แพ้"

    ภรรยาของเขา ไอรีสฟีลเป็นห่วงความปรารถนาของเธอกับสามี มากกว่าความปรารถนาของตระกูลเธอ ความจริงที่ว่านี้เป็นแรงผลักดันคิริทสึงุอยู่ลึกๆ

    "...ชั้นรู้แล้ว วิธีที่จะใช้เซอร์แวนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ได้ประโยชน์สูงสุดน่ะ"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×