ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Book1 Act 1 Part 1
ไม่มีใครเข้าใจพรสวรรค์ของ เวฟเวอร์ เวลเว็ท เลยสักคน
ในฐานะจอมเวท เขาไม่ได้กำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง หรือโชคดีพอจะได้พบกับอาจารย์เก่งๆ หนุ่มคนนี้เรียนรู้ด้วยตัวเองเกือบทุกอย่างจนในที่สุดก็โชคดีพอที่สมาคมจอมเวทซึ่งเป็นผู้ควบคุมจอมเวททั่วทั้งโลก ยอมรับเขาเข้าสู่สำนักงานหลัก สถาบันที่ทำการสอนในลอนดอนซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "หอนาฬิกา" เวฟเวอร์เชื่ออยู่เสมอมาว่าสิ่งนี้คือความภาคภูมิใจที่ไม่มีอะไรเทียบได้ เขาเชื่อมั่นจากส่วนลึกของจิตใจโดยไม่คลางแคลงซึ่งเขาก็ภูมิใจในพรสวรรค์ของเขามาก มีแต่ชั้นเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาที่เหมาะสมที่สุดในหอนาฬิกาตั้งแต่เคยมีมา ทุกๆคนต้องรู้จักชั้น อย่างน้อยตัวเวฟเวอร์เองก็คิดของเขาแบบนี้
ในความเป็นจริงแล้วสายตระกูลจอมเวทของ เวลเว็ท เพิ่งจะมีมาเพียงสามรุ่นเท่านั้น เมื่อเทียบกับพวกลูกหลานของตระกูลจอมเวทที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย พลังสมาธิและพลังเวทของเวฟเวอร์นั้นนับว่าต่ำต้อย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพลังเวทและพลังสมาธินั้นก็ค่อยๆเพิ่มพูนและขยายออกไป นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในหอนาฬิกาก็เป็นลูกหลานของตระกูลจอมเวทสายเลือดบริสุทธิ์ที่สืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหกรุ่นทั้งนั้น
เวทมนตร์ที่น่าพิศวงไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในชั่วอายุคนเพียงคนเดียว ผลลัพธ์จากการค้นคว้าทั้งชีวิตของพ่อแม่จะถูกส่งต่อมายังลูกหลาน เวทมนตร์นั้นจึงค่อยๆถูกขัดเกลาทีละนิดๆ พลังปราณจากสายตระกูลจอมเวทที่ยิ่งมีมานานก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยเหตุนี้เอง
นอกจากนี้แม้ว่าพลังเวทของเหล่าจอมเวทจะถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด ก็ยังมีจอมเวทโบราณบางคนวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเพิ่มพลังเวทให้แก่ลูกหลานของพวกเขาอีกด้วย ด้วยสาเหตุดังกล่าวคนเหล่านี้จึงทิ้งห่างจอมเวทตระกูลใหม่ออกไป ความได้เปรียบในโลกของเวทมนตร์นั้นถูกกำหนดเอาไว้ก่อนจะเกิดเสียอีก... ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเข้าใจกัน
แต่เวฟเวอร์กลับไม่คิดแบบนั้น
ความต่างชั้นจากบรรพบุรุษสามารถลบล้างได้ด้วยการสั่งสมประสบการณ์ แม้จะไม่นับเรื่องพลังเวท,ความเข้าใจลึกซึ่งเรื่องเวทมนตร์ และความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้เวทมนตร์ก็ตาม ความแตกต่างที่มาจากชาติกำเนิดนั้นสามารถก้าวข้ามได้ เวฟเวอร์เชื่ออยู่ในใจลึกๆเสมอมา เขาเชื่อว่าตัวเขานี่แหละคือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องนี้และเขาก็พยายามแสดงความสามารถของเขาให้ทุกคนเห็นอยู่เสมอมา
ทว่าความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย พวกนักเรียนที่ชอบคุยโอ้อวดสายตระกูลของตัวเองกับพวกที่คอยติดตามและประจบสอพลอคนพวกนั้นไม่เลิกรา เหล่าผู้คนในหอนาฬิกาส่วนใหญ่มีแต่คนพวกนี้แถมคนที่ทำงานอยู่ในหอนาฬิกาก็มาจากคนพวกนี้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์ มีแต่นักศึกษาชื่อดังจากตระกูลที่มีชื่อเสียง กับนักค้นคว้า "อนาถา" ที่พวกเขาไม่ค่อยจะเต็มใจให้เข้าไปยืมหนังสือในห้องสมุดอย่างเวฟเวอร์เท่านั้นที่ได้รับการฝึกสอนเวทมนตร์
ทำไมต้องกำหนดอนาคตของจอมเวทจากสายตระกูลของเขาด้วย?
ทำไมความน่าเชื่อถือของคนคนหนึ่งถึงมาจากสายตระกูลล่ะ?
ไม่มีใครสนใจคำถามของเวฟเวอร์ อาจารย์ใช้คำพูดสวยหรูหลอกล่อเวฟเวอร์เมื่อเขาเสนอหัวข้อวิจัยและทำตัวราวกับว่าเขานั้นคิดผิด ไม่ก็หัวเราะมัน หรือปฏิเสธมัน
มันคือความจริงที่ไม่น่าเชื่อ ความวิตกกังวลของเวฟเวอร์ผลักดันให้เขาต้องลงมือ
เพื่อเปิดเผยระบบอันเน่าเฟะของสมาคมจอมเวท เวฟเวอร์เขียนเอกสารในหัวข้อ "การสอบสวนเส้นทางของเวทมนตร์ในศตวรรษหน้า" ซึ่งมาจากการวิจัยหัวข้อถึงสามปีและลงมือเขียนอีกหนึ่งปี มันโจมตีประเพณีดั้งเดิมอย่างโหดร้าย งานเขียนจากความปวดใจที่ได้รับมานั้นพยายามแสดงถึงความคิดอันโปร่งใสและแรงกล้าอย่างไร้มลทิน หากคณะกรรมการสอบสวนได้มาเห็นคงเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตจนนั่งไม่ติดเป็นแน่
แต่ -- อาจารย์ในแผนกยูลีฟิสโยนมันทิ้งหลังอ่านผ่านๆเพียงครั้งเดียว
ชื่อของเขาคือ เคย์เนส เอล-เมลลอยด์ อาร์ชิบัลด์ ทายาทแห่งตระกูลอาร์ชิบัลด์ซึ่งดำรงสายเลือดจอมเวทมาถึงเก้ารุ่น ชายผู้โด่งดังที่ทุกคนเรียกว่า ลอร์ดเอล-เมลลอยด์ เขาหมั้นกับลูกสาวของผู้อำนวยการ ชายผู้นี้คือที่สุดของที่สุด เขานี่แหละตัวแทนของทฤษฎีที่เวฟเวอร์เกลียดนักเกลียดหนา
"คนที่เข้าใจอะไรผิดๆอย่างเธอไม่สมควรจะทำการวิจัยหรอก เวฟเวอร์" -- อาจารย์เคย์เนสกล่าวด้วยมารยาทตามปกติซึ่งไม่มีความเห็นใจปนอยู่แม้แต่น้อย สายตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเคย์เนสเป็นสิ่งที่เวฟเวอร์ไม่มีวันลืม
ตั้งแต่เกิดมาสิบเก้าปี เวฟเวอร์ไม่เคยอับอายเท่านี้เลย
ถ้าเขามีพรสวรรค์พอจะเป็นอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้าใจว่าเอกสารของเวฟเวอร์นั้นวิเศษเพียงใด ไม่สิ ชายคนนี้จะต้องอิจฉาเพราะเขาเข้าใจนั่นแหละ เพราะกลัวพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเวฟเวอร์ก็เลยอิจฉาเขา ทำกับเวฟเวอร์เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เป็นอันตรายต่อจุดยืนของเขา นี่ต้องเป็นเหตุผลที่เขาใช้มารยาทป่าเถื่อนกับงานเขียนของเวฟเวอร์แน่ๆ จะได้ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้ปัญญาอันฉลาดเฉลียวเพิ่มพูนไปกว่านี้ นี่คือพฤติกรรมของนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?
ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด พรสวรรค์สะเทือนโลกระดับเขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่นักปราชญ์พวกนี้ตั้งไว้ ไม่ยุติธรรมเลย กระนั้นก็ยังไม่มีใครเข้าใจความยากลำบากของเขาอยู่ดี ในสายตาของเวฟเวอร์ สมาคมจอมเวทนั้นเน่าเฟะไปจนถึงแก่นแล้ว
ทว่า... ขณะที่กำลังใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรควันแล้ววันเล่า เวฟเวอร์ก็ได้ยินข่าวลือ
ข่าวลือเรื่องลอร์ดเอล-เมลลอยด์ผู้โด่งดัง เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มาสนองความหยิ่งยะโสของเขา เขาตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้ของจอมเวทที่กำลังจะจัดขึ้นในดินแดนตะวันออกไกล
เวฟเวอร์เริ่มค้นคว้าข้อมูลรายละเอียดต่างๆของ "เฮเว่นฟีล" แบบข้ามวันข้ามคืน และได้หลงเสน่ห์ไปกับรายละเอียดที่น่าสะพรึงกลัวนั้น
เดิมพันกันด้วย "จอกศักดิ์สิทธิ์" ที่ซุกซ่อนพลังปราณมหาศาลเอาไว้ในตัวจนเรียกวิญญาณวีรชนมายังโลกยุคปัจจุบันและได้ควบคุมวิญญาณวีรชนนั้นเข้าต่อสู้กันถึงตาย
ยศฐาบรรดาศักดิ์,อำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไร้ค่า การต่อสู้นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถล้วนๆ
ถึงจะดูป่าเถื่อนไปหน่อย แต่เป็นหนทางที่ง่ายดายและยุติธรรมในการพิสูจน์ว่าใครเก่งกาจที่สุด สำหรับอัจฉริยะผู้ถูกมองข้ามนี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม เป็นเวทีในอุดมคติที่เขาจะเปิดตัวให้โลกได้รับรู้
ในที่สุดเทพธิดานำโชคก็ส่งยิ้มมาให้กับเวฟเวอร์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เริ่มจากความประมาทของกระทรวงการคลัง อาจารย์เคย์เน็ตขอโบราณวัตถุทางศาสนาจากแมซีโดเนีย... ซึ่งถูกส่งปนมากับพัสดุธรรมดาๆมาให้นักศึกษาเวฟเวอร์ เพื่อให้นำไปส่งอาจารย์เขาอีกที ทั้งๆที่มันควรจะถูกเปิดเมื่อถึงมือเคย์เน็ตเท่านั้น
เวฟเวอร์รู้ทันทีว่านี่คือวัตถุดิบที่ใช้อัญเชิญเซอร์แวนท์ในสงครามจอก แปลว่าเขาเพิ่งจะได้รับโอกาสทองหนึ่งเดียวในชีวิต
เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆต่อหอนาฬิกาผุๆพังๆนี้อีกแล้ว เกียรติยศจากการจบการศึกษากลายเป็นขยะเมื่อเทียบกับเกียรติยศที่ได้จากสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ของฟุยูกิ วินาทีที่เวฟเวอร์ ได้รับชัยชนะจากสงครามคือวินาทีที่เหล่าสมาชิกระดับล่างของสมาคมจอมเวทต้องสยบแทบเท้าเขา
ตั้งแต่วันนั้นเวฟเวอร์ออกจากอังกฤษและมุ่งไปยังประเทศหมู่เกาะในแถบตะวันออก หอนาฬิการู้ทันทีว่าใครขโมยพัสดุของเคย์เนสแต่ไม่ได้ไล่ตามเขาไป ไม่มีใครคิดว่าเวฟเวอร์จะสนใจเฮเว่นฟีลเลย
แต่ยังมีบางสิ่งที่เวฟเวอร์ไม่รู้ ทุกคนคิดว่าตราบใดที่ความสามารถของเวฟเวอร์ยังน่าเป็นห่วง เขาก็ได้แต่เอาพัสดุไปซ่อนด้วยความโกรธเคืองเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเขาตั้งใจเสี่ยงชีวิตเข้าร่วมการต่อสู้ของจอมเวทเลย หอนาฬิกาประมาทเขาเกินไปจริงๆ
ในหมู่บ้านตะวันออกไกล ที่ซึ่งจะตัดสินชะตาชีวิตของเขา -- เมืองฟุยูกิ เวฟเวอร์กำลังคลุมโปงอยู่บนเตียง พยายามจะข่มเสียงหัวเราะของตัวเอง ไม่สิ เขาข่มไม่ไหวแล้ว แสงสลัวส่องผ่านรอยแตกของผนังมากระทบตัวเขา ที่ชูมือขึ้นทุกๆวินาทีพร้อมกับหัวเราะคิกๆ
ด้วยโบราณวัตถุในมือ ,ตัวเขาที่อยู่ในฟุยูกิและความสามารถเพียงพอที่จะเป็นจอมเวท... จอกจะมองข้ามคนอย่างเขาได้ยังไง? ที่จริง สัญลักษณ์ทั้งสามรูปของเรย์จู ข้อพิสูจน์ของมาสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญเซอร์แวนท์ออกมาได้ปรากฎขึ้นบนมือขวาของเวฟเวอร์ตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ต่อให้มีอัธพาลข้างถนนมาส่งเสียงโวยวายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้เขาก็คงไม่ได้ยิน
"เวฟเวอร์ ลงมาทานเข้าเช้าได้แล้ว"
เสียงของหญิงแก่ที่เรียกเขาจากชั้นล่าง วันนี้ฟังดูแปลกไป ไม่ระคายหูเหมือนแต่ก่อน
เพื่อเริ่มต้นวันที่น่าจดจำนี้ได้อย่างราบรื่น เวฟเวอร์จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า
แม้จะเป็นประเทศหมู่เกาะที่ดูล้าหลัง เมืองฟุยูกิก็มีนักท่องเที่ยวให้เห็นอยู่บ้าง คงเพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีใครสนใจเวฟเวอร์ที่ดูแตกต่างกับคนญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง กระนั้นเวฟเวอร์ก็ระแวดระวังและร่ายมนต์กับสามีภรรยาแก่ๆที่อาศัยอยู่ตามลำพัง หลอกให้พวกเขาคิดว่าเวฟเวอร์เป็นหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่เมืองนอก เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลอมตัวและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่นี่ แถมยังไม่ต้องจ่ายค่าโรงแรมด้วยเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบและเวฟเวอร์ก็เริ่มตะลึงกับความสามารถของตนที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้สนุกกับเช้าอันสดใสได้อย่างเต็มที่ เวฟเวอร์พุ่งลงบันไดเข้าห้องครัวและห้องรับประทานอาหารพร้อมกับปัดพวกอีกานิสัยเสียออกไป เหมือนๆทุกเช้า มีหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวเก่าๆและทีวีก็ฉายข่าวภาคเช้ากับรายการทำอาหาร
"อรุณสวัสดิ์ เวฟเวอร์ หลับสบายดีไหม?"
"ครับปู่ ผมหลับสนิทถึงเช้าเลย"
เวฟเวอร์ขานตอบด้วยรอยยิ้มขณะปาดแยมหนาเตอะลงบนขนมปังปิ้ง ขนมปังแฉะๆราคาก้อนละร้อยแปดสิบเยนนั้นเคี้ยวไม่อร่อยแถมกินไม่อิ่มเลยสักนิด จะให้ได้เรื่องก็ต้องทาแยมเยอะๆแบบนี้แหละ
เกล็น กับ มาร์ธา แม็คเคนซี่ อพยพจากแคนาดามาญี่ปุ่นได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ลูกชายที่เข้ากับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นไม่ได้ตัดสินใจย้ายกลับไปและสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด หลานชายที่ถูกเลี้ยงในญี่ปุ่นจนอายุสิบขวบก็ย้ายกลับไปแล้วเช่นกัน ไม่เคยมีจดหมายกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเลยสักครั้ง สิบปีผ่านไปเวฟเวอร์สะกดจิตสองสามีภรรยาแก่ๆจนได้ข้อมูลนี้มา ครอบครัวแบบนี้แหละที่เป็นครอบครัวในอุดมคติของเวฟเวอร์ เมื่อรู้แบบนี้เวฟเวอร์จึงเปลี่ยนการรับรู้ของสองสามีภรรยาให้ตัวตนของหลานชายกลายเป็นตัวตนของเขาและกลายเป็นหลานชาย "เวฟเวอร์ แม็คเคนซี่" ที่รักไปโดยปริยาย
"แต่ว่านะ มาร์ธา ชั้นได้ยินไก่ขันน่ารำคาญมาตั้งแต่รุ่งสางแล้ว เธอรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?"
"จู่ๆเราก็มีไก่สามตัว พวกมันมาจากไหนกันนะ...?"
เวฟเวอร์คิดข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็วแล้วกลืนขนมปังลงคอทันที
"อ่า นั่น... เพื่อนผมส่งสัตว์เลี้ยงมาให้เราดูแลสองสามวันน่ะครับ เขาออกไปเที่ยวแล้วไม่ได้กลับบ้าน พวกนี้เลยมาอยู่กับเราชั่วคราว เย็นนี้ผมก็ส่งมันคืนแล้วครับ"
"อ้อ เป็นแบบนี้เอง"
ดูเหมือนพวกเค้าไม่สนใจเท่าไหร่ สองคนนี้เลยเชื่ออย่างง่ายดาย การที่สองคนนี้ได้ยินไม่ชัดนับว่าโชคดี เสียงขันน่ารำคาญของไก่สามตัวนี้ทำให้เพื่อนบ้านแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
แต่คนที่เครียดที่สุดกลับเป็นเวฟเวอร์ ตราบที่เรย์จูยังอยู่บนมือของเขา เวฟเวอร์ก็เตรียมการบูชายัญที่จะต้องใช้ในพิธีอย่างตื่นเต้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการหาฟาร์มไก่ใกล้ๆจะยากถึงเพียงนี้ จนในที่สุดเขาก็พบฟาร์มไก่เล็กๆ แต่การจับไก่สามตัวนั้นกินเวลาไปเกือบชั่วโมง สุดท้ายเขาก็กลับบ้านตอนฟ้าเริ่มสว่าง ขนไก่ติดทั้งตัวและมีรอยไก่จิกเลือดออกเต็มมือ
ในหอนาฬิกา สัตว์ต่างๆที่ใช้ในพิธีบูชายัญจะถูกเตรียมไว้เสมอ แต่ที่นี่ จอมเวทอัจฉริยะอย่างเขามีสภาพน่าสมเพชเพราะการจับไก่ธรรมดาๆสามตัวได้ไงกัน? คิดแบบนี้แล้ว เวฟเวอร์แทบจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ แต่เมื่อจ้องเรย์จูบนมือขวาจนถึงเช้า เขาก็ค่อยๆสดชื่นขึ้น
เขาตัดสินใจประกอบพิธีคืนนี้ พวกไก่น่ารำคาญก็จะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้นแหละ
แล้วเวฟเวอร์ก็ต้องการเซอร์แวนท์ที่แข็งแกร่งที่สุด โบราณวัตถุที่ซ่อนอยู่ในหีบเสื้อผ้าที่ห้องนอนชั้นสอง... จะต้องเป็นวัตถุดิบที่ใช้อัญเชิญยอดวิญญาณวีรชนออกมาแน่ เวฟเวอร์รู้มากขนาดนี้แล้ว
เศษผ้าขาดๆครึ่งซีกนี้คือชิ้นส่วนของผ้าคลุมซึ่งเคยอยู่บนไหล่ของกษัตริย์องค์หนึ่ง "กษัตริย์ผู้พิชิต" ในตำนานซึ่งทำลายจักรวรรดิอาคีเมนิดแห่งเปอร์เซียและสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกซึ่งกินเนื้อที่จากกรีซไปถึงอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ วิญญาณวีรชนของเขาจะตกเป็นของเวฟเวอร์ด้วยการอัญเชิญในคืนนี้ เพื่อนำเขาไปสู่จอกอันลือนาม
"... คุณปู่ คุณย่า คืนนี้ผมจะเอาไก่ไปคืนเพื่อนนะครับ อาจจะกลับมาดึกสักนิดแต่ไม่ต้องห่วงผมนะครับ"
"ได้เลย ระวังตัวด้วยนะ ช่วงนี้ฟุยูกิไม่ค่อยปลอดภัย"
"ฆาตกรต่อเนื่องจากนิยายปรัมปรานั่นโผล่มาอีกแล้ว เดี๋ยวนี้โลกเราน่ากลัวซะจริงๆ"
เวฟเวอร์กินขนมปังแผ่นถูกๆบนโต๊ะกินข้าวตัวยาวนั้นโดยมีความสุขที่สุดในชีวิตห้อมล้อม เสียงน่ารำคาญจากไก่พวกนั้นแทบไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนเลย
ในฐานะจอมเวท เขาไม่ได้กำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง หรือโชคดีพอจะได้พบกับอาจารย์เก่งๆ หนุ่มคนนี้เรียนรู้ด้วยตัวเองเกือบทุกอย่างจนในที่สุดก็โชคดีพอที่สมาคมจอมเวทซึ่งเป็นผู้ควบคุมจอมเวททั่วทั้งโลก ยอมรับเขาเข้าสู่สำนักงานหลัก สถาบันที่ทำการสอนในลอนดอนซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "หอนาฬิกา" เวฟเวอร์เชื่ออยู่เสมอมาว่าสิ่งนี้คือความภาคภูมิใจที่ไม่มีอะไรเทียบได้ เขาเชื่อมั่นจากส่วนลึกของจิตใจโดยไม่คลางแคลงซึ่งเขาก็ภูมิใจในพรสวรรค์ของเขามาก มีแต่ชั้นเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาที่เหมาะสมที่สุดในหอนาฬิกาตั้งแต่เคยมีมา ทุกๆคนต้องรู้จักชั้น อย่างน้อยตัวเวฟเวอร์เองก็คิดของเขาแบบนี้
ในความเป็นจริงแล้วสายตระกูลจอมเวทของ เวลเว็ท เพิ่งจะมีมาเพียงสามรุ่นเท่านั้น เมื่อเทียบกับพวกลูกหลานของตระกูลจอมเวทที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย พลังสมาธิและพลังเวทของเวฟเวอร์นั้นนับว่าต่ำต้อย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพลังเวทและพลังสมาธินั้นก็ค่อยๆเพิ่มพูนและขยายออกไป นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในหอนาฬิกาก็เป็นลูกหลานของตระกูลจอมเวทสายเลือดบริสุทธิ์ที่สืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหกรุ่นทั้งนั้น
เวทมนตร์ที่น่าพิศวงไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในชั่วอายุคนเพียงคนเดียว ผลลัพธ์จากการค้นคว้าทั้งชีวิตของพ่อแม่จะถูกส่งต่อมายังลูกหลาน เวทมนตร์นั้นจึงค่อยๆถูกขัดเกลาทีละนิดๆ พลังปราณจากสายตระกูลจอมเวทที่ยิ่งมีมานานก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยเหตุนี้เอง
นอกจากนี้แม้ว่าพลังเวทของเหล่าจอมเวทจะถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด ก็ยังมีจอมเวทโบราณบางคนวางแผนอย่างแยบยลเพื่อเพิ่มพลังเวทให้แก่ลูกหลานของพวกเขาอีกด้วย ด้วยสาเหตุดังกล่าวคนเหล่านี้จึงทิ้งห่างจอมเวทตระกูลใหม่ออกไป ความได้เปรียบในโลกของเวทมนตร์นั้นถูกกำหนดเอาไว้ก่อนจะเกิดเสียอีก... ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเข้าใจกัน
แต่เวฟเวอร์กลับไม่คิดแบบนั้น
ความต่างชั้นจากบรรพบุรุษสามารถลบล้างได้ด้วยการสั่งสมประสบการณ์ แม้จะไม่นับเรื่องพลังเวท,ความเข้าใจลึกซึ่งเรื่องเวทมนตร์ และความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้เวทมนตร์ก็ตาม ความแตกต่างที่มาจากชาติกำเนิดนั้นสามารถก้าวข้ามได้ เวฟเวอร์เชื่ออยู่ในใจลึกๆเสมอมา เขาเชื่อว่าตัวเขานี่แหละคือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องนี้และเขาก็พยายามแสดงความสามารถของเขาให้ทุกคนเห็นอยู่เสมอมา
ทว่าความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย พวกนักเรียนที่ชอบคุยโอ้อวดสายตระกูลของตัวเองกับพวกที่คอยติดตามและประจบสอพลอคนพวกนั้นไม่เลิกรา เหล่าผู้คนในหอนาฬิกาส่วนใหญ่มีแต่คนพวกนี้แถมคนที่ทำงานอยู่ในหอนาฬิกาก็มาจากคนพวกนี้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์ มีแต่นักศึกษาชื่อดังจากตระกูลที่มีชื่อเสียง กับนักค้นคว้า "อนาถา" ที่พวกเขาไม่ค่อยจะเต็มใจให้เข้าไปยืมหนังสือในห้องสมุดอย่างเวฟเวอร์เท่านั้นที่ได้รับการฝึกสอนเวทมนตร์
ทำไมต้องกำหนดอนาคตของจอมเวทจากสายตระกูลของเขาด้วย?
ทำไมความน่าเชื่อถือของคนคนหนึ่งถึงมาจากสายตระกูลล่ะ?
ไม่มีใครสนใจคำถามของเวฟเวอร์ อาจารย์ใช้คำพูดสวยหรูหลอกล่อเวฟเวอร์เมื่อเขาเสนอหัวข้อวิจัยและทำตัวราวกับว่าเขานั้นคิดผิด ไม่ก็หัวเราะมัน หรือปฏิเสธมัน
มันคือความจริงที่ไม่น่าเชื่อ ความวิตกกังวลของเวฟเวอร์ผลักดันให้เขาต้องลงมือ
เพื่อเปิดเผยระบบอันเน่าเฟะของสมาคมจอมเวท เวฟเวอร์เขียนเอกสารในหัวข้อ "การสอบสวนเส้นทางของเวทมนตร์ในศตวรรษหน้า" ซึ่งมาจากการวิจัยหัวข้อถึงสามปีและลงมือเขียนอีกหนึ่งปี มันโจมตีประเพณีดั้งเดิมอย่างโหดร้าย งานเขียนจากความปวดใจที่ได้รับมานั้นพยายามแสดงถึงความคิดอันโปร่งใสและแรงกล้าอย่างไร้มลทิน หากคณะกรรมการสอบสวนได้มาเห็นคงเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตจนนั่งไม่ติดเป็นแน่
แต่ -- อาจารย์ในแผนกยูลีฟิสโยนมันทิ้งหลังอ่านผ่านๆเพียงครั้งเดียว
ชื่อของเขาคือ เคย์เนส เอล-เมลลอยด์ อาร์ชิบัลด์ ทายาทแห่งตระกูลอาร์ชิบัลด์ซึ่งดำรงสายเลือดจอมเวทมาถึงเก้ารุ่น ชายผู้โด่งดังที่ทุกคนเรียกว่า ลอร์ดเอล-เมลลอยด์ เขาหมั้นกับลูกสาวของผู้อำนวยการ ชายผู้นี้คือที่สุดของที่สุด เขานี่แหละตัวแทนของทฤษฎีที่เวฟเวอร์เกลียดนักเกลียดหนา
"คนที่เข้าใจอะไรผิดๆอย่างเธอไม่สมควรจะทำการวิจัยหรอก เวฟเวอร์" -- อาจารย์เคย์เนสกล่าวด้วยมารยาทตามปกติซึ่งไม่มีความเห็นใจปนอยู่แม้แต่น้อย สายตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเคย์เนสเป็นสิ่งที่เวฟเวอร์ไม่มีวันลืม
ตั้งแต่เกิดมาสิบเก้าปี เวฟเวอร์ไม่เคยอับอายเท่านี้เลย
ถ้าเขามีพรสวรรค์พอจะเป็นอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้าใจว่าเอกสารของเวฟเวอร์นั้นวิเศษเพียงใด ไม่สิ ชายคนนี้จะต้องอิจฉาเพราะเขาเข้าใจนั่นแหละ เพราะกลัวพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเวฟเวอร์ก็เลยอิจฉาเขา ทำกับเวฟเวอร์เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เป็นอันตรายต่อจุดยืนของเขา นี่ต้องเป็นเหตุผลที่เขาใช้มารยาทป่าเถื่อนกับงานเขียนของเวฟเวอร์แน่ๆ จะได้ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้ปัญญาอันฉลาดเฉลียวเพิ่มพูนไปกว่านี้ นี่คือพฤติกรรมของนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?
ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด พรสวรรค์สะเทือนโลกระดับเขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่นักปราชญ์พวกนี้ตั้งไว้ ไม่ยุติธรรมเลย กระนั้นก็ยังไม่มีใครเข้าใจความยากลำบากของเขาอยู่ดี ในสายตาของเวฟเวอร์ สมาคมจอมเวทนั้นเน่าเฟะไปจนถึงแก่นแล้ว
ทว่า... ขณะที่กำลังใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรควันแล้ววันเล่า เวฟเวอร์ก็ได้ยินข่าวลือ
ข่าวลือเรื่องลอร์ดเอล-เมลลอยด์ผู้โด่งดัง เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มาสนองความหยิ่งยะโสของเขา เขาตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้ของจอมเวทที่กำลังจะจัดขึ้นในดินแดนตะวันออกไกล
เวฟเวอร์เริ่มค้นคว้าข้อมูลรายละเอียดต่างๆของ "เฮเว่นฟีล" แบบข้ามวันข้ามคืน และได้หลงเสน่ห์ไปกับรายละเอียดที่น่าสะพรึงกลัวนั้น
เดิมพันกันด้วย "จอกศักดิ์สิทธิ์" ที่ซุกซ่อนพลังปราณมหาศาลเอาไว้ในตัวจนเรียกวิญญาณวีรชนมายังโลกยุคปัจจุบันและได้ควบคุมวิญญาณวีรชนนั้นเข้าต่อสู้กันถึงตาย
ยศฐาบรรดาศักดิ์,อำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไร้ค่า การต่อสู้นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถล้วนๆ
ถึงจะดูป่าเถื่อนไปหน่อย แต่เป็นหนทางที่ง่ายดายและยุติธรรมในการพิสูจน์ว่าใครเก่งกาจที่สุด สำหรับอัจฉริยะผู้ถูกมองข้ามนี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม เป็นเวทีในอุดมคติที่เขาจะเปิดตัวให้โลกได้รับรู้
ในที่สุดเทพธิดานำโชคก็ส่งยิ้มมาให้กับเวฟเวอร์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เริ่มจากความประมาทของกระทรวงการคลัง อาจารย์เคย์เน็ตขอโบราณวัตถุทางศาสนาจากแมซีโดเนีย... ซึ่งถูกส่งปนมากับพัสดุธรรมดาๆมาให้นักศึกษาเวฟเวอร์ เพื่อให้นำไปส่งอาจารย์เขาอีกที ทั้งๆที่มันควรจะถูกเปิดเมื่อถึงมือเคย์เน็ตเท่านั้น
เวฟเวอร์รู้ทันทีว่านี่คือวัตถุดิบที่ใช้อัญเชิญเซอร์แวนท์ในสงครามจอก แปลว่าเขาเพิ่งจะได้รับโอกาสทองหนึ่งเดียวในชีวิต
เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆต่อหอนาฬิกาผุๆพังๆนี้อีกแล้ว เกียรติยศจากการจบการศึกษากลายเป็นขยะเมื่อเทียบกับเกียรติยศที่ได้จากสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ของฟุยูกิ วินาทีที่เวฟเวอร์ ได้รับชัยชนะจากสงครามคือวินาทีที่เหล่าสมาชิกระดับล่างของสมาคมจอมเวทต้องสยบแทบเท้าเขา
ตั้งแต่วันนั้นเวฟเวอร์ออกจากอังกฤษและมุ่งไปยังประเทศหมู่เกาะในแถบตะวันออก หอนาฬิการู้ทันทีว่าใครขโมยพัสดุของเคย์เนสแต่ไม่ได้ไล่ตามเขาไป ไม่มีใครคิดว่าเวฟเวอร์จะสนใจเฮเว่นฟีลเลย
แต่ยังมีบางสิ่งที่เวฟเวอร์ไม่รู้ ทุกคนคิดว่าตราบใดที่ความสามารถของเวฟเวอร์ยังน่าเป็นห่วง เขาก็ได้แต่เอาพัสดุไปซ่อนด้วยความโกรธเคืองเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเขาตั้งใจเสี่ยงชีวิตเข้าร่วมการต่อสู้ของจอมเวทเลย หอนาฬิกาประมาทเขาเกินไปจริงๆ
ในหมู่บ้านตะวันออกไกล ที่ซึ่งจะตัดสินชะตาชีวิตของเขา -- เมืองฟุยูกิ เวฟเวอร์กำลังคลุมโปงอยู่บนเตียง พยายามจะข่มเสียงหัวเราะของตัวเอง ไม่สิ เขาข่มไม่ไหวแล้ว แสงสลัวส่องผ่านรอยแตกของผนังมากระทบตัวเขา ที่ชูมือขึ้นทุกๆวินาทีพร้อมกับหัวเราะคิกๆ
ด้วยโบราณวัตถุในมือ ,ตัวเขาที่อยู่ในฟุยูกิและความสามารถเพียงพอที่จะเป็นจอมเวท... จอกจะมองข้ามคนอย่างเขาได้ยังไง? ที่จริง สัญลักษณ์ทั้งสามรูปของเรย์จู ข้อพิสูจน์ของมาสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญเซอร์แวนท์ออกมาได้ปรากฎขึ้นบนมือขวาของเวฟเวอร์ตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ต่อให้มีอัธพาลข้างถนนมาส่งเสียงโวยวายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้เขาก็คงไม่ได้ยิน
"เวฟเวอร์ ลงมาทานเข้าเช้าได้แล้ว"
เสียงของหญิงแก่ที่เรียกเขาจากชั้นล่าง วันนี้ฟังดูแปลกไป ไม่ระคายหูเหมือนแต่ก่อน
เพื่อเริ่มต้นวันที่น่าจดจำนี้ได้อย่างราบรื่น เวฟเวอร์จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า
แม้จะเป็นประเทศหมู่เกาะที่ดูล้าหลัง เมืองฟุยูกิก็มีนักท่องเที่ยวให้เห็นอยู่บ้าง คงเพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีใครสนใจเวฟเวอร์ที่ดูแตกต่างกับคนญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง กระนั้นเวฟเวอร์ก็ระแวดระวังและร่ายมนต์กับสามีภรรยาแก่ๆที่อาศัยอยู่ตามลำพัง หลอกให้พวกเขาคิดว่าเวฟเวอร์เป็นหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่เมืองนอก เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลอมตัวและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่นี่ แถมยังไม่ต้องจ่ายค่าโรงแรมด้วยเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบและเวฟเวอร์ก็เริ่มตะลึงกับความสามารถของตนที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้สนุกกับเช้าอันสดใสได้อย่างเต็มที่ เวฟเวอร์พุ่งลงบันไดเข้าห้องครัวและห้องรับประทานอาหารพร้อมกับปัดพวกอีกานิสัยเสียออกไป เหมือนๆทุกเช้า มีหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวเก่าๆและทีวีก็ฉายข่าวภาคเช้ากับรายการทำอาหาร
"อรุณสวัสดิ์ เวฟเวอร์ หลับสบายดีไหม?"
"ครับปู่ ผมหลับสนิทถึงเช้าเลย"
เวฟเวอร์ขานตอบด้วยรอยยิ้มขณะปาดแยมหนาเตอะลงบนขนมปังปิ้ง ขนมปังแฉะๆราคาก้อนละร้อยแปดสิบเยนนั้นเคี้ยวไม่อร่อยแถมกินไม่อิ่มเลยสักนิด จะให้ได้เรื่องก็ต้องทาแยมเยอะๆแบบนี้แหละ
เกล็น กับ มาร์ธา แม็คเคนซี่ อพยพจากแคนาดามาญี่ปุ่นได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ลูกชายที่เข้ากับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นไม่ได้ตัดสินใจย้ายกลับไปและสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด หลานชายที่ถูกเลี้ยงในญี่ปุ่นจนอายุสิบขวบก็ย้ายกลับไปแล้วเช่นกัน ไม่เคยมีจดหมายกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเลยสักครั้ง สิบปีผ่านไปเวฟเวอร์สะกดจิตสองสามีภรรยาแก่ๆจนได้ข้อมูลนี้มา ครอบครัวแบบนี้แหละที่เป็นครอบครัวในอุดมคติของเวฟเวอร์ เมื่อรู้แบบนี้เวฟเวอร์จึงเปลี่ยนการรับรู้ของสองสามีภรรยาให้ตัวตนของหลานชายกลายเป็นตัวตนของเขาและกลายเป็นหลานชาย "เวฟเวอร์ แม็คเคนซี่" ที่รักไปโดยปริยาย
"แต่ว่านะ มาร์ธา ชั้นได้ยินไก่ขันน่ารำคาญมาตั้งแต่รุ่งสางแล้ว เธอรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?"
"จู่ๆเราก็มีไก่สามตัว พวกมันมาจากไหนกันนะ...?"
เวฟเวอร์คิดข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็วแล้วกลืนขนมปังลงคอทันที
"อ่า นั่น... เพื่อนผมส่งสัตว์เลี้ยงมาให้เราดูแลสองสามวันน่ะครับ เขาออกไปเที่ยวแล้วไม่ได้กลับบ้าน พวกนี้เลยมาอยู่กับเราชั่วคราว เย็นนี้ผมก็ส่งมันคืนแล้วครับ"
"อ้อ เป็นแบบนี้เอง"
ดูเหมือนพวกเค้าไม่สนใจเท่าไหร่ สองคนนี้เลยเชื่ออย่างง่ายดาย การที่สองคนนี้ได้ยินไม่ชัดนับว่าโชคดี เสียงขันน่ารำคาญของไก่สามตัวนี้ทำให้เพื่อนบ้านแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
แต่คนที่เครียดที่สุดกลับเป็นเวฟเวอร์ ตราบที่เรย์จูยังอยู่บนมือของเขา เวฟเวอร์ก็เตรียมการบูชายัญที่จะต้องใช้ในพิธีอย่างตื่นเต้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการหาฟาร์มไก่ใกล้ๆจะยากถึงเพียงนี้ จนในที่สุดเขาก็พบฟาร์มไก่เล็กๆ แต่การจับไก่สามตัวนั้นกินเวลาไปเกือบชั่วโมง สุดท้ายเขาก็กลับบ้านตอนฟ้าเริ่มสว่าง ขนไก่ติดทั้งตัวและมีรอยไก่จิกเลือดออกเต็มมือ
ในหอนาฬิกา สัตว์ต่างๆที่ใช้ในพิธีบูชายัญจะถูกเตรียมไว้เสมอ แต่ที่นี่ จอมเวทอัจฉริยะอย่างเขามีสภาพน่าสมเพชเพราะการจับไก่ธรรมดาๆสามตัวได้ไงกัน? คิดแบบนี้แล้ว เวฟเวอร์แทบจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ แต่เมื่อจ้องเรย์จูบนมือขวาจนถึงเช้า เขาก็ค่อยๆสดชื่นขึ้น
เขาตัดสินใจประกอบพิธีคืนนี้ พวกไก่น่ารำคาญก็จะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้นแหละ
แล้วเวฟเวอร์ก็ต้องการเซอร์แวนท์ที่แข็งแกร่งที่สุด โบราณวัตถุที่ซ่อนอยู่ในหีบเสื้อผ้าที่ห้องนอนชั้นสอง... จะต้องเป็นวัตถุดิบที่ใช้อัญเชิญยอดวิญญาณวีรชนออกมาแน่ เวฟเวอร์รู้มากขนาดนี้แล้ว
เศษผ้าขาดๆครึ่งซีกนี้คือชิ้นส่วนของผ้าคลุมซึ่งเคยอยู่บนไหล่ของกษัตริย์องค์หนึ่ง "กษัตริย์ผู้พิชิต" ในตำนานซึ่งทำลายจักรวรรดิอาคีเมนิดแห่งเปอร์เซียและสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกซึ่งกินเนื้อที่จากกรีซไปถึงอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ วิญญาณวีรชนของเขาจะตกเป็นของเวฟเวอร์ด้วยการอัญเชิญในคืนนี้ เพื่อนำเขาไปสู่จอกอันลือนาม
"... คุณปู่ คุณย่า คืนนี้ผมจะเอาไก่ไปคืนเพื่อนนะครับ อาจจะกลับมาดึกสักนิดแต่ไม่ต้องห่วงผมนะครับ"
"ได้เลย ระวังตัวด้วยนะ ช่วงนี้ฟุยูกิไม่ค่อยปลอดภัย"
"ฆาตกรต่อเนื่องจากนิยายปรัมปรานั่นโผล่มาอีกแล้ว เดี๋ยวนี้โลกเราน่ากลัวซะจริงๆ"
เวฟเวอร์กินขนมปังแผ่นถูกๆบนโต๊ะกินข้าวตัวยาวนั้นโดยมีความสุขที่สุดในชีวิตห้อมล้อม เสียงน่ารำคาญจากไก่พวกนั้นแทบไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น