ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate/Zero (นิยายแปล)

    ลำดับตอนที่ #3 : Book1 Prologue ปีที่แล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 51


    เขาจำผู้หญิงที่กำลังตามหาได้ทันที

    ช่วงบ่ายในวันสุดสัปดาห์ คุณสามารถพบเห็นเด็กๆกำลังเล่นบนสนามหญ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อันสงบสุขของต้นฤดูใบไม้ร่วง โดยมีผู้ปกครองคอยดูแลและส่งยิ้มอยู่ห่างๆ พิซซ่าตรงน้ำพุของสวนสาธารณะก็มีคนในเมืองที่พาครอบครัวมาผ่อนคลายต่อแถวแน่นไปหมด

    แม้จะอยู่ในฝูงชนเขาก็ไม่หลงทิศ

    ไม่ว่าจะมีผู้คนเบียดเสียดเพียงใด ไม่ว่าจะห่างไกลขนาดไหน เขาก็สามารถหาตัวเธอได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะมาพบเธอสักเดือนละครั้งได้มั้ย ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีคู่แล้ว

    เมื่อเขาเดินไปหาเธอ หญิงสาวใต้เงาไม้ก็รู้ทันทีว่าใครมา

    "---เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ"

    "โอ้--- คาริยะคุง"

    เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและขวยเขิน ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่

    เธอดูเหนื่อยล้า-- เมื่อเห็นแบบนั้นคาริยะจึงรู้สึกกังวลจับใจ คงมีอะไรทำให้เธอทรมานสินะ

    เขาอยากรีบถามเธอว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า อยากออกตัวเพื่อช่วยแก้ 'อะไร' ที่ว่า --- แต่ถึงจะอยากพูดแค่ไหน คาริยะก็ไม่ได้พูด เขาไม่ใช่คนประเภทที่แสดงความอ่อนโยนอย่างเปิดเผยได้ ไม่ใช่เขาคนนี้แน่

    "3เดือนแล้วสินะ การเดินทางคราวนี้ค่อนข้างนานทีเดียว"

    "อา... เอ ใช่ค่ะ"

    ในฝันหวานของเขานั้นมีรอยยิ้มของเธออยู่ด้วย แต่พอมาอยู่ต่อหน้าเธอจริงๆเขากลับไม่กล้ามองหน้าเธอ เขาเป็นแบบนี้มา 8 ปีและก็คงเป็นแบบนี้ต่อไป คาริยะคงไม่สามารถเผชิญกับรอยยิ้มนั้นได้

    เพราะเธอทำให้เขาใจสั่น เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรกับเธอหลังทักทายกันจากนั้นความว่างเปล่าก็ลอยเข้ามา เป็นอย่างงี้ได้ทุกที

    เพื่อทำลายความเงียบที่ทำให้อึดอัด คาริยะมองไปยังคนที่เขาสามารถคุยได้อย่างไม่ขวยเขิน

    — นั่นไง กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆในสนามหญ้า ผมทรงหางม้าคู่พริ้วสะบัดอย่างสนุกสนาน สาวน้อยคนสวยซึ่งได้ใบหน้าอันงดงามมาจากแม่ของเธอ

    "รินจัง"

    คาริยะโบกมือเรียก พอเธอเห็น สาวน้อยที่ชื่อรินก็พุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส

    "กลับมาแล้วเหรอคะน้าคาริยะ! เขาของขวัญมาฝากหนูหรือเปล่าคะ?"

    "นี่ ริน มีมารยาทหน่อยสิจ๊ะ..."

    ดูเหมือนสาวน้อยจะไม่ได้สนใจเสียงแม่ของเธอซึ่งกำลังเขินอายเลย ดวงตาของรินสะท้อนประกายแห่งความหวัง และคาริยะก็ยิ้มตอบเธอพร้อมกับหยิบของขวัญอย่างสองอย่างที่เขาแบกไว้บนหลังออกมา

    "ว้าว สวยจังเลย..."

    เข็มกลัดที่บรรจงสร้างอย่างปราณีตจากลูกปัดแก้วหลากหลายขนาดถูกใจสาวน้อยตั้งแต่แรกเห็น อาจจะคิดว่าเกินไปหรือเปล่าสำหรับสาวน้อยตัวแค่นี้ แต่คาริยะรู้ดีว่ารินมีรสนิยมเหมือนผู้ใหญ่

    "ขอบคุณค่ะคุณน้า หนูจะดูแลมันอย่างดีเลย"

    "ฮะ ฮะ ถ้าหนูชอบน้าก็ดีใจนะ"

    คาริยะลูบหัวรินอย่างอ่อนโยน และมองหาคนที่จะรับของขวัญอีกชิ้นที่เขาเอามาด้วย

    ไม่รู้ทำไม ถึงไม่เห็นเธอในสวนสาธารณะเลย

    "นี่ ซากุระจังอยู่ไหนเหรอจ๊ะ?"

    เมื่อได้ยินคำถามของคาริยะ รอยยิ้มของรินก็หายไปทันที

    เธอทำหน้าเหมือนคิดไม่ออก เป็นใบหน้าของเด็กที่สงบใจเมื่อต้องยอมรับความจริงอันโหดร้าย

    "ซากุระ เธอไปแล้ว"

    ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า รินตอบเขาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จากนั้นเหมือนพยายามจะหนีคำถามของคาริยะ เธอวิ่งกลับไปหาพวกเด็กๆที่เล่นด้วยก่อนหน้านี้

    "..."

    คาริยะงงงวยกับคำพูดที่ยากจะเข้าใจของริน จึงหันไปถามแม่ของริน รู้สึกตัวอีกทีสายตาของเธอก็มองไปยังความว่างเปล่าด้วยใบหน้าที่หดหู่

    "หมายความว่า...?"

    "ซากุระ ไม่ใช่ลูกสาวของชั้น หรือน้องสาวของรินอีกต่อไปแล้ว"

    เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่มีความกล้าหาญมากกว่ารินลูกของเธอ

    "เด็กคนนั้น ไปอยู่กับตระกูลมาโต้แล้ว"

    มาโต้---

    ชื่อนี้ ฟังดูคุ้นหูแต่ก็น่าชังเพราะมันทำร้ายจิตใจของคาริยะอย่างโหดร้าย

    "เป็นไปไม่ได้... หมายความว่ายังไง คุณอาโออิ!?"

    "เธอไม่เห็นต้องถามเลยจริงมั้ย? โดยเฉพาะเธอน่ะ คาริยะคุง"

    จิตใจของคาริยะแตกสลาย แม่ของริน---โทซากะ อาโออิกระแทกเสียงตอบด้วยหัวใจที่เย็นชา ไม่ยอมมองเขาที่จริงๆแล้วไม่ได้ต่างกันเลย

    "เธอน่าจะรู้ดีว่าทำไมมาโต้ถึงอยากได้เด็กที่เป็นทายาทของจอมเวท ใช่มั้ยล่ะ?"

    "แล้ว เธอยอมได้ยังไง?"

    "เพราะเขาตัดสินใจแล้ว เป็นการตัดสินใจจากหัวหน้าตระกูลโทซากะที่ทำตามคำขอร้องของเพื่อนเก่า พวกมาโต้ ... ชั้นจะคิดยังไงก็ไม่มีผลหรอก"

    ด้วยเรื่องแบบนี้ แม่กับลูก พี่สาวและน้องสาวจึงต้องแยกจากกัน

    แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วย แต่ทั้งอาโออิและรินตัวน้อยต่างรู้ดีว่าพวกเธอได้แต่ยอมรับมันเท่านั้น และนั่นเอง เพราะนั่นคือการใช้ชีวิตในฐานะจอมเวท คาริยะรู้จักโชคชะตาอันโหดร้ายแบบนี้ดี

    "... เธอไม่เป็นไรนะ?"

    อาโออิตอบกลับอย่างอ่อนแรง ยิ้มเล็กน้อยให้กับน้ำเสียงเข้มแข็งของคาริยะ

    "ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจแต่งงานเข้าตระกูลโทซากะ ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจเป็นภรรยาของจอมเวท ชั้นก็เตรียมใจรับเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว เมื่อใครได้เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษแล้ว การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง"

    แล้วเธอก็ค่อยๆมองหน้าคาริยะซึ่งพยายามจะพูดอีกครั้ง ภรรยาของจอมเวทหยุดเขาอย่างอ่อนโยนทว่าชัดเจน---

    "เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างโทซากะกับมาโต้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอที่หันหลังให้กับโลกของจอมเวทไปแล้ว"

    พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย

    คาริยะไม่สามารถทำอะไรได้อีก ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นต้นไม้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ไปแล้ว เขากำลังช็อกจากความอ่อนแอและไร้หนทาง

    ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวเมื่อนานมาแล้ว จนเธอกลายเป็นภรรยา และถึงแม้เธอจะมีลูกถึงสองคน อาโออิก็ยังมองคาริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน อายุมากกว่าเขาสามปี เพื่อนสมัยเด็ก เธอมองคาริยะว่าใจดีและจริงใจ เหมือนน้องสาวหรือน้องชายแท้ๆ

    เป็นครั้งแรกที่เธอพูดโดยชี้สถานภาพชัดเจนขนาดนี้

    "ถ้าเธอได้เจอกับซากุระ ขอให้ใจดีกับเธอด้วยนะ เด็กคนนั้นยังชอบเธออยู่เหมือนเดิม คาริยะคุง"

    อาโออิหันไปดูรินซึ่งกำลังเล่นอย่างสนุกสนานและสดใสราวกับจะไล่ความโศกเศร้าของเธอไป

    และราวกับจะตอบสนองท่าทางของริน คาริยะทิ้งคำพูดเหล่านั้นไป โทซากะ อาโออิแสดงให้เขาเห็นว่าวันนี้เธอคือคุณแม่ที่มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์

    แต่คาริยะยังลืมมันไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมมันได้

    โทซากะ อาโออิผู้แจ่มใส ยอมรับชะตากรรมของเธออย่างแน่วแน่

    แต่ก็ไม่สามารถเก็บน้ำตาที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่หางตาของเธอได้

    คาริยะรีบเดินทางไปยังทิวทัศน์ของบ้านเกิดที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกแล้ว

    กลับมายังเมืองฟุยูกิทีไรเขาไม่เคยข้ามสะพานไปที่เมืองมิยามะเลย

    10 ปีแล้วสินะ ไม่เหมือนเขตศาลเจ้าชินโตที่มีงานทุกวัน เมืองเพื่อนบ้านนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยเหมือนถูกหยุดเวลาไว้

    ถนนเงียบเหงาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แต่ก็ไม่มีอันไหนที่เขายืนมองแล้วมันจะกลับมาได้ คาริยะทิ้งโรคคิดถึงบ้านไร้สาระไปและนึกเรื่องการสนทนากับอาโออิเมื่อชั่วโมงก่อน

    "... เธอไม่เป็นไรนะ?"

    คำปลอบใจที่อาโออิส่งให้พร้อมหลบตาของเขา หลายปีมานี้เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างนั้นเลย

    ห้ามต่อต้าน ห้ามก่อกวน... เขาใช้ชีวิตมาแบบนี้ ความโกรธ ความเกลียด คาริยะได้ทิ้งมันไว้ที่ถนนเปลี่ยวในเมืองมิยามะหมดแล้ว หลังจากออกจากบ้านเกิดไปคาริยะไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวายเลย ให้ต่ำช้าน่าเกลียดเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับความเกลียดชังที่เขามีต่อที่นี่

    เพราะงั้น--- ใช่แล้ว ตั้ง 8 ปีที่เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้

    ตอนนั้นก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกันไม่ใช่เหรอที่คาริยะใช้น้ำเสียงนี้ ใช้คำเดียวกันนี้น่ะ?

    "เธอไม่เป็นไรนะ?" ---ในตอนนั้น เขายิงคำถามเดียวกันไปที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขา คืนก่อนที่เธอจะได้รับนามสกุลโทซากะ

    เขาไม่เคยลืมความรู้สึกของเธอในตอนนั้นเลย

    เธอก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าขอโทษ เหมือนเธอเสียใจ แต่ก็ยังคงละอายใจและขวยเขิน คาริยะแพ้ให้กับรอยยิ้มเงียบงันนั้น

    "... ชั้นเตรียมใจไว้แล้ว...  การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง..."

    โกหกคำโต

    วันนั้น เมื่อ 8 ปีก่อน ตอนจอมเวทหนุ่มขอเธอแต่งงาน เธอยิ้มอย่างมีความสุข

    และคาริยะก็ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะเขาเชื่อในรอยยิ้มนั้น

    บางที ชายที่แต่งงานกับอาโออิ ชายคนนั้นคงเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอมีความสุขได้

    แต่มันกลายเป็นความผิดพลาด

    คาริยะควรจะรู้ก่อนใครอื่น ว่านั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง

    เพราะเขาก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด ตัวคาริยะเองก็หนีจากครอบครัว หนีจากโชคชะตานั้นไม่ใช่รึไง?

    แต่กระนั้นเขาก็ยังพออภัยให้มันได้

    แม้แต่ตัวเขาที่หันหลังหนีด้วยความกลัวก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด... ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขายอมแพ้ ให้กับชายที่เป็นจอมเวทที่สุด

    สิ่งที่เผาไหม้อยู่ในอกของเขาตอนนี้คือ ความเสียใจ

    ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงสองครั้งที่เขาได้เลือกใช้คำผิดไป

    เขาไม่ควรจะถามว่า "เธอไม่เป็นไรนะ?"แต่เขาควรจะตัดบทว่า "เธอต้องไม่ทำนะ"

    และ 8 ปีที่แล้ว ถ้าเขาห้ามอาโออิ--- บางทีอนาคตอาจต่างกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ ถ้าเธอไม่ได้ผูกมัดกับโทซากะในวันนั้นเธอคงจะหลุดพ้นจากบ่วงคำสาปหายนะของจอมเวทและคงมีชีวิตอย่างคนปกติ

    และวันนี้ หากเขามีปฏิกิริยาต่างออกไปกับการตัดสินใจของโทซากะและมาโต้ บ่ายวันนี้ในสวนสาธารณะ--- อาจทำให้เธอต้องตกใจ เธอคงจะปฏิเสธคนนอกที่ทำตัวเหลวไหล

    แต่ถึงกระนั้น เธอคงไม่โทษตัวเองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เธอคงไม่ต้องกลั้นน้ำตาไว้อย่างนั้น

    คาริยะยกโทษให้กับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ตัวเขาเองซึ่งผิดพลาดเหมือนๆกันถึงสองครั้ง เขาจะลงโทษตัวเอง เขาจะกลับไปยังคืนวันที่เขาได้ทิ้งไว้

    แน่นอนว่านั่น นั่นเป็นหนทางที่จะแก้ไข โลกที่เขาเคยหันหลังให้ ชะตากรรมที่เขาหลบหนีออกมาอย่างน่าสังเวช

    แต่ตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับมัน

    ถ้าเขาเป็นห่วงผู้หญิงคนเดียวในโลกที่เขาไม่อยากทำให้เธอเสียใจ---

    ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งใกล้เวลาสายัณห์ เขาได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านที่สูงตระหง่านและหรูหราตามสไตล์ตะวันตก

    ล่วงเลยเวลามาถึง 10 ปี มาโต้ คิริยะได้กลับมายืนที่หน้าประตูบ้านของเขาอีกครั้ง

    เขาเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป เป็นประตูบานเล็กแต่แข็งแรงซึ่งปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านมาโต้ไว้ คาริยะนั่งลงบนโซฟาในห้องวาดเขียน

    "ชั้นว่าชั้นบอกแกแล้วนะ ว่าห้ามโผล่หน้าของแกมาให้ชั้นเห็นอีก"

    ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคาริยะ ชายชราตัวเล็กที่พูดทับถมด้วยความเกลียดชังคือ มาโต้ โซเค็น ผู้นำของตระกูล เขาเป็นคนศีรษะล้านและผอมแห้งเหมือนผีตายซาก แต่กลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยพลัง ตัวตนและบุคลิกของเขานั้นทำให้เขาดูเป็นคนที่แปลกและลึกลับ

    จริงๆแล้วแม้แต่คาริยะเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ทะเบียนบ้านอันแปลกประหลาดของตระกูลเขียนว่าเขาคือพี่ชายของพ่อของคาริยะ แต่แม้กระทั่งกับปู่ทวด บรรพบุรุษรุ่นที่สาม ก็ยังปรากฎชื่อของชายแก่โซเค็นในสายตระกูล ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชายคนนี้เป็นประมุขของตระกูลมาโต้มานานกี่รุ่นแล้ว

    พูดถึงการกระทำที่น่าขยะแขยง เขาคือจอมเวทที่พูดได้ว่าไม่ยอมตาย พยายามยืดและยืดอายุของตนเอง เป็นบุคคลที่เป็นต้นตระกูลของสายเลือดมาโต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคาริยะน้อยมาก คนคนนี้คือปิศาจของจริงที่ยังคงเห็นได้ในยุคปัจจุบัน

    "บังเอิญผมเกิดได้ยินเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เรื่องที่บ้านมาโต้ต้องแบกรับความเสื่อมเสียร้ายแรง"

    คาริยะยืนยันได้อย่างหนักแน่นว่าจอมเวทที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้มีพลังมหาศาลกับความอำมหิตที่ไม่อาจประมาณได้ เป็นชายที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คาริยะเกลียดชังไว้ ผู้ชายร้ายกาจที่เหยียดหยามตัวตนของเขา ต่อให้ถูกชายคนนี้ฆ่าตาย คาริยะก็คงเกลียดเขาจนถึงที่สุดของที่สุด การพบกันเมื่อ 10 ปีก่อน คาริยะเผชิญกับความแข็งแกร่งนี้และหนีออกไปจากบ้านมาโต้เพื่ออิสระภาพของเขา

    "ผมได้ยินว่าคุณเอาลูกคนที่สองของโทซากะมา ต้องการสืบทอดตระกูลมาโต้ขนาดนั้นเชียวรึ?"

    โซเค็นทำหน้าถมึงทึงเมื่อคาริยะสอบสวนการกระทำของเขาด้วยน้ำเสียงกรรโชก

    "อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้รึไง? ก็จะอะไรซะอีกล่ะ? แกคิดว่าใครกันที่ทำให้ตระกูลมาโต้ต้องตกต่ำลงน่ะ?

    สุดท้ายแล้ว เจ้าลูกชายเบียคุยะก็ไม่มีวงจรพลังเวทเลย มาโต้สายเลือดแท้จบสิ้นในรุ่นนี้แล้ว แต่ นอกจากพี่ชายเบียคุยะของแกก็มีแกนั่นแหละที่มีพื้นฐานของจอมเวท คาริยะ ถ้าแกยอมรับการสืบทอดและเข้าถึงความลับของมาโต้ล่ะก็ เราคงไม่ต้องโดนบีบคั้นกันอย่างนี้ แล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของ..."

    แต่คาริยะหายใจดังฟืดเพื่อเบี่ยงอารมณ์ร้ายของชายแก่ที่กำลังเดือดจนฟองฟอด

    "ไม่ตลกเลยนะ เจ้าผีดูดเลือด ทำไมถึงอยากให้สายเลือดมาโต้อยู่ต่อไปขนาดนั้น? ไม่อยากจะหัวเราะนะแต่ถึงจะไม่มีมาโต้รุ่นต่อไปก็ไม่เห็นจะผิดอะไรนี่ เราคุยกันไม่รู้เรื่องตั้งแต่คุณพยายามมีชีวิตถึงสองร้อยหรือกว่าพันปีแล้วนะ?"

    เหมือนคาริยะจะคิดถูก โซเค็นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับความโกรธก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก เป็นรอยยิ้มของสัตว์ประหลาดที่ไม่มีเศษเสี้ยวอารมณ์ของมนุษย์เจือปนอยู่เลย

    "เหมือนเดิมเลยนะ แกยังเป็นคนไร้ใจ แกยังพูดและทำอะไรตรงๆอยู่เหมือนเดิม"

    "จะอะไรก็เถอะ ก็คุณฝึกผมมาแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมใคร"

    เริ่มมีเสียงนุ่มนวลออกมาจากปากของชายชรา เหมือนเขากำลังหัวเราะด้วยความพอใจ

    "ถูกแล้ว แกคงจะมีอายุยืนกว่าชั้นในอนาคต มากกว่าลูกชายของเบียคุยะ

    แต่ถึงอย่างนั้น คำถามเดียวด็คือชั้นจะสามารถรักษาร่างกายที่เน่าเปื่อยอยู่ทุกวันนี่ได้อีกนานแค่ไหน แม้จะไม่ต้องใช้ทายาทมาโต้ แต่ก็ต้องใช้จอมเวทมาโต้ เพื่อจอกยังไงล่ะ"

    "... สุดท้ายแล้ว นั่นสินะเป้าหมายของคุณน่ะ?"

    เหมือนอย่างที่คาริยะเดาไว้ จอมเวทชราคนนี้กำลังไล่ตามความเป็นอมตะอยู่

    เครื่องสมปรารถนานามว่า "จอก" ซึ่งสามารถทำให้เขาสมหวังได้เมื่อมันสมบูรณ์... อะไรกันนะที่ผลักดันสัตว์ประหลาดที่มีอายุกว่าร้อยปีตนนี้ หรือเขาได้คาดหวังอะไรในปาฏิหาริย์นี้

    "ปีหน้าจะครบรอบ 60 ปี แต่สำหรับสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สี่ เฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ คงไม่มีคนจากมาโต้

    เบียคุยะไม่มีพลังปราณพอจะเรียกเซอร์แวนท์ เขาไม่มีทางได้เรย์จูแน่ๆ

    แต่ถึงเราจะพลาดการต่อสู้ครั้งนี้ไป มันก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวใน 60 ปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราสามารถให้กำเนิดจอมเวทที่มีพรสวรรค์ได้จากลูกสาวของโทซากะ ชั้นหวังในตัวเด็กนั่นสูงมาก ในฐานะภาชนะชั้นเยี่ยม"

    ใบหน้าของโทซากะ ซากุระ เด้งขึ้นมาในเปลือกตาของคาริยะ

    เด็กสาวตัวน้อยที่ชองหลบอยู่หลังพี่สาวรินของเธอเสมอมา สาวน้อยท่าทางอ่อนแอ

    เธอยังเด็กเกินกว่าจะต้องแบกรับชะตาอันโหดร้ายของจอมเวท

    คาริยะกล้ำกลืนโทสะที่เดือดพล่าน แกล้งทำเป็นใจเย็น

    ตอนนี้เวลานี้ เขาต้องเจรจากับโซเค็น ใช้อารมณ์ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

    "— ถ้าเป็นเรื่องนั้น ถ้าคุณอยากได้จอก ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้โทซากะ ซากุระนี่จริงมั้ย?"

    โซเค็นหรี่ตาลง และสงสัยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคาริยะ

    "แก กำลังคิดอะไรอยู่?"

    "มาตกลงกัน มาโต้ โซเค็น ผมจะนำนามแห่งมาโต้เข้าสู่เฮเว่นฟีล เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคุณจะต้องปล่อยโทซากะ ซากุระไป"

    โซเค็นหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขำออกมาด้วยความเหยียดหยาม

    "ฮ่า อย่าโง่ไปหน่อยเลย คนเหลวแหลกที่ไม่เคยฝึกอะไรเลยจะมาเป็นมาสเตอร์ของเซอร์แวนท์ในปีเดียวเนี่ยนะ?"

    "คุณมีความลับที่ทำให้มันเป็นไปได้อยู่ใช่มั้ยล่ะ เทคนิคการใช้หนอนที่คุณภูมิใจเหลือเกินน่ะ"

    คาริยะพูดเข้าเรื่อง จ้องตาจอมเวทชราตรงๆ

    "ปลูกถ่าย "หนอนประจำตระกูล" บนตัวผม คุณทำได้กับเลือดเนื้อสกปรกของมาโต้ มันต้องเข้ากับผมได้ดีกว่าลูกสาวจากบ้านอื่นหลายขุมแน่"

    ใบหน้าของโซเค็นเปลี่ยนจากใบหน้าของมนุษย์เป็นใบหน้าของจอมเวท อารมณ์ต่างๆหายวับไปทันที

    "คาริยะ —แกอยากตายรึไง?"

    "อย่าบอกนะว่า 'คุณลุง' เป็นห่วงผมน่ะ?"

    โซเค็นรู้สึกได้ว่าคาริยะพูดจริง จอมเวทพิจารณาคาริยะอย่างเยือกเย็น จ้องมองเขา และสูดหายใจลึกๆอีกครั้ง

    "พูดได้ว่าชั้นหวังในตัวแกมากกว่าเจ้าเบียคุยะ หลังจากใช้หนอนประจำตระกูลขยายวงจรเวทของแกแล้ว ถ้าเราเร่งฝึกแกในหนึ่งปีบางทีจอกอาจจะเลือกแกก็ได้

    ... แต่ถึงอย่างงั้นชั้นก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อเด็กผู้หญิงคนเดียวแกถึงได้ลงทุนมากขนาดนี้?"

    "ปล่อยให้คนของมาโต้จัดการเรื่องในตระกูลมาโต้เถอะ อย่าเอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวเลย"

    "เป็นการอุทิศที่น่าชมเชย"

    เหมือนเขาจะพอใจ โซเค็นยิ้มอย่างพึงพอใจ และเต็มไปด้วยจิตของมารร้าย

    "แต่ก็นะ คาริยะ ถ้าแกตั้งใจไม่ให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะ ตอนนี้จะมันไม่สายไปหน่อยรึ?

    แกรู้มั้ยว่าลูกสาวของโทซากะมาอยู่บ้านเราได้กี่วันแล้ว?"

    ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามากระแทกอกของคาริยะ

    "นี่คุณ หมายถึง—"

    "สามวันแรกเธอร้องไห้งอแงเป็นการใหญ่ แต่พอถึงวันที่สี่เธอก็เงียบ วันนี้ตอนรุ่งสางชั้นโยนเธอเข้าคลังเก็บหนอนเพื่อทดสอบว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ แต่ โฮ่ โฮ่ เธอทนได้ตั้งครึ่งวันแล้วยังหายใจอยู่อีกต่างหาก รู้อะไรมั้ย วัตถุดิบจากโทซากะก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอก"

    ไหล่ของคาริยะสั่นเพราะรังสีฆ่าฟันที่มีอำนาจเหนือความเกลียดชัง

    เขาอยากจะพุ่งเข้าไปจับจอมเวทปิศาจตรงหน้า ขยี้คอสุดแรงเกิดจนมันหักเป็นสองเสี่ยงซะเดี๋ยวนี้เลย—

    —นั่นเป็นแรงกระตุ้นที่พุ่งพล่านอยู่ในใจคาริยะ

    แต่คาริยะต้องยอมรับ แม้เขาจะดูอ่อนแอเพียงใดโซเค็นก็เป็นจอมเวท แค่พยายามจะฆ่าเขาคาริยะก็คงทำไม่ได้ เขาไม่มีพลังแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้

    เพื่อจะช่วยซากุระ มีแต่การเจรจานี้เท่านั้น

    เมื่อเห็นความขัดแย้งในตัวคาริยะ โซเค็นก็หัวเราะอย่างเศร้าใจ

    "แล้ว แกจะทำยังไงล่ะ? สาวน้อยคนนั้นแตกสลายไปซะแล้ว เต็มไปด้วยหนอนตั้งแต่หัวจรดเท้า

    แต่ถ้าแกยังคิดว่าแกสามารถช่วยเธอได้ โอกาสนี้ไม่มีมาอีกหรอกนะ"

    "... ไม่คัดค้าน เอาตามที่ตกลงกัน"

    คาริยะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ แน่นอนว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว

    "ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เอาล่ะ เรายังต้องฝึกแกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จงรู้ไว้ซะว่าชั้นยังจะฝึกซากุระต่อตราบเท่าที่แกยังไม่มีผลงานอะไร"

    จอมเวทชราหัวเราะ อารมณ์ขันนั้นตอกย้ำความโกรธเกรี้ยวและความสิ้นหวังของคาริยะ

    "ยัยเด็กนั่นมีโอกาสสำเร็จสูงมาก สูงยิ่งกว่าคนเหลวไหลที่เคยทรยศเราไปแล้ว ชั้นน่ะสนับสนุนทางเลือกที่ดีที่สุดเพียงทางเดียวเท่านั้น ชั้นคิดว่าเราแพ้การต่อสู้นี้ไปแล้วจึงคิดจะยอมแพ้เฮเว่นฟีลในรอบนี้

    แต่ ถ้าเกิดโอกาสหนึ่งในล้าน ถ้าแกได้จอกมา— ชั้นก็ยอมรับ ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นก็ไม่มีธุระกับลูกสาวของโทซากะ ชั้นจะจบการฝึกเพื่อจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของเธอซะ"

    "... คุณจะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่มั้ย? มาโต้ โซเค็น"

    "คาริยะ ถ้าแกคิดว่าแกจะต่อปากต่อคำกับชั้น อดทนผ่านหนอนประจำตระกูลให้ได้ก่อนเถอะ

    ใช่แล้ว ลองเลี้ยงหนอนก่อนสักอาทิตย์นึง ถ้าแกยังไม่คลั่งตายไปซะก่อนค่อยเอาเรื่องนี้มาคุยกันอย่างจริงจัง"

    โซเค็นใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาหันมาทางคาริยะด้วยรอยยิ้มปิศาจที่แสดงถึงความร้ายกาจเต็มที่

    "งั้น เริ่มเตรียมการกันเลยไม่ต้องรีรอ เราจะเริ่มกระบวนการต่างๆในทันที ถ้าแกจะเปลี่ยนใจก็ทำซะตั้งแต่ตอนนี้"

    คาริยะโค้งลงอย่างเงียบงัน และโยนความลังเลสุดท้ายทิ้งไป

    เมื่อหนอนเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว เขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดของโซเค็น จากนั้นเขาจะไม่มีทางต่อต้านจอมเวทชราได้เลย ถ้าเขาได้รับการยอมรับในฐานะจอมเวท คาริยะกับเลือดมาโต้ในตัวของเขาต้องได้รับเรย์จูแน่

    เฮเว่นฟีล หนทางเดียวที่จะสามารถช่วยซากุระออกมาได้ หนทางที่เขาไม่สามารถไปถึงได้หากยังใช้เลือดเนื้อที่มีอยู่ในตอนนี้

    คาริยะอาจต้องเสียชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยน ต่อให้เขาไม่โดนมาสเตอร์คนอื่นสอยร่วง การรับหนอนประจำตระกูลเข้าร่างแค่ช่วงสั้นๆเป็นเวลาหนึ่งปี ร่างกายของคาริยะก็ถูกหนอนกินไปแล้ว ชีวิตของเขาคงอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น

    แต่ก็ไม่เป็นไร

    คาริยะตัดสินใจช้าเกินไป ถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ลูกของอาโออิคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแม่ของเธอ ชะตาที่เขาทิ้งมันไปกลับร่วงลงมายังเด็กสาวซึ่งไม่มีความผิดอะไรเลย

    เมื่อไม่สามารถไถ่โทษนั้น หากจะมีทางใดที่แก้ไขมันได้ คงมีแค่การนำชีวิตธรรมดาๆของเด็กสาวกลับคืนมาเท่านั้น

    หรือจะให้พูดว่า ถ้าเขาสามารถกำจัดมาสเตอร์อีกหกคนที่เหลือได้หมดเพื่อไปให้ถึงจอก...

    ในหมู่คนที่นำโศกนาฏกรรมมาให้เด็กสาวทื่ชื่อซากุระ มีอย่างน้อยคนนึงที่เขาต้องส่งวิญญาณให้ได้

    "โทซากะ โทคิโอมิ..."

    ในฐานะที่เป็นผู้นำของหนึ่งใน 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องได้ครอบครองเรย์จู

    มันแตกต่างกับความผิดที่เขามีต่ออาโออิ และแตกต่างกับความเกลียดชังที่มีต่อโซเค็น มันคือความเกลียดชังที่เขาสะสมเอาไว้จนถึงวันนี้

    ความแค้นอันมืดมิดเริ่มเผาไหม้อยู่ลึกๆในใจของมาโต้ คาริยะราวกับกองเพลิง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×