ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Book1 Prologue ปีที่แล้ว
เขาจำผู้หญิงที่กำลังตามหาได้ทันที
ช่วงบ่ายในวันสุดสัปดาห์ คุณสามารถพบเห็นเด็กๆกำลังเล่นบนสนามหญ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อันสงบสุขของต้นฤดูใบไม้ร่วง โดยมีผู้ปกครองคอยดูแลและส่งยิ้มอยู่ห่างๆ พิซซ่าตรงน้ำพุของสวนสาธารณะก็มีคนในเมืองที่พาครอบครัวมาผ่อนคลายต่อแถวแน่นไปหมด
แม้จะอยู่ในฝูงชนเขาก็ไม่หลงทิศ
ไม่ว่าจะมีผู้คนเบียดเสียดเพียงใด ไม่ว่าจะห่างไกลขนาดไหน เขาก็สามารถหาตัวเธอได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะมาพบเธอสักเดือนละครั้งได้มั้ย ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีคู่แล้ว
เมื่อเขาเดินไปหาเธอ หญิงสาวใต้เงาไม้ก็รู้ทันทีว่าใครมา
"---เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ"
"โอ้--- คาริยะคุง"
เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและขวยเขิน ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
เธอดูเหนื่อยล้า-- เมื่อเห็นแบบนั้นคาริยะจึงรู้สึกกังวลจับใจ คงมีอะไรทำให้เธอทรมานสินะ
เขาอยากรีบถามเธอว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า อยากออกตัวเพื่อช่วยแก้ 'อะไร' ที่ว่า --- แต่ถึงจะอยากพูดแค่ไหน คาริยะก็ไม่ได้พูด เขาไม่ใช่คนประเภทที่แสดงความอ่อนโยนอย่างเปิดเผยได้ ไม่ใช่เขาคนนี้แน่
"3เดือนแล้วสินะ การเดินทางคราวนี้ค่อนข้างนานทีเดียว"
"อา... เอ ใช่ค่ะ"
ในฝันหวานของเขานั้นมีรอยยิ้มของเธออยู่ด้วย แต่พอมาอยู่ต่อหน้าเธอจริงๆเขากลับไม่กล้ามองหน้าเธอ เขาเป็นแบบนี้มา 8 ปีและก็คงเป็นแบบนี้ต่อไป คาริยะคงไม่สามารถเผชิญกับรอยยิ้มนั้นได้
เพราะเธอทำให้เขาใจสั่น เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรกับเธอหลังทักทายกันจากนั้นความว่างเปล่าก็ลอยเข้ามา เป็นอย่างงี้ได้ทุกที
เพื่อทำลายความเงียบที่ทำให้อึดอัด คาริยะมองไปยังคนที่เขาสามารถคุยได้อย่างไม่ขวยเขิน
— นั่นไง กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆในสนามหญ้า ผมทรงหางม้าคู่พริ้วสะบัดอย่างสนุกสนาน สาวน้อยคนสวยซึ่งได้ใบหน้าอันงดงามมาจากแม่ของเธอ
"รินจัง"
คาริยะโบกมือเรียก พอเธอเห็น สาวน้อยที่ชื่อรินก็พุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส
"กลับมาแล้วเหรอคะน้าคาริยะ! เขาของขวัญมาฝากหนูหรือเปล่าคะ?"
"นี่ ริน มีมารยาทหน่อยสิจ๊ะ..."
ดูเหมือนสาวน้อยจะไม่ได้สนใจเสียงแม่ของเธอซึ่งกำลังเขินอายเลย ดวงตาของรินสะท้อนประกายแห่งความหวัง และคาริยะก็ยิ้มตอบเธอพร้อมกับหยิบของขวัญอย่างสองอย่างที่เขาแบกไว้บนหลังออกมา
"ว้าว สวยจังเลย..."
เข็มกลัดที่บรรจงสร้างอย่างปราณีตจากลูกปัดแก้วหลากหลายขนาดถูกใจสาวน้อยตั้งแต่แรกเห็น อาจจะคิดว่าเกินไปหรือเปล่าสำหรับสาวน้อยตัวแค่นี้ แต่คาริยะรู้ดีว่ารินมีรสนิยมเหมือนผู้ใหญ่
"ขอบคุณค่ะคุณน้า หนูจะดูแลมันอย่างดีเลย"
"ฮะ ฮะ ถ้าหนูชอบน้าก็ดีใจนะ"
คาริยะลูบหัวรินอย่างอ่อนโยน และมองหาคนที่จะรับของขวัญอีกชิ้นที่เขาเอามาด้วย
ไม่รู้ทำไม ถึงไม่เห็นเธอในสวนสาธารณะเลย
"นี่ ซากุระจังอยู่ไหนเหรอจ๊ะ?"
เมื่อได้ยินคำถามของคาริยะ รอยยิ้มของรินก็หายไปทันที
เธอทำหน้าเหมือนคิดไม่ออก เป็นใบหน้าของเด็กที่สงบใจเมื่อต้องยอมรับความจริงอันโหดร้าย
"ซากุระ เธอไปแล้ว"
ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า รินตอบเขาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จากนั้นเหมือนพยายามจะหนีคำถามของคาริยะ เธอวิ่งกลับไปหาพวกเด็กๆที่เล่นด้วยก่อนหน้านี้
"..."
คาริยะงงงวยกับคำพูดที่ยากจะเข้าใจของริน จึงหันไปถามแม่ของริน รู้สึกตัวอีกทีสายตาของเธอก็มองไปยังความว่างเปล่าด้วยใบหน้าที่หดหู่
"หมายความว่า...?"
"ซากุระ ไม่ใช่ลูกสาวของชั้น หรือน้องสาวของรินอีกต่อไปแล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่มีความกล้าหาญมากกว่ารินลูกของเธอ
"เด็กคนนั้น ไปอยู่กับตระกูลมาโต้แล้ว"
มาโต้---
ชื่อนี้ ฟังดูคุ้นหูแต่ก็น่าชังเพราะมันทำร้ายจิตใจของคาริยะอย่างโหดร้าย
"เป็นไปไม่ได้... หมายความว่ายังไง คุณอาโออิ!?"
"เธอไม่เห็นต้องถามเลยจริงมั้ย? โดยเฉพาะเธอน่ะ คาริยะคุง"
จิตใจของคาริยะแตกสลาย แม่ของริน---โทซากะ อาโออิกระแทกเสียงตอบด้วยหัวใจที่เย็นชา ไม่ยอมมองเขาที่จริงๆแล้วไม่ได้ต่างกันเลย
"เธอน่าจะรู้ดีว่าทำไมมาโต้ถึงอยากได้เด็กที่เป็นทายาทของจอมเวท ใช่มั้ยล่ะ?"
"แล้ว เธอยอมได้ยังไง?"
"เพราะเขาตัดสินใจแล้ว เป็นการตัดสินใจจากหัวหน้าตระกูลโทซากะที่ทำตามคำขอร้องของเพื่อนเก่า พวกมาโต้ ... ชั้นจะคิดยังไงก็ไม่มีผลหรอก"
ด้วยเรื่องแบบนี้ แม่กับลูก พี่สาวและน้องสาวจึงต้องแยกจากกัน
แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วย แต่ทั้งอาโออิและรินตัวน้อยต่างรู้ดีว่าพวกเธอได้แต่ยอมรับมันเท่านั้น และนั่นเอง เพราะนั่นคือการใช้ชีวิตในฐานะจอมเวท คาริยะรู้จักโชคชะตาอันโหดร้ายแบบนี้ดี
"... เธอไม่เป็นไรนะ?"
อาโออิตอบกลับอย่างอ่อนแรง ยิ้มเล็กน้อยให้กับน้ำเสียงเข้มแข็งของคาริยะ
"ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจแต่งงานเข้าตระกูลโทซากะ ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจเป็นภรรยาของจอมเวท ชั้นก็เตรียมใจรับเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว เมื่อใครได้เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษแล้ว การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง"
แล้วเธอก็ค่อยๆมองหน้าคาริยะซึ่งพยายามจะพูดอีกครั้ง ภรรยาของจอมเวทหยุดเขาอย่างอ่อนโยนทว่าชัดเจน---
"เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างโทซากะกับมาโต้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอที่หันหลังให้กับโลกของจอมเวทไปแล้ว"
พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
คาริยะไม่สามารถทำอะไรได้อีก ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นต้นไม้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ไปแล้ว เขากำลังช็อกจากความอ่อนแอและไร้หนทาง
ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวเมื่อนานมาแล้ว จนเธอกลายเป็นภรรยา และถึงแม้เธอจะมีลูกถึงสองคน อาโออิก็ยังมองคาริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน อายุมากกว่าเขาสามปี เพื่อนสมัยเด็ก เธอมองคาริยะว่าใจดีและจริงใจ เหมือนน้องสาวหรือน้องชายแท้ๆ
เป็นครั้งแรกที่เธอพูดโดยชี้สถานภาพชัดเจนขนาดนี้
"ถ้าเธอได้เจอกับซากุระ ขอให้ใจดีกับเธอด้วยนะ เด็กคนนั้นยังชอบเธออยู่เหมือนเดิม คาริยะคุง"
อาโออิหันไปดูรินซึ่งกำลังเล่นอย่างสนุกสนานและสดใสราวกับจะไล่ความโศกเศร้าของเธอไป
และราวกับจะตอบสนองท่าทางของริน คาริยะทิ้งคำพูดเหล่านั้นไป โทซากะ อาโออิแสดงให้เขาเห็นว่าวันนี้เธอคือคุณแม่ที่มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์
แต่คาริยะยังลืมมันไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมมันได้
โทซากะ อาโออิผู้แจ่มใส ยอมรับชะตากรรมของเธออย่างแน่วแน่
แต่ก็ไม่สามารถเก็บน้ำตาที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่หางตาของเธอได้
คาริยะรีบเดินทางไปยังทิวทัศน์ของบ้านเกิดที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกแล้ว
กลับมายังเมืองฟุยูกิทีไรเขาไม่เคยข้ามสะพานไปที่เมืองมิยามะเลย
10 ปีแล้วสินะ ไม่เหมือนเขตศาลเจ้าชินโตที่มีงานทุกวัน เมืองเพื่อนบ้านนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยเหมือนถูกหยุดเวลาไว้
ถนนเงียบเหงาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แต่ก็ไม่มีอันไหนที่เขายืนมองแล้วมันจะกลับมาได้ คาริยะทิ้งโรคคิดถึงบ้านไร้สาระไปและนึกเรื่องการสนทนากับอาโออิเมื่อชั่วโมงก่อน
"... เธอไม่เป็นไรนะ?"
คำปลอบใจที่อาโออิส่งให้พร้อมหลบตาของเขา หลายปีมานี้เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างนั้นเลย
ห้ามต่อต้าน ห้ามก่อกวน... เขาใช้ชีวิตมาแบบนี้ ความโกรธ ความเกลียด คาริยะได้ทิ้งมันไว้ที่ถนนเปลี่ยวในเมืองมิยามะหมดแล้ว หลังจากออกจากบ้านเกิดไปคาริยะไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวายเลย ให้ต่ำช้าน่าเกลียดเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับความเกลียดชังที่เขามีต่อที่นี่
เพราะงั้น--- ใช่แล้ว ตั้ง 8 ปีที่เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้
ตอนนั้นก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกันไม่ใช่เหรอที่คาริยะใช้น้ำเสียงนี้ ใช้คำเดียวกันนี้น่ะ?
"เธอไม่เป็นไรนะ?" ---ในตอนนั้น เขายิงคำถามเดียวกันไปที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขา คืนก่อนที่เธอจะได้รับนามสกุลโทซากะ
เขาไม่เคยลืมความรู้สึกของเธอในตอนนั้นเลย
เธอก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าขอโทษ เหมือนเธอเสียใจ แต่ก็ยังคงละอายใจและขวยเขิน คาริยะแพ้ให้กับรอยยิ้มเงียบงันนั้น
"... ชั้นเตรียมใจไว้แล้ว... การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง..."
โกหกคำโต
วันนั้น เมื่อ 8 ปีก่อน ตอนจอมเวทหนุ่มขอเธอแต่งงาน เธอยิ้มอย่างมีความสุข
และคาริยะก็ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะเขาเชื่อในรอยยิ้มนั้น
บางที ชายที่แต่งงานกับอาโออิ ชายคนนั้นคงเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่มันกลายเป็นความผิดพลาด
คาริยะควรจะรู้ก่อนใครอื่น ว่านั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง
เพราะเขาก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด ตัวคาริยะเองก็หนีจากครอบครัว หนีจากโชคชะตานั้นไม่ใช่รึไง?
แต่กระนั้นเขาก็ยังพออภัยให้มันได้
แม้แต่ตัวเขาที่หันหลังหนีด้วยความกลัวก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด... ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขายอมแพ้ ให้กับชายที่เป็นจอมเวทที่สุด
สิ่งที่เผาไหม้อยู่ในอกของเขาตอนนี้คือ ความเสียใจ
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงสองครั้งที่เขาได้เลือกใช้คำผิดไป
เขาไม่ควรจะถามว่า "เธอไม่เป็นไรนะ?"แต่เขาควรจะตัดบทว่า "เธอต้องไม่ทำนะ"
และ 8 ปีที่แล้ว ถ้าเขาห้ามอาโออิ--- บางทีอนาคตอาจต่างกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ ถ้าเธอไม่ได้ผูกมัดกับโทซากะในวันนั้นเธอคงจะหลุดพ้นจากบ่วงคำสาปหายนะของจอมเวทและคงมีชีวิตอย่างคนปกติ
และวันนี้ หากเขามีปฏิกิริยาต่างออกไปกับการตัดสินใจของโทซากะและมาโต้ บ่ายวันนี้ในสวนสาธารณะ--- อาจทำให้เธอต้องตกใจ เธอคงจะปฏิเสธคนนอกที่ทำตัวเหลวไหล
แต่ถึงกระนั้น เธอคงไม่โทษตัวเองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เธอคงไม่ต้องกลั้นน้ำตาไว้อย่างนั้น
คาริยะยกโทษให้กับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ตัวเขาเองซึ่งผิดพลาดเหมือนๆกันถึงสองครั้ง เขาจะลงโทษตัวเอง เขาจะกลับไปยังคืนวันที่เขาได้ทิ้งไว้
แน่นอนว่านั่น นั่นเป็นหนทางที่จะแก้ไข โลกที่เขาเคยหันหลังให้ ชะตากรรมที่เขาหลบหนีออกมาอย่างน่าสังเวช
แต่ตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับมัน
ถ้าเขาเป็นห่วงผู้หญิงคนเดียวในโลกที่เขาไม่อยากทำให้เธอเสียใจ---
ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งใกล้เวลาสายัณห์ เขาได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านที่สูงตระหง่านและหรูหราตามสไตล์ตะวันตก
ล่วงเลยเวลามาถึง 10 ปี มาโต้ คิริยะได้กลับมายืนที่หน้าประตูบ้านของเขาอีกครั้ง
เขาเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป เป็นประตูบานเล็กแต่แข็งแรงซึ่งปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านมาโต้ไว้ คาริยะนั่งลงบนโซฟาในห้องวาดเขียน
"ชั้นว่าชั้นบอกแกแล้วนะ ว่าห้ามโผล่หน้าของแกมาให้ชั้นเห็นอีก"
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคาริยะ ชายชราตัวเล็กที่พูดทับถมด้วยความเกลียดชังคือ มาโต้ โซเค็น ผู้นำของตระกูล เขาเป็นคนศีรษะล้านและผอมแห้งเหมือนผีตายซาก แต่กลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยพลัง ตัวตนและบุคลิกของเขานั้นทำให้เขาดูเป็นคนที่แปลกและลึกลับ
จริงๆแล้วแม้แต่คาริยะเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ทะเบียนบ้านอันแปลกประหลาดของตระกูลเขียนว่าเขาคือพี่ชายของพ่อของคาริยะ แต่แม้กระทั่งกับปู่ทวด บรรพบุรุษรุ่นที่สาม ก็ยังปรากฎชื่อของชายแก่โซเค็นในสายตระกูล ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชายคนนี้เป็นประมุขของตระกูลมาโต้มานานกี่รุ่นแล้ว
พูดถึงการกระทำที่น่าขยะแขยง เขาคือจอมเวทที่พูดได้ว่าไม่ยอมตาย พยายามยืดและยืดอายุของตนเอง เป็นบุคคลที่เป็นต้นตระกูลของสายเลือดมาโต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคาริยะน้อยมาก คนคนนี้คือปิศาจของจริงที่ยังคงเห็นได้ในยุคปัจจุบัน
"บังเอิญผมเกิดได้ยินเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เรื่องที่บ้านมาโต้ต้องแบกรับความเสื่อมเสียร้ายแรง"
คาริยะยืนยันได้อย่างหนักแน่นว่าจอมเวทที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้มีพลังมหาศาลกับความอำมหิตที่ไม่อาจประมาณได้ เป็นชายที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คาริยะเกลียดชังไว้ ผู้ชายร้ายกาจที่เหยียดหยามตัวตนของเขา ต่อให้ถูกชายคนนี้ฆ่าตาย คาริยะก็คงเกลียดเขาจนถึงที่สุดของที่สุด การพบกันเมื่อ 10 ปีก่อน คาริยะเผชิญกับความแข็งแกร่งนี้และหนีออกไปจากบ้านมาโต้เพื่ออิสระภาพของเขา
"ผมได้ยินว่าคุณเอาลูกคนที่สองของโทซากะมา ต้องการสืบทอดตระกูลมาโต้ขนาดนั้นเชียวรึ?"
โซเค็นทำหน้าถมึงทึงเมื่อคาริยะสอบสวนการกระทำของเขาด้วยน้ำเสียงกรรโชก
"อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้รึไง? ก็จะอะไรซะอีกล่ะ? แกคิดว่าใครกันที่ทำให้ตระกูลมาโต้ต้องตกต่ำลงน่ะ?
สุดท้ายแล้ว เจ้าลูกชายเบียคุยะก็ไม่มีวงจรพลังเวทเลย มาโต้สายเลือดแท้จบสิ้นในรุ่นนี้แล้ว แต่ นอกจากพี่ชายเบียคุยะของแกก็มีแกนั่นแหละที่มีพื้นฐานของจอมเวท คาริยะ ถ้าแกยอมรับการสืบทอดและเข้าถึงความลับของมาโต้ล่ะก็ เราคงไม่ต้องโดนบีบคั้นกันอย่างนี้ แล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของ..."
แต่คาริยะหายใจดังฟืดเพื่อเบี่ยงอารมณ์ร้ายของชายแก่ที่กำลังเดือดจนฟองฟอด
"ไม่ตลกเลยนะ เจ้าผีดูดเลือด ทำไมถึงอยากให้สายเลือดมาโต้อยู่ต่อไปขนาดนั้น? ไม่อยากจะหัวเราะนะแต่ถึงจะไม่มีมาโต้รุ่นต่อไปก็ไม่เห็นจะผิดอะไรนี่ เราคุยกันไม่รู้เรื่องตั้งแต่คุณพยายามมีชีวิตถึงสองร้อยหรือกว่าพันปีแล้วนะ?"
เหมือนคาริยะจะคิดถูก โซเค็นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับความโกรธก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก เป็นรอยยิ้มของสัตว์ประหลาดที่ไม่มีเศษเสี้ยวอารมณ์ของมนุษย์เจือปนอยู่เลย
"เหมือนเดิมเลยนะ แกยังเป็นคนไร้ใจ แกยังพูดและทำอะไรตรงๆอยู่เหมือนเดิม"
"จะอะไรก็เถอะ ก็คุณฝึกผมมาแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมใคร"
เริ่มมีเสียงนุ่มนวลออกมาจากปากของชายชรา เหมือนเขากำลังหัวเราะด้วยความพอใจ
"ถูกแล้ว แกคงจะมีอายุยืนกว่าชั้นในอนาคต มากกว่าลูกชายของเบียคุยะ
แต่ถึงอย่างนั้น คำถามเดียวด็คือชั้นจะสามารถรักษาร่างกายที่เน่าเปื่อยอยู่ทุกวันนี่ได้อีกนานแค่ไหน แม้จะไม่ต้องใช้ทายาทมาโต้ แต่ก็ต้องใช้จอมเวทมาโต้ เพื่อจอกยังไงล่ะ"
"... สุดท้ายแล้ว นั่นสินะเป้าหมายของคุณน่ะ?"
เหมือนอย่างที่คาริยะเดาไว้ จอมเวทชราคนนี้กำลังไล่ตามความเป็นอมตะอยู่
เครื่องสมปรารถนานามว่า "จอก" ซึ่งสามารถทำให้เขาสมหวังได้เมื่อมันสมบูรณ์... อะไรกันนะที่ผลักดันสัตว์ประหลาดที่มีอายุกว่าร้อยปีตนนี้ หรือเขาได้คาดหวังอะไรในปาฏิหาริย์นี้
"ปีหน้าจะครบรอบ 60 ปี แต่สำหรับสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สี่ เฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ คงไม่มีคนจากมาโต้
เบียคุยะไม่มีพลังปราณพอจะเรียกเซอร์แวนท์ เขาไม่มีทางได้เรย์จูแน่ๆ
แต่ถึงเราจะพลาดการต่อสู้ครั้งนี้ไป มันก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวใน 60 ปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราสามารถให้กำเนิดจอมเวทที่มีพรสวรรค์ได้จากลูกสาวของโทซากะ ชั้นหวังในตัวเด็กนั่นสูงมาก ในฐานะภาชนะชั้นเยี่ยม"
ใบหน้าของโทซากะ ซากุระ เด้งขึ้นมาในเปลือกตาของคาริยะ
เด็กสาวตัวน้อยที่ชองหลบอยู่หลังพี่สาวรินของเธอเสมอมา สาวน้อยท่าทางอ่อนแอ
เธอยังเด็กเกินกว่าจะต้องแบกรับชะตาอันโหดร้ายของจอมเวท
คาริยะกล้ำกลืนโทสะที่เดือดพล่าน แกล้งทำเป็นใจเย็น
ตอนนี้เวลานี้ เขาต้องเจรจากับโซเค็น ใช้อารมณ์ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
"— ถ้าเป็นเรื่องนั้น ถ้าคุณอยากได้จอก ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้โทซากะ ซากุระนี่จริงมั้ย?"
โซเค็นหรี่ตาลง และสงสัยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคาริยะ
"แก กำลังคิดอะไรอยู่?"
"มาตกลงกัน มาโต้ โซเค็น ผมจะนำนามแห่งมาโต้เข้าสู่เฮเว่นฟีล เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคุณจะต้องปล่อยโทซากะ ซากุระไป"
โซเค็นหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขำออกมาด้วยความเหยียดหยาม
"ฮ่า อย่าโง่ไปหน่อยเลย คนเหลวแหลกที่ไม่เคยฝึกอะไรเลยจะมาเป็นมาสเตอร์ของเซอร์แวนท์ในปีเดียวเนี่ยนะ?"
"คุณมีความลับที่ทำให้มันเป็นไปได้อยู่ใช่มั้ยล่ะ เทคนิคการใช้หนอนที่คุณภูมิใจเหลือเกินน่ะ"
คาริยะพูดเข้าเรื่อง จ้องตาจอมเวทชราตรงๆ
"ปลูกถ่าย "หนอนประจำตระกูล" บนตัวผม คุณทำได้กับเลือดเนื้อสกปรกของมาโต้ มันต้องเข้ากับผมได้ดีกว่าลูกสาวจากบ้านอื่นหลายขุมแน่"
ใบหน้าของโซเค็นเปลี่ยนจากใบหน้าของมนุษย์เป็นใบหน้าของจอมเวท อารมณ์ต่างๆหายวับไปทันที
"คาริยะ —แกอยากตายรึไง?"
"อย่าบอกนะว่า 'คุณลุง' เป็นห่วงผมน่ะ?"
โซเค็นรู้สึกได้ว่าคาริยะพูดจริง จอมเวทพิจารณาคาริยะอย่างเยือกเย็น จ้องมองเขา และสูดหายใจลึกๆอีกครั้ง
"พูดได้ว่าชั้นหวังในตัวแกมากกว่าเจ้าเบียคุยะ หลังจากใช้หนอนประจำตระกูลขยายวงจรเวทของแกแล้ว ถ้าเราเร่งฝึกแกในหนึ่งปีบางทีจอกอาจจะเลือกแกก็ได้
... แต่ถึงอย่างงั้นชั้นก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อเด็กผู้หญิงคนเดียวแกถึงได้ลงทุนมากขนาดนี้?"
"ปล่อยให้คนของมาโต้จัดการเรื่องในตระกูลมาโต้เถอะ อย่าเอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวเลย"
"เป็นการอุทิศที่น่าชมเชย"
เหมือนเขาจะพอใจ โซเค็นยิ้มอย่างพึงพอใจ และเต็มไปด้วยจิตของมารร้าย
"แต่ก็นะ คาริยะ ถ้าแกตั้งใจไม่ให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะ ตอนนี้จะมันไม่สายไปหน่อยรึ?
แกรู้มั้ยว่าลูกสาวของโทซากะมาอยู่บ้านเราได้กี่วันแล้ว?"
ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามากระแทกอกของคาริยะ
"นี่คุณ หมายถึง—"
"สามวันแรกเธอร้องไห้งอแงเป็นการใหญ่ แต่พอถึงวันที่สี่เธอก็เงียบ วันนี้ตอนรุ่งสางชั้นโยนเธอเข้าคลังเก็บหนอนเพื่อทดสอบว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ แต่ โฮ่ โฮ่ เธอทนได้ตั้งครึ่งวันแล้วยังหายใจอยู่อีกต่างหาก รู้อะไรมั้ย วัตถุดิบจากโทซากะก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอก"
ไหล่ของคาริยะสั่นเพราะรังสีฆ่าฟันที่มีอำนาจเหนือความเกลียดชัง
เขาอยากจะพุ่งเข้าไปจับจอมเวทปิศาจตรงหน้า ขยี้คอสุดแรงเกิดจนมันหักเป็นสองเสี่ยงซะเดี๋ยวนี้เลย—
—นั่นเป็นแรงกระตุ้นที่พุ่งพล่านอยู่ในใจคาริยะ
แต่คาริยะต้องยอมรับ แม้เขาจะดูอ่อนแอเพียงใดโซเค็นก็เป็นจอมเวท แค่พยายามจะฆ่าเขาคาริยะก็คงทำไม่ได้ เขาไม่มีพลังแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้
เพื่อจะช่วยซากุระ มีแต่การเจรจานี้เท่านั้น
เมื่อเห็นความขัดแย้งในตัวคาริยะ โซเค็นก็หัวเราะอย่างเศร้าใจ
"แล้ว แกจะทำยังไงล่ะ? สาวน้อยคนนั้นแตกสลายไปซะแล้ว เต็มไปด้วยหนอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
แต่ถ้าแกยังคิดว่าแกสามารถช่วยเธอได้ โอกาสนี้ไม่มีมาอีกหรอกนะ"
"... ไม่คัดค้าน เอาตามที่ตกลงกัน"
คาริยะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ แน่นอนว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
"ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เอาล่ะ เรายังต้องฝึกแกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จงรู้ไว้ซะว่าชั้นยังจะฝึกซากุระต่อตราบเท่าที่แกยังไม่มีผลงานอะไร"
จอมเวทชราหัวเราะ อารมณ์ขันนั้นตอกย้ำความโกรธเกรี้ยวและความสิ้นหวังของคาริยะ
"ยัยเด็กนั่นมีโอกาสสำเร็จสูงมาก สูงยิ่งกว่าคนเหลวไหลที่เคยทรยศเราไปแล้ว ชั้นน่ะสนับสนุนทางเลือกที่ดีที่สุดเพียงทางเดียวเท่านั้น ชั้นคิดว่าเราแพ้การต่อสู้นี้ไปแล้วจึงคิดจะยอมแพ้เฮเว่นฟีลในรอบนี้
แต่ ถ้าเกิดโอกาสหนึ่งในล้าน ถ้าแกได้จอกมา— ชั้นก็ยอมรับ ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นก็ไม่มีธุระกับลูกสาวของโทซากะ ชั้นจะจบการฝึกเพื่อจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของเธอซะ"
"... คุณจะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่มั้ย? มาโต้ โซเค็น"
"คาริยะ ถ้าแกคิดว่าแกจะต่อปากต่อคำกับชั้น อดทนผ่านหนอนประจำตระกูลให้ได้ก่อนเถอะ
ใช่แล้ว ลองเลี้ยงหนอนก่อนสักอาทิตย์นึง ถ้าแกยังไม่คลั่งตายไปซะก่อนค่อยเอาเรื่องนี้มาคุยกันอย่างจริงจัง"
โซเค็นใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาหันมาทางคาริยะด้วยรอยยิ้มปิศาจที่แสดงถึงความร้ายกาจเต็มที่
"งั้น เริ่มเตรียมการกันเลยไม่ต้องรีรอ เราจะเริ่มกระบวนการต่างๆในทันที ถ้าแกจะเปลี่ยนใจก็ทำซะตั้งแต่ตอนนี้"
คาริยะโค้งลงอย่างเงียบงัน และโยนความลังเลสุดท้ายทิ้งไป
เมื่อหนอนเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว เขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดของโซเค็น จากนั้นเขาจะไม่มีทางต่อต้านจอมเวทชราได้เลย ถ้าเขาได้รับการยอมรับในฐานะจอมเวท คาริยะกับเลือดมาโต้ในตัวของเขาต้องได้รับเรย์จูแน่
เฮเว่นฟีล หนทางเดียวที่จะสามารถช่วยซากุระออกมาได้ หนทางที่เขาไม่สามารถไปถึงได้หากยังใช้เลือดเนื้อที่มีอยู่ในตอนนี้
คาริยะอาจต้องเสียชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยน ต่อให้เขาไม่โดนมาสเตอร์คนอื่นสอยร่วง การรับหนอนประจำตระกูลเข้าร่างแค่ช่วงสั้นๆเป็นเวลาหนึ่งปี ร่างกายของคาริยะก็ถูกหนอนกินไปแล้ว ชีวิตของเขาคงอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นไร
คาริยะตัดสินใจช้าเกินไป ถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ลูกของอาโออิคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแม่ของเธอ ชะตาที่เขาทิ้งมันไปกลับร่วงลงมายังเด็กสาวซึ่งไม่มีความผิดอะไรเลย
เมื่อไม่สามารถไถ่โทษนั้น หากจะมีทางใดที่แก้ไขมันได้ คงมีแค่การนำชีวิตธรรมดาๆของเด็กสาวกลับคืนมาเท่านั้น
หรือจะให้พูดว่า ถ้าเขาสามารถกำจัดมาสเตอร์อีกหกคนที่เหลือได้หมดเพื่อไปให้ถึงจอก...
ในหมู่คนที่นำโศกนาฏกรรมมาให้เด็กสาวทื่ชื่อซากุระ มีอย่างน้อยคนนึงที่เขาต้องส่งวิญญาณให้ได้
"โทซากะ โทคิโอมิ..."
ในฐานะที่เป็นผู้นำของหนึ่งใน 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องได้ครอบครองเรย์จู
มันแตกต่างกับความผิดที่เขามีต่ออาโออิ และแตกต่างกับความเกลียดชังที่มีต่อโซเค็น มันคือความเกลียดชังที่เขาสะสมเอาไว้จนถึงวันนี้
ความแค้นอันมืดมิดเริ่มเผาไหม้อยู่ลึกๆในใจของมาโต้ คาริยะราวกับกองเพลิง
ช่วงบ่ายในวันสุดสัปดาห์ คุณสามารถพบเห็นเด็กๆกำลังเล่นบนสนามหญ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อันสงบสุขของต้นฤดูใบไม้ร่วง โดยมีผู้ปกครองคอยดูแลและส่งยิ้มอยู่ห่างๆ พิซซ่าตรงน้ำพุของสวนสาธารณะก็มีคนในเมืองที่พาครอบครัวมาผ่อนคลายต่อแถวแน่นไปหมด
แม้จะอยู่ในฝูงชนเขาก็ไม่หลงทิศ
ไม่ว่าจะมีผู้คนเบียดเสียดเพียงใด ไม่ว่าจะห่างไกลขนาดไหน เขาก็สามารถหาตัวเธอได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะมาพบเธอสักเดือนละครั้งได้มั้ย ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีคู่แล้ว
เมื่อเขาเดินไปหาเธอ หญิงสาวใต้เงาไม้ก็รู้ทันทีว่าใครมา
"---เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะ"
"โอ้--- คาริยะคุง"
เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและขวยเขิน ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
เธอดูเหนื่อยล้า-- เมื่อเห็นแบบนั้นคาริยะจึงรู้สึกกังวลจับใจ คงมีอะไรทำให้เธอทรมานสินะ
เขาอยากรีบถามเธอว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า อยากออกตัวเพื่อช่วยแก้ 'อะไร' ที่ว่า --- แต่ถึงจะอยากพูดแค่ไหน คาริยะก็ไม่ได้พูด เขาไม่ใช่คนประเภทที่แสดงความอ่อนโยนอย่างเปิดเผยได้ ไม่ใช่เขาคนนี้แน่
"3เดือนแล้วสินะ การเดินทางคราวนี้ค่อนข้างนานทีเดียว"
"อา... เอ ใช่ค่ะ"
ในฝันหวานของเขานั้นมีรอยยิ้มของเธออยู่ด้วย แต่พอมาอยู่ต่อหน้าเธอจริงๆเขากลับไม่กล้ามองหน้าเธอ เขาเป็นแบบนี้มา 8 ปีและก็คงเป็นแบบนี้ต่อไป คาริยะคงไม่สามารถเผชิญกับรอยยิ้มนั้นได้
เพราะเธอทำให้เขาใจสั่น เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรกับเธอหลังทักทายกันจากนั้นความว่างเปล่าก็ลอยเข้ามา เป็นอย่างงี้ได้ทุกที
เพื่อทำลายความเงียบที่ทำให้อึดอัด คาริยะมองไปยังคนที่เขาสามารถคุยได้อย่างไม่ขวยเขิน
— นั่นไง กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆในสนามหญ้า ผมทรงหางม้าคู่พริ้วสะบัดอย่างสนุกสนาน สาวน้อยคนสวยซึ่งได้ใบหน้าอันงดงามมาจากแม่ของเธอ
"รินจัง"
คาริยะโบกมือเรียก พอเธอเห็น สาวน้อยที่ชื่อรินก็พุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส
"กลับมาแล้วเหรอคะน้าคาริยะ! เขาของขวัญมาฝากหนูหรือเปล่าคะ?"
"นี่ ริน มีมารยาทหน่อยสิจ๊ะ..."
ดูเหมือนสาวน้อยจะไม่ได้สนใจเสียงแม่ของเธอซึ่งกำลังเขินอายเลย ดวงตาของรินสะท้อนประกายแห่งความหวัง และคาริยะก็ยิ้มตอบเธอพร้อมกับหยิบของขวัญอย่างสองอย่างที่เขาแบกไว้บนหลังออกมา
"ว้าว สวยจังเลย..."
เข็มกลัดที่บรรจงสร้างอย่างปราณีตจากลูกปัดแก้วหลากหลายขนาดถูกใจสาวน้อยตั้งแต่แรกเห็น อาจจะคิดว่าเกินไปหรือเปล่าสำหรับสาวน้อยตัวแค่นี้ แต่คาริยะรู้ดีว่ารินมีรสนิยมเหมือนผู้ใหญ่
"ขอบคุณค่ะคุณน้า หนูจะดูแลมันอย่างดีเลย"
"ฮะ ฮะ ถ้าหนูชอบน้าก็ดีใจนะ"
คาริยะลูบหัวรินอย่างอ่อนโยน และมองหาคนที่จะรับของขวัญอีกชิ้นที่เขาเอามาด้วย
ไม่รู้ทำไม ถึงไม่เห็นเธอในสวนสาธารณะเลย
"นี่ ซากุระจังอยู่ไหนเหรอจ๊ะ?"
เมื่อได้ยินคำถามของคาริยะ รอยยิ้มของรินก็หายไปทันที
เธอทำหน้าเหมือนคิดไม่ออก เป็นใบหน้าของเด็กที่สงบใจเมื่อต้องยอมรับความจริงอันโหดร้าย
"ซากุระ เธอไปแล้ว"
ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า รินตอบเขาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จากนั้นเหมือนพยายามจะหนีคำถามของคาริยะ เธอวิ่งกลับไปหาพวกเด็กๆที่เล่นด้วยก่อนหน้านี้
"..."
คาริยะงงงวยกับคำพูดที่ยากจะเข้าใจของริน จึงหันไปถามแม่ของริน รู้สึกตัวอีกทีสายตาของเธอก็มองไปยังความว่างเปล่าด้วยใบหน้าที่หดหู่
"หมายความว่า...?"
"ซากุระ ไม่ใช่ลูกสาวของชั้น หรือน้องสาวของรินอีกต่อไปแล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่มีความกล้าหาญมากกว่ารินลูกของเธอ
"เด็กคนนั้น ไปอยู่กับตระกูลมาโต้แล้ว"
มาโต้---
ชื่อนี้ ฟังดูคุ้นหูแต่ก็น่าชังเพราะมันทำร้ายจิตใจของคาริยะอย่างโหดร้าย
"เป็นไปไม่ได้... หมายความว่ายังไง คุณอาโออิ!?"
"เธอไม่เห็นต้องถามเลยจริงมั้ย? โดยเฉพาะเธอน่ะ คาริยะคุง"
จิตใจของคาริยะแตกสลาย แม่ของริน---โทซากะ อาโออิกระแทกเสียงตอบด้วยหัวใจที่เย็นชา ไม่ยอมมองเขาที่จริงๆแล้วไม่ได้ต่างกันเลย
"เธอน่าจะรู้ดีว่าทำไมมาโต้ถึงอยากได้เด็กที่เป็นทายาทของจอมเวท ใช่มั้ยล่ะ?"
"แล้ว เธอยอมได้ยังไง?"
"เพราะเขาตัดสินใจแล้ว เป็นการตัดสินใจจากหัวหน้าตระกูลโทซากะที่ทำตามคำขอร้องของเพื่อนเก่า พวกมาโต้ ... ชั้นจะคิดยังไงก็ไม่มีผลหรอก"
ด้วยเรื่องแบบนี้ แม่กับลูก พี่สาวและน้องสาวจึงต้องแยกจากกัน
แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วย แต่ทั้งอาโออิและรินตัวน้อยต่างรู้ดีว่าพวกเธอได้แต่ยอมรับมันเท่านั้น และนั่นเอง เพราะนั่นคือการใช้ชีวิตในฐานะจอมเวท คาริยะรู้จักโชคชะตาอันโหดร้ายแบบนี้ดี
"... เธอไม่เป็นไรนะ?"
อาโออิตอบกลับอย่างอ่อนแรง ยิ้มเล็กน้อยให้กับน้ำเสียงเข้มแข็งของคาริยะ
"ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจแต่งงานเข้าตระกูลโทซากะ ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจเป็นภรรยาของจอมเวท ชั้นก็เตรียมใจรับเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว เมื่อใครได้เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษแล้ว การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง"
แล้วเธอก็ค่อยๆมองหน้าคาริยะซึ่งพยายามจะพูดอีกครั้ง ภรรยาของจอมเวทหยุดเขาอย่างอ่อนโยนทว่าชัดเจน---
"เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างโทซากะกับมาโต้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอที่หันหลังให้กับโลกของจอมเวทไปแล้ว"
พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
คาริยะไม่สามารถทำอะไรได้อีก ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นต้นไม้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ไปแล้ว เขากำลังช็อกจากความอ่อนแอและไร้หนทาง
ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวเมื่อนานมาแล้ว จนเธอกลายเป็นภรรยา และถึงแม้เธอจะมีลูกถึงสองคน อาโออิก็ยังมองคาริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน อายุมากกว่าเขาสามปี เพื่อนสมัยเด็ก เธอมองคาริยะว่าใจดีและจริงใจ เหมือนน้องสาวหรือน้องชายแท้ๆ
เป็นครั้งแรกที่เธอพูดโดยชี้สถานภาพชัดเจนขนาดนี้
"ถ้าเธอได้เจอกับซากุระ ขอให้ใจดีกับเธอด้วยนะ เด็กคนนั้นยังชอบเธออยู่เหมือนเดิม คาริยะคุง"
อาโออิหันไปดูรินซึ่งกำลังเล่นอย่างสนุกสนานและสดใสราวกับจะไล่ความโศกเศร้าของเธอไป
และราวกับจะตอบสนองท่าทางของริน คาริยะทิ้งคำพูดเหล่านั้นไป โทซากะ อาโออิแสดงให้เขาเห็นว่าวันนี้เธอคือคุณแม่ที่มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์
แต่คาริยะยังลืมมันไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมมันได้
โทซากะ อาโออิผู้แจ่มใส ยอมรับชะตากรรมของเธออย่างแน่วแน่
แต่ก็ไม่สามารถเก็บน้ำตาที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่หางตาของเธอได้
คาริยะรีบเดินทางไปยังทิวทัศน์ของบ้านเกิดที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกแล้ว
กลับมายังเมืองฟุยูกิทีไรเขาไม่เคยข้ามสะพานไปที่เมืองมิยามะเลย
10 ปีแล้วสินะ ไม่เหมือนเขตศาลเจ้าชินโตที่มีงานทุกวัน เมืองเพื่อนบ้านนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยเหมือนถูกหยุดเวลาไว้
ถนนเงียบเหงาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แต่ก็ไม่มีอันไหนที่เขายืนมองแล้วมันจะกลับมาได้ คาริยะทิ้งโรคคิดถึงบ้านไร้สาระไปและนึกเรื่องการสนทนากับอาโออิเมื่อชั่วโมงก่อน
"... เธอไม่เป็นไรนะ?"
คำปลอบใจที่อาโออิส่งให้พร้อมหลบตาของเขา หลายปีมานี้เขาไม่เคยใช้น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างนั้นเลย
ห้ามต่อต้าน ห้ามก่อกวน... เขาใช้ชีวิตมาแบบนี้ ความโกรธ ความเกลียด คาริยะได้ทิ้งมันไว้ที่ถนนเปลี่ยวในเมืองมิยามะหมดแล้ว หลังจากออกจากบ้านเกิดไปคาริยะไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวายเลย ให้ต่ำช้าน่าเกลียดเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับความเกลียดชังที่เขามีต่อที่นี่
เพราะงั้น--- ใช่แล้ว ตั้ง 8 ปีที่เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้
ตอนนั้นก็เป็นผู้หญิงคนเดียวกันไม่ใช่เหรอที่คาริยะใช้น้ำเสียงนี้ ใช้คำเดียวกันนี้น่ะ?
"เธอไม่เป็นไรนะ?" ---ในตอนนั้น เขายิงคำถามเดียวกันไปที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขา คืนก่อนที่เธอจะได้รับนามสกุลโทซากะ
เขาไม่เคยลืมความรู้สึกของเธอในตอนนั้นเลย
เธอก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าขอโทษ เหมือนเธอเสียใจ แต่ก็ยังคงละอายใจและขวยเขิน คาริยะแพ้ให้กับรอยยิ้มเงียบงันนั้น
"... ชั้นเตรียมใจไว้แล้ว... การมองหาความสุขอย่างครอบครัวธรรมดาๆนับว่าไม่ถูกต้อง..."
โกหกคำโต
วันนั้น เมื่อ 8 ปีก่อน ตอนจอมเวทหนุ่มขอเธอแต่งงาน เธอยิ้มอย่างมีความสุข
และคาริยะก็ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะเขาเชื่อในรอยยิ้มนั้น
บางที ชายที่แต่งงานกับอาโออิ ชายคนนั้นคงเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่มันกลายเป็นความผิดพลาด
คาริยะควรจะรู้ก่อนใครอื่น ว่านั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง
เพราะเขาก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด ตัวคาริยะเองก็หนีจากครอบครัว หนีจากโชคชะตานั้นไม่ใช่รึไง?
แต่กระนั้นเขาก็ยังพออภัยให้มันได้
แม้แต่ตัวเขาที่หันหลังหนีด้วยความกลัวก็รู้ดีว่าจอมเวทนั้นร้ายกาจเพียงใด... ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขายอมแพ้ ให้กับชายที่เป็นจอมเวทที่สุด
สิ่งที่เผาไหม้อยู่ในอกของเขาตอนนี้คือ ความเสียใจ
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงสองครั้งที่เขาได้เลือกใช้คำผิดไป
เขาไม่ควรจะถามว่า "เธอไม่เป็นไรนะ?"แต่เขาควรจะตัดบทว่า "เธอต้องไม่ทำนะ"
และ 8 ปีที่แล้ว ถ้าเขาห้ามอาโออิ--- บางทีอนาคตอาจต่างกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ ถ้าเธอไม่ได้ผูกมัดกับโทซากะในวันนั้นเธอคงจะหลุดพ้นจากบ่วงคำสาปหายนะของจอมเวทและคงมีชีวิตอย่างคนปกติ
และวันนี้ หากเขามีปฏิกิริยาต่างออกไปกับการตัดสินใจของโทซากะและมาโต้ บ่ายวันนี้ในสวนสาธารณะ--- อาจทำให้เธอต้องตกใจ เธอคงจะปฏิเสธคนนอกที่ทำตัวเหลวไหล
แต่ถึงกระนั้น เธอคงไม่โทษตัวเองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เธอคงไม่ต้องกลั้นน้ำตาไว้อย่างนั้น
คาริยะยกโทษให้กับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ตัวเขาเองซึ่งผิดพลาดเหมือนๆกันถึงสองครั้ง เขาจะลงโทษตัวเอง เขาจะกลับไปยังคืนวันที่เขาได้ทิ้งไว้
แน่นอนว่านั่น นั่นเป็นหนทางที่จะแก้ไข โลกที่เขาเคยหันหลังให้ ชะตากรรมที่เขาหลบหนีออกมาอย่างน่าสังเวช
แต่ตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับมัน
ถ้าเขาเป็นห่วงผู้หญิงคนเดียวในโลกที่เขาไม่อยากทำให้เธอเสียใจ---
ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งใกล้เวลาสายัณห์ เขาได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านที่สูงตระหง่านและหรูหราตามสไตล์ตะวันตก
ล่วงเลยเวลามาถึง 10 ปี มาโต้ คิริยะได้กลับมายืนที่หน้าประตูบ้านของเขาอีกครั้ง
เขาเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป เป็นประตูบานเล็กแต่แข็งแรงซึ่งปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านมาโต้ไว้ คาริยะนั่งลงบนโซฟาในห้องวาดเขียน
"ชั้นว่าชั้นบอกแกแล้วนะ ว่าห้ามโผล่หน้าของแกมาให้ชั้นเห็นอีก"
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคาริยะ ชายชราตัวเล็กที่พูดทับถมด้วยความเกลียดชังคือ มาโต้ โซเค็น ผู้นำของตระกูล เขาเป็นคนศีรษะล้านและผอมแห้งเหมือนผีตายซาก แต่กลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยพลัง ตัวตนและบุคลิกของเขานั้นทำให้เขาดูเป็นคนที่แปลกและลึกลับ
จริงๆแล้วแม้แต่คาริยะเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ทะเบียนบ้านอันแปลกประหลาดของตระกูลเขียนว่าเขาคือพี่ชายของพ่อของคาริยะ แต่แม้กระทั่งกับปู่ทวด บรรพบุรุษรุ่นที่สาม ก็ยังปรากฎชื่อของชายแก่โซเค็นในสายตระกูล ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชายคนนี้เป็นประมุขของตระกูลมาโต้มานานกี่รุ่นแล้ว
พูดถึงการกระทำที่น่าขยะแขยง เขาคือจอมเวทที่พูดได้ว่าไม่ยอมตาย พยายามยืดและยืดอายุของตนเอง เป็นบุคคลที่เป็นต้นตระกูลของสายเลือดมาโต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคาริยะน้อยมาก คนคนนี้คือปิศาจของจริงที่ยังคงเห็นได้ในยุคปัจจุบัน
"บังเอิญผมเกิดได้ยินเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เรื่องที่บ้านมาโต้ต้องแบกรับความเสื่อมเสียร้ายแรง"
คาริยะยืนยันได้อย่างหนักแน่นว่าจอมเวทที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้มีพลังมหาศาลกับความอำมหิตที่ไม่อาจประมาณได้ เป็นชายที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คาริยะเกลียดชังไว้ ผู้ชายร้ายกาจที่เหยียดหยามตัวตนของเขา ต่อให้ถูกชายคนนี้ฆ่าตาย คาริยะก็คงเกลียดเขาจนถึงที่สุดของที่สุด การพบกันเมื่อ 10 ปีก่อน คาริยะเผชิญกับความแข็งแกร่งนี้และหนีออกไปจากบ้านมาโต้เพื่ออิสระภาพของเขา
"ผมได้ยินว่าคุณเอาลูกคนที่สองของโทซากะมา ต้องการสืบทอดตระกูลมาโต้ขนาดนั้นเชียวรึ?"
โซเค็นทำหน้าถมึงทึงเมื่อคาริยะสอบสวนการกระทำของเขาด้วยน้ำเสียงกรรโชก
"อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้รึไง? ก็จะอะไรซะอีกล่ะ? แกคิดว่าใครกันที่ทำให้ตระกูลมาโต้ต้องตกต่ำลงน่ะ?
สุดท้ายแล้ว เจ้าลูกชายเบียคุยะก็ไม่มีวงจรพลังเวทเลย มาโต้สายเลือดแท้จบสิ้นในรุ่นนี้แล้ว แต่ นอกจากพี่ชายเบียคุยะของแกก็มีแกนั่นแหละที่มีพื้นฐานของจอมเวท คาริยะ ถ้าแกยอมรับการสืบทอดและเข้าถึงความลับของมาโต้ล่ะก็ เราคงไม่ต้องโดนบีบคั้นกันอย่างนี้ แล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของ..."
แต่คาริยะหายใจดังฟืดเพื่อเบี่ยงอารมณ์ร้ายของชายแก่ที่กำลังเดือดจนฟองฟอด
"ไม่ตลกเลยนะ เจ้าผีดูดเลือด ทำไมถึงอยากให้สายเลือดมาโต้อยู่ต่อไปขนาดนั้น? ไม่อยากจะหัวเราะนะแต่ถึงจะไม่มีมาโต้รุ่นต่อไปก็ไม่เห็นจะผิดอะไรนี่ เราคุยกันไม่รู้เรื่องตั้งแต่คุณพยายามมีชีวิตถึงสองร้อยหรือกว่าพันปีแล้วนะ?"
เหมือนคาริยะจะคิดถูก โซเค็นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับความโกรธก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก เป็นรอยยิ้มของสัตว์ประหลาดที่ไม่มีเศษเสี้ยวอารมณ์ของมนุษย์เจือปนอยู่เลย
"เหมือนเดิมเลยนะ แกยังเป็นคนไร้ใจ แกยังพูดและทำอะไรตรงๆอยู่เหมือนเดิม"
"จะอะไรก็เถอะ ก็คุณฝึกผมมาแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมใคร"
เริ่มมีเสียงนุ่มนวลออกมาจากปากของชายชรา เหมือนเขากำลังหัวเราะด้วยความพอใจ
"ถูกแล้ว แกคงจะมีอายุยืนกว่าชั้นในอนาคต มากกว่าลูกชายของเบียคุยะ
แต่ถึงอย่างนั้น คำถามเดียวด็คือชั้นจะสามารถรักษาร่างกายที่เน่าเปื่อยอยู่ทุกวันนี่ได้อีกนานแค่ไหน แม้จะไม่ต้องใช้ทายาทมาโต้ แต่ก็ต้องใช้จอมเวทมาโต้ เพื่อจอกยังไงล่ะ"
"... สุดท้ายแล้ว นั่นสินะเป้าหมายของคุณน่ะ?"
เหมือนอย่างที่คาริยะเดาไว้ จอมเวทชราคนนี้กำลังไล่ตามความเป็นอมตะอยู่
เครื่องสมปรารถนานามว่า "จอก" ซึ่งสามารถทำให้เขาสมหวังได้เมื่อมันสมบูรณ์... อะไรกันนะที่ผลักดันสัตว์ประหลาดที่มีอายุกว่าร้อยปีตนนี้ หรือเขาได้คาดหวังอะไรในปาฏิหาริย์นี้
"ปีหน้าจะครบรอบ 60 ปี แต่สำหรับสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สี่ เฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ คงไม่มีคนจากมาโต้
เบียคุยะไม่มีพลังปราณพอจะเรียกเซอร์แวนท์ เขาไม่มีทางได้เรย์จูแน่ๆ
แต่ถึงเราจะพลาดการต่อสู้ครั้งนี้ไป มันก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวใน 60 ปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราสามารถให้กำเนิดจอมเวทที่มีพรสวรรค์ได้จากลูกสาวของโทซากะ ชั้นหวังในตัวเด็กนั่นสูงมาก ในฐานะภาชนะชั้นเยี่ยม"
ใบหน้าของโทซากะ ซากุระ เด้งขึ้นมาในเปลือกตาของคาริยะ
เด็กสาวตัวน้อยที่ชองหลบอยู่หลังพี่สาวรินของเธอเสมอมา สาวน้อยท่าทางอ่อนแอ
เธอยังเด็กเกินกว่าจะต้องแบกรับชะตาอันโหดร้ายของจอมเวท
คาริยะกล้ำกลืนโทสะที่เดือดพล่าน แกล้งทำเป็นใจเย็น
ตอนนี้เวลานี้ เขาต้องเจรจากับโซเค็น ใช้อารมณ์ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
"— ถ้าเป็นเรื่องนั้น ถ้าคุณอยากได้จอก ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้โทซากะ ซากุระนี่จริงมั้ย?"
โซเค็นหรี่ตาลง และสงสัยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคาริยะ
"แก กำลังคิดอะไรอยู่?"
"มาตกลงกัน มาโต้ โซเค็น ผมจะนำนามแห่งมาโต้เข้าสู่เฮเว่นฟีล เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคุณจะต้องปล่อยโทซากะ ซากุระไป"
โซเค็นหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขำออกมาด้วยความเหยียดหยาม
"ฮ่า อย่าโง่ไปหน่อยเลย คนเหลวแหลกที่ไม่เคยฝึกอะไรเลยจะมาเป็นมาสเตอร์ของเซอร์แวนท์ในปีเดียวเนี่ยนะ?"
"คุณมีความลับที่ทำให้มันเป็นไปได้อยู่ใช่มั้ยล่ะ เทคนิคการใช้หนอนที่คุณภูมิใจเหลือเกินน่ะ"
คาริยะพูดเข้าเรื่อง จ้องตาจอมเวทชราตรงๆ
"ปลูกถ่าย "หนอนประจำตระกูล" บนตัวผม คุณทำได้กับเลือดเนื้อสกปรกของมาโต้ มันต้องเข้ากับผมได้ดีกว่าลูกสาวจากบ้านอื่นหลายขุมแน่"
ใบหน้าของโซเค็นเปลี่ยนจากใบหน้าของมนุษย์เป็นใบหน้าของจอมเวท อารมณ์ต่างๆหายวับไปทันที
"คาริยะ —แกอยากตายรึไง?"
"อย่าบอกนะว่า 'คุณลุง' เป็นห่วงผมน่ะ?"
โซเค็นรู้สึกได้ว่าคาริยะพูดจริง จอมเวทพิจารณาคาริยะอย่างเยือกเย็น จ้องมองเขา และสูดหายใจลึกๆอีกครั้ง
"พูดได้ว่าชั้นหวังในตัวแกมากกว่าเจ้าเบียคุยะ หลังจากใช้หนอนประจำตระกูลขยายวงจรเวทของแกแล้ว ถ้าเราเร่งฝึกแกในหนึ่งปีบางทีจอกอาจจะเลือกแกก็ได้
... แต่ถึงอย่างงั้นชั้นก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อเด็กผู้หญิงคนเดียวแกถึงได้ลงทุนมากขนาดนี้?"
"ปล่อยให้คนของมาโต้จัดการเรื่องในตระกูลมาโต้เถอะ อย่าเอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวเลย"
"เป็นการอุทิศที่น่าชมเชย"
เหมือนเขาจะพอใจ โซเค็นยิ้มอย่างพึงพอใจ และเต็มไปด้วยจิตของมารร้าย
"แต่ก็นะ คาริยะ ถ้าแกตั้งใจไม่ให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะ ตอนนี้จะมันไม่สายไปหน่อยรึ?
แกรู้มั้ยว่าลูกสาวของโทซากะมาอยู่บ้านเราได้กี่วันแล้ว?"
ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามากระแทกอกของคาริยะ
"นี่คุณ หมายถึง—"
"สามวันแรกเธอร้องไห้งอแงเป็นการใหญ่ แต่พอถึงวันที่สี่เธอก็เงียบ วันนี้ตอนรุ่งสางชั้นโยนเธอเข้าคลังเก็บหนอนเพื่อทดสอบว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ แต่ โฮ่ โฮ่ เธอทนได้ตั้งครึ่งวันแล้วยังหายใจอยู่อีกต่างหาก รู้อะไรมั้ย วัตถุดิบจากโทซากะก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอก"
ไหล่ของคาริยะสั่นเพราะรังสีฆ่าฟันที่มีอำนาจเหนือความเกลียดชัง
เขาอยากจะพุ่งเข้าไปจับจอมเวทปิศาจตรงหน้า ขยี้คอสุดแรงเกิดจนมันหักเป็นสองเสี่ยงซะเดี๋ยวนี้เลย—
—นั่นเป็นแรงกระตุ้นที่พุ่งพล่านอยู่ในใจคาริยะ
แต่คาริยะต้องยอมรับ แม้เขาจะดูอ่อนแอเพียงใดโซเค็นก็เป็นจอมเวท แค่พยายามจะฆ่าเขาคาริยะก็คงทำไม่ได้ เขาไม่มีพลังแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้
เพื่อจะช่วยซากุระ มีแต่การเจรจานี้เท่านั้น
เมื่อเห็นความขัดแย้งในตัวคาริยะ โซเค็นก็หัวเราะอย่างเศร้าใจ
"แล้ว แกจะทำยังไงล่ะ? สาวน้อยคนนั้นแตกสลายไปซะแล้ว เต็มไปด้วยหนอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
แต่ถ้าแกยังคิดว่าแกสามารถช่วยเธอได้ โอกาสนี้ไม่มีมาอีกหรอกนะ"
"... ไม่คัดค้าน เอาตามที่ตกลงกัน"
คาริยะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ แน่นอนว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
"ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เอาล่ะ เรายังต้องฝึกแกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จงรู้ไว้ซะว่าชั้นยังจะฝึกซากุระต่อตราบเท่าที่แกยังไม่มีผลงานอะไร"
จอมเวทชราหัวเราะ อารมณ์ขันนั้นตอกย้ำความโกรธเกรี้ยวและความสิ้นหวังของคาริยะ
"ยัยเด็กนั่นมีโอกาสสำเร็จสูงมาก สูงยิ่งกว่าคนเหลวไหลที่เคยทรยศเราไปแล้ว ชั้นน่ะสนับสนุนทางเลือกที่ดีที่สุดเพียงทางเดียวเท่านั้น ชั้นคิดว่าเราแพ้การต่อสู้นี้ไปแล้วจึงคิดจะยอมแพ้เฮเว่นฟีลในรอบนี้
แต่ ถ้าเกิดโอกาสหนึ่งในล้าน ถ้าแกได้จอกมา— ชั้นก็ยอมรับ ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นก็ไม่มีธุระกับลูกสาวของโทซากะ ชั้นจะจบการฝึกเพื่อจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของเธอซะ"
"... คุณจะไม่เปลี่ยนใจทีหลังใช่มั้ย? มาโต้ โซเค็น"
"คาริยะ ถ้าแกคิดว่าแกจะต่อปากต่อคำกับชั้น อดทนผ่านหนอนประจำตระกูลให้ได้ก่อนเถอะ
ใช่แล้ว ลองเลี้ยงหนอนก่อนสักอาทิตย์นึง ถ้าแกยังไม่คลั่งตายไปซะก่อนค่อยเอาเรื่องนี้มาคุยกันอย่างจริงจัง"
โซเค็นใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาหันมาทางคาริยะด้วยรอยยิ้มปิศาจที่แสดงถึงความร้ายกาจเต็มที่
"งั้น เริ่มเตรียมการกันเลยไม่ต้องรีรอ เราจะเริ่มกระบวนการต่างๆในทันที ถ้าแกจะเปลี่ยนใจก็ทำซะตั้งแต่ตอนนี้"
คาริยะโค้งลงอย่างเงียบงัน และโยนความลังเลสุดท้ายทิ้งไป
เมื่อหนอนเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว เขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดของโซเค็น จากนั้นเขาจะไม่มีทางต่อต้านจอมเวทชราได้เลย ถ้าเขาได้รับการยอมรับในฐานะจอมเวท คาริยะกับเลือดมาโต้ในตัวของเขาต้องได้รับเรย์จูแน่
เฮเว่นฟีล หนทางเดียวที่จะสามารถช่วยซากุระออกมาได้ หนทางที่เขาไม่สามารถไปถึงได้หากยังใช้เลือดเนื้อที่มีอยู่ในตอนนี้
คาริยะอาจต้องเสียชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยน ต่อให้เขาไม่โดนมาสเตอร์คนอื่นสอยร่วง การรับหนอนประจำตระกูลเข้าร่างแค่ช่วงสั้นๆเป็นเวลาหนึ่งปี ร่างกายของคาริยะก็ถูกหนอนกินไปแล้ว ชีวิตของเขาคงอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นไร
คาริยะตัดสินใจช้าเกินไป ถ้าเขาคิดได้ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ลูกของอาโออิคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแม่ของเธอ ชะตาที่เขาทิ้งมันไปกลับร่วงลงมายังเด็กสาวซึ่งไม่มีความผิดอะไรเลย
เมื่อไม่สามารถไถ่โทษนั้น หากจะมีทางใดที่แก้ไขมันได้ คงมีแค่การนำชีวิตธรรมดาๆของเด็กสาวกลับคืนมาเท่านั้น
หรือจะให้พูดว่า ถ้าเขาสามารถกำจัดมาสเตอร์อีกหกคนที่เหลือได้หมดเพื่อไปให้ถึงจอก...
ในหมู่คนที่นำโศกนาฏกรรมมาให้เด็กสาวทื่ชื่อซากุระ มีอย่างน้อยคนนึงที่เขาต้องส่งวิญญาณให้ได้
"โทซากะ โทคิโอมิ..."
ในฐานะที่เป็นผู้นำของหนึ่งใน 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องได้ครอบครองเรย์จู
มันแตกต่างกับความผิดที่เขามีต่ออาโออิ และแตกต่างกับความเกลียดชังที่มีต่อโซเค็น มันคือความเกลียดชังที่เขาสะสมเอาไว้จนถึงวันนี้
ความแค้นอันมืดมิดเริ่มเผาไหม้อยู่ลึกๆในใจของมาโต้ คาริยะราวกับกองเพลิง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น