ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Book1 Prologue 3ปีก่อน
ถ้าหากเราจะพูดถึงวิชาเวทมนตร์ ทฤษฎีว่าด้วยกฎของมิติกล่าวไว้ว่า มันเป็น 'พลัง' จากนอกโลก
เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความใฝ่ฝันของจอมเวททุกคน , 'แก่นแท้' , อคาชา... ที่พำนักแห่งพระเจ้า, บันทึกแห่งอคาชิก จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง ซึ่งบันทึกทุกสิ่งไว้ ซึ่งสร้างทุกสิ่งไว้ในโลกใบนี้
200 ปีก่อน มีผู้ที่ต้องการจะทำการทดลองให้สำเร็จ บนสถานที่ที่เราเรียกว่า 'นอกโลก'
ไอนส์เบิร์น, มาคิริ, โทซากะ ถูกเรียกว่า 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม สิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้คือการสร้าง 'จอกศักดิ์สิทธิ์' ในตำนานขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าการอัญเชิญจอกออกมา จะสามารถทำให้ความต้องการทุกสิ่งเป็นจริงขึ้นมาได้ จอมเวททั้งสามตระกูลต่างใช้วิชาลับของตนจนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็น 'ภาชนะอเนกประสงค์'
... อย่างไรก็ตาม จอกนั้นกลับบันดาลพรให้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น วินาทีที่ความจริงนี้ปรากฎขึ้น ความสมานฉันท์ก็ถูกล้างด้วยเลือด และกลายเป็นความขัดแย้ง
นี่คือจุดเริ่มต้นของ 'สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์' และ 'เฮเว่นฟีล'
จากนี้ต่อไป ทุกๆ 60 ปี จอกจะถูกอัญเชิญลงมาบนดินแดนตะวันออกไกลนามว่า 'ฟุยูกิ'
และตอนนั้นเอง จอกจะทำการเลือกจอมเวท 7 คนให้มีสิทธิ์ในการครอบครองมัน รวมทั้งแจกจ่ายพลังปราณจำนวนมหาศาลแก่พวกเขาเพื่อสร้างความเป็นไปได้ในการอัญเชิญวิญญาณวีรชนที่เรียกกันว่า 'เซอร์แวนท์' ออกมา การต่อสู้จะจบลงเมื่อความตายทำการตัดสิน ว่าผู้ใดในเจ็ดคนนั้นเหมาะสมที่จะครอบครองจอกมากที่สุด
—พูดง่ายๆ ว่านั่นคือสิ่งที่ โคโตมิเนะ คิเรย์ กำลังประสบอยู่
"สัญลักษณ์ที่ปรากฎบนมือขวาเรียกว่า 'เรย์จู' มันคือสิ่งพิสูจน์ว่าคุณได้รับการคัดเลือกจากจอก และยังเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สามารถควบคุมเซอร์แวนท์ได้อีกด้วย"
คนที่กล่าวคำอธิบายอย่างนุ่มนวลนี้คือ โทซากะ โทคิโอมิ
ที่ห้องห้องหนึ่งในบ้านตากอากาศหลังงาม ซึ่งถูกสร้างไว้บนเขาลูกเล็กๆใกล้กับชานเมืองทางใต้ของเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ชาย 3 คนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขก คิเรย์กับโทคิโอมิ และหลวงพ่อที่กำลังอธิบายรวมทั้งสนทนากับพวกเขา โคโตมิเนะ ริเซย์... พ่อแท้ๆของคิเรย์
สำหรับเพื่อนของพ่อที่ใกล้จะอายุ80แล้วนั้น โทซากะยังใช้ภาษาญี่ปุ่นไม่คล่องเท่าไหร่ แถมเค้ายังมีอายุพอๆกับคิเรย์ มีท่าทางสบายๆและดูเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ตระกูลของเขามีเชื้อสายมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในญี่ปุ่น เขาบอกว่าบ้านตากอากาศนี้เป็นบ้านหลังที่สอง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่เขาบอกว่าตัวเองเป็น 'จอมเวท'
การเป็นจอมเวทไม่ใช่เรื่องแปลกเลย คิเรย์ก็เป็น เช่นเดียวกับพ่อของเขา รวมไปถึงพวกพระทั้งหลายด้วย แต่กระนั้นความรับผิดชอบที่พ่อลูกคู่นี้ต้องแบกรับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกที่คนธรรมดาเรียกว่า'หลวงพ่อ'
'โบสถ์'ที่คนประเภทเดียวกับคิเรย์อยู่ในสังกัดนั้น มีคำสอนที่ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์และเรื่องลึกลับแต่จะทำการสังหารผู้ที่มีตราบาปนอกรีตและฝังมันให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งนั่นก็คือ การนำหลักการมาดูแลคนนอกศาสนาอย่างพวกจอมเวท
จอมเวทจะสนับสนุนจอมเวทด้วยกันเท่านั้น และยังรวมตัวกันตั้งกลุ่มคุ้มครองตนเองเรียกว่า 'สมาคม' ซึ่งตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์และคุกคามโบสถ์ ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายตัดสินใจสงบศึกกันชั่วคราว แม้กระนั้นสภาพที่มีหลวงพ่อจากโบสถ์กับจอมเวทอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเพื่อที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ นับว่าเป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึง
ตามที่พ่อริเซย์บอก ตระกูลโทซากะคือหนึ่งในตระกูลที่มีเส้นสายกับโบสถ์มานานมากแล้ว ถึงแม้จะเป็นตระกูลของจอมเวทก็ตาม
เมื่อคืนก่อนคิเรย์พบว่าตนเองมีสัญลักษณ์3รูปปรากฎขึ้นมา เขาจึงไปปรึกษาพ่อของเขา ทันใดนั้นริเซย์ก็คว้าข้อมือลูกชายแล้วลากมาที่เมืองตูรินเพื่อพบกับจอมเวทหนุ่มในรุ่งเช้าของวันต่อมาทันที
ต่อมา หลังจากทักทายกันอย่างรีบร้อน ท่ามกลางการพบปะอย่างลับๆนี้โทคิโอมิอธิบายให้คิเรย์ฟังเรื่องสงคราม 'เฮเว่นฟีล' กับความหมายที่อยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์ซึ่งปรากฎขึ้นบนมือของคิเรย์... นั่นคือ ผลิตผลพิเศษที่คิเรย์ครอบครองไว้ เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งปาฏิหาริย์ที่จะทำให้ความต้องการของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้ จากพลังของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่สี่ในอีกสามปีข้างหน้า
และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธการต่อสู้ หน้าที่ของคิเรย์ต่อโบสถ์นั้น หัวใจสำคัญคือการกำจัดพวกนอกรีตซึ่งหมายความว่าเขาชำนาญการต่อสู้เป็นอย่างมาก พูดได้ว่าหน้าที่จริงๆของเขาคือการเดิมพันความเป็นความตายกับเหล่าจอมเวท ซึ่งหากจะพูดให้ถูกปัญหาจริงๆก็คือ การที่หลวงพ่อคิเรย์ต้องเข้าร่วมเฮเว่นฟีลในฐานะจอมเวท ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมเวทด้วยกัน
"เฮเว่นฟีล คือการต่อสู้ที่ใช้เซอร์แวนท์เป็นข้ารับใช้ หากจะดำเนินการต่อต้องใช้เวทพื้นฐานที่ใช้ในการอัญเชิญ ...หัวใจสำคัญคือคนเจ็ดคนที่ถูกเลือกให้เป็นมาสเตอร์ของเซอร์แวนท์นั้นจะต้องเป็นจอมเวท ซึ่งคงเป็นข้อยกเว้นสำหรับคุณที่ทำงานเกี่ยวกับสมาคมจอมเวทอยู่ตลอด และถูกจอกพบตัวตั้งแต่แรกแบบนี้"
"จอกเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแต่เพียงผู้เดียวเลยรึ?"
โทคิโอมิพยักหน้าให้กับคิเรย์ที่ยังลังเลใจ
"ในนามของ '3 ตระกูลผู้ริเริ่ม' —เรายินดีอนุญาตให้ท่านเข้าร่วม จอมเวทจากมาคิริ ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนชื่อของตนเองเป็น มาโต้ ไอนส์เบิร์น และโทซากะ พูดอีกอย่างก็คือ..."
โทคิโอมิยกมือขวาของเขาขึ้นมาเพื่อแสดงสัญลักษณ์ทั้งสามให้ดู
"ในฐานะผู้นำของตระกูลโทซากะ ผมก็จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย"
แล้วหนุ่มคนนี้คิดจะไขว้แขนกับคิเรย์หลังจากอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างละเอียดยิบงั้นรึ? แต่ทว่าคิเรย์ยังไม่รู้สึกตัว ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด
"ชั้นสงสัยเรื่องเซอร์แวนท์ที่นายพูดก่อนหน้านี้ นายบอกว่าวิญญาณวีรชนจะถูกอัญเชิญมาเป็นข้ารับใช้..."
"เรื่องนี้คงทำใจเชื่อยากสักนิด แต่มันก็เป็นความจริง เป็นหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์ของจอกน่ะ"
ตำนานของมนุษย์และยอดมนุษย์ที่หลงเหลือชื่อไว้ในประวัติศาสตร์กับนิทานประจำบ้าน พวกเขาเป็นความทรงจำที่ติดตรึงอยู่ในผู้คน หลังจากพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาก็ได้รับการยกย่องจากมนุษยชาติ โด่งดังแม้กระทั่งในโลกของวิญญาณ พวกเขาคือ 'วิญญาณวีรชน' ซึ่งแตกต่างกับวิญญาณพยาบาทหรือวิญญาณร้ายทั่วไปในธรรมชาติที่จอมเวทมักจะอัญเชิญมาเป็นข้ารับใช้โดยสิ้นเชิง จะว่าไป พวกนี้เป็นวิญญาณระดับเทพ แม้จะหยิบยืมและดึงพลังส่วนหนึ่งมาใช้ได้ แต่ทำยังไงก็นึกไม่ออกว่าพวกนั้นจะมาเป็นข้ารับใช้ในโลกปัจจุบันได้ยังไง
"หากท่านรู้สึกตัวแล้วว่าพลังของจอกสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ท่านก็จะเข้าใจว่ามันเป็นสมบัติที่มีอันตรายมหาศาลเพียงใด สุดท้ายแล้ว กระทั่งการอัญเชิญเซอร์แวนท์ออกมา ก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งจากพลังของจอกเท่านั้น"
ราวกับกำลังงงเรื่องที่ตัวเองพูด โทซากะ โทคิโอมิถอนหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้า
"วิญญาณวีรชนอาจถูกอัญเชิญมาจากยุคโบราณนับร้อยปีก็ได้ วีรชนเจ็ดคนซึ่งติดตามเหล่าจอมเวททั้งเจ็ด แต่ละคนต้องปกป้องมาสเตอร์ของตนและกำจัดมาสเตอร์ของศัตรู วีรชนจากยุคสมัยและประเทศต่างๆกันล้วนถูกอัญเชิญมายังปัจจุบัน และพบเจอกับการต่อสู้สุดชีวิตจนถึงแก่ความตาย นี่แหละ 'เฮเว่นฟีล' สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งฟุยูกิ"
"...ไม่โหดร้ายไปหน่อยรึ? กลางเมืองที่มีคนอยู่เป็นพันเนี่ยนะ?"
จอมเวททุกคนจะปิดบังตนเองไม่ให้ใครรู้ มันเป็นทางเดียวที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันซึ่งเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวาล ทางโบสถ์เองก็เช่นกัน การเปิดเผยตนเองนั้นยังไงก็ทำไม่ได้เด็ดขาด
แต่ด้วยพลังของวิญญาณวีรชนนั้น คุณจะต้องปกปิดพลังระดับที่สร้างหายนะได้เลยทีเดียว ใช้เซอร์แวนท์ทั้งเจ็ดในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ในยุคปัจจุบันแถมยังให้พวกนั้นปะทะกัน… ก็เหมือนกับการสั่งนักฆ่าไปฆ่าคนทั้งสนามรบ
"—แน่นอนว่าการต่อสู้นี้ต้องปกปิดเป็นความลับ คุณจะต้องคอยตรวจตราและเตรียมตัวเป็นอย่างดี"
หลังจากนั่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ พ่อของคิเรย์ บาทหลวงริเซย์ ก็เอ่ยปากพูดในส่วนของเขา
"เฮเว่นฟีลจะเกิดขึ้นทุกๆ 60 ปีและครั้งนี้คือครั้งที่สี่ ญี่ปุ่นเริ่มมีความเจริญเข้ามาตั้งแต่สงครามครั้งที่สอง แม้จะเป็นที่ที่ห่างไกลแค่ไหนเราก็ไม่อาจปล่อยให้มีพยานรู้เห็นหรือกระจายข่าวความเสียหายออกไปได้
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เฮเว่นฟีลครั้งที่สามเป็นต้นมา มีข้อตกลงว่าคนจากโบสถ์อย่างเราต้องส่งคนเข้ามาเป็นผู้ดูแล เพื่อลดความเสียหายจากหายนะของสงครามให้น้อยที่สุด เราต้องปิดบังความจริงและจอมเวทต้องยอมเก็บความอาฆาตต่อกันเป็นความลับด้วย"
"โบสถ์มีหน้าที่เป็นกรรมการในการต่อสู้ระหว่างจอมเวทงั้นรึ?"
"ยิ่งเพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมเวทด้วยกันนี่แหละ ในสมาคมจอมเวทจึงไม่มีใครเหมาะจะเป็นกรรมการเพราะมีความลำเอียง แปลว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องอาศัยบุคคลภายนอกอย่างโบสถ์
แล้วอีกอย่าง ทางโบสถ์เราก็ไม่สามารถปล่อยให้ชื่อของจอกศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหลู่ได้แต่แรกแล้ว เราไม่สามารถละทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่า สิ่งนี้อาจเป็นถ้วยที่รองรับเลือดของบุตรแห่งพระเจ้าจริงๆก็เป็นได้"
ทั้งคิเรย์กับริเซย์ พ่อลูกคู่นี้ล้วนมีตำแหน่งอยู่ในหน่วยงานที่เรียกกันว่าสภาปฏิญาณทั้ง8 หน้าที่ของคนเหล่านี้ในโบสถ์คือการกอบกู้อารยธรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ สมบัติที่ชื่อจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นปรากฎอยู่ในเรื่องเล่าและตำนานนับไม่ถ้วน และความสำคัญของ 'จอก' ซึ่งอยู่ในคำสอนของโบสถ์นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ
"เมื่อเป็นแบบนี้ ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามโลกในคราวที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดเฮเว่นฟีลครั้งที่สามพอดี ตัวชั้นกับเด็กหนุ่มอีกคนนึงได้ถูกมอบหมายภารกิจสำคัญ ในการต่อสู้ครั้งหน้าชั้นจะต้องเดินทางไปยังเมืองฟุยูกิเพื่อเฝ้ามองการต่อสู้ของพวกนาย"
เมื่อได้ยินพ่อของเขาพูด คิเรย์ได้แต่ส่ายหน้า
"เดี๋ยวก่อน การเลือกผู้ดูแลจากโบสถ์ควรจะยุติธรรมไม่ใช่รึ? ถ้ามีคนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดมันเกิดปัญหาสิ..."
"นั่นแหละ นั่นแหละ คิดว่ากฎอะไรมันก็ต้องมีช่องโหว่บ้างใช่มั้ยล่ะ?"
รอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยจากคุณพ่อหัวดื้อมีความนัยบางอย่างซึ่งคิเรย์ก็เดาไม่ออก
"คุณโคโตมิเนะครับ คุณไม่ควรจะทำให้ลูกคุณสับสนนะครับ เราเปลี่ยนมาถามคำถามจริงๆกันดีกว่า"
โทซากะ โทคิโอมิ ดุท่านนักบวชตรงๆเพื่อจะได้เข้าเรื่องกันเสียที
"อืม ก็จริงนะ —คิเรย์ ที่เราอธิบายมาก่อนหน้านี้มีแต่เรื่องของ 'ปัญหาภายนอก' ของสงครามจอกเท่านั้น ยังมีอีกเหตุผลนึงที่พ่อให้ลูกมาพบกับคุณโทซากะในวันนี้"
"... ซึ่งก็คือ?"
"จริงๆแล้ว เรามีข้อพิสูจน์ที่เชื่อถือได้มานานแล้วว่าจอกที่ปรากฎขึ้นในฟุยูกินั้น แตกต่างกับจอกที่อยู่ในอารยธรรมโบราณเรื่อง 'บุตรแห่งพระเจ้า' สุดท้ายแล้วการต่อสู้ในเฮเว่นฟีลของฟุยูกิก็เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อชิงสมบัติที่เป็นของเลียนแบบจากจอกที่เปิดทางไปสู่โลกพระศรีอาริย์ ซึ่งทำจากภาชนะอันทรงพลังเท่านั้น มันไม่มีทางเกี่ยวข้องกับโบสถ์ของพวกเราเลย"
เรื่องก็เป็นแบบนี้ พูดอีกอย่างคือโบสถ์คงไม่พอใจกับการเป็นคนดูแลอยู่เงียบๆ ถ้าหากจอกนั่นเป็นจอกที่อยู่ใน 'อารยธรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์' ทางโบสถ์ต้องพุ่งเข้าไปห้ามการต่อสู้แล้วแย่งมันมาจากเหล่าจอมเวทเป็นแน่
"หากเป้าหมายสุดท้ายของจอกเป็นเพียงเพื่อไปให้ถึงบันทึกแห่งอคาชิก โบสถ์ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรเลย เพราะถึงยังไง ความกระหายของจอมเวทที่อยากจะตามหา 'อคาชา' ต้นฉบับ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อคำสอน
—และอย่างน้อยถ้าพวกเราจะปล่อยมันเลยตามเลย เราก็ต้องส่งมันให้กับคนที่มีฝีมือ เพราะถ้ามีผู้ไม่พึงประสงค์รู้เรื่องนี้เข้า เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดหายนะขนาดไหน"
"งั้น ถ้าเรากำจัดพวกนั้นเหมือนคนนอกรีต—"
"ก็ยังลำบากอยู่ดี จอมเวทที่ต่อสู้ชิงจอกล้วนแต่เป็นหมาหวงก้าง ถ้าเราปล่อยให้สู้กันอย่างโจ่งแจ้ง การต่อสู้ระหว่างจอมเวทนี้คงมีคนโดนลูกหลง และคงมีผู้รับเคราะห์มากเกินไป
ถ้าจะพูดให้ถูก แผนสำรองที่ดีที่สุดนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการหาทางส่งจอกไปให้ 'ผู้ถูกเลือก' อีกแล้ว"
"... อย่างงี้นี่เอง"
คิเรย์เริ่มจับประเด็นที่แท้จริงของการสนทนาครั้งนี้ได้ ในเมื่อพ่อของเขารู้จักกับจอมเวทโทซากะ โทคิโอมิ
"ตั้งแต่พวกเขาต้องแบกรับภาระโชคชะตาจากบ้านเกิด ตระกูลโทซากะได้เชื่อมั่นในคำสอนเดียวกับพวกเรา เมื่อได้รู้จักโทคิโอมิคุงแล้ว จะรู้ว่าตัวของเขานั้นถือว่ามีคุณสมบัติพอจะได้ครอบครองจอก"
โทซากะ โทคิโอมิพยักหน้าแล้วพูดต่อ
"การไปให้ถึง 'อคาชา' สำหรับตระกูลโทซากะไม่มีความต้องการใดที่สำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ก็น่าเศร้า ไอนส์เบิร์นและมาโต้ที่เคยมีเจตนารมณ์เดียวกันได้เสียความตั้งใจนั้นไปและหันไปหาสิ่งที่อยู่ทางโลกมากกว่า จนตอนนี้พวกเขาลืมเจตนาเดิมไปหมดแล้ว ชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นเชิญจอมเวทภายนอกเข้ามาเป็นมาสเตอร์ถึงสี่คน ถึงยังไงพวกเขาก็ต้องการจอกเพื่อความโลภที่น่าชังเท่านั้นเอง"
นั่นก็หมายความว่า โบสถ์แต่งตั้งโทซากะ โทคิโอมิมาเป็นเกราะกำบังแก่จอกเพียงคนเดียวเท่านั้น คิเรย์จึงเริ่มเข้าใจหน้าที่ของเขามากขึ้น
"พ่อก็เลยอยากให้ผมที่เข้าร่วมสงครามจอกครั้งหน้า ปล่อยให้คุณโทซากะ โทคิโอมิเป็นผู้ชนะไปใช่มั้ย?"
"ถูกต้อง"
ในที่สุด โทซากะ โทคิโอมิก็แสดงรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
"แน่นอน เราจะรวมกลุ่มกันเพื่อเผชิญหน้ากับมาสเตอร์อีกห้าคนที่เหลือและกำจัดพวกเขาซะ เพื่อเพิ่มโอกาสในชัยชนะของเรา"
เมื่อโทคิโอมิพูดจบ พ่อริเซย์ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ผู้เป็นกลางอย่างกรรมการจากโบสถ์ตอนนี้กลายเป็นตัวตลกไปซะแล้ว เฮเว่นฟีลครั้งนี้ต้องทำให้ผู้คนหันกลับมาเชื่อถือโบสถ์อีกครั้ง
และเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดแต่สำหรับคิเรย์ หากจุดประสงค์ของโบสถ์นั้นชัดเจนเขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาให้สำเร็จในฐานะเพชฌฆาตผู้อุทิศตน
"คิเรย์คุง นายจะถูกย้ายจากทางโบสถ์มาที่สมาคมจอมเวท และกลายเป็นลูกศิษย์ของชั้นนะ"
เขาพูดโดยไม่ปล่อยให้พักหายใจ ด้วยน้ำเสียงที่คล่องแคล่ว โทซากะ โทคิโอมิ รีบอธิบายต่อทันที
"ยะ — ย้าย ?"
"เราทำการส่งตัวอย่างเป็นทางการแล้ว คิเรย์"
พูดจบ พ่อริเซย์ก็หยิบจดหมายออกมา มันมีตราประทับของทั้งโบสถ์และสมาคมจอมเวท ส่งตรงถึงโคโตมิเนะ คิเรย์ เขาตกใจที่สุดเมื่อได้เห็นเนื้อความในการแต่งตั้ง นับแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้จดหมายได้ถูกดำเนินการในทันที
สุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคิเรย์นัก รวมทั้งไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องคัดค้านการสนทนาครั้งนี้อีกด้วย เพราะคิเรย์นั้นไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรอยู่แล้ว
"เรื่องที่สำคัญที่สุดเพียงเรื่องเดียวที่นายต้องทำคือฝึกฝนวิชาเวทมนตร์ในบ้านชั้นที่ญี่ปุ่น เฮเว่นฟีลครั้งหน้าคืออีกสามปีที่จะถึงนี้
ต่อมา นายต้องมีเซอร์แวนท์ใต้บัญชาของนายและกลายเป็นจอมเวทที่พร้อมจะเข้าร่วมการต่อสู้ในฐานะมาสเตอร์"
"แต่ — แบบนี้ไม่เป็นไรรึ? ถ้าชั้นศึกษาจากนายอย่างเปิดเผย จะไม่มีใครสงสัยว่าเราคิดร่วมมือกันเลยรึ?"
โทคิโอมิยิ้มอย่างเย็นชาและส่ายหน้า
"นายไม่รู้อะไร หากความสนใจใคร่รู้ของจอมเวทขัดแย้งกัน แล้วเกิดการต่อสู้ระหว่างศิษย์กับอาจารย์จนมีใครตายไปข้างนึงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกของพวกเราเลย"
"อา ชั้นเข้าใจแล้ว"
กระนั้นคิเรย์ก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของจอมเวท เขาเข้าใจทางโค้งของสนามแข่งที่ถูกเรียกว่าจอมเวทเป็นอย่างดี เขาเคยต่อสู้กับจอมเวท 'นอกรีต' ในฐานะเพชฌฆาตมานับครั้งไม่ถ้วน รวมๆแล้วที่เขาจัดการไปไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบคนแน่ๆ
"งั้นก็ นายยังสงสัยอะไรอยู่มั้ย?"
เมื่อโทคิโอมิ คิดจะจบการสนทนานี้แล้ว คิเรย์จึงถามคำถามที่เขาสงสัยมาตั้งแต่แรก
"แค่ข้อเดียว — จอกที่เป็นผู้คัดเลือกมาสเตอร์ ตัวมันเองมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?"
เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่คำถามที่โทคิโอมิเดาเอาไว้ จอมเวทหนุ่มคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง และตอบคำถามอย่างไร้กังวล
"ความต้องการของจอก... แน่นอนว่ามันน่าจะเลือกมาสเตอร์ที่ต้องการมันด้วยใจจริง
อย่างที่ชั้นเคยบอก ว่าโทซากะเราอยู่ในรายชื่อบนสุดของ 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม"
"งั้น มาสเตอร์ทุกคนก็มีเหตุผลที่อยากครอบครองจอกน่ะสิ?"
"มันก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น จอกต้องการคน 7 คน ซึ่งถ้ามีคนไม่พอในตอนนั้น คนที่ปกติจะไม่ถูกเลือกก็อาจมีเรย์จูได้ สมัยก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้มาแล้ว แต่— อ้อ ชั้นเข้าใจแล้ว"
ขณะที่พูดอยู่ โทคิโอมิก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าคิเรย์กำลังสงสัยอะไร
"คิเรย์คุง นายคิดว่านายไม่ควรถูกเลือกสินะ?"
คิเรย์พยักหน้า ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินค้นหายังไงก็ไม่มีเหตุผลที่เครื่องสมปรารถนาจะพบตัวเขาเลย
"อืม ก็จริง เรื่องนี้แปลกมาก สิ่งเดียวที่ทำให้นายเกี่ยวข้องกับจอกก็คงเป็นพ่อของนายซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นคนดูแล แต่... ไม่สิ เอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลอะไรไม่ได้หรอกมั้ง"
"... แล้ว หมายความว่า?"
"จอกคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าทางโบสถ์จะต้องช่วยเหลือตระกูลโทซากะ เพราะงั้นเพชฌฆาตจากโบสถ์ที่มีเรย์จูคงช่วยโทซากะเป็นแน่"
พูดจบ โทคิโอมิ ก็เสริมต่อให้หมดข้อข้องใจและจบการสนทนานี้เสียที
"พูดอีกอย่างก็คือ จอกให้ชั้น ให้โทซากะถึงสองเรย์จู เพื่อการนี้จอกจึงเลือกนายเป็นมาสเตอร์ไงล่ะ
... เป็นไงบ้าง? ชั้นอธิบายแล้วยังสงสัยอะไรอยู่อีกมั้ย?"
แล้วเขาก็จบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงท้าทาย
"..."
ความหยิ่งยะโสแบบนี้สมเป็นชายที่ชื่อโทซากะ โทคิโอมิ เกียรติยศของชายคนนี้คล้ายกับคำเย้ยหยันและถากถาง
แน่นอนว่าในฐานะจอมเวท เขาคือชายผู้เก่งกาจ และความมั่นใจในตนเองก็เกิดจากความเก่งกาจนั้น เขาถึงไม่เคยลังเลในการตัดสินใจของตัวเองเลย
ซึ่งหมายความว่าคุณคงไม่มีทางได้คำตอบอื่นจากโทคิโอมิเป็นแน่— คิเรย์คิด
"เราจะไปญี่ปุ่นกันเมื่อไหร่ล่ะ?"
คิเรย์ซ่อนความท้อแท้ไว้ในใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
"ชั้นกะจะเข้าอังกฤษสักหน่อยน่ะ มีงานต้องทำเล็กน้อยที่หอนาฬิกา
นายล่วงหน้าไปญี่ปุ่นก่อนเลย ชั้นจะบอกครอบครัวของชั้นไว้ให้"
"เข้าใจแล้ว งั้น ชั้นไปล่ะนะ"
"คิเรย์ ลูกไปก่อนได้เลย พ่อต้องคุยอะไรต่อมิอะไรกับคุณโทซากะอีก"
คิเรย์พยักหน้าให้พ่อ ลุกจากเก้าอี้ โค้งบอกลาอย่างเงียบๆแล้วออกจากห้องไป
X X
คนที่เหลืออยู่ในห้อง โทซากะ โทคิโอมิ กับหลวงพ่อริเซย์ มองคิเรย์ออกไปอย่างเงียบงัน
"ลูกคุณท่าทางพึ่งพาได้นะครับ คุณโคโตมิเนะ"
"ฝีมือของเขาในฐานะ 'เพชฌฆาต' น่ะเป็นที่ยอมรับกันดี ในหมู่เพื่อนร่วมงานเขานี่แหละที่ขยันฝึกซ้อมมากกว่าเพื่อน ตัวชั้นซะอีกที่นายน่าจะตั้งข้อสงสัย"
"โฮ่... นั่นควรแบบอย่างในฐานะผู้ปกป้องศรัทธาเหรอครับ?"
"โอ้ พูดไปชั้นก็อายเหมือนกัน แต่คิเรย์เป็นความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวของชายแก่คนนี้เลยนะ"
หลวงพ่อแก่ๆคนนี้รู้สังขารของตนเอง กระนั้น เขาก็ยิ้มและรู้สึกสบายใจกับโทคิโอมิ ความเชื่อใจและความรักต่อลูกปรากฎชัดราวกับในตาคู่นี้จะมีเพียงลูกของเขาคนเดียวเท่านั้น
"ชั้นน่ะไม่มีลูกจนอายุ50 ก็เลยยอมแพ้เรื่องทายาทสืบตระกูลไปแล้ว... แต่ตอนนี้ดูสิ ลูกของชั้นได้ดีจนชั้นเองก็ยังตกใจเลย"
"แถมเขาก็เห็นด้วยกับเราง่ายกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยนะครับ"
"ลูกชายชั้นน่ะเพื่อโบสถ์แล้วยอมบุกน้ำลุยไฟทั้งนั้น ศรัทธาของเขาแรงกล้ามากทีเดียว"
โทคิโอมิไม่ได้คิดคลางแคลงใจในคำพูดของหลวงพ่อชราภาพ เขารู้สึกกับลูกของหลวงพ่อริเซย์เหมือน 'ศรัทธาจนเป็นกิเลส' สำหรับเขาชายที่ชื่อคิเรย์นั้นให้ความรู้สึกคล้ายพวกหัวรุนแรง
"พูดจริงๆนะ ผมค่อนข้างจะผิดหวัง ยังไงก็ตาม ผมมองแล้วเหมือนเอาเขาเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย"
"ไม่หรอก... เรื่องนี้คงช่วยเขาได้มากทีเดียว"
หลวงพ่อริเซย์พูดอย่างกำกวมและเริ่มพึมพำอย่างมืดมน
"เรื่องส่วนตัวน่ะ แต่ภรรยาของเขาตายไปไม่กี่วันก่อนนี้เอง สองคนนั้นคบกันมาตั้งสองปีแต่ยังไม่ได้แต่งกันเลย"
"โอ้ ผม—"
โทคิโอมิพูดอะไรไม่ออกเพราะเจอเรื่องไม่คาดฝัน
"ถึงจะไม่แสดงออกมา แต่เขาก็คงทรมานมาก ... เขามีความทรงจำมากเหลือเกินในอิตาลี บางทีสำหรับคิเรย์แล้ว ตอนนี้ การกลับไปแผ่นดินเกิดเพื่อทำภารกิจใหม่คงช่วยเยียวยาบาดแผลของเขาได้"
ริเซย์ถอนหายใจ โทคิโอมิยังคงจับจ้องเขาอยู่
"โทคิโอมิคุง เพื่อนแท้น่ะจะปรากฎในยามยากใช่มั้ยล่ะ?"
โทคิโอมิโค้งให้กับคำพูดของบาทหลวงชราอย่างจริงใจ
"ผมเป็นหนี้คุณแล้ว เป็นหนี้ทั้งทางโบสถ์และตระกูลโคโตมิเนะทั้งสองรุ่นซึ่งผมจะบันทึกมันไว้ในบันทึกของตระกูล"
"ก็ไม่เชิงหรอก ชั้นแค่ทำตามคำสาบานที่ให้ไว้เพื่ออนาคตของตระกูลโทซากะ —ที่เหลือก็ขอให้พระเจ้าคุ้มครองจนเธอเดินทางไปถึง 'แก่นแท้' นะ"
"ครับ ความตั้งใจของปู่ผม ความหวังเหนือสิ่งอื่นใดของตระกูลโทซากะ นี่คือสิ่งที่ผมตั้งตารอมาทั้งชีวิตครับ"
เขาซ่อนความมั่นใจที่ถูกกดดันด้วยน้ำหนักมหาศาลของความรับผิดชอบเอาไว้ โทคิโอมิพยักหน้าด้วยความตั้งใจจริง
"คราวนี้ ผมต้องไปให้ถึงจอก ต้องทำได้แน่นอนครับ"
เกียรติยศของโทคิโอมิทำให้หลวงพ่อริเซย์นึกถึงความทรงจำของเพื่อนเก่าขึ้นมา
'เพื่อนเอ๋ย... นายก็มีทายาทที่ดีเหมือนกัน'
สายลมจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพัดเส้นผมของเขาจนพริ้วไหว โคโตมิเนะ คิเรย์กลับมาจากหมู่บ้านบนยอดเขาคนเดียวอย่างเงียบเชียบ บนเส้นทางที่คับแคบผสานกับลมกรรโชก
ในที่สุด คิเรย์ก็เริ่มทำตามคำสั่งมากมายที่เขาได้รับมาจากชายที่ชื่อโทซากะ โทคิโอมิ ซึ่งเขาเองก็พึ่งจะเคยพบหน้า
บางทีนี่คงจะเป็นมรสุมชีวิตของเขา ราวกับความภาคภูมิใจบางส่วนของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์แสนลำเค็ญ เขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับเกียรติยศอันมั่นคงซึ่งเขาควรจะได้รับความดีความชอบ
เขารู้จักคนแบบนี้ดี พ่อของคิเรย์จริงๆแล้วก็เป็นคนประเภทเดียวกับโทซากะ โทคิโอมิคนนั้น
ชายผู้มีความหมายที่แท้จริงซ่อนอยู่เบื้องหลังการกำเนิดของพวกเขา เบื้องหลังตัวตนของพวกเขา และปฏิบัติตามเส้นทางนั้นโดยไม่ข้องใจ พวกเขาไม่มีเคยหวั่นไหว ไม่เคยลังเล
ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยจิตใจที่เข้มแข็งราวเหล็กกล้าและจุดมุ่งหมายอันชัดเจน สนใจแต่เพียงความประสงค์ของ 'บางสิ่ง' ที่นับว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกันด้วยทุกวิธีที่พวกเขาจะทำได้ในชีวิตอันยาวนานของพวกเขา
'วิธีการตัดสินใจ' ในกรณีของพ่อของคิเรย์นั้นคือศรัทธาอันแรงกล้า ในกรณีของโทซากะ โทคิโอมิคงเป็นความมั่นใจในตนเองที่เป็นผู้ถูกเลือก — สิทธิพิเศษที่มีในชนชั้นสูงเท่านั้นและความมั่นใจในตนเองของคนที่แบกความรับผิดชอบไว้บนบ่า เขาเป็นหนึ่งใน 'ชนชั้นสูงของแท้' ที่ยังเหลืออยู่ซึ่งไม่ค่อยได้พบในปัจจุบันนี้แล้ว
จากนี้ไป ตัวตนของโทซากะ โทคิโอมิจะมีนัยสำคัญต่อคิเรย์... แม้กระนั้น เขากลับคนประเภทที่ไม่อาจลงรอยกับคิเรย์ได้เลย คงพูดได้ว่าเขาคนนั้นเหมือนกับพ่อของเขา
คนที่มองแต่อุดมคติของตัวเองไม่มีทางเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่ไม่อาจมีมันได้ คนอย่างโทคิโอมิ มี 'จิตสำนึกของความตั้งใจ' เป็นฐานในการคิด แต่นั่นแตกต่างกับวิธีของคิเรย์โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ปีเดียว ใน20ปีนี้เขาครุ่นคิดถึงมันมาตลอด
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เขาจึงไม่เคยเคารพความคิดของชนชั้นสูงที่ใช้การแก้ปัญหาอย่างสุขสบาย หรือพักผ่อนได้อย่างสบายใจราวกับคนที่ไม่เคยมีจิตสำนึกของความตั้งใจมาตั้งแต่แรก
เขาไม่เคยเข้าใจกระทั่งว่า เขาอยู่ห่างจากจิตสำนึกของคุณค่า ในโลกคนปกติเพียงใด คิเรย์ไม่เคยรู้จักอารมณ์ที่ทำให้เขาหน้ามืดตามัวเลย
เขายังคงเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตน เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาไม่มีทางได้คุณสมบัติ จนพอจะได้รับมันก็ตามที
เขาใช้ชีวิตโดยเชื่อว่าสักวันถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะนำทางเขาไปสู่ความจริงแท้และช่วยเหลือเขา เขาจึงเดิมพันกับความหวังนั้นแล้วยึดเกาะมันไว้
แต่ในจิตใจลึกๆนั้นเขารู้ดี ความรักจากพระเจ้าไม่มีวันเข้ามาช่วยเหลือผู้ชายอย่างเขาอีกแล้ว
โทสะและความสิ้นหวังพาเขาไปสู่การลงโทษตนเอง ภายใต้การจำลองการทรมานตนเองในการฝึกธรรม เขาค่อยๆทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าการทรมานนั้นทำให้ร่างกายของคิเรย์แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า เมื่อเขารู้ตัวอีกครั้งเขาก็ขึ้นมาอยู่บนระดับสุดยอดของคนระดับสูงในโบสถ์ ในฐานะ 'เพชฌฆาต' ที่ใครก็ไม่อาจทำอย่างเขาได้
บางคนเรียกมันว่า 'เกียรติยศ' การอุทิศตนและการควบคุมตนเองของคิเรย์ได้รับการสรรเสริญเป็นเยี่ยงอย่างในหมู่พระ ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อของเขา
คิเรย์เข้าใจดีว่าทำไมโคโตมิเนะ ริเซย์ถึงได้ศรัทธาและนับถือลูกชายตัวเองขนาดนั้น แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง จริงๆแล้ว หัวใจของเขากำลังละอาย ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็คงไม่อาจแก้ไขการเข้าใจผิดครั้งนี้ไปได้
จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีใครเข้าใจว่าคิเรย์บกพร่องเพียงใด
ใช่แล้ว กระทั่งผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักก็ตาม—
"..."
รู้สึกราวกับคนไร้ความคิด คิเรย์ชะลอความเร็วแล้ววางมือบนหน้าผาก
พอเขาพยายามจะนึกถึงภรรยาที่เสียไปแล้ว ความคิดของเขาจะพร่ามัวอยู่ในหมอกที่พุ่งพล่าน รู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางหมอกที่ขอบเหว สัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอดบอกเขาว่าห้ามเดินไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็อยู่ที่ตีนเขาแล้ว คิเรย์หยุดเท้าและหันไปมองหมู่บ้านไกลลิบๆบนยอดเขา
ในที่สุดเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจในการสนทนากับโทซากะ โทคิโอมิได้... สิ่งนี้คือปัญหาสำคัญที่รบกวนจิตใจคิเรย์ที่สุด
ทำไมพลังมหัศจรรย์อย่าง 'จอก' ถึงได้เลือกโคโตมิเนะ คิเรย์?
การอธิบายของโทคิโอมินับว่าสิ้นคิด หากจอกสนับสนุนโทคิโอมิจริงๆคงต้องเลือกคนที่เหมาะสมจะเป็นเพื่อนของเขามากกว่านี้ ไม่ใช่คิเรย์
ต้องมีเหตุผลที่เขาถูกเลือกในการปรากฎตัวของจอกครั้งหน้า
กระนั้น... ยิ่งเขาคิดถึงมันเท่าไหร่ คิเรย์ก็พบแต่ความหนักใจซึ่งขัดแย้งกันเอง
โดยสันดานแล้วเขาไม่มี 'จิตสำนึกของความตั้งใจ' อยู่เลย ไม่มีอุดมคติหรือแม้กระทั่งความทะเยอทะยาน ยังไงก็ตามถ้าลองสังเกตดูจะพบว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องครอบครองปาฏิหาริย์อย่าง 'เครื่องบันดาลทุกสิ่งให้สมปรารถนา' เลยสักนิด
ด้วยใบหน้าอันเศร้าสร้อย คิเรย์มองสัญลักษณ์ทั้งสามที่ปรากฎอยู่บนหลังมือของตัวเอง
เขาว่ากันว่าเรย์จูคือตราศักดิ์สิทธิ์
อีกสามปีนับจากนี้ เขาจะหาปฏิญาณมาแบกรับมันได้หรือเปล่านะ?
เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความใฝ่ฝันของจอมเวททุกคน , 'แก่นแท้' , อคาชา... ที่พำนักแห่งพระเจ้า, บันทึกแห่งอคาชิก จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง ซึ่งบันทึกทุกสิ่งไว้ ซึ่งสร้างทุกสิ่งไว้ในโลกใบนี้
200 ปีก่อน มีผู้ที่ต้องการจะทำการทดลองให้สำเร็จ บนสถานที่ที่เราเรียกว่า 'นอกโลก'
ไอนส์เบิร์น, มาคิริ, โทซากะ ถูกเรียกว่า 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม สิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้คือการสร้าง 'จอกศักดิ์สิทธิ์' ในตำนานขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าการอัญเชิญจอกออกมา จะสามารถทำให้ความต้องการทุกสิ่งเป็นจริงขึ้นมาได้ จอมเวททั้งสามตระกูลต่างใช้วิชาลับของตนจนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็น 'ภาชนะอเนกประสงค์'
... อย่างไรก็ตาม จอกนั้นกลับบันดาลพรให้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น วินาทีที่ความจริงนี้ปรากฎขึ้น ความสมานฉันท์ก็ถูกล้างด้วยเลือด และกลายเป็นความขัดแย้ง
นี่คือจุดเริ่มต้นของ 'สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์' และ 'เฮเว่นฟีล'
จากนี้ต่อไป ทุกๆ 60 ปี จอกจะถูกอัญเชิญลงมาบนดินแดนตะวันออกไกลนามว่า 'ฟุยูกิ'
และตอนนั้นเอง จอกจะทำการเลือกจอมเวท 7 คนให้มีสิทธิ์ในการครอบครองมัน รวมทั้งแจกจ่ายพลังปราณจำนวนมหาศาลแก่พวกเขาเพื่อสร้างความเป็นไปได้ในการอัญเชิญวิญญาณวีรชนที่เรียกกันว่า 'เซอร์แวนท์' ออกมา การต่อสู้จะจบลงเมื่อความตายทำการตัดสิน ว่าผู้ใดในเจ็ดคนนั้นเหมาะสมที่จะครอบครองจอกมากที่สุด
—พูดง่ายๆ ว่านั่นคือสิ่งที่ โคโตมิเนะ คิเรย์ กำลังประสบอยู่
"สัญลักษณ์ที่ปรากฎบนมือขวาเรียกว่า 'เรย์จู' มันคือสิ่งพิสูจน์ว่าคุณได้รับการคัดเลือกจากจอก และยังเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สามารถควบคุมเซอร์แวนท์ได้อีกด้วย"
คนที่กล่าวคำอธิบายอย่างนุ่มนวลนี้คือ โทซากะ โทคิโอมิ
ที่ห้องห้องหนึ่งในบ้านตากอากาศหลังงาม ซึ่งถูกสร้างไว้บนเขาลูกเล็กๆใกล้กับชานเมืองทางใต้ของเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ชาย 3 คนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขก คิเรย์กับโทคิโอมิ และหลวงพ่อที่กำลังอธิบายรวมทั้งสนทนากับพวกเขา โคโตมิเนะ ริเซย์... พ่อแท้ๆของคิเรย์
สำหรับเพื่อนของพ่อที่ใกล้จะอายุ80แล้วนั้น โทซากะยังใช้ภาษาญี่ปุ่นไม่คล่องเท่าไหร่ แถมเค้ายังมีอายุพอๆกับคิเรย์ มีท่าทางสบายๆและดูเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ตระกูลของเขามีเชื้อสายมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในญี่ปุ่น เขาบอกว่าบ้านตากอากาศนี้เป็นบ้านหลังที่สอง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่เขาบอกว่าตัวเองเป็น 'จอมเวท'
การเป็นจอมเวทไม่ใช่เรื่องแปลกเลย คิเรย์ก็เป็น เช่นเดียวกับพ่อของเขา รวมไปถึงพวกพระทั้งหลายด้วย แต่กระนั้นความรับผิดชอบที่พ่อลูกคู่นี้ต้องแบกรับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกที่คนธรรมดาเรียกว่า'หลวงพ่อ'
'โบสถ์'ที่คนประเภทเดียวกับคิเรย์อยู่ในสังกัดนั้น มีคำสอนที่ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์และเรื่องลึกลับแต่จะทำการสังหารผู้ที่มีตราบาปนอกรีตและฝังมันให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งนั่นก็คือ การนำหลักการมาดูแลคนนอกศาสนาอย่างพวกจอมเวท
จอมเวทจะสนับสนุนจอมเวทด้วยกันเท่านั้น และยังรวมตัวกันตั้งกลุ่มคุ้มครองตนเองเรียกว่า 'สมาคม' ซึ่งตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์และคุกคามโบสถ์ ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายตัดสินใจสงบศึกกันชั่วคราว แม้กระนั้นสภาพที่มีหลวงพ่อจากโบสถ์กับจอมเวทอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเพื่อที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ นับว่าเป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึง
ตามที่พ่อริเซย์บอก ตระกูลโทซากะคือหนึ่งในตระกูลที่มีเส้นสายกับโบสถ์มานานมากแล้ว ถึงแม้จะเป็นตระกูลของจอมเวทก็ตาม
เมื่อคืนก่อนคิเรย์พบว่าตนเองมีสัญลักษณ์3รูปปรากฎขึ้นมา เขาจึงไปปรึกษาพ่อของเขา ทันใดนั้นริเซย์ก็คว้าข้อมือลูกชายแล้วลากมาที่เมืองตูรินเพื่อพบกับจอมเวทหนุ่มในรุ่งเช้าของวันต่อมาทันที
ต่อมา หลังจากทักทายกันอย่างรีบร้อน ท่ามกลางการพบปะอย่างลับๆนี้โทคิโอมิอธิบายให้คิเรย์ฟังเรื่องสงคราม 'เฮเว่นฟีล' กับความหมายที่อยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์ซึ่งปรากฎขึ้นบนมือของคิเรย์... นั่นคือ ผลิตผลพิเศษที่คิเรย์ครอบครองไว้ เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งปาฏิหาริย์ที่จะทำให้ความต้องการของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้ จากพลังของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่สี่ในอีกสามปีข้างหน้า
และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธการต่อสู้ หน้าที่ของคิเรย์ต่อโบสถ์นั้น หัวใจสำคัญคือการกำจัดพวกนอกรีตซึ่งหมายความว่าเขาชำนาญการต่อสู้เป็นอย่างมาก พูดได้ว่าหน้าที่จริงๆของเขาคือการเดิมพันความเป็นความตายกับเหล่าจอมเวท ซึ่งหากจะพูดให้ถูกปัญหาจริงๆก็คือ การที่หลวงพ่อคิเรย์ต้องเข้าร่วมเฮเว่นฟีลในฐานะจอมเวท ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมเวทด้วยกัน
"เฮเว่นฟีล คือการต่อสู้ที่ใช้เซอร์แวนท์เป็นข้ารับใช้ หากจะดำเนินการต่อต้องใช้เวทพื้นฐานที่ใช้ในการอัญเชิญ ...หัวใจสำคัญคือคนเจ็ดคนที่ถูกเลือกให้เป็นมาสเตอร์ของเซอร์แวนท์นั้นจะต้องเป็นจอมเวท ซึ่งคงเป็นข้อยกเว้นสำหรับคุณที่ทำงานเกี่ยวกับสมาคมจอมเวทอยู่ตลอด และถูกจอกพบตัวตั้งแต่แรกแบบนี้"
"จอกเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแต่เพียงผู้เดียวเลยรึ?"
โทคิโอมิพยักหน้าให้กับคิเรย์ที่ยังลังเลใจ
"ในนามของ '3 ตระกูลผู้ริเริ่ม' —เรายินดีอนุญาตให้ท่านเข้าร่วม จอมเวทจากมาคิริ ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนชื่อของตนเองเป็น มาโต้ ไอนส์เบิร์น และโทซากะ พูดอีกอย่างก็คือ..."
โทคิโอมิยกมือขวาของเขาขึ้นมาเพื่อแสดงสัญลักษณ์ทั้งสามให้ดู
"ในฐานะผู้นำของตระกูลโทซากะ ผมก็จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย"
แล้วหนุ่มคนนี้คิดจะไขว้แขนกับคิเรย์หลังจากอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างละเอียดยิบงั้นรึ? แต่ทว่าคิเรย์ยังไม่รู้สึกตัว ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด
"ชั้นสงสัยเรื่องเซอร์แวนท์ที่นายพูดก่อนหน้านี้ นายบอกว่าวิญญาณวีรชนจะถูกอัญเชิญมาเป็นข้ารับใช้..."
"เรื่องนี้คงทำใจเชื่อยากสักนิด แต่มันก็เป็นความจริง เป็นหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์ของจอกน่ะ"
ตำนานของมนุษย์และยอดมนุษย์ที่หลงเหลือชื่อไว้ในประวัติศาสตร์กับนิทานประจำบ้าน พวกเขาเป็นความทรงจำที่ติดตรึงอยู่ในผู้คน หลังจากพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาก็ได้รับการยกย่องจากมนุษยชาติ โด่งดังแม้กระทั่งในโลกของวิญญาณ พวกเขาคือ 'วิญญาณวีรชน' ซึ่งแตกต่างกับวิญญาณพยาบาทหรือวิญญาณร้ายทั่วไปในธรรมชาติที่จอมเวทมักจะอัญเชิญมาเป็นข้ารับใช้โดยสิ้นเชิง จะว่าไป พวกนี้เป็นวิญญาณระดับเทพ แม้จะหยิบยืมและดึงพลังส่วนหนึ่งมาใช้ได้ แต่ทำยังไงก็นึกไม่ออกว่าพวกนั้นจะมาเป็นข้ารับใช้ในโลกปัจจุบันได้ยังไง
"หากท่านรู้สึกตัวแล้วว่าพลังของจอกสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ท่านก็จะเข้าใจว่ามันเป็นสมบัติที่มีอันตรายมหาศาลเพียงใด สุดท้ายแล้ว กระทั่งการอัญเชิญเซอร์แวนท์ออกมา ก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งจากพลังของจอกเท่านั้น"
ราวกับกำลังงงเรื่องที่ตัวเองพูด โทซากะ โทคิโอมิถอนหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้า
"วิญญาณวีรชนอาจถูกอัญเชิญมาจากยุคโบราณนับร้อยปีก็ได้ วีรชนเจ็ดคนซึ่งติดตามเหล่าจอมเวททั้งเจ็ด แต่ละคนต้องปกป้องมาสเตอร์ของตนและกำจัดมาสเตอร์ของศัตรู วีรชนจากยุคสมัยและประเทศต่างๆกันล้วนถูกอัญเชิญมายังปัจจุบัน และพบเจอกับการต่อสู้สุดชีวิตจนถึงแก่ความตาย นี่แหละ 'เฮเว่นฟีล' สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งฟุยูกิ"
"...ไม่โหดร้ายไปหน่อยรึ? กลางเมืองที่มีคนอยู่เป็นพันเนี่ยนะ?"
จอมเวททุกคนจะปิดบังตนเองไม่ให้ใครรู้ มันเป็นทางเดียวที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันซึ่งเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวาล ทางโบสถ์เองก็เช่นกัน การเปิดเผยตนเองนั้นยังไงก็ทำไม่ได้เด็ดขาด
แต่ด้วยพลังของวิญญาณวีรชนนั้น คุณจะต้องปกปิดพลังระดับที่สร้างหายนะได้เลยทีเดียว ใช้เซอร์แวนท์ทั้งเจ็ดในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ในยุคปัจจุบันแถมยังให้พวกนั้นปะทะกัน… ก็เหมือนกับการสั่งนักฆ่าไปฆ่าคนทั้งสนามรบ
"—แน่นอนว่าการต่อสู้นี้ต้องปกปิดเป็นความลับ คุณจะต้องคอยตรวจตราและเตรียมตัวเป็นอย่างดี"
หลังจากนั่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ พ่อของคิเรย์ บาทหลวงริเซย์ ก็เอ่ยปากพูดในส่วนของเขา
"เฮเว่นฟีลจะเกิดขึ้นทุกๆ 60 ปีและครั้งนี้คือครั้งที่สี่ ญี่ปุ่นเริ่มมีความเจริญเข้ามาตั้งแต่สงครามครั้งที่สอง แม้จะเป็นที่ที่ห่างไกลแค่ไหนเราก็ไม่อาจปล่อยให้มีพยานรู้เห็นหรือกระจายข่าวความเสียหายออกไปได้
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เฮเว่นฟีลครั้งที่สามเป็นต้นมา มีข้อตกลงว่าคนจากโบสถ์อย่างเราต้องส่งคนเข้ามาเป็นผู้ดูแล เพื่อลดความเสียหายจากหายนะของสงครามให้น้อยที่สุด เราต้องปิดบังความจริงและจอมเวทต้องยอมเก็บความอาฆาตต่อกันเป็นความลับด้วย"
"โบสถ์มีหน้าที่เป็นกรรมการในการต่อสู้ระหว่างจอมเวทงั้นรึ?"
"ยิ่งเพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมเวทด้วยกันนี่แหละ ในสมาคมจอมเวทจึงไม่มีใครเหมาะจะเป็นกรรมการเพราะมีความลำเอียง แปลว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องอาศัยบุคคลภายนอกอย่างโบสถ์
แล้วอีกอย่าง ทางโบสถ์เราก็ไม่สามารถปล่อยให้ชื่อของจอกศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหลู่ได้แต่แรกแล้ว เราไม่สามารถละทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่า สิ่งนี้อาจเป็นถ้วยที่รองรับเลือดของบุตรแห่งพระเจ้าจริงๆก็เป็นได้"
ทั้งคิเรย์กับริเซย์ พ่อลูกคู่นี้ล้วนมีตำแหน่งอยู่ในหน่วยงานที่เรียกกันว่าสภาปฏิญาณทั้ง8 หน้าที่ของคนเหล่านี้ในโบสถ์คือการกอบกู้อารยธรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ สมบัติที่ชื่อจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นปรากฎอยู่ในเรื่องเล่าและตำนานนับไม่ถ้วน และความสำคัญของ 'จอก' ซึ่งอยู่ในคำสอนของโบสถ์นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ
"เมื่อเป็นแบบนี้ ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามโลกในคราวที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดเฮเว่นฟีลครั้งที่สามพอดี ตัวชั้นกับเด็กหนุ่มอีกคนนึงได้ถูกมอบหมายภารกิจสำคัญ ในการต่อสู้ครั้งหน้าชั้นจะต้องเดินทางไปยังเมืองฟุยูกิเพื่อเฝ้ามองการต่อสู้ของพวกนาย"
เมื่อได้ยินพ่อของเขาพูด คิเรย์ได้แต่ส่ายหน้า
"เดี๋ยวก่อน การเลือกผู้ดูแลจากโบสถ์ควรจะยุติธรรมไม่ใช่รึ? ถ้ามีคนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดมันเกิดปัญหาสิ..."
"นั่นแหละ นั่นแหละ คิดว่ากฎอะไรมันก็ต้องมีช่องโหว่บ้างใช่มั้ยล่ะ?"
รอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยจากคุณพ่อหัวดื้อมีความนัยบางอย่างซึ่งคิเรย์ก็เดาไม่ออก
"คุณโคโตมิเนะครับ คุณไม่ควรจะทำให้ลูกคุณสับสนนะครับ เราเปลี่ยนมาถามคำถามจริงๆกันดีกว่า"
โทซากะ โทคิโอมิ ดุท่านนักบวชตรงๆเพื่อจะได้เข้าเรื่องกันเสียที
"อืม ก็จริงนะ —คิเรย์ ที่เราอธิบายมาก่อนหน้านี้มีแต่เรื่องของ 'ปัญหาภายนอก' ของสงครามจอกเท่านั้น ยังมีอีกเหตุผลนึงที่พ่อให้ลูกมาพบกับคุณโทซากะในวันนี้"
"... ซึ่งก็คือ?"
"จริงๆแล้ว เรามีข้อพิสูจน์ที่เชื่อถือได้มานานแล้วว่าจอกที่ปรากฎขึ้นในฟุยูกินั้น แตกต่างกับจอกที่อยู่ในอารยธรรมโบราณเรื่อง 'บุตรแห่งพระเจ้า' สุดท้ายแล้วการต่อสู้ในเฮเว่นฟีลของฟุยูกิก็เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อชิงสมบัติที่เป็นของเลียนแบบจากจอกที่เปิดทางไปสู่โลกพระศรีอาริย์ ซึ่งทำจากภาชนะอันทรงพลังเท่านั้น มันไม่มีทางเกี่ยวข้องกับโบสถ์ของพวกเราเลย"
เรื่องก็เป็นแบบนี้ พูดอีกอย่างคือโบสถ์คงไม่พอใจกับการเป็นคนดูแลอยู่เงียบๆ ถ้าหากจอกนั่นเป็นจอกที่อยู่ใน 'อารยธรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์' ทางโบสถ์ต้องพุ่งเข้าไปห้ามการต่อสู้แล้วแย่งมันมาจากเหล่าจอมเวทเป็นแน่
"หากเป้าหมายสุดท้ายของจอกเป็นเพียงเพื่อไปให้ถึงบันทึกแห่งอคาชิก โบสถ์ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรเลย เพราะถึงยังไง ความกระหายของจอมเวทที่อยากจะตามหา 'อคาชา' ต้นฉบับ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อคำสอน
—และอย่างน้อยถ้าพวกเราจะปล่อยมันเลยตามเลย เราก็ต้องส่งมันให้กับคนที่มีฝีมือ เพราะถ้ามีผู้ไม่พึงประสงค์รู้เรื่องนี้เข้า เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดหายนะขนาดไหน"
"งั้น ถ้าเรากำจัดพวกนั้นเหมือนคนนอกรีต—"
"ก็ยังลำบากอยู่ดี จอมเวทที่ต่อสู้ชิงจอกล้วนแต่เป็นหมาหวงก้าง ถ้าเราปล่อยให้สู้กันอย่างโจ่งแจ้ง การต่อสู้ระหว่างจอมเวทนี้คงมีคนโดนลูกหลง และคงมีผู้รับเคราะห์มากเกินไป
ถ้าจะพูดให้ถูก แผนสำรองที่ดีที่สุดนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการหาทางส่งจอกไปให้ 'ผู้ถูกเลือก' อีกแล้ว"
"... อย่างงี้นี่เอง"
คิเรย์เริ่มจับประเด็นที่แท้จริงของการสนทนาครั้งนี้ได้ ในเมื่อพ่อของเขารู้จักกับจอมเวทโทซากะ โทคิโอมิ
"ตั้งแต่พวกเขาต้องแบกรับภาระโชคชะตาจากบ้านเกิด ตระกูลโทซากะได้เชื่อมั่นในคำสอนเดียวกับพวกเรา เมื่อได้รู้จักโทคิโอมิคุงแล้ว จะรู้ว่าตัวของเขานั้นถือว่ามีคุณสมบัติพอจะได้ครอบครองจอก"
โทซากะ โทคิโอมิพยักหน้าแล้วพูดต่อ
"การไปให้ถึง 'อคาชา' สำหรับตระกูลโทซากะไม่มีความต้องการใดที่สำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ก็น่าเศร้า ไอนส์เบิร์นและมาโต้ที่เคยมีเจตนารมณ์เดียวกันได้เสียความตั้งใจนั้นไปและหันไปหาสิ่งที่อยู่ทางโลกมากกว่า จนตอนนี้พวกเขาลืมเจตนาเดิมไปหมดแล้ว ชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นเชิญจอมเวทภายนอกเข้ามาเป็นมาสเตอร์ถึงสี่คน ถึงยังไงพวกเขาก็ต้องการจอกเพื่อความโลภที่น่าชังเท่านั้นเอง"
นั่นก็หมายความว่า โบสถ์แต่งตั้งโทซากะ โทคิโอมิมาเป็นเกราะกำบังแก่จอกเพียงคนเดียวเท่านั้น คิเรย์จึงเริ่มเข้าใจหน้าที่ของเขามากขึ้น
"พ่อก็เลยอยากให้ผมที่เข้าร่วมสงครามจอกครั้งหน้า ปล่อยให้คุณโทซากะ โทคิโอมิเป็นผู้ชนะไปใช่มั้ย?"
"ถูกต้อง"
ในที่สุด โทซากะ โทคิโอมิก็แสดงรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
"แน่นอน เราจะรวมกลุ่มกันเพื่อเผชิญหน้ากับมาสเตอร์อีกห้าคนที่เหลือและกำจัดพวกเขาซะ เพื่อเพิ่มโอกาสในชัยชนะของเรา"
เมื่อโทคิโอมิพูดจบ พ่อริเซย์ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ผู้เป็นกลางอย่างกรรมการจากโบสถ์ตอนนี้กลายเป็นตัวตลกไปซะแล้ว เฮเว่นฟีลครั้งนี้ต้องทำให้ผู้คนหันกลับมาเชื่อถือโบสถ์อีกครั้ง
และเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดแต่สำหรับคิเรย์ หากจุดประสงค์ของโบสถ์นั้นชัดเจนเขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาให้สำเร็จในฐานะเพชฌฆาตผู้อุทิศตน
"คิเรย์คุง นายจะถูกย้ายจากทางโบสถ์มาที่สมาคมจอมเวท และกลายเป็นลูกศิษย์ของชั้นนะ"
เขาพูดโดยไม่ปล่อยให้พักหายใจ ด้วยน้ำเสียงที่คล่องแคล่ว โทซากะ โทคิโอมิ รีบอธิบายต่อทันที
"ยะ — ย้าย ?"
"เราทำการส่งตัวอย่างเป็นทางการแล้ว คิเรย์"
พูดจบ พ่อริเซย์ก็หยิบจดหมายออกมา มันมีตราประทับของทั้งโบสถ์และสมาคมจอมเวท ส่งตรงถึงโคโตมิเนะ คิเรย์ เขาตกใจที่สุดเมื่อได้เห็นเนื้อความในการแต่งตั้ง นับแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้จดหมายได้ถูกดำเนินการในทันที
สุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคิเรย์นัก รวมทั้งไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องคัดค้านการสนทนาครั้งนี้อีกด้วย เพราะคิเรย์นั้นไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรอยู่แล้ว
"เรื่องที่สำคัญที่สุดเพียงเรื่องเดียวที่นายต้องทำคือฝึกฝนวิชาเวทมนตร์ในบ้านชั้นที่ญี่ปุ่น เฮเว่นฟีลครั้งหน้าคืออีกสามปีที่จะถึงนี้
ต่อมา นายต้องมีเซอร์แวนท์ใต้บัญชาของนายและกลายเป็นจอมเวทที่พร้อมจะเข้าร่วมการต่อสู้ในฐานะมาสเตอร์"
"แต่ — แบบนี้ไม่เป็นไรรึ? ถ้าชั้นศึกษาจากนายอย่างเปิดเผย จะไม่มีใครสงสัยว่าเราคิดร่วมมือกันเลยรึ?"
โทคิโอมิยิ้มอย่างเย็นชาและส่ายหน้า
"นายไม่รู้อะไร หากความสนใจใคร่รู้ของจอมเวทขัดแย้งกัน แล้วเกิดการต่อสู้ระหว่างศิษย์กับอาจารย์จนมีใครตายไปข้างนึงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกของพวกเราเลย"
"อา ชั้นเข้าใจแล้ว"
กระนั้นคิเรย์ก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของจอมเวท เขาเข้าใจทางโค้งของสนามแข่งที่ถูกเรียกว่าจอมเวทเป็นอย่างดี เขาเคยต่อสู้กับจอมเวท 'นอกรีต' ในฐานะเพชฌฆาตมานับครั้งไม่ถ้วน รวมๆแล้วที่เขาจัดการไปไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบคนแน่ๆ
"งั้นก็ นายยังสงสัยอะไรอยู่มั้ย?"
เมื่อโทคิโอมิ คิดจะจบการสนทนานี้แล้ว คิเรย์จึงถามคำถามที่เขาสงสัยมาตั้งแต่แรก
"แค่ข้อเดียว — จอกที่เป็นผู้คัดเลือกมาสเตอร์ ตัวมันเองมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?"
เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่คำถามที่โทคิโอมิเดาเอาไว้ จอมเวทหนุ่มคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง และตอบคำถามอย่างไร้กังวล
"ความต้องการของจอก... แน่นอนว่ามันน่าจะเลือกมาสเตอร์ที่ต้องการมันด้วยใจจริง
อย่างที่ชั้นเคยบอก ว่าโทซากะเราอยู่ในรายชื่อบนสุดของ 3 ตระกูลผู้ริเริ่ม"
"งั้น มาสเตอร์ทุกคนก็มีเหตุผลที่อยากครอบครองจอกน่ะสิ?"
"มันก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น จอกต้องการคน 7 คน ซึ่งถ้ามีคนไม่พอในตอนนั้น คนที่ปกติจะไม่ถูกเลือกก็อาจมีเรย์จูได้ สมัยก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้มาแล้ว แต่— อ้อ ชั้นเข้าใจแล้ว"
ขณะที่พูดอยู่ โทคิโอมิก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าคิเรย์กำลังสงสัยอะไร
"คิเรย์คุง นายคิดว่านายไม่ควรถูกเลือกสินะ?"
คิเรย์พยักหน้า ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินค้นหายังไงก็ไม่มีเหตุผลที่เครื่องสมปรารถนาจะพบตัวเขาเลย
"อืม ก็จริง เรื่องนี้แปลกมาก สิ่งเดียวที่ทำให้นายเกี่ยวข้องกับจอกก็คงเป็นพ่อของนายซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นคนดูแล แต่... ไม่สิ เอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลอะไรไม่ได้หรอกมั้ง"
"... แล้ว หมายความว่า?"
"จอกคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าทางโบสถ์จะต้องช่วยเหลือตระกูลโทซากะ เพราะงั้นเพชฌฆาตจากโบสถ์ที่มีเรย์จูคงช่วยโทซากะเป็นแน่"
พูดจบ โทคิโอมิ ก็เสริมต่อให้หมดข้อข้องใจและจบการสนทนานี้เสียที
"พูดอีกอย่างก็คือ จอกให้ชั้น ให้โทซากะถึงสองเรย์จู เพื่อการนี้จอกจึงเลือกนายเป็นมาสเตอร์ไงล่ะ
... เป็นไงบ้าง? ชั้นอธิบายแล้วยังสงสัยอะไรอยู่อีกมั้ย?"
แล้วเขาก็จบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงท้าทาย
"..."
ความหยิ่งยะโสแบบนี้สมเป็นชายที่ชื่อโทซากะ โทคิโอมิ เกียรติยศของชายคนนี้คล้ายกับคำเย้ยหยันและถากถาง
แน่นอนว่าในฐานะจอมเวท เขาคือชายผู้เก่งกาจ และความมั่นใจในตนเองก็เกิดจากความเก่งกาจนั้น เขาถึงไม่เคยลังเลในการตัดสินใจของตัวเองเลย
ซึ่งหมายความว่าคุณคงไม่มีทางได้คำตอบอื่นจากโทคิโอมิเป็นแน่— คิเรย์คิด
"เราจะไปญี่ปุ่นกันเมื่อไหร่ล่ะ?"
คิเรย์ซ่อนความท้อแท้ไว้ในใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
"ชั้นกะจะเข้าอังกฤษสักหน่อยน่ะ มีงานต้องทำเล็กน้อยที่หอนาฬิกา
นายล่วงหน้าไปญี่ปุ่นก่อนเลย ชั้นจะบอกครอบครัวของชั้นไว้ให้"
"เข้าใจแล้ว งั้น ชั้นไปล่ะนะ"
"คิเรย์ ลูกไปก่อนได้เลย พ่อต้องคุยอะไรต่อมิอะไรกับคุณโทซากะอีก"
คิเรย์พยักหน้าให้พ่อ ลุกจากเก้าอี้ โค้งบอกลาอย่างเงียบๆแล้วออกจากห้องไป
X X
คนที่เหลืออยู่ในห้อง โทซากะ โทคิโอมิ กับหลวงพ่อริเซย์ มองคิเรย์ออกไปอย่างเงียบงัน
"ลูกคุณท่าทางพึ่งพาได้นะครับ คุณโคโตมิเนะ"
"ฝีมือของเขาในฐานะ 'เพชฌฆาต' น่ะเป็นที่ยอมรับกันดี ในหมู่เพื่อนร่วมงานเขานี่แหละที่ขยันฝึกซ้อมมากกว่าเพื่อน ตัวชั้นซะอีกที่นายน่าจะตั้งข้อสงสัย"
"โฮ่... นั่นควรแบบอย่างในฐานะผู้ปกป้องศรัทธาเหรอครับ?"
"โอ้ พูดไปชั้นก็อายเหมือนกัน แต่คิเรย์เป็นความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวของชายแก่คนนี้เลยนะ"
หลวงพ่อแก่ๆคนนี้รู้สังขารของตนเอง กระนั้น เขาก็ยิ้มและรู้สึกสบายใจกับโทคิโอมิ ความเชื่อใจและความรักต่อลูกปรากฎชัดราวกับในตาคู่นี้จะมีเพียงลูกของเขาคนเดียวเท่านั้น
"ชั้นน่ะไม่มีลูกจนอายุ50 ก็เลยยอมแพ้เรื่องทายาทสืบตระกูลไปแล้ว... แต่ตอนนี้ดูสิ ลูกของชั้นได้ดีจนชั้นเองก็ยังตกใจเลย"
"แถมเขาก็เห็นด้วยกับเราง่ายกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยนะครับ"
"ลูกชายชั้นน่ะเพื่อโบสถ์แล้วยอมบุกน้ำลุยไฟทั้งนั้น ศรัทธาของเขาแรงกล้ามากทีเดียว"
โทคิโอมิไม่ได้คิดคลางแคลงใจในคำพูดของหลวงพ่อชราภาพ เขารู้สึกกับลูกของหลวงพ่อริเซย์เหมือน 'ศรัทธาจนเป็นกิเลส' สำหรับเขาชายที่ชื่อคิเรย์นั้นให้ความรู้สึกคล้ายพวกหัวรุนแรง
"พูดจริงๆนะ ผมค่อนข้างจะผิดหวัง ยังไงก็ตาม ผมมองแล้วเหมือนเอาเขาเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย"
"ไม่หรอก... เรื่องนี้คงช่วยเขาได้มากทีเดียว"
หลวงพ่อริเซย์พูดอย่างกำกวมและเริ่มพึมพำอย่างมืดมน
"เรื่องส่วนตัวน่ะ แต่ภรรยาของเขาตายไปไม่กี่วันก่อนนี้เอง สองคนนั้นคบกันมาตั้งสองปีแต่ยังไม่ได้แต่งกันเลย"
"โอ้ ผม—"
โทคิโอมิพูดอะไรไม่ออกเพราะเจอเรื่องไม่คาดฝัน
"ถึงจะไม่แสดงออกมา แต่เขาก็คงทรมานมาก ... เขามีความทรงจำมากเหลือเกินในอิตาลี บางทีสำหรับคิเรย์แล้ว ตอนนี้ การกลับไปแผ่นดินเกิดเพื่อทำภารกิจใหม่คงช่วยเยียวยาบาดแผลของเขาได้"
ริเซย์ถอนหายใจ โทคิโอมิยังคงจับจ้องเขาอยู่
"โทคิโอมิคุง เพื่อนแท้น่ะจะปรากฎในยามยากใช่มั้ยล่ะ?"
โทคิโอมิโค้งให้กับคำพูดของบาทหลวงชราอย่างจริงใจ
"ผมเป็นหนี้คุณแล้ว เป็นหนี้ทั้งทางโบสถ์และตระกูลโคโตมิเนะทั้งสองรุ่นซึ่งผมจะบันทึกมันไว้ในบันทึกของตระกูล"
"ก็ไม่เชิงหรอก ชั้นแค่ทำตามคำสาบานที่ให้ไว้เพื่ออนาคตของตระกูลโทซากะ —ที่เหลือก็ขอให้พระเจ้าคุ้มครองจนเธอเดินทางไปถึง 'แก่นแท้' นะ"
"ครับ ความตั้งใจของปู่ผม ความหวังเหนือสิ่งอื่นใดของตระกูลโทซากะ นี่คือสิ่งที่ผมตั้งตารอมาทั้งชีวิตครับ"
เขาซ่อนความมั่นใจที่ถูกกดดันด้วยน้ำหนักมหาศาลของความรับผิดชอบเอาไว้ โทคิโอมิพยักหน้าด้วยความตั้งใจจริง
"คราวนี้ ผมต้องไปให้ถึงจอก ต้องทำได้แน่นอนครับ"
เกียรติยศของโทคิโอมิทำให้หลวงพ่อริเซย์นึกถึงความทรงจำของเพื่อนเก่าขึ้นมา
'เพื่อนเอ๋ย... นายก็มีทายาทที่ดีเหมือนกัน'
สายลมจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพัดเส้นผมของเขาจนพริ้วไหว โคโตมิเนะ คิเรย์กลับมาจากหมู่บ้านบนยอดเขาคนเดียวอย่างเงียบเชียบ บนเส้นทางที่คับแคบผสานกับลมกรรโชก
ในที่สุด คิเรย์ก็เริ่มทำตามคำสั่งมากมายที่เขาได้รับมาจากชายที่ชื่อโทซากะ โทคิโอมิ ซึ่งเขาเองก็พึ่งจะเคยพบหน้า
บางทีนี่คงจะเป็นมรสุมชีวิตของเขา ราวกับความภาคภูมิใจบางส่วนของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์แสนลำเค็ญ เขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับเกียรติยศอันมั่นคงซึ่งเขาควรจะได้รับความดีความชอบ
เขารู้จักคนแบบนี้ดี พ่อของคิเรย์จริงๆแล้วก็เป็นคนประเภทเดียวกับโทซากะ โทคิโอมิคนนั้น
ชายผู้มีความหมายที่แท้จริงซ่อนอยู่เบื้องหลังการกำเนิดของพวกเขา เบื้องหลังตัวตนของพวกเขา และปฏิบัติตามเส้นทางนั้นโดยไม่ข้องใจ พวกเขาไม่มีเคยหวั่นไหว ไม่เคยลังเล
ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยจิตใจที่เข้มแข็งราวเหล็กกล้าและจุดมุ่งหมายอันชัดเจน สนใจแต่เพียงความประสงค์ของ 'บางสิ่ง' ที่นับว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกันด้วยทุกวิธีที่พวกเขาจะทำได้ในชีวิตอันยาวนานของพวกเขา
'วิธีการตัดสินใจ' ในกรณีของพ่อของคิเรย์นั้นคือศรัทธาอันแรงกล้า ในกรณีของโทซากะ โทคิโอมิคงเป็นความมั่นใจในตนเองที่เป็นผู้ถูกเลือก — สิทธิพิเศษที่มีในชนชั้นสูงเท่านั้นและความมั่นใจในตนเองของคนที่แบกความรับผิดชอบไว้บนบ่า เขาเป็นหนึ่งใน 'ชนชั้นสูงของแท้' ที่ยังเหลืออยู่ซึ่งไม่ค่อยได้พบในปัจจุบันนี้แล้ว
จากนี้ไป ตัวตนของโทซากะ โทคิโอมิจะมีนัยสำคัญต่อคิเรย์... แม้กระนั้น เขากลับคนประเภทที่ไม่อาจลงรอยกับคิเรย์ได้เลย คงพูดได้ว่าเขาคนนั้นเหมือนกับพ่อของเขา
คนที่มองแต่อุดมคติของตัวเองไม่มีทางเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่ไม่อาจมีมันได้ คนอย่างโทคิโอมิ มี 'จิตสำนึกของความตั้งใจ' เป็นฐานในการคิด แต่นั่นแตกต่างกับวิธีของคิเรย์โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ปีเดียว ใน20ปีนี้เขาครุ่นคิดถึงมันมาตลอด
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เขาจึงไม่เคยเคารพความคิดของชนชั้นสูงที่ใช้การแก้ปัญหาอย่างสุขสบาย หรือพักผ่อนได้อย่างสบายใจราวกับคนที่ไม่เคยมีจิตสำนึกของความตั้งใจมาตั้งแต่แรก
เขาไม่เคยเข้าใจกระทั่งว่า เขาอยู่ห่างจากจิตสำนึกของคุณค่า ในโลกคนปกติเพียงใด คิเรย์ไม่เคยรู้จักอารมณ์ที่ทำให้เขาหน้ามืดตามัวเลย
เขายังคงเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตน เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาไม่มีทางได้คุณสมบัติ จนพอจะได้รับมันก็ตามที
เขาใช้ชีวิตโดยเชื่อว่าสักวันถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะนำทางเขาไปสู่ความจริงแท้และช่วยเหลือเขา เขาจึงเดิมพันกับความหวังนั้นแล้วยึดเกาะมันไว้
แต่ในจิตใจลึกๆนั้นเขารู้ดี ความรักจากพระเจ้าไม่มีวันเข้ามาช่วยเหลือผู้ชายอย่างเขาอีกแล้ว
โทสะและความสิ้นหวังพาเขาไปสู่การลงโทษตนเอง ภายใต้การจำลองการทรมานตนเองในการฝึกธรรม เขาค่อยๆทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าการทรมานนั้นทำให้ร่างกายของคิเรย์แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า เมื่อเขารู้ตัวอีกครั้งเขาก็ขึ้นมาอยู่บนระดับสุดยอดของคนระดับสูงในโบสถ์ ในฐานะ 'เพชฌฆาต' ที่ใครก็ไม่อาจทำอย่างเขาได้
บางคนเรียกมันว่า 'เกียรติยศ' การอุทิศตนและการควบคุมตนเองของคิเรย์ได้รับการสรรเสริญเป็นเยี่ยงอย่างในหมู่พระ ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อของเขา
คิเรย์เข้าใจดีว่าทำไมโคโตมิเนะ ริเซย์ถึงได้ศรัทธาและนับถือลูกชายตัวเองขนาดนั้น แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง จริงๆแล้ว หัวใจของเขากำลังละอาย ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็คงไม่อาจแก้ไขการเข้าใจผิดครั้งนี้ไปได้
จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีใครเข้าใจว่าคิเรย์บกพร่องเพียงใด
ใช่แล้ว กระทั่งผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักก็ตาม—
"..."
รู้สึกราวกับคนไร้ความคิด คิเรย์ชะลอความเร็วแล้ววางมือบนหน้าผาก
พอเขาพยายามจะนึกถึงภรรยาที่เสียไปแล้ว ความคิดของเขาจะพร่ามัวอยู่ในหมอกที่พุ่งพล่าน รู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางหมอกที่ขอบเหว สัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอดบอกเขาว่าห้ามเดินไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็อยู่ที่ตีนเขาแล้ว คิเรย์หยุดเท้าและหันไปมองหมู่บ้านไกลลิบๆบนยอดเขา
ในที่สุดเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจในการสนทนากับโทซากะ โทคิโอมิได้... สิ่งนี้คือปัญหาสำคัญที่รบกวนจิตใจคิเรย์ที่สุด
ทำไมพลังมหัศจรรย์อย่าง 'จอก' ถึงได้เลือกโคโตมิเนะ คิเรย์?
การอธิบายของโทคิโอมินับว่าสิ้นคิด หากจอกสนับสนุนโทคิโอมิจริงๆคงต้องเลือกคนที่เหมาะสมจะเป็นเพื่อนของเขามากกว่านี้ ไม่ใช่คิเรย์
ต้องมีเหตุผลที่เขาถูกเลือกในการปรากฎตัวของจอกครั้งหน้า
กระนั้น... ยิ่งเขาคิดถึงมันเท่าไหร่ คิเรย์ก็พบแต่ความหนักใจซึ่งขัดแย้งกันเอง
โดยสันดานแล้วเขาไม่มี 'จิตสำนึกของความตั้งใจ' อยู่เลย ไม่มีอุดมคติหรือแม้กระทั่งความทะเยอทะยาน ยังไงก็ตามถ้าลองสังเกตดูจะพบว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องครอบครองปาฏิหาริย์อย่าง 'เครื่องบันดาลทุกสิ่งให้สมปรารถนา' เลยสักนิด
ด้วยใบหน้าอันเศร้าสร้อย คิเรย์มองสัญลักษณ์ทั้งสามที่ปรากฎอยู่บนหลังมือของตัวเอง
เขาว่ากันว่าเรย์จูคือตราศักดิ์สิทธิ์
อีกสามปีนับจากนี้ เขาจะหาปฏิญาณมาแบกรับมันได้หรือเปล่านะ?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น