ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate/Zero (นิยายแปล)

    ลำดับตอนที่ #11 : Book1 Act 2 Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 51


    อุริว ริวโนสุเกะ เกลียดภาพยนตร์เลือดสาด ถึงแม้เขาจะเข้าใจว่ามันสนุกเพลิดเพลินยังไงก็เถอะ

    ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญ แต่รวมไปถึงพวกหนังสงคราม หนังสั่นประสาท ไปจนถึงหนังผจญภัยและละครต่างๆอีกด้วย ทำไมชอบแต่งเรื่องให้มีคนตายกันจังนะ?

    อาจเป็นเพราะ พวกผู้ชมจะกลัวความตายน้อยลงเมื่อได้ดูเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อเลียนแบบ "ความตาย" เหล่านี้

    มนุษย์ภูมิใจใน "ภูมิปัญญา" และ "ความเขลา" อันเลวร้าย เพราะงั้นถ้าพวกเขา "มีประสบการณ์" และ "เข้าใจ" ความกลัวที่ได้รับ มันก็เหมือนกับการได้รับชัยชนะที่สามารถก้าวข้ามความกลัวไปได้

    ยังไงก็ตาม "ความตาย" นั้นเป็นประสบการณ์ที่... แทบจะไม่มีทางได้รับเลยตราบที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงไม่มีทางเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้เลย มนุษย์ได้แต่คาดเดาแก่นแท้ของความตายโดยสังเกตความตายของคนอื่นแล้วสร้างประสบการณ์จำลองขึ้นมาเท่านั้นเอง

    จริงๆแล้ว การจะให้สังคมที่มีความเจริญเคารพในชีวิตของมนุษย์ได้นั้น มีแต่จะต้องใช้ประสบการณ์จำลองจากเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพียงอย่างเดียว กระนั้น พอเกิดสงครามแล้วเพื่อนบ้านคุณโดนระเบิดจนกลายเป็นเนื้อบด ก็ไม่เห็นจะมีใครเปิดหนังสยองขยัญดูกันเลย

    ในทำนองเดียวกัน การใช้เรื่องที่แต่งขึ้นสร้างความเจ็บปวด ความเครียด และความเศร้าเพื่อความบันเทิงก็นับเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ถ้าการใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายเพื่อรับรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเองมันเสี่ยงเกินไป เราก็สามารถก้าวข้ามและกำจัดความไม่สบายใจออกไปได้ด้วยการมองดูคนอื่นรับรู้พวกมันแทน --เพราะงั้นจอแก้วและหลอดภาพพวกนี้จึงนำน้ำตาแห่งการกรีดร้อง ความเศร้าโศก และความทรมานมาให้พวกเราชม

    ก็ดีแล้ว ถือเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เมื่อก่อนริวโนสุเกะก็กลัว "ความตาย" เหมือนคนอื่นๆ คงจะพูดได้ว่าเขาเป็นมือสมัครเล่นสำหรับหนังสยองขวัญ ถ้าสามารถลดความกลัวจากความตายและพิชิตความกลัวลงได้ด้วยการมองดูศพที่แต่งหน้าด้วยเทคนิคพิเศษ, หยดเลือดสีแดงสาดกระจาย และการแสดงสมจริงที่สร้างเสียงกรีดร้องของ "ความตายที่น่าเบื่อ" พวกนี้

    เรื่องแต่งที่แสดงถึงความโหดร้ายนั้นมีอิทธิพลในทางลบกับเด็กอย่างมาก แต่สำหรับอุริว ริวโนสุเกะมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสุดๆ เพราะถ้าเลือดหรือเสียงกรีดร้องในหนังสยองขวัญเลือดสาดสมจริงสักนิดล่ะก็ เขาคงจะไม่เป็นพวกโรคจิตชอบฆ่าคนแบบนี้หรอก

    ที่จริงเรื่องนี้มันเริ่มมาจากความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง ริวโนสุเกะต้องการจะรู้ว่า "ความตาย" เป็นยังไง สีแดงสดของเส้นเลือด สัมผัสและไออุ่นที่อยู่ในช่องท้อง เหยื่อที่โดนควักของพวกนี้ออกมาแล้วดิ้นทุรนทุรายจนตาย เป็นดนตรีแห่งเสียงกรีดร้องที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้เลย

    ใครๆก็บอกว่าการฆ่าเป็นอาชญากรรม แต่ลองคิดดูสิ โลกนี้มีคนอยู่ตั้ง 5 พันล้านคนไม่ใช่รึไง? ริวโนสุเกะรู้ดีว่าตัวเลขนี้อันตรายขนาดไหนเพราะตอนเด็กๆเขาเคยนั่งนับกรวดอยู่ในสวน แน่นอนว่าได้แค่หมื่นเดียวเขาก็ท้อแล้ว แต่เขาไม่เคยลืมความพ่ายแพ้ในตอนนั้นเลย มนุษย์มีเยอะกว่านั้นตั้งห้าแสนเท่า บอกได้เลยว่าอัตราส่วนระหว่างการเกิดกับการตายคือสิบต่อหนึ่งพัน ริวโนสุเกะเป็นฆาตกรไปคนนึงมันจะหนักหนาสักแค่ไหนกันเชียว? นอกจากนี้ยิ่งริวโนะสุเกะฆ่าคนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งเข้าใจความตายของแต่ละคนได้อย่างถ่องแท้ บางครั้งเขาก็ใช้เวลาไปกับ "วิธีการตาย" ถึงครึ่งวันเลยทีเดียว ด้วยแรงกระตุ้นกับประสบการณ์พวกนี้ข้อมูลที่ได้จากความตายของแต่ละคนก็จะมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่มีอายุสั้นจนเกินไป ถ้าดูจากเหตุผลข้อนี้ของริวโนสุเกะ การฆ่าตัวตายยังจะมีประโยชน์มากกว่าอีกจริงมั้ย?

    ด้วยความโลภ ริวโนสุเกะจึงเพ่นพ่านไปตามที่ต่างๆแล้วฆ่าคนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่กลัวกฎหมาย ความรู้สึกที่โดนกักขังและถูกสวมกุญแจมือ --ซึ่งหลายๆคนสมควรจะโดน-- เป็นสิ่งที่เขา "เข้าใจ" จนถึงจุดที่จะไม่กลัวมันแล้ว เขาได้ "เห็น" ความตายจากการแขวนคอกับเก้าอี้ไฟฟ้ามาจนเกินพอ แต่เหตุผลที่เขาหนีกฎหมายนั้นง่ายมาก เพราะเขาจะไม่ได้อะไรจากการโดนปิดกั้นอิสรภาพและการใช้ชีวิตอยู่ในคุกเลย จากนี้ไปเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขที่สุด ชายหนุ่มสุขภาพดีต้องเลือกเส้นทางแบบนี้สิถึงจะถูก

    เขาจะสุขใจมากเมื่อได้คั้นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพลังชีวิตออกไปจากคนที่เขาจะฆ่าแล้ว  ความรู้สึกที่ว่าก็คือการยึดติดกับชีวิตของมนุษย์ ความโกรธและความรัก การที่เขาบอกให้เหยื่อทุกคนรับรู้ถึงสภาพกับเวลาตายของตัวเองอย่างเที่ยงตรง นับเป็นเรื่องที่มีความหมายลึกล้ำพอๆกับชีวิตน้อยๆเลยทีเดียว

    เมื่ออยู่บนขอบเหวแห่งความตาย คนทั่วไปจะเริ่มทำตัวแปลกๆ พูดอีกอย่างคือ คนอีกพวกที่เหลือนั้นจะตายแบบธรรมดาสุดๆ-- ริวโนสุเกะได้เห็นความตายของมนุษย์มาหลากหลายรูปแบบ เขาจึงไล่ตามความตายเหล่านั้น และในขณะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความตาย เขาก็ได้ศึกษาสิ่งที่ตรงกันข้ามมาเป็นอย่างดี ชีวิตนั่นเอง ยิ่งเขาฆ่าคนไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจชีวิตที่เขาช่วงชิงมามากขึ้นเท่านั้น

    ความรู้เหล่านี้ ความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของเกียรติยศ กับความเท่

    ตัวริวโนสุเกะเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีพลังแบบนี้-- ถ้าจะให้พูดรวมๆ คงออกมาประมาณว่า"เจ๋งโคตร"

    ถ้าจะเทียบกัน มันก็เหมือนสปริงเกิ้ลบนท่อหรือแผงสูงๆที่ฉีดน้ำไปทั่วซึ่งไม่ยอมชินกับสนามเด็กเล่นสักที พ่นน้ำโดยไม่สนว่าใครจะอยู่ตรงไหน และไม่ยอมเข้าใจความเพลิดเพลินของคนอื่นๆเลย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการสะสมประสบการณ์และนำกฎของการเปลี่ยนแปลงมาใช้ล่ะก็ เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่คุ้นเคยกับอารมณ์พวกนั้นเป็นอย่างดีทีเดียว นี่แหละถึงได้บอกว่าชีวิตมันเจ๋งโคตร

    จะว่าไป ริวโนสุเกะนั้นเป็นคนที่โดดเด่นด้านคุ้นเคยกับความสบายของเก้าอี้ที่เรียกว่าชีวิตของมนุษย์ เพราะงั้นเขาถึงได้ตามหาเหยื่อที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับวิธีการใหม่ๆของเขา แล้วก็ซาบซึ้งกับความสุขใจที่ผุดขึ้นมา

    นี่ไม่ได้พูดเปรียบเทียบนะ ในเมืองยามค่ำคืนริวโนสุเกะชอบที่จะใช้เสน่ห์ของเขาล่อเหยื่อเหมือนกับดักแสงที่ใช้ล่อแมลง พวกผู้หญิงจะหลงเสน่ห์เวลาเขาทำตัวลึกลับจนดูดีมีภูมิฐาน พอเคลิ้มได้ที่เขาก็จะดื่มเหล้าเล็กน้อย สุดท้ายสาวๆที่ไปกับเขาก็จะกลายเป็นก้อนเนื้ออาบเลือด

    เมืองยามราตรีนั้นเป็นพื่นที่ล่าเหยื่อของริวโนสุเกะ โดยที่เหยื่อไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าริวโนสุเกะเป็นภัยคุกคาม

    สมัยก่อนเขาเคยเห็นเสือดาวจากสารคดีสัตว์โลกอะไรสักอย่าง เขาหลงใหลในความสง่างามของมัน และรู้สึกได้ถึงความเกี่ยวข้องกันจากวิธีการล่าอันหลักแหลม เสือดาวเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นแบบอย่างของเขา

    ตั้งแต่นั้นมา ริวโนสุเกะก็เอาภาพลักษณ์ของตัวเองไปซ้อนกับเสือดาว เขามักจะใส่เสื้อผ้าที่ทำจากอะไรสักอย่างของเสือดาว เสื้อแจ็กเก็ต กางเกง รองเท้า หมวก หรือถ้านั่นยังไม่สะดุดตาพอเขายังมีถุงเท้า กางเกงใน ผ้าพันคอและถุงมืออีกด้วย แล้วเขาก็มีแหวนตาแมวสีอำพันที่เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์อยู่เสมอถึงแม้มันจะสวมนิ้วกลางไม่เข้าก็ตาม นอกจากนั้นก็มีสร้อยคอที่ทำจากเล็บเสือจริงๆซึ่งเขาสวมมันอยู่ตลอดเวลาด้วย

                           X                                       X

    แล้วฆาตกรที่ชื่ออุริว ริวโนสุเกะคนนี้ก็เพิ่งจะรู้สึกย่ำแย่เพราะสูญเสียแรงจูงใจไปหมด

    หลังจากฆ่าไป 30 คน วิธีเชือดกับการทรมานก็เริ่มจะซ้ำซากและดูเหมือนๆกันไปหมด ริวโนะสุเกะลองทำทุกวิธีที่นึกออก แม้ริวโนสุเกะจะได้เห็นพวกเขาตายอย่างทุรนทุรายหรือหั่นเหยื่อเป็นชิ้นๆก็ไม่ตื่นเต้นเร้าใจเหมือนเดิมแล้ว


    ริวโนสุเกะตัดสินใจกลับบ้านเกิด บ้านที่เขาจากไปถึง 5 ปี เขาบุกเข้าไปในคลังเก็บของหลังบ้านขณะที่พ่อแม่ของเขาหลับสนิทในยามค่ำคืน คลังเก็บของนี้เป็นที่ที่เขาเก็บเหยื่อคนแรกไว้ซึ่งตอนนี้มันผุพังจนโดนทิ้งไปแล้ว

    ได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปถึง 5 ปี ร่างของพี่สาวเปลี่ยนไปมากแต่เธอก็ยังรอน้องชายของเธออยู่ในที่ที่ริวโนสุเกะซ่อนเอาไว้ การได้พบปะกันอย่างเงียบเชียบกับพี่สาวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรขึ้นมามากมายเลย ริวโนสุเกะกำลังผิดหวังเพราะกลับมาแล้วไม่ได้อะไรสักอย่าง ทว่าตอนนั้นเองที่เขาพบสมุดเปื่อยๆจากกองขยะในโกดัง

    สมุดบางๆที่หนอนกำลังแทะนี้ไม่ใช่ของที่มีขายทั่วไปแต่เป็นสมุดจดส่วนตัว ปัจฉิมลิขิตบอกว่าเป็นช่วงปีเคย์โอที่เก้า มันถูกเขียนมานานกว่าร้อยปีแล้วตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดบาคุมัตสุ

    ตอนเป็นนักเรียนเขาเคยอ่านหนังสือภาษาจีนอยู่บ้าง เลยสามารถอ่านโน๊ตนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ แต่ปัญหาอยู่ที่เนื้อความนั่นแหละ ตัวอักษรที่ไม่ปะติดปะต่อกันมันออกมาประหลาดๆเหมือนมนต์ดำอะไรสักอย่าง ยิ่งกว่านั้นยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และซาตานด้วย ดูแล้วคงเป็นเรื่องลึกลับทางตะวันตกแหงๆ สังเวยมนุษย์ให้ปิศาจจากต่างมิติเพื่อปลุกวิญญาณ นี่มันนิยายชัดๆ

    ชั่วโมงแห่งความเป็นความตายในยุดเอโดะ การเรียนศาสตร์ของตะวันตกถือเป็นศาสตร์ของพวกนอกรีต หนังสือนี้มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับซึ่งส่วนใหญ่จะนอกรีตจนดูเหมือนเรื่องล้อเล่น แต่ริวโนสุเกะกลับชื่นชมและสนใจกับความสมจริงของมันอยู่บ้าง แค่เป็นสมุดเก่าๆในโกดังมันก็เจ๋ง แล้วก็น่าตื่นเต้นมากพอแล้ว มากจนกระตุ้นให้เขาเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการฆาตกรรมได้เลย

    และแล้ว ริวโนสุเกะก็เปลี่ยนพื้นที่ตรงนั้นเป็น "อาณาเขตวิญญาณ" ตามที่เขียนไว้ในโน๊ต จากนั้นเขาก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ เขาไม่รู้ว่าที่ที่ชื่อฟุยูกิมีอะไรแต่ริวโนสุเกะก็ได้หัวข้อสำคัญมาทำให้มีอารมณ์อยากจะฆ่าขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามทำให้ใกล้เคียงคำแนะนำในสมุดเก่าๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ตอนที่เขาบูชายัญสาวน้อยที่วิ่งเล่นในโรงงานร้างตอนกลางคืนเป็นครั้งแรก เขาตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้เยอะ พิธีบูชายัญเป็นอะไรที่ต้องตาต้องใจริวโนสุเกะมากทั้งๆที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลย เขาหลงเสน่ห์ไปกับวิธีการต่างๆของมัน หลังจากพยายามทำแต่ไม่สำเร็จถึงสามครั้ง เมืองชนบทที่เคยสงบสุขก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


    จากนั้นริวโนสุเกะก็บุกเข้าไปในบ้านที่อยู่กันสี่คนเพื่อก่อคดีที่สี่ ตอนนั้นเขากำลังมัวเมาอยู่ในความสุขที่ได้จากการฆ่า และหลังจากก่อคดีแบบเดิมซ้ำๆเป็นครั้งที่สี่เขาก็ใจเย็นลง เสียงแห่งความมีเหตุผลกระซิบอยู่ในหัวของเขานับแต่นั้นเป็นต้นมา

    ริวโนสุเกะเพ่นพ่านไปทั่วประเทศพร้อมกับก่อคดีติดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยฆ่าคนซ้ำที่เดิมเลย แล้วเขาก็กำจัดศพอย่างปราณีตบรรจงทุกครั้งอีกด้วย เหยื่อของริวโนสุเกะแทบทุกคน จนบัดนี้ยังเป็นบุคคลหายสาบสูญกันอยู่เลย

    แต่คราวนี้ คดีต่อเนื่องที่ก่อขึ้นโดยไม่ซ่อนเศษซากที่เหลืออยู่จะทำให้ชาวบ้านรู้เรื่องอย่างรวดเร็ว มันเป็นการกระทำที่โง่มาก เขาหลงใหลไปกับวิธีการเหล่านั้นจนลืมความรอบคอบที่เคยมีไปจนหมดสิ้น ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ สามคนก่อนหน้านี้เขาพยายามจะเขียนวงกลมไสยเวทด้วยเลือด แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมีเลือดไม่พอ เพราะงั้นเพื่อที่จะทำให้วงเวทในรอบนี้สมบูรณ์แบบ เขาเลยตัดสินใจฆ่ามากกว่าเดิมอีกหน่อย แต่จริงๆนะ การเชือดคนทั้งบ้านขณะที่ยังหลับอยู่เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเกินไปหน่อย ตำรวจคงตื่นตัว แล้วคนทั้งเมืองก็คงจะระวังตัวกันมากขึ้น การทำให้เรื่องไปถึงขั้นนั้นมันไม่ใช่รูปแบบของ "เสือดาว" แล้ว

    ในที่สุดริวโนสุเกะก็ตัดสินใจว่า -- ตอนนี้ ปล่อยให้เมืองฟุยูกิเงียบสงบไปก่อน เขาชอบที่จะปะปนไปกับฝูงชนแบบนี้มากกว่า แต่ยังไงก็คงต้องลดจำนวนในการฆ่าแต่ละครั้งจาก 3 คนเหลือคนเดียวเพื่อความปลอดภัย

    พอจัดแจงความคิดเรียบร้อย ริวโนสุเกะโฉมใหม่ก็กลับมาตั้งสมาธิกับพิธีกรรมอีกครั้ง

    "~~ เติม เติม เติมเต็ม เติม ด้วยการเอ่ยซ้ำทั้งสี่-- เอ่ ห้าครั้ง? เอ่อ เมื่อเต็มเปี่ยม จงทลายลง... รึเปล่า? ใช่สิ"

    ริวโนสุเกะร่ายคาถาอัญเชิญ เขาใช้แปรงชุ่มเลือดเขียนพื้นไม้ในห้องนั่งเล่น พิธีกรรมเป็นงานสำคัญที่มีสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่เข้ากับสไตล์ของริวโนสุเกะเท่าไหร่เลย แต่เขาก็ชอบอารมณ์เครียดๆเป็นการส่วนตัว ยังไงความรู้สึกก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว

    เขาฝึกเขียนวงเวทมาทั้งคืนก็เลยทำได้เรียบร้อยในรวดเดียว ไม่มีอะไรจะต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว เขาฆ่าพ่อแม่กับพี่สาวคนโตในบ้านเพื่อที่จะเอาเลือดมาแล้วด้วย

    "~~ เติม เติม เติมเต็ม เติมเต็ม เติม ครบห้าครั้งแล้วสินะ ?"

    เลือดที่เหลือเอาไปเขียนงานศิลปะบนกำแพงห้องคงจะเข้าท่าดี เขารออะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นด้วยการหันไปหาผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายที่มุมห้อง-- เด็กประถมซึ่งโดนเชือกมัด หนุ่มน้อยกำลังร้องไห้ตาบวมและมองศพของพี่สาวกับพ่อแม่

    "นี่-- ไอ้หนู แกเชื่อเรื่องปิศาจมั้ย?"

    ริวโนสุเกะเอ่ยถามเด็กน้อยที่สั่นเทาแล้วแกล้งเอียงคอมอง แน่นอนว่าเขาไม่ได้หวังคำตอบจากเด็กน้อยเลย เด็กคนไหนโดนมัดปากก็ต้องตัวสั่นด้วยความกลัวทั้งนั้น

    "รู้มั้ยว่าหนังสือพิมพ์กับพวกนิตยสารเรียกชั้นว่าปิศาจ แปลกดีมั้ยล่ะ? ทั้งๆที่ระเบิดแค่ลูกเดียวก็ฆ่าคนได้มากกว่าชั้นแล้วนะ"

    เด็กน่ะดีจะตาย ริวโนสุเกะชอบพวกเด็กๆ ผู้ใหญ่ทั้งหลายพอหวาดกลัวก็ร้องไห้แหกปาก ในเรื่องพวกนี้เด็กๆจะดีกว่าเยอะ พอเห็นเด็กๆฉี่แตกเราแค่หัวเราะใส่พวกนั้นไปก็พอแล้ว

    "ม่าย ไม่เป็นไร ชั้นมันปิศาจก็จริง แต่นอกจากชั้นยังมีปิศาจตัวจริงอยู่อีกนา ชั้นอยากจะคุยกับพวกนั้นสักหน่อย แบบนี้ดีมั้ย " ไงพวก ชั้นอุริว ริวโนสุเกะ ชั้นคือปิศาจ!" แนะนำตัวแบบนี้เข้าท่ามั้ย? เป็นโอกาสที่ดีที่จะพิสูจน์ว่าปิศาจมีจริงหรือเปล่าไงล่ะ..."

    ริวโนสุเกะอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเลยลองใช้เสน่ห์ของเขากับเด็กที่กำลังสั่นกลัวคนนี้ ปกติแล้วการพูดคุยเป็นเรื่องน่ารำคาญ แต่พอได้เห็นเลือด-- แล้วมายืนอยู่ต่อหน้าคนที่กำลังจะตายแบบนี้ เขาก็เปลี่ยนเป็นคนช่างจ้อไปเลย

    ใช้เลือดของคน 3 คนก็เพียงพอแล้ว นี่คือเหตุผลเดียวที่เขาปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขากะจะสนุกกับการเชือดเจ้าเด็กนี่ทีหลัง ตอนที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นไปแล้ว--

    "ยังไงก็เหอะ ถ้าเกิด มีปิศาจออกมาจริงๆ จะไม่ชวนไปก๊งเหล้ากันก็คงจะปัญญาอ่อนไปหน่อย จริงมั้ย? เพราะงั้นนะ ไอ้หนู... ถ้าคุณปิศาจมาเยี่ยมชั้นจริงๆ เรามาฆ่าอะไรกันสักหน่อยดีมั้ย?"

    "...!"

    เด็กน้อยรู้ดีว่าริวโนะสุเกะกำลังคิดอะไรอยู่ ริวโนสุเกะยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นเด็กน้อยตาเบิกโพลงแล้วดิ้นไปดิ้นมาโดยที่ส่งเสียงร้องอะไรไม่ได้เลย

    "อยากรู้จังว่าปิศาจจะฆ่ายังไงน้า จะบี้เละหรือกระจายเป็นชิ้นๆรึเปล่า ถ้าได้นั่งดูคงสนุกพิลึกเลย ก็ไม่ใช่อะไรที่จะได้เห็นกันทุกวันนี่นะ-- อะ โอ้ว!"

    จู่ๆริวโนสุเกะก็ปวดจี๊ดเหมือนโดนน้ำเย็นๆราดตอนกำลังคึก

    ที่บนหลังมือของมือขวานั้น ริวโนสุเกะปวดแสบสุดขีดเหมือนเอามือไปจุ่มในพิษร้ายแรง จังหวะเดียวกับที่ความเจ็บปวดเแล่นเข้ามา มือที่บวมก็ยุบลงจนกลายเป็นสีบนผิวหนัง

    "... อะไร วะ? นี่มัน..."

    จู่ๆก็มีอะไรคล้ายๆรอยสักโผล่ขึ้นมาบนมือขวาที่ยังปวดแสบปวดร้อน เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    "... แว้ก"

    แทนที่จะตกใจกลัว ริวโนสุเกะกลับเต้นไปมา สัญลักษณ์งูสามตัวพันกันที่เขาไม่รู้จักนี้ ทำให้นึกถึงรอยสักของเผ่าอะไรสักอย่างซึ่งก็ดูไม่เลวนัก

    แต่ดีใจได้แปปเดียวริวโนสุเกะก็ต้องหันควับด้วยความตกใจ เพราะรู้สึกว่าอากาศข้างหลังกำลังขยับ

    อากาศค่อยๆร้อนขึ้น ที่จริงมันเป็นไปไม่ได้เลยในห้องที่ปิดทึบแบบนี้ จากนั้นสายลมเอื่อยๆก็กลายเป็นพายุหมุนพัดห้องนั่งเล่นจนกระจาย

    ริวโนสุเกะจ้องวงเวทที่เขียนด้วยเลือดสดๆบนพื้นอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะมันกำลังเรืองแสง

    เขาก็ทำใจรับเรื่องประหลาดๆไว้แล้ว แต่-- ไอ้ปรากฎการณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ อะไรที่มีขนาดใหญ่ เหมือนหนังสยองขวัญที่ริวโนสุเกะเกลียดชังนักหนา ความประทับใจสมัยเด็กกำลังหัวเราะว่ามันไม่ตลกเลยนะ นี่มันเป็นความจริง

    ลมกรรโชกรุนแรงกำลังจะถล่มห้อง มันพัดทีวีปลิวไปพร้อมๆกับแจกันดอกไม้และเฟอร์นิเจอร์ที่เหลือ ที่ตรงกลางวงเวทนั้น มีหมอกกำลังผุดขึ้นมาพร้อมๆกับประกายไฟที่กระจายไปทั่ว เป็นฉากที่หลุดโลกสุดๆแต่ริวโนสุเกะกลับไม่กลัวเลย เขาเหมือนเด็กๆที่ดูการแสดงมายากลและใจเต้นเพราะกำลังลุ้นตัวโก่ง

    ตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ไม่รู้จัก--

    เขาเคยพบกับความพิศวงที่เรียกว่า "ความตาย" แต่รัศมีเจิดจ้านั้นพอฆ่าไปเรื่อยๆมันก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้--

    เกิดแสงสว่างวาบ และเสียงคำรามดุจฟ้าผ่า

    แรงกระแทกพุ่งผ่านร่างของริวโนสุเกะไป เขารู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าแรงสูงย่างสด

    พลังประหลาดที่สืบทอดกันมาในตระกูลอุริวซึ่งลูกหลานพากันลืมเลือนไปแล้ว แต่ยังคงส่งผ่านมาทางสายเลือดที่ไม่เคยปนเปื้อน 'วงจรเวท' ที่หลับไหลอยู่ในตัวริวโนสุเกะจนถึงวันนี้ พลังลึกลับนั้นได้ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับคลื่นยักษ์ และ "พลังหลุดโลก" ที่ว่าก็เริ่มไหลวนอยู่ในตัวเขา แล้วพุ่งออกมาหาสิ่งที่ถูกอัญเชิญมาจากนรก

    --จะว่าไป มันก็มีข้อยกเว้นในหมู่ข้อยกเว้นด้วยกัน

    จอกแห่งฟุยูกิต้องการเซอร์แวนท์เจ็ดคนตั้งแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีใครอัญเชิญเซอร์แวนท์แล้วพยายามเป็นมาสเตอร์ ยังไงจอกก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมมาจนครบเจ็ดคนอยู่ดี

    การอัญเชิญเซอร์แวนท์ถือเป็นหัวใจสำคัญของจอก การที่จอมเวทพยายามตระเตรียมพิธีกรรมเป็นอย่างดีนั้นเพียงเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถอัญเชิญเซอร์แวนท์ที่เข้าท่าเข้าทางได้อย่างสำเร็จลุล่วง ต่อให้เป็นวงเวทห่วยๆที่ไม่ได้ท่องคาถาอัญเชิญเลยแต่ถ้าคนคนนั้นมีวัตถุดิบก็ถือว่ามีคุณสมบัติตามที่จอกต้องการแล้ว...

    "--ข้าขอถามเจ้า"

    ท่ามกลางหมอกที่ห้อมล้อม เสียงพูดอันนุ่มนวลทว่าแฝงไปด้วยความแปลกประหลาดได้เปล่งออกมา

    รู้ตัวอีกทีสายลมก็นิ่งสนิท แสงเรืองๆจากวงเวทดับไปแล้ว ความสว่างเจิดจ้าก็หายลับไป วงเวทที่เขียนด้วยเลือดบนพื้นตอนนี้กลายเป็นสีดำเหมือนโดนเผา ใจกลางหมอกที่กำลังจางลงนั้น เจ้าของเสียงเมื่อครู่ได้เผยโฉมต่อหน้าริวโนสุเกะ

    ใบหน้าเยาว์วัยซึ่งไร้รอยเหี่ยวย่น ดวงตาเบิกโตกับแก้มที่เนียนลื่น ใบหน้าแห่งความตายอันซีดเผืดทำให้ริวโนสุเกะนึกถึงภาพวาดของมันช์

    เสื้อผ้าของเขาก็ดูแปลกตา ร่างกายที่สูงเสียดฟ้ามีผ้าคลุมผืนใหญ่ที่ตกแต่งลวดลายอย่างหรูหราหุ้มไว้ สไตล์การแต่งตัวของหมอนี่เหมือน "จอมเวทผู้ชั่วร้าย" ในหนังสือการ์ตูนเปี๊ยบเลย

    "เจ้า ผู้อัญเชิญข้า เจ้า ผู้เรียกหาข้า ผู้ซึ่งได้อัญเชิญวิญญาณคลาสแคสเตอร์ออกมา... ข้าขอถามนามของเจ้า เจ้าเป็นใคร?"

    "..."

    ริวโนสุเกะออกอาการเล็กน้อย สิ่งที่ออกมาจากวงเวทอัญเชิญพร้อมๆกับแสงสว่างจ้าและหมอกควันคละคลุ้ง-- เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เป็นอะไรที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเหนือจินตนาการ แต่เป็นแค่มนุษย์สุดธรรมดาคนนึงเนี่ยนะ? ริวโนสุเกะงงไปหมดแล้ว เสื้อผ้าของเขาเพี้ยนสุดกู่ก็จริง แต่แค่นั้นก็หมายความว่าชายคนนี้เป็นปิศาจตัวจริงแล้วงั้นเหรอ?

    ริวโนสุเกะเกาหัวแกรกๆอยู่ครู่หนึ่งก็ตั้งสติได้

    "อ่า ชั้นอุริว ริวโนสุเกะ ไม่มีงานประจำ งานอดิเรกคือฆ่าคนเรื่อยเปื่อย ชั้นชอบเด็กๆกับสาวๆนะ ช่วงนี้ก็พึ่งจะกลับมาฟื้นฝีมืออีกรอบนี่แหละ"

    ชายในผ้าคลุมพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ฟังอะไรเลยนอกจากชื่อเพียงอย่างเดียว

    "เยี่ยมมาก พันธสัญญาได้สมบูรณ์แล้ว ข้าก็ต้องการจอกศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้า เราสองคนจะสร้างสวนสวรรค์ของพวกเราขึ้นมา"

    "จอก-- ศักดิ์สิทธิ์ ?"

    วินาทีนั้น ริวโนสุเกะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เขาจึงทบทวนความคิดอีกครั้ง สมุดเก่าๆในโกดังพูดถึงเรื่องนี้บ้างมั้ยนะ? เหมือนเขาจะอ่านข้ามๆไปเพราะรายละเอียดมันน่าเบื่อเหลือเกิน

    "... อืม เอาเถอะ เรื่องนั้นเราค่อยมาว่ากันทีหลัง"

    ริวโนสุเกะกวักมือเบาๆแล้วชี้ไปที่คอของเด็กน้อยซึ่งโดนมัดอยู่ตรงมุมห้อง

    "ตอนนี้เรากินไปคุยไปก็แล้วกัน นายจะกินเจ้านั่นมั้ย?"

    ชายอีกคนซึ่งมีหน้าตาไร้อารมณ์ราวกับสวมหน้ากาก จ้องมองเด็กที่ถูกมัดกับริวโนสุเกะ ริวโนสุเกะเริ่มกังวล คนๆนั้นไม่ยอมพูดอะไรเลยเขาจึงไม่รู้ว่าคนๆนั้นกำลังคิดอะไรหรือตั้งใจจะทำอะไรอยู่ บางทีเราคงจะขอมากเกินไปด้วยแหละ จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีใครกำหนดไว้ซะหน่อยว่าปิศาจจะต้องกินเด็กน่ะ

    ชายคนนั้นหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าในผ้าคลุมอย่างเงียบเชียบ หนังสือเล่มโตที่ดูเหมือนสมบัติเก่าแก่จากยุคโบราณ มันต้องเป็นเครื่องมือของปิศาจแน่เลย

    ริวโนสุเกะมองแว่บเดียวก็รู้ว่าปกหนังสือทำมาจากอะไร

    "อ้า เจ๋งแฮะ! นั่นหนังคนใช่มั้ย?"

    ริวโนสุเกะรู้เพราะเขาเคยพยายามถลกหนังของเหยื่อไปหุ้มหลอดไฟอยู่หนนึง แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกล้มไปเพราะฝีมืออันสุดแสนจะห่วยแตกของตัวเอง เขาก็เลยนับถือผู้อาวุโสที่อดทนทำงานแบบเดียวกันนี้จนสำเร็จออกมาได้

    ชายคนนั้นเหลือบมองริวโนสุเกะ เมินคำชมแล้วเปิดหนังสือต่อไป มือของเขาพลิกหน้ากระดาษอย่างว่องไวและพึมพำอะไรสักอย่างที่จับใจความไม่ได้ออกมาคำสองคำ จากนั้นเมื่อเขาดูเหมือนจะพอใจแล้วเขาก็ปิดหนังสือเก็บเข้ากระเป๋าดังเดิม

    "... ?"

    ชายคนนั้นทิ้งริวโนสุเกะที่กำลังเหม่อลอยแล้วเดินไปยังเด็กน้อยที่ถูกมัดกลิ้งอยู่บนพื้น เด็กน้อยเจอเรื่องประหลาดๆทับถมกันอย่างต่อเนื่องเลยตัวสั่นหนักกว่าเดิมเพราะคิดว่างานนี้คงตายแน่แล้ว เด็กน้อยพยายามคลานหนีชายคนนั้นสุดชีวิต

    เมื่อเห็นสภาพของเด็ก ชายคนนั้นก็ทำท่าเห็นใจและสงสารเด็กน้อยขึ้นมาทันที ซึ่งทำให้ริวโนสุเกะอึ้งไปเลย หมายความว่าไงเนี่ย?

    "-- เธอไม่มีอะไรจะต้องกลัวเลย เจ้าหนูน้อย"

    ชายคนนั้นพูดกับเด็กอย่างสุภาพเรียบร้อยผิดกับรูปกายภายนอกโดยสิ้นเชิง เด็กน้อยผู้ไร้อิสระภาพเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นและมองเขาด้วยความไม่แน่ใจ

    ชายคนนั้นยิ้มพยักหน้าตอบ เขาโน้มตัวลงไปหาเด็กน้อยและยื่นมือออกไป-- ค่อยๆแก้มัด

    "ยืนไหวมั้ย?"

    ชายคนนั้นให้กำลังใจเด็กน้อย ตบหลังแล้วช่วยให้ลุกขึ้น

    ริวโนสุเกะมั่นใจว่าชายคนนี้เป็นปิศาจแน่นอน แต่เขาก็ผิดหวังกับสิ่งที่ชายคนนี้ทำกับเด็กมาก เค้าจะปล่อยให้เด็กรอดไปจริงๆเหรอ?

    ยังไงก็เถอะ ไม่ว่าจะมองมุมไหน หมอนี่ก็ประหลาดเกินคน ถ้าอยู่เงียบๆในสภาพแบบนี้คงดูน่าเกลียดน่ากลัวพอๆกับศพ แต่เวลายิ้มโดยไม่มีจิตมุ่งร้ายเขาดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนนักบุญเลยทีเดียว

    "คราวนี้นะ เจ้าหนู ประตูตรงนั้นจะพาเธอออกไปจากห้องนี้ได้ อย่าวอกแวก เดินตรงดิ่งออกไปได้เลย แค่นั้นทำได้มั้ย?"

    "... ครับ..."

    เมื่อเด็กน้อยยิ้มด้วยความกล้าหาญ ชายคนนั้นก็ยิ้มกว้างให้แล้วดันหลังเบาๆ

    เด็กชายวิ่งเหยาะๆข้ามห้องนั่งเล่นที่จมกองเลือด โดยพยายามไม่มองศพของพ่อแม่กับพี่สาวตามคำแนะนำ

    "ฮะ เฮ้..."

    แน่นอนว่าริวโนสุเกะไม่ได้ตั้งใจจะเหม่อมองอย่างเดียว เขากำลังจะพูดขึ้นมาแต่ชายคนนั้นใช้สัญญาณมือห้ามไว้ทันที ริวโนสุเกะพ่ายแพ้ต่อพลังและยืนดูเด็กน้อยหนีไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

    เด็กชายเปิดประตูแล้ววิ่งไปที่เฉลียงทางเดิน ทางออกอยู่ตรงหน้าแล้ว ดวงตาที่เคยตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัว ตอนนี้กลับเปล่งประกายความหวังและความโล่งอก

    แล้วช่วงระทึกใจก็ตามมาทันที

    พอเด็กน้อยพ้นบันไดมาได้ ทางออกก็อยู่ตรงหน้า จู่ๆบางอย่างที่มองไม่เห็นก็ร่วงพรวดลงมาจากห้องนั่งเล่นชั้นสองทับตัวเด็กน้อยเหมือนหิมะถล่ม มันคือเชือกหนักๆหลายมัด -- ไม่สิ เป็นงูนับไม่ถ้วนทั้งฝูงเลยต่างหาก -- สิ่งมีชีวิตที่อธิบายไม่ได้ พูดอีกอย่างก็ เจ้าสัตว์ประหลาดมีชีวิตพวกนี้พุ่งเข้ารัดร่างกายของเด็กน้อย แล้วใช้พลังต่างมิติลากเด็กขึ้นไปที่ชั้นสอง

    จากนั้น-- ก็เป็นเสียงร้องสุดชีวิต เสียงสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนแลบลิ้นขู่ฟ่อๆ และเสียงกระดูกหักเป็นชิ้นๆ ความเละเทะของอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่ชั้นบนนั้น ถึงไม่ได้เห็นด้วยตาก็คงจะเดาได้อยู่ดี

    แล้วชายประหลาดคนนี้ก็หลับตาลงพลางเงยหน้าขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงแห่งฝันร้ายและดื่มด่ำไปกับมัน มือของเขาสั่นริกๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเพลิดเพลินใจ

    สำหรับริวโนสุเกะ ความรู้สึกนี้มันช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน... ไม่สิ เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้เลย การได้ระบายอารมณ์ระดับนี้มันสะใจเกินบรรยาย

    "นี่คือความกลัวที่สดใหม่"

    เกิดมาเขาไม่เคยคิดแผนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้เลย --ไม่คลางแคลงใจอะไรอีกแล้ว หมอนี่เป็นปิศาจแน่นอน-- เวลาเขาพูดออกมา เสียงของเขาก็เหมือนจะลากเราเข้าไปในห้วงแห่งความฝัน

    "ความขลาดคือความรู้สึกกลัวความตาย ความหวาดกลัวที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากสภาพที่แน่นอน แท้จริงแล้ว-- มันคือวินาทีที่ความหวังแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังต่างหาก

    ชอบมั้ย? กลิ่นอายแห่งความกลัวกับความตายพวกนี้"

    "-- จะ --"

    ริวโนสุเกะถึงกับพูดไม่ออก

    เจ้า 'สิ่ง' ที่พึ่งจะรุมทึ้งซากของเด็กน้อยที่ชั้นบนจะต้องเป็น ฝีมือชายคนนี้แน่นอน ยังไงเขาก็เป็นคนที่โผล่ออกมาจากวงเวทโลหิตนี่นา ตอนที่เขาเปิดหนังสือหุ้มหนังมนุษย์เมื่อกี้นี้จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

    วิธีการที่บีบประสาทแบบนี้ ความยอดเยี่ยมมันอยู่ที่ตัวปรัชญา ริวโนสุเกะไม่เหมาะกับความคิดสร้างสรรค์และสุนทรียศาสตร์แห่งความชั่วร้ายสักนิด ชายหนุ่มผู้สุกสกาวและเคลื่อนไหวด้วย "สุนทรียศาสตร์แห่งความตาย" ผู้นี้ช่างน่าสรรเสริญเหลือเกิน

    "เจ๋ง! ร้ายกาจจริงๆ! แจ่มโคตรๆ!"

    ริวโนะสุเกะอยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข เขาจับมือกับชายคนนั้นทันที ได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้เหมือนได้เจอคนดังเลย ในที่สุดฆาตกรต่อเนื่องอุริว ริวโนสุเกะก็ได้รู้สึกคลั่งไคล้และชื่นชมใครสักคนในโลกที่แสนจะน่าเบื่อใบนี้จากใจจริงเสียที

    "โอเค! ชั้นไม่รู้เรื่องจอกอะไรนั่นหรอก แต่ชั้นจะติดตามนายเอง! จะช่วยนายทุกเรื่องที่นายอยากให้ช่วย เราจะฆ่ากันอีก มีเหยื่อให้บูชายัญอีกเยอะแยะ นายแสดงวิธีเชือดเจ๋งๆให้ชั้นดูอีกนะ!"

    "เจ้าเป็นผู้ติดตามที่ดีจริงๆ"

    ชายคนนั้นเข้าใจท่าทีของริวโนสุเกะ และตอบรับการจับมืออันรุนแรงของริวโนสุเกะด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์

    "ริวโนสุเกะ สินะ นับว่าโชดดีที่ข้าได้มาสเตอร์ที่เข้าใจกันอย่างเจ้า แบบนี้ยิ่งเข้าใกล้อุดมคติที่ข้าหวังไว้เข้าไปอีก"

    หากทำการอัญเชิญโดยไม่ใช้วัตถุดิบใดๆ วิญญาณวีรชนจะมีอุปนิสัยแบบเดียวกับมาสเตอร์ ผู้ที่ฆาตกรชั่วร้ายอัญเชิญมาก็คือชายที่กระทำการชั่วช้าสามานย์จนฝากชื่อไว้บนโลกนี้ เป็นวีรชนผู้ชื่นชอบการกดขี่ข่มเหง ที่จริงถ้าจะดูเรื่องนี้เป็นหลัก เราเรียกเขาว่าวิญญาณอาฆาตน่าจะเหมาะกว่าวิญญาณวีรชน

    "อ่า-- จริงสิ ชั้นยังไม่รู้จักชื่อของนายเลย"

    ริวโนสุเกะพึ่งนึกเรื่องสำคัญได้ และพยายามทำตัวสนิทสนม

    "ชื่อของข้า ใช่สินะ ในยุคสมัยนี้ เรียกข้าว่า..."

    ชายคนนั้นเอานิ้วแตะริมฝีปาก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อ

    "... งั้น ตอนนี้ เรียกข้าว่า "บลูเบียร์ด" ยินดีที่ได้รู้จัก"

    เขาตอบด้วยรอยยิ้มแห่งเทพบุตร

    และด้วยเหตุนี้เอง ตำแหน่งสุดท้ายของเฮเว่นฟีลครั้งที่สี่ -- มาสเตอร์กับเซอร์แวนท์ 'แคสเตอร์' ก็สร้างพันธสัญญากันเสร็จสิ้น ฆาตกรที่ไม่รู้จักสงครามจอกและไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นจอมเวทจึงบังเอิญได้รับเรย์จูกับเซอร์แวนท์คนหนึ่งมาด้วยเหตุนี้เอง

    ในเหล่ากลโกงแห่งโชคชะตา นี่คงจะเป็นอันที่โกงที่สุดก็ว่าได้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×