ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fate/Zero (นิยายแปล)

    ลำดับตอนที่ #10 : Book1 Act 2 Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 51


    ณ ที่ซึ่งถูกผนึกอยู่ภายใต้น้ำแข็ง ปราสาทไอนส์เบิร์นที่ตั้งอยู่สุดขอบโลก

    วันนี้ ปราสาทเก่าๆที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาไร้ผู้คนสัญจร ซึ่งปกป้องชีวิตของจอมเวทโบราณอย่างเงียบงัน ได้หลุดพ้นจากพายุหิมะแล้ว

    แม้จะไม่ถึงกับฟ้าใส แต่ก็สว่างไสวกว่าวันที่หิมะย้อมท้องฟ้าเป็นสีขาว ถึงจะไม่มีนกน้อยโผบินหรือพืชสีเขียวสดบนดินแห่งฤดูหนาว แต่วันนี้ก็อุดมไปด้วยแสงสว่าง

    ในวันแบบนี้ ไม่ว่าพ่อจะงานยุ่งหรือเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน พวกเขาก็จะออกไปที่ป่ารอบนอกปราสาทด้วยกัน นี่คือกฎอย่างไม่เป็นทางการข้อแรกของอิลย่าสฟีล ฟอน ไอนส์เบิร์นกับเอมิยะ คิริทสึงุ

    "เอาล่ะ วันนี้หนูไม่แพ้แน่!"

    พูดจบ อิลย่าสฟีลก็รีบเข้าป่าไปก่อนพ่อของเธอด้วยความร่าเริง เห็นเธอใส่รองเท้าบูทเล็กๆในหิมะหนาๆแล้วน่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางแมกไม้เหล่านี้สายตาหลุกหลิกของเธอก็ไม่เคยปล่อยให้อะไรรอดสายตาไปได้เลย เธอไม่เคยสะเพร่าแม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สาวน้อยกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือดกับพ่อของเธอ

    "โอ้ ตรงนี้ลูกนึง ลูกแรกของวันนี้เลยนะเนี่ย"

    พอได้ยินเสียงคิริทสึงุประกาศชัยชนะอยู่เบื้องหลัง อิลย่าสฟีลก็หันกลับไป ดวงตาที่กำลังตกใจของเธอเปลี่ยนเป็นความโมโห

    "ไม่จริง! ตรงไหนคะ? หนูไม่น่าจะพลาดนี่นา!"

    คิริทสึงุส่งยิ้มให้กับลูกสาวที่กำลังฉุนจนหน้าแดง เขาชี้ไปยังกิ่งไม้เหนือหัวเขา ที่กิ่งวอลนัทเยือกแข็งนั้น มีหน่ออ่อนๆที่กำลังจะผลิ

    "หุหุหุ พ่อได้แต้มแรกแล้วนะ เวลาแบบนี้มันช่างน่าจดจำ"

    "หนูไม่แพ้หรอก! สาบานว่าวันนี้หนูไม่แพ้แน่ๆ!"

    การแข่งขันระหว่างคุณพ่อกับลูกสาวที่กำลังเริ่มต้นขึ้นนี้ เป็นการแข่งกันหาวอลนัทแรกในฤดูหนาว คะแนนปีนี้อิลย่าชนะ12 แพ้9 เสมออีกหนึ่ง รวมๆแล้วอิลย่าเจอทั้งหมด 427 ลูกส่วนคิริทสึงุได้ 374 ลูก แชมเปี้ยนกำลังถูกกดดันอย่างหนัก

    อิลย่าสฟีลต้องเร่งมือแล้ว คิริทสึงุเห็นเธอแบบนี้แล้วเขาหุบยิ้มไม่ได้เลย สาวน้อยสำรวจหน่ออ่อนที่พ่อของเธอเจอทีละหน่อ และเห็นความพ่ายแพ้ในวันนี้กำลังคอยอยู่ข้างหน้า วันนี้สินะที่เธอต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา

    "อ๊ะ นั่นไง อิลย่าก็เจอลูกนึงเหมือนกัน~"

    คิริทสึงุหัวเราะหึๆด้วยความชั่วร้ายอยู่ข้างหลังอิลย่าผู้ร่าเริง

    "หุหุหุ พ่อก็เจอลูกที่สองแล้วนะ"

    คราวนี้อิลย่าสะดุ้งเหมือนแมวเลยทีเดียว

    "ไหนคะ! อยู่ไหนคะ!?"

    รอบนี้ สาวน้อยกำลังจะหน้าแตกเพราะเคยโม้ไว้ว่าเธอไม่เคยพลาด ที่จริงเธอก็ไม่ได้พลาดหรอก เธอกำลังจะโดนมุขหลอกเด็กเล่นงานต่างหาก

    อิลย่าตอบสนองตามคาด 10วินาทีต่อมาคิริทสึงุซ่อนเสียงหัวเราะเอาไว้แล้วชี้ไปที่ที่เขาบอกว่าเป็นลูก "ที่สอง" ของเขา

    "เอ๋— ? กิ่งนั้นไม่มีวอลนัทเลยนะคะ?"

    ตรงที่คิริทสึงุชี้ไปนั้น เป็นที่ที่อิลย่าไม่ได้สนใจมันเลยจนกระทั่งตอนนี้

    "ไม่ ไม่ใช่นะอิลย่า กิ่งนั้นคือวิงนัท พันธุ์เดียวกับวอลนัทนั่นแหละ เพราะงั้นมันก็เป็นลูกวอลนัทเหมือนกัน"

    อิลย่าสฟีลรู้สึกเหมือนโดนหมาจิ้งจอกหลอกเอา เธอเงียบไปสองสามวิแล้วตะโกนออกมาทั้งๆที่แก้มแดงเป็นลูกตำลึง

    "ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมไม่ยุติธรรมไม่ยุติธรรมเลย! คิริทสึงุน่าเกลียดที่สุด!"

    เขาก็ไม่ยุติธรรมจริงๆนั่นแหละ คิริทสึงุเริ่มนับวิงนัทรวมกับวอลนัทมาตั้งแต่ครั้งก่อนนู้นแล้ว ไม่ใช่แค่อำกันหรอก แบบนี้เค้าเรียกว่าโกงเลย

    "แหม ถ้าพ่อไม่ทำอย่างงี้ พ่อก็ไม่มีทางชนะเลยสิ"

    "ไม่ได้ค่ะ! วอลนัทที่คิริทสึงุรู้จักอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่นับค่ะ!"

    อิลย่าสฟีลโมโหสุดขีดแล้วเข้าไปตีหัวเข่าของพ่อเธอ

    "ฮะฮะฮะ แต่ว่านะ อิลย่า ถือเป็นโอกาสดีที่ลูกจะได้รู้อะไรใหม่ๆไม่ใช่เหรอ? จริงๆแล้ววิงนัทกินไม่ได้เหมือนวอลนัทหรอกนะ จำไว้ดีๆล่ะ"

    อิลย่าสฟีลกำลังตะคอกใส่เขาโดยไม่สนใจอะไรแล้ว

    "ถ้าพ่อไม่ยุติธรรมอย่างงี้อิลย่าไม่เล่นด้วยแล้วนะ คิริทสึงุ!"

    "ไม่เอาน่า— โทษที โทษที พ่อขอโทษนะ"

    คิริทสึงุขอโทษออกมาจากใจจริงอย่างว่าง่าย อิลย่าสฟีลจึงค่อยๆกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม

    "ทีหลังไม่โกงแล้วนะ สัญญากับหนูได้มั้ย?"

    "พ่อสาบานจ้า พ่อสาบาน ไม่เอาวิงนัทแล้ว"

    แต่ชั้นยังเหลือฟิลด์นัทอยู่อีก... คิริทสึงุแอบหัวเราะอยู่เงียบๆ

    อิลย่าสฟีลยังไม่รู้จักการไม่ไว้ใจคน เธอจึงพอใจและพยักหน้าให้กับพ่อนิสัยเสียของเธอด้วยความภูมิใจ

    "ดีค่ะ งั้นหนูจะแข่งกับพ่ออีกรอบ แชมเปี้ยนต้องรับคำท้าทุกคนอยู่แล้วค่ะ"

    "ครับ เป็นเกียรติมากครับเจ้าหญิง"

    เพื่อแสดงความจงรักภักดี วันนี้คิริทสึงุจึงยอมเป็นม้าให้ขี่ไปตามล่าวอลนัทกัน

    "อ๊ะฮะฮะ! สูงจังเลย!"

    อิลย่าสฟีลชอบขี่บนไหล่พ่อของเธอที่สุด ขายาวๆของคิริทสึงุสามารถย่ำผ่านหิมะสูงๆที่อิลย่าสฟีลเดินข้ามไปไม่ได้ แล้วมุมสูงๆแบบนี้เธอก็นับวอลนัทได้ง่ายกว่าด้วย

    "ปา~ย กันเล้ย!"

    "ยะฮู้ว!"

    คิริทสึงุพุ่งออกจากป่าโดยมีลูกสาวคร่อมอยู่บนคอ อิลย่าสฟีลตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดและหัวเราะอย่างร่าเริง

    การเป็นได้แค่ไหล่ของพ่อให้กับลูกสาว ทำให้เขาเศร้าใจ

    เขาไม่เคยเลี้ยงเด็กคนไหนมาก่อนเลยนอกจากอิลย่าสฟีล คิริทสึงุไม่รู้ว่าเธอจะโตขึ้นมาเป็นแบบไหน แต่เขาก็เข้าใจว่าลูกสาวที่อายุ 8 ขวบแล้วมีน้ำหนักแค่ 15 กิโลเป็นเรื่องผิดปกติ

    บางทีอาจเป็นเพราะการปรับปรุงที่เธอได้รับตอนที่กำเนิด สำหรับคิริทสึงุกับไอรีสฟีล เธอคงจะบรรลุนิติภาวะช้ากว่าคนอื่น พอเวลาผ่านไปร่างกายของเธอจะโตขึ้นบ้างมั้ยนะ?

    ไม่สิ จะพูดให้ถูกต้องบอกว่าหมดหวังแล้ว ในฐานะที่เป็นจอมเวท คิริทสึงุได้สรุปผลการวิเคราะห์อันแสนโหดร้ายออกมาแล้ว มีโอกาส 80 ถึง 90% ที่อิลย่าสฟีลจะหยุดเติบโตก่อนที่เธอจะมีเสน่ห์ของเพศหญิง

    แม้จะเป็นแบบนั้น แทนที่จะมองว่าอนาคตของเธอมีแต่ความโชคร้าย เธอควรจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสุขสิ— นี่คือความหวังที่เห็นแก่ตัวของคนเป็นพ่อแม่ กระนั้นความเจ็บปวดที่ไชรากลึกเข้าไปในอกของเขาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักของชายที่ชื่อคิริทสึงุ

                           X                                       X

    จากในหน้าต่างของปราสาท ดวงตาสีหยกคู่หนึ่งกำลังมองภาพเล็กๆของพ่อกับลูกที่เล่นกันตรงชายป่า

    หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างนั้นห่างไกลจากคำว่าอ่อนแอและไม่ยืนยง ผมสีบลอนด์ของเธอเบาบางและอ่อนนุ่ม สวมชุดสไตล์เก่าๆห่อหุ้มร่างบางๆของเธอซึ่งเหมาะกับสาวน้อยผู้โดดเดี่ยวในห้องอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่เธอยืนอยู่เฉยๆ ความเคร่งครัดอย่างมากของเธอก็ทำให้บรรยากาศในห้องอึดอัดได้ แม้เธอจะไม่ได้เยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่เธอก็ใจเย็นดุจไอน้ำที่ไร้สี เธอดูไม่ค่อยเข้ากับปราสาทไอนส์เบิร์นที่น่าเศร้าในฉากของฤดูหนาวนี้เลย

    "ดูอะไรอยู่เหรอคะ เซเบอร์?"

    ไอรีสฟีลเรียกเธอจากด้านหลัง สาวน้อยที่หน้าต่าง — เซเบอร์จึงหันกลับมา

    "... คิริทสึงุกำลังเล่นอยู่กับลูกสาวคุณในป่า ที่ข้างนอกนั่นน่ะค่ะ"

    ความสงสัย งงงวย และการที่เธอขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ที่แข็งกร้าวนั้นไม่ได้บั่นทอนความงดงามของเธอลงไปเลย เธอเหมาะกับใบหน้าเพลียๆที่สงบและผ่อนคลายมากกว่าการยิ้มเรื่อยเปื่อย เธอคนนี้เป็นความงดงามที่หาได้ยากยิ่ง

    คุณเชื่อมั้ยว่าเธอที่อ่อนวัยและมีชีวิตชีวาแบบนี้เป็นร่างของวิญญาณวีรชน? แต่เธอนี่แหละ 'เซเบอร์' ตัวจริง... เธอเป็นหนึ่งในเจ็ดวิญญาณวีรชนที่จอกอัญเชิญมา ในคลาสที่ใช้ดาบได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด เซอร์แวนท์ผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ

    ที่ด้านข้างเธอ ไอรีสฟีลมองผ่านกระจกออกไป ตอนนั้นคิริทสึงุแบกอิลย่าสฟีลขึ้นหลังกำลังพุ่งเข้าป่าพอดี

    "แปลกใจที่เห็นคิริทสึงุเป็นแบบนั้นเหรอคะ?"

    เซเบอร์พยักหน้าอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับไอรีสฟีลที่กำลังยิ้ม

    จากมุมนี้เธอเห็นหน้าของสาวน้อยไม่ค่อยจะชัด และเห็นผมสีเงินที่ได้มาจากแม่ของเธอเพียงลางๆ แต่เสียงแหลมๆที่เธอได้ยินก่อนพวกเขาจะลับสายตาไปนั้นเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน เท่านี้ก็พอจะเดาความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานคู่นี้ได้แล้ว

    "พูดจริงๆนะคะ ข้านึกว่ามาสเตอร์ของข้าจะใจหินกว่านี้ซะอีก"

    ได้ยินเซเบอร์พูดแบบนั้น ไอรีสฟีลก็ยิ้มอย่างเขินอาย

    "มันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปซะทีเดียวหรอกนะคะ"

    ตั้งแต่อัญเชิญเธอมา คิริทสึงุมาสเตอร์ของเธอยังไม่เคยคุยกับเธอสักคำเลย

    สุดท้ายเซอร์แวนท์ก็เป็นแค่เครื่องมือที่รับใช้มาสเตอร์ และแน่นอนว่าจอมเวททุกคนก็ปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้ แต่คิริทสึงุก็ทำกับเซเบอร์เกินไปหน่อย ไม่ใช่แค่ไม่พูดกับเธอ เขายังไม่สนใจคำถามของเธอ และไม่ค่อยจะมองเธอเลยด้วยซ้ำ คิริทสึงุพยายามทำตัวเหินห่างกับวิญญาณวีรชนที่ตัวเองอัญเชิญมา

    ถึงเธอจะไม่แสดงออกมาแต่เซเบอร์ก็ไม่พอใจท่าทีของชายคนนี้เป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคิริทสึงุที่เธอรู้จัก แตกต่างกับผู้ชายที่เล่นอยู่กับลูกสาวด้านนอกปราสาทคนนั้นราวฟ้ากับเหว

    "ถ้านี่คือตัวจริงของคิริทสึงุ ข้าก็รู้สึกผิดหวังในตัวมาสเตอร์ของข้ามากๆ..."

    ได้ยินเซเบอร์พึมพำแบบนั้นไอรีสฟีลจึงเผลอหัวเราะเบาๆไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าที่ปกติจะซ่อนอยู่ในโครงหน้าที่งดงามตอนนี้กลับแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอออกมา เซเบอร์กระวนกระวายใจหนักขึ้นไปอีก

    "ไม่ตลกเลยนะคะ ไอรีสฟีล"

    "... ชั้นขอโทษค่ะ คือชั้นสงสัยว่าคุณยังไม่หายโกรธตั้งแต่ตอนที่ถูกอัญเชิญมาเลยเหรอคะ"

    "ก็นิดหน่อยค่ะ ... ข้าก็เข้าใจว่าตัวจริงของข้าคงจะแตกต่างกับที่ทุกคนคาดกันไว้ แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณสองคนจะตกใจกันสักเท่าไหร่เลย"

    หากไม่นับท่าทีที่สง่างามของเธอ เซเบอร์นั้นดูราวกับสาวน้อยที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ตอนที่เธอโผล่ออกมาจากวงเวทอัญเชิญ คิริทสึงุกับไอรีสฟีลถึงกับพูดไม่ออก

    ก็แน่ล่ะสิ วิญญาณวีรชนที่คิริทสึงุอัญเชิญมาในตำนานบอกว่าเป็นผู้ชายนี่

    เจ้าของปลอกดาบสีทองจากคอร์นวอลล์ เป็นผู้เดียวที่ครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์เอ็กซ์คาลิเบอร์ ไม่มีใครคิดหรอกว่าตัวจริงของวิญญาณวีรชนอาร์เธอร์ เพนดราก้อนจะเป็นสาววัยรุ่น

    "ก็ข้าทำตัวเยี่ยงชายชาตรี และปรารถนาให้คำโกหกนั้นถูกเล่าขานกันต่อไปในประวัติศาสตร์... แต่ก็ไม่สบายใจเหมือนกัน อาจมีคนที่สงสัยว่าข้าเป็นเจ้าของปลอกดาบนี้จริงหรือเปล่า"

    "น่าจะบอกว่า ถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มากกว่านะคะ ตำนานของคุณโด่งดังมาก มันเดินทางอย่างน่าทึ่งมาถึง 1500 ปี ก็ถือว่าแตกต่างกับภาพลักษณ์ของกษัตริย์อาร์เธอร์ที่พวกเรารู้จักล่ะนะคะ"

    เห็นไอรีสฟีลยิ้มด้วยความอึดอัด เซเบอร์ก็ถอนหายใจอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    "แน่นอน พวกท่านคงจะสงสัยเรื่องตัวจริงของข้าอยู่บ้าง วินาทีที่ข้าดึงดาบแห่งพันธสัญญาออกจากหินนั่น ข้าก็ไม่แก่ขึ้นราวกับเป็นเวทมนตร์และอยู่ในวัยเยาว์แบบนี้มาตลอด คนของข้าก็ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยในเรื่องนี้เมื่อข้าเป็นกษัตริย์เลย สิ่งเดียวที่พวกเขาขอร้องข้าคือหน้าที่ที่ข้าควรจะทำในฐานะกษัตริย์เท่านั้นเอง"

    เธอคนนี้ลำบากมามากเพียงใดกันนะ?

    อาณาจักรแห่งอังกฤษถูกพวกคนป่าเถื่อนรุกรานจนอ่อนแอและเกือบจะล่มสลาย จากการคาดเดาของจอมเวท กษัตริย์ผู้เยาว์วัย "ร่างจุติแห่งมังกร" ได้ถูกหน้าที่ของผู้นำเผาจนมอดไหม้มาตลอดสิบหรือยี่สิบปีที่ต้องต่อสู้

    ราวกับโชคชะตาจะกลั่นแกล้ง ในที่สุดผู้ควบคุมโชคชะตาที่เหนื่อยอ่อนก็ถูกสายเลือดของตนเองชิงบัลลังก์ ถูกทรยศ และความเลื่องลือนั้นก็ได้รับการเล่าขานไปไม่จบสิ้น

    ความจริงที่ว่าสาวน้อยบอบบางผู้นี้ถูกความโหดร้ายกับชะตาที่เจ็บปวดเผาผลาญ ทำให้ไอรีสฟีลหนักใจ

    "คิริทสึงุ... เกลียดความเป็นหญิงของข้าหรือคะ? เพราะข้าไม่คู่ควรกับดาบอย่างนั้นเหรอคะ?"

    เซเบอร์พึมพำเบาๆขณะที่เฝ้ามองคิริทสึงุซึ่งลับตาไปในป่าที่ห่างไกล สิ่งนี้สะกิดความรู้สึกของไอรีสฟีล

    "ไม่หรอกค่ะ เขาเข้าใจพลังของคุณดี เขาคนนั้นไม่โง่พอจะพิจารณาความสามารถของวิญญาณวีรชนคลาสเซเบอร์ผิดไปหรอกค่ะ ...คงเป็นเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาโมโห"

    "ทำให้โมโห?"

    เซเบอร์ตอบสนองต่อสิ่งที่เธอได้ยิน

    "หมายความว่าข้าไปทำให้คิริทสึงุโกรธเหรอคะ? ข้าไม่เข้าใจเลย ข้ายังไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ"

    "งั้นก็คงเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกค่ะ ที่เขาโกรธคงเป็นตำนานของกษัตริย์อาร์เธอร์ที่เราได้รับมา"

    หากวิญญาณวีรชนที่คิริทสึงุอัญเชิญมาเป็น "ชายหนุ่ม" ตามที่ตำนานของกษัตริย์อาร์เธอร์กล่าวไว้ เขาคงจะไม่ปฏิเสธเซอร์แวนท์ของเขาขนาดนี้ เรื่องนี้ก็ง่ายๆ เขาต้องการจะเก็บงำความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงของเขาไว้ เลยคิดว่าสนทนาเท่าที่จำเป็นคงจะดีที่สุด แล้วสุดท้าย ความ "ไม่เอาใจใส่" ของเขาเลยทำให้ดูกลายเป็นคนหยิ่งยะโส

    คนที่ดึงดาบออกจากหินเป็นเพียงสาวน้อย พอคิริทสึงุรู้ความจริงนี้ข้อนี้เข้า เขาก็เลยขุ่นเคืองกับตำนานของกษัตริย์อาร์เธอร์

    "เขาคงจะโกรธที่ผู้คนรอบตัวคุณในสมัยนั้น ยัดเยียดความรับผิดชอบที่โหดร้ายของกษัตริย์มาให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างคุณน่ะค่ะ"

    "ไม่หรอก เรื่องนั้นข้าได้เตรียมใจไว้ตั้งแต่ดึงดาบออกมาจากหินแล้ว"

    เซเบอร์พูดออกมาตรงๆ เธอยังคงเยือกเย็นและชัดเจน ไอรีสฟีลที่ยังกังวลก็พยักหน้าให้เธอ

    "... เรื่องที่ว่าคุณยอมรับโชคชะตาแบบนั้นแหละค่ะที่กวนใจเขาที่สุด บางทีนี่คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาโมโหสาวน้อยที่ชื่ออาร์เธอเรียก็ได้นะคะ"

    "..."

    เซเบอร์หรี่ตาลง เธอไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เมื่อเธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งตาของเธอก็ยังไม่ชินแสง

    "ใช้ความรู้สึกมากเกินไปแล้วนะคะ ในยุคของข้าไม่มีใครข้องใจกับการตัดสินใจของคนอื่นหรอกค่ะ"

    "เขาถึงได้เงียบอยู่อย่างงั้นไงคะ"

    ไอรีสฟีลตอบสวนทันที เซเบอร์ได้แต่อึกอัก

    "เอมิยะ คิริทสึงุกับวิญญาณวีรชนอาร์เธอเรียคงจะเข้ากันไม่ได้— งั้นชั้นก็จะปล่อยไว้แบบนี้ ถ้าเราคุยกันก็คงได้แต่ทะเลาะกันเอง"

    ไอรีสฟีลจำใจที่จะเห็นด้วย ถ้าคิริทสึงุใช้เวลาอยู่กับวิญญาณวีรชนที่ทะนงตนผู้นี้ เขาคงรู้สึกว่าหัวใจของแต่ละฝ่ายแตกต่างกันแน่ๆ

    ไอรีสฟีลเข้าใจความทุกข์ของทั้งสองฝ่ายแล้วเธอก็สงสารทั้งคู่ เธอตัดสินใจยอมรับความจริงที่ว่าทั้งสองคงไม่มีทางเข้ากันได้

    "... ข้าขอขอบคุณค่ะ ไอรีสฟีล หากไม่มีคนอย่างท่านข้าคงแพ้สงครามจอกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้เป็นแน่"

    "เช่นกันค่ะ ชั้นก็อยากให้สามีของชั้นเป็นผู้ที่ไปถึงจอกค่ะ"

    เป็นอย่างที่วิญญาณวีรชนอาร์เธอเรียกำลังกลัวว่าจะเกิดขึ้น คำว่าคิริทสึงุโผล่ขึ้นมาในการสนทนาที่ถึงทางตัน

    เซอร์แวนท์กับมาสเตอร์คงต้องลงมือทำอะไรคนละด้านกันโดยสิ้นเชิง

    ที่จริงก็ไม่มีกำหนดเรื่องระยะห่างของพันธสัญญาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะห่างไกลเพียงใดเรย์จูก็ยังสามารถควบคุมเซอร์แวนท์และยังสามารถส่งพลังปราณได้ตราบทียังไม่เกิดอะไรขึ้นกับมาสเตอร์ แต่เป็นเรื่องที่ใครก็รู้ว่ามาสเตอร์กับเซอร์แวนท์ควรจะอยู่ด้วยกัน และหากไม่ให้เซอร์แวนท์คิดแผนการรบอยู่คนเดียวจะเป็นการรอบคอบกว่า มาสเตอร์ควรจะอยู่ในสนามรบเพื่อควบคุมเซอร์แวนท์ด้วย

    ถ้าคิริทสึงุลงมือคนเดียวโดยที่ไม่รู้ว่าเซเบอร์กำลังทำอะไรล่ะ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไว้ใจเธออย่างเต็มที่ คิริทสึงุเลยให้ไอรีสฟีลมีหน้าที่ดูแลเซเบอร์แทนตัวเขา

    มันไม่ใช่อะไรที่เสี่ยงเลย ยกตัวอย่างเช่นถ้าเซอร์แวนท์ของคิริทสึงุเกิดทรยศขึ้นมา ก็ไม่เห็นต้องกลัวว่าเธอจะฆ่าไอรีสฟีลตราบที่เธอยังต้องการจอกอยู่ หากไม่มีไอรีสฟีลแม้เซเบอร์จะชนะเซอร์แวนท์คนอื่นได้หมดเธอก็ไม่มีทางครอบครองจอกได้ หน้าที่ของ "ภาชนะแห่งจอก" ซึ่งไอรีสฟีลแบกรับไว้นั้นจำเป็นอย่างที่สุดต่อการปรากฎตัวของจอกแห่งฟุยูกิ ดังนั้นเซเบอร์จึงต้องป้องกันไอรีสฟีลจากมาสเตอร์คนอื่นๆด้วย

    การจัดทีมที่แปลกประหลาดนี้มาจากความสามารถในการรบของคิริทสึงุกับเซเบอร์ วิญญาณวีรชนอัศวินเซเบอร์เป็นนักสู้ซึ่งมีความสามารถของเซอร์แวนท์กับโนเบิล แฟนทาสซึ่มเหมาะกับ "แนวหน้าของสนามรบ" จิตใจที่แน่วแน่ของเธอคงไม่ยอมทำตามแผนอื่นที่แตกต่างจากนี้ด้วย พูดอีกอย่าง มาสเตอร์เอมิยะ คิริทสึงุของเธอเป็นคนคิดอุบายที่แสนจะชาญฉลาดนี้โดยที่ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษเลย

    ยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูตามความสัมพันธ์ คิริทสึงุตีความว่าไอรีสฟีลสมควรจะเป็นคู่หูของเซเบอร์มากกว่า ถึงภรรยาของเขาจะเป็นโฮมุนคลุสนอกคอกแต่เธอก็มาจากตระกูลไอนส์เบิร์นที่สูงส่ง ดังนั้นเธอจึงมีมารยาทผู้ดีกับความภูมิฐาน ไอรีสฟีลเป็นผู้หญิงประเภทที่อัศวินจะต้องถวายความจงรักภักดีให้อย่างแน่นอน

    ในความเป็นจริง หลายวันที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลังจากการอัญเชิญครั้งนั้น ไอรีสฟีลกับเซเบอร์ก็ยิ่งเข้าใจกันและนับถือกันมากขึ้น บรรยากาศของชนชั้นสูงที่อยู่รอบๆตัวไอรีสฟีลคล้ายกันกับ "เจ้าหญิง" ในยุคของเซเบอร์มาก และความเป็นชนชั้นสูงของเซเบอร์ก็เข้าคู่กับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีที่ไอรีสฟีลได้รับมาอย่างเหมาะเจาะ

    ดังนั้น คิริทสึงุผู้ทำสัญญาเป็นมาสเตอร์จึงเสนอให้ภรรยาของเขา ไอรีสฟีลเป็น "ตัวแทนของมาสเตอร์" แทนตัวของเขาเองซึ่งแบบนี้เซเบอร์จะยอมรับได้ง่ายกว่า ปัญหาจริงๆของเธอคือเธอไม่สบายใจที่ต้องร่วมมือกับคิริทสึงุที่ไม่ค่อยปล่อยให้เธอเหวี่ยงดาบตามใจเธอ ไอรีสฟีลเหมาะกว่ามาก ซึ่งเธอก็เห็นด้วยในเรื่องนี้เหมือนกัน สองคนนี้ก็เลยมีความสัมพันธ์แบบมาสเตอร์กับเซอร์แวนท์ตามความสมัครใจของอัศวิน ซึ่งต่างจากพันธสัญญาของเซอร์แวนท์ ทั้งหมดนี้คือวิธีเตรียมตัวเข้าสู่เฮเว่นฟีลนั่นเอง

    "ไอรีสฟีลคะ ตัวคุณมองคิริทสึงุเป็นคนแบบไหน?"

    "เป็นตัวอย่างของสามีที่ดี เป็นคนที่ให้ความหมายของชีวิตกับตัวชั้น —แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณอยากจะรู้สินะคะ?"

    เซเบอร์พยักหน้า สิ่งที่เธออยากจะรู้ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของไอรีสฟีล แต่เป็นเอมิยะ คิริทสึงุอีกด้านหนึ่งที่เซเบอร์ไม่เคยรู้

    "จริงๆแล้วเขาเป็นคนใจดีค่ะ เพราะใจดีเกินไปนี่แหละเขาถึงไม่สามารถให้อภัยโลกที่แสนโหดร้ายนี้ได้ เขาเลือกที่จะเป็นคนไร้จิตใจเพื่อต่อสู้กับเรื่องพวกนี้ค่ะ"

    "ข้าก็เข้าใจการตัดสินใจแบบนั้นดี ยิ่งหลักการสูงส่งเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องทิ้งความรู้สึกไปให้มากขึ้นเท่านั้น"

    ได้ยินแบบนี้อย่าคิดนะว่าคิริทสึงุกับเซเบอร์นั้นเหมือนกัน บางทีคิริทสึงุก็คงจะรังเกียจวิญญาณวีรชน กษัตริย์อาร์เธอร์ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

    "ช่วยโลกด้วยพลังของจอก— คุณกำลังจะพูดแบบนี้หรือเปล่าคะ? ความปรารถนาของคุณกับคิริทสึงุคืออะไรกันแน่"

    "ค่ะ แม้ว่าความปรารถนาของชั้นจะเป็นแค่เงาสะท้อนจากความปรารถนาของเขา แต่ชั้นก็ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาเลย"

    เซเบอร์พยักหน้าให้กับคำพูดของไอรีสฟีล ดวงตาของเธอก็ลุกโชนเช่นกัน

    "ความปรารถนาต่อจอกของข้านั้นธรรมดามาก ข้าเพียงต้องการช่วยเหลือคนในอังกฤษที่ตัวข้าไม่สามารถจะช่วยได้ ข้าคิดว่าท่านกับคิริทสึงุทำถูกแล้ว เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ท่านควรจะภูมิใจ"

    "จริงด้วยนะคะ..."

    ไอรีสฟีลยิ้มและตอบกลับไปอย่างกำกวม

    ความภูมิใจ— นั่นแหละที่เป็นปัญหา

    คำพูดของสามีเธอปรากฎขึ้นในใจของไอรีสฟีลอีกครั้ง เหตุผลจริงๆที่ทำให้คิริทสึงุกับเซเบอร์แตกต่างกันเหลือเกิน

    'เธอสองคนจะกลายเป็นดอกไม้กลางสนามรบที่ไม่วิ่งหนีหรือหลบซ่อน ฉายแสงเจิดจ้าจนทุกคนต้องจับตามองมาที่เซเบอร์อย่างแน่นอน

    เพราะพวกนั้นจะต้องมองแต่เซเบอร์ พวกเขาก็จะหันหลังมาให้ชั้น'

    คิริทสึงุไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้ไอรีสฟีลกับเซเบอร์ออกไปสู้ตามลำพัง ตรงกันข้าม เขาต้องการจะควบคุมผลลัพธ์ของสงครามนี้ในแบบของเขาเองมากกว่า เขาจะเป็นมือสังหารที่แอบอยู่ข้างหลังศัตรูและเซเบอร์ก็มีหน้าที่ล่อพวกนั้นให้มาติดกับกลายเป็นเหยื่อที่อ่อนแรง

    ไอรีสฟีลไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่คิริทสึงุจะใช้เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นอัศวินที่มีเกียรติและความภาคภูมิใจจะคิดยังไงล่ะ... ลองคิดดูสิ ไอรีสฟีลยังเป็นห่วงในเรื่องนี้อยู่

    "ไอรีสฟีล คุณเข้าใจสามีคุณดีจังเลยนะคะ แถมยังเชื่อมั่นในตัวเขามากเหลือเกิน"

    เซเบอร์มองดูความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกสาวผ่านหน้าต่างโดยไม่ได้รู้ถึงความโศกเศร้าของไอรีสฟีลเลย

    "เห็นแบบนี้แล้วคุณสองคนเหมือนคนธรรมดาที่กำลังตามหาความสุขเลยนะคะ

    แต่คิริทสึงุกลับคิดว่าชั้นเองก็ควรจะหาความสุขใส่ตัวในฐานะที่เป็นมนุษย์ไม่ใช่กษัตริย์อย่างที่เป็นอยู่... ความปรารถนาที่เหมือนๆกันนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องมีเช่นกัน"

    "... หายข้องใจในตัวเขาหรือยังคะ?"

    "แน่นอนว่ายังหรอกค่ะ"

    เซเบอร์พยักหน้าด้วยความประณีต ไอรีสฟีลรู้สึกเหมือนทรยศเซอร์แวนท์ของตัวเอง

    "แต่— ไอรีสฟีล จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? มาบอกชั้นเรื่องพวกนี้น่ะ"

    "เอ๋?"

    เซเบอร์ถามอีกครั้ง สายตาของเธอบอกว่าเธอต้องการจะพูดต่อ

    "ข้าหมายถึง— ท่านต้องทิ้งลูกสาวไว้เช่นเดียวกับคิริทสึงุนะคะ พรุ่งนี้... เราต้องบินไปหาจอกที่ญี่ปุ่นแล้วไม่ใช่เหรอคะ?"

    "อ่า เรื่องนั้น —ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นกับลูกสาวไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน"

    ไอรีสฟีลยิ้มอย่างสงบเพื่อขอบคุณความหวังดีที่เซเบอร์มอบให้ แต่ยังไงความโดดเดี่ยวอ้างว้างในรอยยิ้มนั้นก็ขัดใจเธอ

    "ต่อให้ชั้นไม่ได้อยู่ในฐานะไอรีสฟีล ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะต้องหายไป เมื่อเธอโตขึ้นชั้นเชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจ เพราะเธอก็เป็นผู้หญิงแห่งไอนส์เบิร์นเหมือนกับชั้นค่ะ"

    "..."

    เธอตามคำพูดที่ลึกลับของไอรีสฟีลไม่ทัน แต่ใบหน้าของเซเบอร์กระตุกเป็นลางร้าย เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น

    "ไอรีสฟีล ท่านต้องไม่ตายค่ะ ข้าจะปกป้องท่านจนถึงที่สุด ข้าขอสาบานด้วยเกียรติยศแห่งดาบของข้า"

    คำพูดขึงขังของอัศวินทำให้ไอรีสฟีลยิ้มอย่างสดใส

    "เซเบอร์ เอาจอกมาให้ได้นะคะ เพื่อคุณเองและเพื่อมาสเตอร์ของคุณด้วย แล้วไอนส์เบิร์นก็จะบรรลุความต้องการที่มีมากว่า 1000 ปี ชั้นกับลูกสาวก็จะหลุดพ้นจากโชคชะตาของพวกเรา —เราหวังในตัวคุณนะคะ อาร์เธอเรีย"

    อีกครั้งที่เซเบอร์ไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มที่เป็นกังวลจากไอรีสฟีล เส้นผมของเธอเป็นประกายดุจหิมะ ราศีของเธอก็ช่างงดงาม ผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความใจดีและอบอุ่น ชะตาแบบไหนกันนะที่เธอโดนผูกมัดไว้ตั้งแต่เกิด? —สำหรับอัศวินที่ต้องการรู้ความจริง เวลาแห่งการเปิดเผยนั้นยังไม่ใช่ตอนนี้

                           X                                       X

    เทศกาลตามล่าลูกวิงนัทหน้าหนาวนั้นได้อิลย่าเป็นผู้ชนะ เธอล้มแชมเปี้ยน 3 สมัยลงได้ ในป่าไอนส์เบิร์นนั้นไม่มีต้นฟิลด์นัทเลย

    หลังจากจบการต่อสู้ ทั้งสองก็เดินกลับกัน เพราะพวกเขาเดินเข้าไปในป่าลึกมาก ปราสาทแห่งไอนส์เบิร์นที่ตั้งตระหง่านจึงเหลือแค่เงาลางๆในหมอกแดด

    "คราวหน้าจะเป็นตอนที่พ่อกลับมาจากญี่ปุ่นะคะ คิริทสึงุ"

    อิลย่าสฟีลได้แก้แค้นสมใจ เธอยิ้มกว้างให้พ่อของเธอ คิริทสึงุไม่สามารถมองเธอตรงๆได้ เขาแกล้งทำเป็นแจ่มใสสุดชีวิต

    "ใช่... คราวหน้า พ่อไม่ยอมแพ้แน่"

    "อุ๊ฮุฮุ ถ้าพ่อทำได้แค่นี้เราคงห่างกันซักร้อยแต้มเลยนะ รู้มั้ยคะ?"

    รอยยิ้มจากลูกสาวสุดที่รักของเขา หนักเกินกว่าที่ชายคนนี้จะแบกรับไว้ได้

    เขาจะบอกเธอยังไงดี บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาครุ่นคิดจนเรื่องนี้จบลงก็เป็นได้

    นี่เป็นการต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุดของคิริทสึงุ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาต้องชนะ เพื่อการนั้นเขาจะละทิ้งชีวิตของตัวเองไปไม่ได้เด็ดขาด

    ดังนั้น-- คำสัญญาที่จะกลับมาเล่นกับลูกสาวในป่าฤดูหนาวอีกครั้งนั้นเป็นแค่ชัยชนะที่เล็กน้อยมาก

    การจะช่วยทุกสิ่ง ต้องละทิ้งทุกสิ่งไป

    กับชายผู้ที่สาบานไว้เช่นนี้ ความรักคือขวากหนาม

    เมื่อเขารักใครสักคน มันก็เป็นคำสาปที่ทำให้เขาต้องเตรียมใจเพื่อเก็บงำทุกสิ่งใว้ในใจ

    นั่นคือชะตาที่เอมิยะ คิริทสึงุแบกรับเอาไว้เพื่อแลกเปลี่ยนกับอุดมคติของเขา ความรักคือความทรมานที่ไม่สามารถรักษาได้

    ถ้างั้นทำไม-- เขาถึงได้สงสัยในตัวเองเมื่อมองไปยังท้องฟ้าที่ถูกแช่แข็งเป็นสีขาวและโลกใบนี้

    ทำไมเขาถึงได้หลงรักผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กน้อยที่มีสายเลือดของเขามากมายถึงเพียงนี้

    "คิริทสึงุ พ่อไปทำงานกับแม่นานมั้ยคะ? จะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ?"

    อิลย่าสฟีลถามด้วยน้ำเสียงสดใสโดยไม่ได้รู้ถึงความทุกข์ทรมานของพ่อเธอเลย

    "คิดว่าพ่อคงกลับมาในสองอาทิตย์น่ะ --แต่แม่เค้า คงต้อง นานกว่าหน่อย พ่อคิดว่านะ..."

    "อื้ม แม่บอกอิลย่าแล้วค่ะ ว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก"

    เสียงตอบจากใบหน้าที่สดใสนั้นแทงใจดำของคิริทสึงุ ขาเขาหมดแรงจนไม่สามารถย่ำต่อไปในทางที่เต็มไปด้วยหิมะนี้ได้

    ภรรยาของเขาพร้อมแล้ว ส่วนลูกสาวก็เตรียมใจแล้วเช่นกัน

    สำหรับความจริงที่ว่าเอมิยะ คิริทสึงุจะพรากแม่ของเธอไปจากสาวน้อยคนนี้

    "แม่บอกว่าต่อให้เราไม่ได้เจอกันอีก แม่ก็จะอยู่ข้างๆหนูเสมอ หนูไม่จำเป็นต้องเสียใจ แม่บอกหนูแบบนี้ก่อนหนูจะเข้านอน เพราะงั้นอิลย่าจะได้อยู่กับแม่ตลอดเลยค่ะ"

    "...อย่างนั้นเหรอ..."

    ตอนนั้น คิริทสึงุก็รู้สึกกลัวมือของตัวเองที่โดนเลือดย้อมเป็นสีแดง

    เขาไม่รู้ว่าตัวเองฆ่าคนไปมากเพียงใด ว่ามือคู่นี้สกปรกเพียงใด การที่นายได้เป็นพ่อและได้อุ้มลูก ถือเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้-- เขาพูดกับตัวเอง

    แต่นั่นมันก็เหมือนกับการวิ่งหนีไม่ใช่รึ?

    เด็กคนนี้จะไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่เธออีกแล้ว ถ้าคิริทสึงุพ่อของเธอทิ้งหน้าที่นี้ไปอีก... ใครจะเป็นคนอุ้มอิลย่าสฟีลล่ะ

    "--นี่ อิลย่า"

    คิริทสึงุหยุดเดินพร้อมกับลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ เขาทรุดตัวลงแล้วกอดเด็กสาวตัวน้อยไว้

    "... คิริทสึงุ?"

    8 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาอุ้มร่างน้อยๆนี้ไว้ในอ้อมแขน ลึกๆแล้วคิริทสึงุสงสัยในความเป็นพ่อของตนเอง รังเกียจตนเองที่ทำตัวเป็นพ่อ เขาได้แต่ดูหมิ่นตัวเองที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย

    แต่มันก็กำลังจะจบลงแล้ว ในฐานะพ่อคนเดียวของเด็กคนนี้ เขาต้องโอบกอดเธอด้วยความอบอุ่น โดยไม่วิ่งหนี และไม่โกหก

    "จะรอพ่อได้มั้ย อิลย่า? ลูกรออยู่คนเดียวจนกว่าพ่อจะกลับมาได้มั้ย?"

    "ค่ะ! หนูจะอดทน หนูกับแม่จะรอพ่ออยู่ที่นี่นะ คิริทสึงุ"

    ความทรงจำในวันนี้จะทำให้อิลย่าสฟีลมีความสุขอยู่เสมอ ความร่าเริงของเธอนั้นไม่มีความโศกเศร้าเจือปนอยู่เลย

    "... งั้นพ่อจะสัญญากับลูกด้วยนะ พ่อจะไม่ทำให้ลูกต้องรอนาน พ่อจะกลับมาให้เร็วที่สุดเลย"

    เอมิยะ คิริทสึงุแบกรับภาระอันหนักอึ้งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง

    เขากล้ำกลืนกับขวากหนามที่เรียกว่าความรักซึ่งเสียดแทงไปทั่วร่าง กอดลูกไว้ในอ้อมแขนชั่วนิรันดร์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×