ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Book1 Prologue 8ปีก่อน
เราจะขอกล่าวถึงชายคนหนึ่ง
เรื่องราวของชายผู้เชื่อมั่นในอุดมคติของตนเองยิ่งกว่าใครๆ และเพราะแบบนั้นเอง เขาจึงมุ่งไปสู่ความสิ้นหวัง
ความฝันของชายหนุ่มแสนบริสุทธิ์
เขาต้องการให้คนทั้งโลกมีความสุขเท่านั้นเอง
มันเป็นความคิดในอุดมคติที่เด็กผู้ชายทุกคนเคยคิดจะทำ แต่พวกเขาก็ละทิ้งมันไปเมื่อชินชากับความเป็นจริงอันโหดร้าย
ความสุขทุกชนิดแลกมาด้วยสิ่งตอบแทน ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นเท่านั้น
ทว่าชายคนนี้ต่างออกไป
บางทีเค้าคงจะเป็นคนที่โง่ที่สุด หรือไม่เค้าก็อาจจะสติไม่ดี ไม่ก็ เป็นคนประเภทที่เราเรียกกันว่า"นักบุญ"ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆไม่อาจเข้าใจ
เขาคิดว่าทุกสิ่งในโลกนี้แบ่งได้เพียงสองประเภท คือผู้เสียสละ และ ผู้รอดชีวิต...
เมื่อเขาเข้าใจว่าไม่อาจทำให้ฝันอันว่างเปล่าของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้...
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ตั้งใจจะเป็นผู้ที่อยู่ ณ จุดยอดของตาชั่ง
การจะบรรเทาความโศกเศร้าของโลกนี้ มีเพียงหนทางเดียวที่ได้ผลที่สุด
หากต้องการจะช่วยใครสักคนจากทางฟากหนึ่ง เขาจำต้องละทิ้งหนึ่งชีวิตของอีกฟากหนึ่งไป
ซึ่งก็คือ การจะช่วยคนส่วนมากให้รอดชีวิตได้นั้น เขาต้องสังหารผู้คนที่เป็นส่วนน้อยนั่นเอง
เพื่อการนั้น ยิ่งไปกว่าการช่วยเหลือผู้คนและเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น เขาจึงสำเร็จศิลปะแห่งการฆ่า
วันแล้ววันเล่า เขาได้แต่ละเลงสีเลือดลงบนมือของตนเอง แต่ชายคนนี้ก็ไม่เคยลังเลแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่เคยตั้งคำถาม ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่เคยสงสัยในเป้าหมายของตัวเอง เขาดั้นด้นจนไปถึงยอดตาชั่งนั้น
เขาไม่เคยพิจารณาคุณค่าของชีวิตผิดไปเลย
ไม่มีใครต้อยต่ำ ไม่มีใครสูงศักดิ์เลิศเลอ ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน เขาช่วยชีวิตโดยไม่เลือก และเขาพรากชีวิตโดยไม่เลือกเช่นกัน
ทว่าเขารู้สึกตัวช้าเกินไป
การจะกำหนดคุณค่าของทุกสิ่งให้เท่าเทียมกัน หมายความว่าเขาต้องไม่ให้ความรักกับใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ
หากเขาสามารถฝังมันลงไปในจิตใต้สำนึกได้เร็วกว่านี้ เขาก็คงจะหลุดพ้นจากความทรมาน
เขาผนึกจิตใจตัวเองไว้เป็นร่างไร้วิญญาณ เปลี่ยนตัวเองเป็นเครื่องจักรอันเที่ยงตรงที่ปราศจากเลือดและน้ำตา เป็นผู้กำหนดชะตาว่าใครควรจะตาย และใครควรจะอยู่ จากนี้เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
แต่ชายหนุ่มกลับคิดผิด
รอยยิ้มของผู้คนยังทำให้เขาภูมิใจ และเสียงโอดครวญจากใครๆก็ยังทำให้จิตใจเขาสั่นคลอน
ความโกรธเปลี่ยนความสำนึกผิดของเขาจนกลายเป็นความเศร้าเสียใจ และน้ำตาแห่งความเดียวดายนั้นก็หวังจะให้มีใครมาโอบอุ้ม
แม้ความมุ่งมั่นสู่อุดมคติของเขาจะมีอำนาจเหนือกว่าเหตุผลใดๆในโลก — เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์เกินไป
กี่ครั้งแล้วนะ ที่มีคนโดนลงโทษเพราะความโลเลนี้
เขารู้จักมิตรภาพ เขารู้จักความรัก
แม้เขาจะนำชีวิตของคนที่รัก กับคนไม่รู้จักนับไม่ถ้วนไปวางไว้บนด้านซ้ายและด้านขวาของตาชั่ง—
เขาก็ไม่เคยเลือกทางที่ผิด
ยิ่งกว่าการที่จะรักใครสักคน เพื่อที่จะตัดสินทุกชีวิตนั้นอย่างเท่าเทียม เขาจะต้องยุติธรรม และยุติธรรมจนหยดสุดท้าย
แม้จะเป็นคนที่มีค่าต่อเขาเพียงใด เขาก็ได้แต่เศร้าโศกไปเท่านั้นเอง
และบัดนี้ เขาก็กำลังจะถูกลงโทษด้วยบทลงทัณฑ์ที่ร้ายแรงที่สุด
นอกหน้าต่างนั้น พายุหิมะแช่แข็งทุกสิ่ง ค่ำคืนกลางหน้าหนาวกำลังแช่ผืนป่าให้เป็นน้ำแข็ง
ห้องห้องนั้นอยู่ในปราสาทเก่าๆที่ถูกสร้างด้วยดินแช่แข็ง แต่ก็ได้ไออุ่นของเปลวไฟในเตาผิงช่วยปกป้องเอาไว้
ใต้หลังคาอันอบอุ่นนั้น เขากำลังโอบอุ้มชีวิตใหม่อยู่ในอ้อมแขน
ช่างเล็กเหลือเกิน — ร่างกายแสนบอบบางที่ไม่มั่นคงนี้บอกได้เลยว่ายังไม่พร้อมจะเผชิญโลกภายนอก
แรงกระแทกนิดเดียวก็อาจเป็นอันตรายได้ เหมือนหิมะลูกหนึ่งในมือที่เขย่าเพียงนิดเดียวก็ละลาย
ในความอ่อนแอนั้น เด็กน้อยรักษาความอบอุ่นของเธอไว้ด้วยการนอนหลับ หายใจอย่างแผ่วเบา ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ร่างกายเล็กๆจะทำได้ในตอนนี้
"ไม่ต้องห่วง เธอกำลังหลับอยู่น่ะ"
ขณะที่เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน แม่ของเธอก็พักผ่อนอยู่บนที่นอน ส่งยิ้มมาทางพวกเขา
ดูจากหน้าตาสะโหลสะเหลของเด็ก เธอยังน่าเป็นห่วงอยู่ ผิวของเธอก็ดูไม่ดี ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รวมเรื่องใบหน้าที่งดงามราวกับอัญมณีของเธอ
นอกจากนี้ สีสันแห่งความสุขก็ทำให้รอยยิ้มของเธอเฉิดฉาย และลบเลือนความเหน็ดเหนื่อยซึ่งบั่นทอนความอ่อนโยนของเธอไป
"เธอชอบดื้อแถมชอบร้องไห้ทุกทีเวลาเจอนางพยาบาลซึ่งเธอควรจะชินได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมโดนอุ้มเงียบๆ... เธอคงเข้าใจสินะ ว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะคุณเป็นคนดี"
"..."
ชายหนุ่มไม่ตอบกลับ และตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาเปรียบเทียบแม่บนเตียงกับเด็กน้อยในแขนของเขา รอยยิ้มของไอรีสฟีลสดใสถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ตอนแรกเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขน้อยนิดนัก ไม่มีใครคิดจะให้ความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขแก่เธอเลย พระเจ้าไม่ได้สร้างเธอ แต่เธอกำเนิดมาด้วยน้ำมือของมนุษย์... ในฐานะโฮมุนครุส ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงคนนี้ ไอรีสฟีลไม่เคยมีความปรารถนาใดๆเลย
ถูกสร้างมาอย่างตุ๊กตา ถูกเลี้ยงมาอย่างตุ๊กตา บางทีเธอคงจะไม่รู้จักความหมายของคำว่าความสุขตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
แต่ตอนนี้ --- เธอกำลังส่องประกาย
"ชั้นดีใจที่ได้ให้กำเนิดเด็กคนนี้"
ไอรีสฟีล ฟอน ไอนส์เบิร์นพูดโดยดึงความรักของเธอออกมาอย่างเงียบงัน คอยดูแลเด็กน้อยผู้หลับไหล
"จากนี้ไป เธอจะเป็นสิ่งแรกที่ลอกเลียนแบบมนุษย์ มันอาจจะลำบากสักหน่อย และเธอคงจะเกลียดแม่ของเธอที่ทำให้เธอมีชีวิตอันแสนทรมานนี้ แต่ช่างมันเถอะนะ ชั้นมีความสุขเหลือเกิน เด็กคนนี้น่ารักมาก วิเศษที่สุดเลย"
ดูภายนอกเธอไม่ต่างจากเด็กปกติธรรมดาทั่วไปเป็นทารกน้อยน่ารักคนหนึ่ง แต่กระนั้น -----
ขณะที่เธออยู่ในครรภ์ของแม่ต้องใช้การรักษาทางเวทมนตร์มากมายกับร่างที่ยังไม่กำเนิดจึงสามารถปรับสภาพของเธอจนเป็นแบบนี้ได้ เธอคนนี้ต่างจากมนุษย์ยิ่งกว่าแม่ของเธอเสียอีก และถึงแม้จะเกิดมาแล้วเธอก็ถูกกำหนดหน้าที่มากมาย เพราะร่างกายซึ่งมีกลุ่มก้อนของวงจรเวทมนตร์จำนวนมหาศาล ซึ่งไม่แปลกเลยสำหรับลูกสาวสุดที่รักของไอรีสฟีล
แม้จะกำเนิดออกมาอย่างโหดร้าย ไอรีสฟีลยังคงพูดว่า "ไม่เป็นไร" การได้ให้กำเนิด การที่ได้กำเนิดมา เธอรักตัวตนนี้ ภาคภูมิใจกับมัน รวมทั้งยิ้มให้กับมัน
ที่เธอแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ มีเครื่องค้ำจุนจิตใจได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะ 'ความเป็นแม่' นั่นเอง
เด็กหญิงที่เคยเป็นแค่ตุ๊กตา พบกับความรักและเติบโตเป็นหญิงสาว จากนั้นก็ได้ความแข็งแกร่งที่ไม่มีวันสั่นคลอนจากความเป็นแม่ ทั้งหมดคือ'ความสุข'ที่ไม่มีใครมาเหยียบย่ำมันได้ แต่ตอนนี้ ห้องนอนของแม่กับเด็กน้อยซึ่งได้รับการปกป้องจากเตาผิงอุ่นๆ ดูแล้วไม่ต่างไปจากคำว่าสิ้นหวังและทุกข์ทนเลย
ทว่า ----- ชายหนุ่มรู้ดี ว่าโลกที่เขาอาศัยอยู่นั้น ไม่สามารถหลีกหนีจากพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอยู่นอกหน้าต่างได้
"ไอริ ชั้น ------- "
เขาพูดคำคำหนึ่งออกมา และรู้สึกเหมือนโดนดาบแทงเข้ากลางใจ ดาบนั้นคือใบหน้าที่หลับไหลอย่างสงบของทารกน้อยกับรอยยิ้มสว่างไสวของผู้เป็นแม่
"สักวันนึงชั้นจะต้อง ถูกโชคชะตาบังคับให้มาฆ่าเธอ"
เขารู้สึกราวกับจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด ไอรีสฟีลพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยมให้กับเขา
"ชั้นเข้าใจค่ะ แน่นอน มันเป็นสิ่งที่ไอนส์เบิร์นคาดหวังไว้ เพราะตัวชั้นเกิดมาเพื่อสิ่งนี้"
นั่นคืออนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
6ปีผ่านไป ชายหนุ่มต้องนำภรรยาของตนเองไปฝัง ในฐานะผู้รับเคราะห์เพื่อช่วยโลกนี้เอาไว้ ไอรีสฟีลกลายเป็นผู้ถูกสังเวยให้กับอุดมคติของเขา
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเคยคุยกันหลายครั้งแล้ว ซึ่งทั้งสองก็ตัดสินใจยอมรับมัน
ชายหนุ่มร่ำไห้ออกมาจากใจในการเลือกครั้งนั้น สาปแช่งตนเองหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้ง ไอรีสฟีลจะให้อภัยและให้กำลังใจกับเขา
"ชั้นเข้าใจอุดมคติของคุณค่ะ และชั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในคำภาวนาของคุณ ชั้นถึงมาอยู่ที่ตรงนี้ คุณเป็นคนนำทางให้ชั้น คุณเป็นคนให้ชีวิตที่ไม่ใช่ตุ๊กตาแก่ชั้นคนนี้"
เพื่ออุดมคติเดียวกัน เธอสังเวยตนเอง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งนั่นก็คือความรักในแบบของผู้หญิงที่ชื่อไอรีสฟีล เพราะเป็นเธอ ชายหนุ่มถึงได้ยอมรับมัน
"คุณไม่จำเป็นต้องเศร้าใจเพื่อชั้นหรอกค่ะ ตอนนี้ชั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ แค่เจ็บปวดให้กับการจากกันก็พอแล้ว"
"... ถ้างั้น แล้วเธอล่ะ?"
ร่างของทารกนั้นเบาราวกับขนนก กระนั้นน้ำหนักที่มองไม่เห็นก็ทำให้ขาของชายหนุ่มสั่นไหว
เขายังไม่เข้าใจ และยังไม่พร้อม เขาจะทำยังไงดีเมื่อเด็กคนนี้ขัดกับอุดมคติเขาแบกรับไว้
ไม่สามารถตัดสินใจและให้อภัยในเส้นทางชีวิตของชายผู้นี้ได้ เค้ายังมีพลังไม่พอสำหรับเรื่องแบบนี้
ทว่า แม้จะเป็นชีวิตอันแสนบริสุทธิ์ อุดมคติของเขาก็ไม่อาจเมตตา
ไม่มีชีวิตใดที่ต่ำต้อยหรือสูงค่า ทั้งหมดนั้นเท่า --
"ชั้น...ไม่มีคู่ควรจะอุ้มเด็กคนนี้"
ชายหนุ่มเค้นเสียงพูด ราวกับจิตใจของเขากำลังจะแตกสลายด้วยความบ้าคลั่ง
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนแก้มอวบอูมสีชมพูของเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขา
เขาสะอึกสะอื้นอย่างเงียบงัน และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
เพื่อที่จะล้มล้างความไร้หัวใจของโลกใบนี้ เขากลับต้องเป็นคนที่ไร้หัวใจยิ่งกว่า...แต่ถึงกระนั้น กับชายที่ยังมีคนที่ตนรัก ในที่สุดเขาก็ถูกลงโทษด้วยการลงทัณฑ์ที่ร้ายกาจที่สุด
คนที่เขารักที่สุดในโลก
แม้มันจะทำให้โลกนี้ต้องล่มสลาย เขาก็อยากจะปกป้อง
แต่ชายหนุ่มเข้าใจดี เมื่อถึงเวลาที่ความถูกต้องที่เขาเชื่อมั่นสั่งให้เขาสังเวยชีวิตอันใสสะอาดมาถึง --- ชายที่ชื่อ เอมิยะ คิริทสึงุ จะตัดสินใจอย่างไร?
คิริทสึงุร่ำไห้ กลัวว่าวันนั้นจะมาถึงสักวัน หวาดกลัวโอกาสเพียงหนึ่งในพันนั้น
แขนสองข้างอันอบอุ่นของเขาโอบกอดตัวเองไว้แน่น ไอรีสฟีลลุกจากเตียงของเธอและค่อยๆวางมือของเธอบนไหล่ของสามีที่เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างอ่อนโยน
" อย่าลืมสิคะ มันเป็นความฝันของคุณไม่ใช่เหรอ? โลกที่ไม่มีใครต้องร้องไห้แบบนี้ อีกแปดปี... แล้วการต่อสู้ของคุณจะจบลง เราจะแบกรับอุดมคตินี้ไว้ ชั้นมั่นใจว่าจอกจะต้องช่วยคุณได้แน่"
ภรรยาของเขาเข้าใจความเจ็บปวดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง และปลอบโยนคิริทสึงุด้วยความเมตตาที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
"หลังจากวันนั้นไป คุณต้องโอบอุ้มเด็กคนนี้ --- อิลย่าสฟีล ไว้อีกครั้ง แล้วเป็นที่พึ่งให้กับเธอในฐานะพ่อธรรมดาๆคนนึง"
เรื่องราวของชายผู้เชื่อมั่นในอุดมคติของตนเองยิ่งกว่าใครๆ และเพราะแบบนั้นเอง เขาจึงมุ่งไปสู่ความสิ้นหวัง
ความฝันของชายหนุ่มแสนบริสุทธิ์
เขาต้องการให้คนทั้งโลกมีความสุขเท่านั้นเอง
มันเป็นความคิดในอุดมคติที่เด็กผู้ชายทุกคนเคยคิดจะทำ แต่พวกเขาก็ละทิ้งมันไปเมื่อชินชากับความเป็นจริงอันโหดร้าย
ความสุขทุกชนิดแลกมาด้วยสิ่งตอบแทน ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นเท่านั้น
ทว่าชายคนนี้ต่างออกไป
บางทีเค้าคงจะเป็นคนที่โง่ที่สุด หรือไม่เค้าก็อาจจะสติไม่ดี ไม่ก็ เป็นคนประเภทที่เราเรียกกันว่า"นักบุญ"ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆไม่อาจเข้าใจ
เขาคิดว่าทุกสิ่งในโลกนี้แบ่งได้เพียงสองประเภท คือผู้เสียสละ และ ผู้รอดชีวิต...
เมื่อเขาเข้าใจว่าไม่อาจทำให้ฝันอันว่างเปล่าของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้...
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ตั้งใจจะเป็นผู้ที่อยู่ ณ จุดยอดของตาชั่ง
การจะบรรเทาความโศกเศร้าของโลกนี้ มีเพียงหนทางเดียวที่ได้ผลที่สุด
หากต้องการจะช่วยใครสักคนจากทางฟากหนึ่ง เขาจำต้องละทิ้งหนึ่งชีวิตของอีกฟากหนึ่งไป
ซึ่งก็คือ การจะช่วยคนส่วนมากให้รอดชีวิตได้นั้น เขาต้องสังหารผู้คนที่เป็นส่วนน้อยนั่นเอง
เพื่อการนั้น ยิ่งไปกว่าการช่วยเหลือผู้คนและเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น เขาจึงสำเร็จศิลปะแห่งการฆ่า
วันแล้ววันเล่า เขาได้แต่ละเลงสีเลือดลงบนมือของตนเอง แต่ชายคนนี้ก็ไม่เคยลังเลแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่เคยตั้งคำถาม ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่เคยสงสัยในเป้าหมายของตัวเอง เขาดั้นด้นจนไปถึงยอดตาชั่งนั้น
เขาไม่เคยพิจารณาคุณค่าของชีวิตผิดไปเลย
ไม่มีใครต้อยต่ำ ไม่มีใครสูงศักดิ์เลิศเลอ ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน เขาช่วยชีวิตโดยไม่เลือก และเขาพรากชีวิตโดยไม่เลือกเช่นกัน
ทว่าเขารู้สึกตัวช้าเกินไป
การจะกำหนดคุณค่าของทุกสิ่งให้เท่าเทียมกัน หมายความว่าเขาต้องไม่ให้ความรักกับใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ
หากเขาสามารถฝังมันลงไปในจิตใต้สำนึกได้เร็วกว่านี้ เขาก็คงจะหลุดพ้นจากความทรมาน
เขาผนึกจิตใจตัวเองไว้เป็นร่างไร้วิญญาณ เปลี่ยนตัวเองเป็นเครื่องจักรอันเที่ยงตรงที่ปราศจากเลือดและน้ำตา เป็นผู้กำหนดชะตาว่าใครควรจะตาย และใครควรจะอยู่ จากนี้เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
แต่ชายหนุ่มกลับคิดผิด
รอยยิ้มของผู้คนยังทำให้เขาภูมิใจ และเสียงโอดครวญจากใครๆก็ยังทำให้จิตใจเขาสั่นคลอน
ความโกรธเปลี่ยนความสำนึกผิดของเขาจนกลายเป็นความเศร้าเสียใจ และน้ำตาแห่งความเดียวดายนั้นก็หวังจะให้มีใครมาโอบอุ้ม
แม้ความมุ่งมั่นสู่อุดมคติของเขาจะมีอำนาจเหนือกว่าเหตุผลใดๆในโลก — เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์เกินไป
กี่ครั้งแล้วนะ ที่มีคนโดนลงโทษเพราะความโลเลนี้
เขารู้จักมิตรภาพ เขารู้จักความรัก
แม้เขาจะนำชีวิตของคนที่รัก กับคนไม่รู้จักนับไม่ถ้วนไปวางไว้บนด้านซ้ายและด้านขวาของตาชั่ง—
เขาก็ไม่เคยเลือกทางที่ผิด
ยิ่งกว่าการที่จะรักใครสักคน เพื่อที่จะตัดสินทุกชีวิตนั้นอย่างเท่าเทียม เขาจะต้องยุติธรรม และยุติธรรมจนหยดสุดท้าย
แม้จะเป็นคนที่มีค่าต่อเขาเพียงใด เขาก็ได้แต่เศร้าโศกไปเท่านั้นเอง
และบัดนี้ เขาก็กำลังจะถูกลงโทษด้วยบทลงทัณฑ์ที่ร้ายแรงที่สุด
นอกหน้าต่างนั้น พายุหิมะแช่แข็งทุกสิ่ง ค่ำคืนกลางหน้าหนาวกำลังแช่ผืนป่าให้เป็นน้ำแข็ง
ห้องห้องนั้นอยู่ในปราสาทเก่าๆที่ถูกสร้างด้วยดินแช่แข็ง แต่ก็ได้ไออุ่นของเปลวไฟในเตาผิงช่วยปกป้องเอาไว้
ใต้หลังคาอันอบอุ่นนั้น เขากำลังโอบอุ้มชีวิตใหม่อยู่ในอ้อมแขน
ช่างเล็กเหลือเกิน — ร่างกายแสนบอบบางที่ไม่มั่นคงนี้บอกได้เลยว่ายังไม่พร้อมจะเผชิญโลกภายนอก
แรงกระแทกนิดเดียวก็อาจเป็นอันตรายได้ เหมือนหิมะลูกหนึ่งในมือที่เขย่าเพียงนิดเดียวก็ละลาย
ในความอ่อนแอนั้น เด็กน้อยรักษาความอบอุ่นของเธอไว้ด้วยการนอนหลับ หายใจอย่างแผ่วเบา ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ร่างกายเล็กๆจะทำได้ในตอนนี้
"ไม่ต้องห่วง เธอกำลังหลับอยู่น่ะ"
ขณะที่เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน แม่ของเธอก็พักผ่อนอยู่บนที่นอน ส่งยิ้มมาทางพวกเขา
ดูจากหน้าตาสะโหลสะเหลของเด็ก เธอยังน่าเป็นห่วงอยู่ ผิวของเธอก็ดูไม่ดี ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รวมเรื่องใบหน้าที่งดงามราวกับอัญมณีของเธอ
นอกจากนี้ สีสันแห่งความสุขก็ทำให้รอยยิ้มของเธอเฉิดฉาย และลบเลือนความเหน็ดเหนื่อยซึ่งบั่นทอนความอ่อนโยนของเธอไป
"เธอชอบดื้อแถมชอบร้องไห้ทุกทีเวลาเจอนางพยาบาลซึ่งเธอควรจะชินได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมโดนอุ้มเงียบๆ... เธอคงเข้าใจสินะ ว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะคุณเป็นคนดี"
"..."
ชายหนุ่มไม่ตอบกลับ และตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาเปรียบเทียบแม่บนเตียงกับเด็กน้อยในแขนของเขา รอยยิ้มของไอรีสฟีลสดใสถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ตอนแรกเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขน้อยนิดนัก ไม่มีใครคิดจะให้ความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขแก่เธอเลย พระเจ้าไม่ได้สร้างเธอ แต่เธอกำเนิดมาด้วยน้ำมือของมนุษย์... ในฐานะโฮมุนครุส ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงคนนี้ ไอรีสฟีลไม่เคยมีความปรารถนาใดๆเลย
ถูกสร้างมาอย่างตุ๊กตา ถูกเลี้ยงมาอย่างตุ๊กตา บางทีเธอคงจะไม่รู้จักความหมายของคำว่าความสุขตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
แต่ตอนนี้ --- เธอกำลังส่องประกาย
"ชั้นดีใจที่ได้ให้กำเนิดเด็กคนนี้"
ไอรีสฟีล ฟอน ไอนส์เบิร์นพูดโดยดึงความรักของเธอออกมาอย่างเงียบงัน คอยดูแลเด็กน้อยผู้หลับไหล
"จากนี้ไป เธอจะเป็นสิ่งแรกที่ลอกเลียนแบบมนุษย์ มันอาจจะลำบากสักหน่อย และเธอคงจะเกลียดแม่ของเธอที่ทำให้เธอมีชีวิตอันแสนทรมานนี้ แต่ช่างมันเถอะนะ ชั้นมีความสุขเหลือเกิน เด็กคนนี้น่ารักมาก วิเศษที่สุดเลย"
ดูภายนอกเธอไม่ต่างจากเด็กปกติธรรมดาทั่วไปเป็นทารกน้อยน่ารักคนหนึ่ง แต่กระนั้น -----
ขณะที่เธออยู่ในครรภ์ของแม่ต้องใช้การรักษาทางเวทมนตร์มากมายกับร่างที่ยังไม่กำเนิดจึงสามารถปรับสภาพของเธอจนเป็นแบบนี้ได้ เธอคนนี้ต่างจากมนุษย์ยิ่งกว่าแม่ของเธอเสียอีก และถึงแม้จะเกิดมาแล้วเธอก็ถูกกำหนดหน้าที่มากมาย เพราะร่างกายซึ่งมีกลุ่มก้อนของวงจรเวทมนตร์จำนวนมหาศาล ซึ่งไม่แปลกเลยสำหรับลูกสาวสุดที่รักของไอรีสฟีล
แม้จะกำเนิดออกมาอย่างโหดร้าย ไอรีสฟีลยังคงพูดว่า "ไม่เป็นไร" การได้ให้กำเนิด การที่ได้กำเนิดมา เธอรักตัวตนนี้ ภาคภูมิใจกับมัน รวมทั้งยิ้มให้กับมัน
ที่เธอแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ มีเครื่องค้ำจุนจิตใจได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะ 'ความเป็นแม่' นั่นเอง
เด็กหญิงที่เคยเป็นแค่ตุ๊กตา พบกับความรักและเติบโตเป็นหญิงสาว จากนั้นก็ได้ความแข็งแกร่งที่ไม่มีวันสั่นคลอนจากความเป็นแม่ ทั้งหมดคือ'ความสุข'ที่ไม่มีใครมาเหยียบย่ำมันได้ แต่ตอนนี้ ห้องนอนของแม่กับเด็กน้อยซึ่งได้รับการปกป้องจากเตาผิงอุ่นๆ ดูแล้วไม่ต่างไปจากคำว่าสิ้นหวังและทุกข์ทนเลย
ทว่า ----- ชายหนุ่มรู้ดี ว่าโลกที่เขาอาศัยอยู่นั้น ไม่สามารถหลีกหนีจากพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอยู่นอกหน้าต่างได้
"ไอริ ชั้น ------- "
เขาพูดคำคำหนึ่งออกมา และรู้สึกเหมือนโดนดาบแทงเข้ากลางใจ ดาบนั้นคือใบหน้าที่หลับไหลอย่างสงบของทารกน้อยกับรอยยิ้มสว่างไสวของผู้เป็นแม่
"สักวันนึงชั้นจะต้อง ถูกโชคชะตาบังคับให้มาฆ่าเธอ"
เขารู้สึกราวกับจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด ไอรีสฟีลพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยมให้กับเขา
"ชั้นเข้าใจค่ะ แน่นอน มันเป็นสิ่งที่ไอนส์เบิร์นคาดหวังไว้ เพราะตัวชั้นเกิดมาเพื่อสิ่งนี้"
นั่นคืออนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
6ปีผ่านไป ชายหนุ่มต้องนำภรรยาของตนเองไปฝัง ในฐานะผู้รับเคราะห์เพื่อช่วยโลกนี้เอาไว้ ไอรีสฟีลกลายเป็นผู้ถูกสังเวยให้กับอุดมคติของเขา
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเคยคุยกันหลายครั้งแล้ว ซึ่งทั้งสองก็ตัดสินใจยอมรับมัน
ชายหนุ่มร่ำไห้ออกมาจากใจในการเลือกครั้งนั้น สาปแช่งตนเองหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้ง ไอรีสฟีลจะให้อภัยและให้กำลังใจกับเขา
"ชั้นเข้าใจอุดมคติของคุณค่ะ และชั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในคำภาวนาของคุณ ชั้นถึงมาอยู่ที่ตรงนี้ คุณเป็นคนนำทางให้ชั้น คุณเป็นคนให้ชีวิตที่ไม่ใช่ตุ๊กตาแก่ชั้นคนนี้"
เพื่ออุดมคติเดียวกัน เธอสังเวยตนเอง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งนั่นก็คือความรักในแบบของผู้หญิงที่ชื่อไอรีสฟีล เพราะเป็นเธอ ชายหนุ่มถึงได้ยอมรับมัน
"คุณไม่จำเป็นต้องเศร้าใจเพื่อชั้นหรอกค่ะ ตอนนี้ชั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ แค่เจ็บปวดให้กับการจากกันก็พอแล้ว"
"... ถ้างั้น แล้วเธอล่ะ?"
ร่างของทารกนั้นเบาราวกับขนนก กระนั้นน้ำหนักที่มองไม่เห็นก็ทำให้ขาของชายหนุ่มสั่นไหว
เขายังไม่เข้าใจ และยังไม่พร้อม เขาจะทำยังไงดีเมื่อเด็กคนนี้ขัดกับอุดมคติเขาแบกรับไว้
ไม่สามารถตัดสินใจและให้อภัยในเส้นทางชีวิตของชายผู้นี้ได้ เค้ายังมีพลังไม่พอสำหรับเรื่องแบบนี้
ทว่า แม้จะเป็นชีวิตอันแสนบริสุทธิ์ อุดมคติของเขาก็ไม่อาจเมตตา
ไม่มีชีวิตใดที่ต่ำต้อยหรือสูงค่า ทั้งหมดนั้นเท่า --
"ชั้น...ไม่มีคู่ควรจะอุ้มเด็กคนนี้"
ชายหนุ่มเค้นเสียงพูด ราวกับจิตใจของเขากำลังจะแตกสลายด้วยความบ้าคลั่ง
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนแก้มอวบอูมสีชมพูของเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขา
เขาสะอึกสะอื้นอย่างเงียบงัน และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
เพื่อที่จะล้มล้างความไร้หัวใจของโลกใบนี้ เขากลับต้องเป็นคนที่ไร้หัวใจยิ่งกว่า...แต่ถึงกระนั้น กับชายที่ยังมีคนที่ตนรัก ในที่สุดเขาก็ถูกลงโทษด้วยการลงทัณฑ์ที่ร้ายกาจที่สุด
คนที่เขารักที่สุดในโลก
แม้มันจะทำให้โลกนี้ต้องล่มสลาย เขาก็อยากจะปกป้อง
แต่ชายหนุ่มเข้าใจดี เมื่อถึงเวลาที่ความถูกต้องที่เขาเชื่อมั่นสั่งให้เขาสังเวยชีวิตอันใสสะอาดมาถึง --- ชายที่ชื่อ เอมิยะ คิริทสึงุ จะตัดสินใจอย่างไร?
คิริทสึงุร่ำไห้ กลัวว่าวันนั้นจะมาถึงสักวัน หวาดกลัวโอกาสเพียงหนึ่งในพันนั้น
แขนสองข้างอันอบอุ่นของเขาโอบกอดตัวเองไว้แน่น ไอรีสฟีลลุกจากเตียงของเธอและค่อยๆวางมือของเธอบนไหล่ของสามีที่เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างอ่อนโยน
" อย่าลืมสิคะ มันเป็นความฝันของคุณไม่ใช่เหรอ? โลกที่ไม่มีใครต้องร้องไห้แบบนี้ อีกแปดปี... แล้วการต่อสู้ของคุณจะจบลง เราจะแบกรับอุดมคตินี้ไว้ ชั้นมั่นใจว่าจอกจะต้องช่วยคุณได้แน่"
ภรรยาของเขาเข้าใจความเจ็บปวดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง และปลอบโยนคิริทสึงุด้วยความเมตตาที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
"หลังจากวันนั้นไป คุณต้องโอบอุ้มเด็กคนนี้ --- อิลย่าสฟีล ไว้อีกครั้ง แล้วเป็นที่พึ่งให้กับเธอในฐานะพ่อธรรมดาๆคนนึง"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น