ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Begin with the \"DEATH\"

    ลำดับตอนที่ #2 : cHaPtEr 2 : รับ!?

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 48




    Begin with the death[after my lifetime\'s O.V.E.R.] เริ่มที่ตายเเต่สุดท้ายที่...มัจจุราช    นี่คือชื่อเต็มๆของเรื่องนี้ เเต่การที่ชื่อยาว  ทำให้เกิดความยากลำบากในการพิมพ์ชื่อเหลือหลาย  เลยเอามันสั้นเเค่นั้น(เองจริงๆนะ) อย่างลืมเมนต์นะ- -+



    ปล.อาจต้องทำใจนิดหน่อยเพราะอาคิราภ์เป็นเด็กผู้หญิงที่นิสัยไม่ดีเลย  ชอบสบถอยู่เรื่อย เด็กดีไม่ควรทำนะเจ้าคะ- -\"    

    ปล2.พยายามเเก้ให้อ่านง่ายขึ้น  หวังว่าอาการจะดีขึ้นนะฮับ





    cHaPtEr 2 :  รับ!?





    “สาวน้อย ได้เวลาที่เราจะมาเอาคำตอบแล้วนะ”ลีนาใช้ดวงตาปูดโปนจ้องมองฉันแล้วยิ้มอย่าง แสยะๆในสายตาของฉัน

    “ฉันรู้”

    “มาเถอะสาวน้อย มีคนกำลังรอเธออยู่”

    “ใคร?”

    “เดี๋ยวก็รู้นั่นแหละน่า”

                



                                                ลีนาพาฉันมาที่คาเฟ่แห่งเดิม  ที่นั่น ที่โต๊ะตัวเดิม มีคนสองคนนั่งคุยกันอยู่ คนหนึ่งคือมีนา ส่วนอีกคนคือไซเรน  เธอยังคงแต่งกายคล้ายๆแบบเดิม

    “มาแล้วจ้า สาวน้อยผู้โชคดีมาแล้ว”ลีนาร้องอย่างสดชื่น

    “ใครโชคดีไม่ทราบ” ฉันพูดลีนาหันมามองหน้าฉันครู่หนึ่ง

    “มานั่งสิคิราภ์”มีนาลุกให้ฉันนั่ง เขาเป็นคนที่ใจดีที่สุดแล้ว  เท่าที่ฉันจะนึกได้น่ะนะ... อ้อ อีกอย่างเขาไม่เรียกฉันว่าสาวน้อย

    “ตามที่ตกลงกันไว้  ฉันต้องการคำตอบ...”ไซเรนพูดขึ้นเรียบๆเหมือนพูดกับดินกับฟ้าเสียมากกว่าเช่นเคย

    “ถ้าฉันเลือกที่จะไม่รับข้อตกลงล่ะ”

    “เธอก็จะกลับไปอยู่ในที่เก็บวิญญาณ”

    “แล้วถ้าฉันเลือกรับข้อตกลงล่ะ”

    “เธอจะเลือกรับหรือไม่รับ ก็ช่างหัวเธอสิ” อยู่ฉันก็สูดลมหายใจแรงขึ้น ราวกับต้องการออกซิเจนโดยด่วน

    “ไม่เห็นต้องว่าฉันเลย!!”

    “....”

    “ได้!!...ฉันรับข้อตกลง”ฉันทุบโต๊ะเบาๆหนึ่งที  แต่ดูเหมือนมันจะแรงจนทำให้ขวดเครื่องปรุงกระเด้งขึ้นจากโต๊ะสัก 2-3 มิลฯ

    “เซนต์เอกสารนี่ซะ”ไซเรนไสกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ฉัน มันมีข้อความว่า

    เอกสารยืนยัน ‘รับ’ สถานะมัจจุราช

    (โดยกระทรวงแห่งความตาย  กรมจัดการความตาย  สังกัดใน สภาสูงยมมัจจุราช)





        ในนามของข้าพเจ้า ขอยอมรับสถานะแห่งมัจจุราช  

    ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะทำงานรับใช้ในฐานะมัจจุราช จวบจนวันแห่งการปลดปล่อยจะมาถึง





                                          ลงชื่อ

                                          ........................................





    รับรองเอกสาร

    AK.AP(เจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดแห่งกระทรวงแห่งความตาย)

    ลงวันที่  1 เมษายน  XX






    “ให้ตายสินี่อะไรน่ะ”  ลงชื่อบ้าลงชื่อบออะไรกัน...

    “จะรับอาหารอะไรดีคะ”พนักงานร้านร่างท้วมๆเดินฝ่าดงเก้าอี้เข้ามาหาเราทั้ง 4 คน

    “เอานี่ปากกา”มีนาส่งปากกาด้ามทองให้ฉัน ฉันรับมันมา แล้วยิ้มนิดๆให้เขาเป็นการขอบคุณ   แต่ฉันคิดผิด  ในขณะที่ฉันก้มหน้าลงพิจารณาเอกสารนั่นอีกครั้ง ปลายปากกาในมือของฉันจรดลงบนกระดาษแล้วเริ่มตวัดเป็นชื่อของฉัน โดยที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย



    “ไอ้ปากกานี่มันเป็นบ้าอะไรเนี่ย!!”

    “แล้วคุณล่ะคะจะรับอะไร”พนักงานร้านร่างท่วมถามขณะที่เคี้ยวหมากฝรั่งในปากของเธออยู่หยับๆเหมือนวัว

    “ว่าอะไรนะ!” ยัยพนักงานหน้าวัวนี่มองเห็นฉันได้อย่างไง!! ฉันเป็นวิญญาณนะ

    “ฉัน-ถาม-ว่า-คุณ-จะ-กิน-อะไร-หูแตกหรือไง” อ้อ...นี่คือพนักงานที่ต้องให้บริการลูกค้าสินะ

    “เหมือนเขา”ฉันชี้ไปทางมีนาโดยไม่ได้คิดอะไรเลย

    “ทวนรายการอีกครั้งนะคะ  คุณผู้หญิงสองคนรับนมร้อน  ส่วนคุณผู้ชายกับสาวน้อย รับเป็นครัวซองเนยสด  เบคอนกรอบพิเศษ  ไข่ลวกสองฟอง แซนวิชทูน่า 3 ชิ้น  สลัด  กาแฟดำสูตรเข้มข้น  นมหนึ่งลิตร   จะรับอะไรเพิ่มไหมคะ”จะบ้าหรอ เยอะขนาดนี้ฉันจะกินหมดได้ยังไง



    “อ้อ...ไม่ล่ะครับ”  ฉันอ้าปากค้างจนมันกว้างเหมือนเป็นกับดักที่รอผู้โชคร้าย

    “ไหนดูซิ!!” ลีนายื่นมือมาดึงกระดาษไปจากฉัน   แล้วมองดูมันอย่างรื่นรมย์

    “ยินดีต้อนรับสู่โลกของพวกเรา” มีนาและลีนาพูดพร้อมกันราวกับนัดหมาย  แต่รู้ไหม...ฉันไม่ยินดีด้วยสักนิด  ฉันรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ติดกับ



    “นี่เป็นของที่เธอต้องเอาติดตัว” ไซเรนไสมือถือมาทางฉัน  ก่อนจะหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาและถ่ายฉัน

    “ทำอะไรน่ะ”

    “ถ่ายรูป”ไซเรนตอบแล้วไสรูปมาให้ฉัน หน้าฉันเหมือนกบไม่มีผิด  และดูเหมือนเธอจะชอบไส... งั้นเธอจะรังเกียจไหม ที่ฉันจะบอกว่า ให้ ‘ไสหัวไปซะ’!!!

    “คิดเบาๆก็ได้อาคิราภ์”ไซเรนพูดแล้วมองหน้าฉันด้วยดวงตาไร้แววคู่นั้น

    “โดนซะแล้ว สาวน้อย”ลีนาแซว ในขณะเดียวกันอาหารก็ ‘ร่อน’ มาเสิร์ฟที่โต๊ะเรา

    “ไซเรนมีสัมผัสที่ 6 ไม่สิ 7 แรงมาก ควรจะระวังเวลาคิดอะไร  อย่าคิดเสียงดัง” มีนาพูดยิ้มๆ

    “เธอถึงเล่นต่อคำอยู่ตลอดเวลา เวลาที่อยู่ใกล้ๆฉัน”ไซเรนถามขึ้นลอยๆเหมือนไม่ได้พูดกับใครตรงนั้นเลย

    “แหม  โดนรู้จนได้”มีนาพูด ในขณะที่ไซเรนก้มลงเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษโน้ต

    “นี่งานของพวกเธอสองคน” ไซเรนยื่นกระดาษสองชิ้นให้มีนาและลีนา  ก่อนจะก้มหน้าก้มตากดมือถือ

    “ลำบากแย่เลยนะต้องเป็นคนกระจายงานแบบนี้ เป็นฉันคงกดจนมือหงิก”ลีนาพูดขึ้น

    “ก็จนกว่าระบบจะซ่อมเสร็จสนใจจะดูงานไหมอาคิราภ์”ไซเรนพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นเลย

    “ว่าไงนะ!?”











    “นี่เราจะไปไหนน่ะ”ฉันวิ่งตามไซเรนพร้อมทั้งตั้งคำถาม  แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยิน อันที่จริงๆเธอไม่สนใจต่างหากล่ะ

    “...”

    “เราจะไปไหนกัน”

    “นั่น”ไซเรนชี้มือไปอาคารสูงเสียดฟ้า ที่มีรถตำรวจและผู้คนรายล้อมอยู่ด้านล่าง กำลังแหงนหน้า คอแทบตั้งบ่ามองขึ้นไปข้างบน พลางวิภาควิจารณ์



    “นั่นอะไรน่ะ”

    “...” ไซเรนไม่ตอบแต่พาฉันเดินเข้าไปในตัวตึกอย่างไม่สะทกสะท้าน ตรงขึ้นลิฟต์หมายเลขหนึ่ง ซึ่งมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น4ชีวิต  ฉันหยุดยืนงงอยู่ตรงหน้าลิฟต์นั่นและ ไม่แน่ใจว่าตัวเองอ้าปากค้างด้วยหรือเปล่า



    “เออ...ไม่ทราบว่าจะไปหรือเปล่าครับ”ชายสวมแว่นตาคนหนึ่งชะโงกตัวออกมาถาม

    “ค..ค่ะๆ”  เขาเห็นฉันได้ยังไง!!

    “ชั้น 142 ค่ะ...ขอบคุณ”ไซเรนบอกเบาๆอย่างรักษามารยาท  ภายในลิฟต์เงียบกริบ   ในไม่ช้าเมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นสูงขึ้นไปเท่าไหร่  คนในลิฟต์ก็ค่อยๆทยอยหายไปทีละคนสองคนจนเหลือแค่ฉันกับไซเรน



    “ทำไมต้องขึ้นไปชั้นบนสุดนั่นด้วย”

    “เพราะฉันมาทำงานของฉันน่ะสิ”ไซเรนตอบอย่างเรียบเฉย พร้อมทั้งชูกระดาษโน้ตให้ฉันดู   ฉันรับมันมาพิจารณา



                    

    JJ.L Johnson

    Promper hotel  

    13.34.42






    “นี่มันกระดาษอะไร”

    “.....”ไซเรนเดินออกจากลิฟต์ไปทันทีที่ประตูเปิดออกกว้าง  ชั้นบนสุดของตึกนี้คือสระว่ายน้ำ  มีคนหลายสิบชีวิตกำลังมุงล้อมอะไรบางอย่าง พร้อมกับส่งเสียงโหวกเหวกจนฟังไม่ได้ศัพท์  ฉันและไซเรนเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปในกลุ่มไทยมุงทั้งหลายอย่างยากลำบาก



    “ไม่ ปล่อยให้ผมตายยยย!!!!!” เสียงชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบตึกกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง  น้ำตาท้วมใบหน้าไปหมด เสื้อผ้าเลอะเทอะ

    “คุณครับ ใจเย็นๆก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้  การตายไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีนะครับคุณ”ตำรวจนายหนึ่งตะโกนใสโทรโข่ง   แข่งกับสรรพเสียงที่ดังไปทั่ว



    “ไม่ไม่ไม่!!!ผมไม่ฟัง  ผมทำผิดพลาด ผมผิดเอง  ถ้าผมตายไปซะทุกอย่างจะดีขึ้น”

    “โธ่คุณครับ อย่าเลยครับ ข้างล่างนั่นถ้าตกลงไปจะเจ็บมากนะค---“ไซเรนเอื้อมมือไปจับมือตำรวจนายนั้นไว้

    “ฉันจัดการเองค่ะ”

    “เป็นญาติหรือครับ?” ไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงที่ชื่อไซเรน   โซเรนค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ชายคิดสั้นคนนั้น  เธอเอื้อมมือออกไปหาเขา  และดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง  ชายคนนั้นหันกลับมาฟัง แล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะเอื้อมมือออกมารับสัมผัส  ไซเรนกุมมือนั้นไว้เพียงครู่เดียว ดวงไฟสีขาวๆนวลตาก็ติดมือเธอออกมา  ในขณะเดียวกัน  มีร่างของสัตว์ชนิดหนึ่งหน้าตาประหลาดเกินกว่าจะเป็นสัตว์บนโลกนี้ได้เหมือนลิงที่มีเกร็ดตามตัว  และมีหัวเหมือนหมาป่าถูกค้อนทุบแรงๆสักร้อยครั้ง   มันไต่กำแพงมาทางคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว  ก่อนที่มันจะโผนตัวไปทางคนทั้งคู่!!!!!!



    “ไซเรน ระวัง!!!”ฉันร้องเสียงหลง แต่ขากลับไม่ขยับเอาซะเลย  ไซเรนเซถลาถอยหลังออกมา ในขณะที่เจ้าสัตย์ประหลาดหน้าตาแปลกๆนั่นกระโดดใส่ชายคิดสั้นคนนั้น



    “คุณพระช่วย!!!!”ฉันร้องอย่างตกใจอีกครั้ง แทบจะพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องจากทุกทิศทุกทาง   ชายคิดสั้นคนนั้นหายไปจากขอบตึก   เขาตกลงไปแล้ว!!!!!!!

    “ไม่เป็นไรนะครับคุณ”ตำรวจนายนั้นวิ่งเข้าไปถามไซเรน ที่นั่งอยู่กับพื้น ‘ทำท่าเหมือนตกใจ’ กับเหตุการณ์เมื่อครู่

    “ค่ะ...ไม่เป็นไร”

    “ต้องการให้ผมเรียกหน่วยพยาบาลไหมครับ?”

    “คิดว่าไม่ค่ะ….” นายตำรวจคนนั้นกลับไปหาเหล่าตำรวจด้วยกันอีกครั้ง  ขณะที่ไซเรนลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากชุด ด้วยสีหน้าไร้ซึ่งการบ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น



    “เธอทำแบบนั้นได้ยังไง!!!! เธอฆ่าผู้ชายคนนั้นตาย!!!!  ให้ตายสิเธอทำได้ยังไงกัน  เขาเป็นมนุษย์เหมือนกันนะ” ฉันร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบต่ำ น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งๆที่ฉันเองไม่รู้ตัว



    “หน้าที่ของเราคือ ‘ปลิดวิญญาณ’ มิใช่สังหาร”ไซเรนเดินผ่านฉันไปราวกับฉันไม่มีตัวตน

    “แต่เธอเพิ่งจะฆ่าเขาตายนะ!!!! เธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ ไม่รู้สึกเศร้าหรือรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำเลยเหรอ?”ฉันร้องตะโกนในขณะที่สองขาก้าวตาไซเรนไปเพื่อหาคำตอบ ไซเรนหยุดที่หน้าลิฟต์ รอจนลิฟต์มาแล้วเข้าไปยืนภายในอย่างเงียบๆ



    “ตามมา”ไซเรนออกคำสั่งสั้นๆ ฉันเงยหน้าขึ้นมาเธอ ทั้งน้ำตา  เงาร่างของใครคนหนึ่งก้าวเข้าไปในลิฟต์  เงานั้นคือชายคนที่เพิ่งจะตกจากตึกไปเมื่อครู่  ฉันก้าวเข้าไปในลิฟต์พยายามระงับเสียงสะอื้นให้เหลือน้อยที่สุด เราทั้งสองคนและอีกหนึ่งวิญญาณลงมาจนถึงชั้นล่างสุด

    “คุณไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆน่ะหรือ?”ฉันถามด้วยเสียงที่พยายามข่มให้เรียบที่สุดซ่อนรอยสะอื้นแห่งน้ำเสียงไว้  แม้จะไม่มิดนัก

    “ฉันไม่มีความรู้สึก ”ไซเรนตอบด้วยเสียงเรียบเฉยเช่นเคย  มันทำให้ฉันแทบคลั่ง

    “ใช่สินะ  ใช่แล้ว....”ฉันพูดด้วยเสียงกระซิบ  ในขณะเดียวกับลิฟต์ก็มาถึงชั้นล่างสุดและประตูก็เปิดออกกว้าง

    “เธอมันฆาตกรเลือดเย็น!!!!”ฉันตะโกนให้แผ่นหลังของไซเรน  เธอเดินจากไปแล้วพร้อมกับดวงวิญญาณที่เธอเพิ่งจะปลิดมา





            ฉันไม่รู้หรอกว่า ฉันตะโกนคำที่โหดร้าย  และน่ารังเกียจออกไปดังแค่ไหน...





    “ไงสาวน้อย ไปดูไซเรนทำงานมาแล้วใช่ไหม” ลีนาเดินเข้ามาหาฉันซึ่งกำลังเดินเตร่อยู่บนทางเท้าอันจอแจของย่านการค้า

    “....”

    “เป็นอะไรไป”มีนาซึ่งตามลีนามาถามขึ้นเบาๆ

    “พวกคุณทำได้ยังไง  ปลิดวิญญาณของชีวิตอื่นๆ”

    “นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่นี่ล่ะความเจ็บปวด เศร้าเสียใจ คือพันธะสัญญาเพื่อแลกกับร่างกายอันเป็นอมตะ เรื่องที่เธอพบเห็นวันนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของงานเรา   ต่อไปเธอจะต้องพบเจอสิ่งที่ยากยิ่งกว่านี้”มีนานั่งคุกเข่าลงเงยหน้ามองฉัน



    “มาเถอะ  เรายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ คืนนี้เธอต้องมีที่พัก”ลีนาจับข้อมือของฉันเขย่าเบาๆปลอบขวัญ  เราสามคนออกเดินไปตามกระแสการดำเนินชีวิตของเหล่ามนุษย์







    “โอ๊ย!!ลีนา พอเถอะนะ ฉันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”ฉันร้องออกมาแล้วนั่งลงที่ม้านั่งตัวที่ใกล้ที่สุด

    “อีกนิดเดียวน่านะ”

    “พอเถอะลีนา  ฉันก็เดินไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”มีนาทรุดตัวลงนั่งข้างฉันแล้วพูด

    “เธอจะแกล้งฉันหรือไง  บ้านหลังแรก มีคนย้ายมาอยู่ใหม่แล้ว  บ้านหลังที่สองกำลังทุบทิ้ง   บ้านหลังที่สามนั่นยิ่งแย่ใหญ่ บ้านอย่างนั้นเขาไปเรียกว่าบ้านแล้ว  บ้านหลังที่สี่นั่นแย่ที่สุด  เธอจะบ้าหรือไง เจ้าของบ้านจะถึงฆาตในวันอังคารหน้า ตอนทุ่มสิบห้า  เธอรู้ไหม เธอเกือบทำพวกเราโดนฆ่าตาย  เธอไปหาว่าเขาตายแล้วไล่เขาให้ออกไปซะอีก  ดีนะที่หมอนั่นไม่หยิบลูกซองมายิงพวกเราตาย”ฉันพูดพลางนับนิ้ว



    “น่า~ หลังที่ห้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง”

    “เอาน่าคิราภ์เดินๆไปอีกนิดนึงแล้วกัน  เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าว”มีนาพูดอย่างเสียมิได้  ในขณะที่ฉันมองคนทั้งสองอย่างตัดพ้อ  แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นจนได้



    “เพราะบอกว่าจะเลี้ยงนะ”

    “ที่แท้ก็งก”มีนาพึมพำกับตัวเอง  ก่อนจะออกเดินตามลีนาที่เดินนำไหน้าไปแล้ว



                บ้านหลังที่ห้า  นั่นยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก  ตอนแรกที่เราเดินขึ้นเนินมาตามกำแพงยาวๆนั่น  พวกเราออกจะตื่นเต้น  

    “ว้าวบ้านนั่นกว้างชะมัด!!!”  พอลองเข้ามาดูข้างใน

    “โอ้โห สุดยอด หรูสุดๆ!!!”

    “น่าอยู่ใช่ไหมล่ะ”ลีนายืดอกอย่างภูมิใจ

    “นี่ในบันทึกนั่นบอกไว้หรือเปล่าว่า เจ้าของบ้านตายเพราะอะไร”มีนาถามแล้วชะโงกมองบันทึกเล่มเล็กบางนั่น

    “เอ่อเดี๋ยวนะ....เขาบอกว่า ถูกฆาตกรรมหมู่....” ฉันไม่ได้ฟังพวกเขาหรอก ฉันกำลังสนุกกับการชื่นชมบ้าน  ที่ฉันหวังว่ามันจะเป็นบ้านของฉัน  และในทันทีที่ฉันเหลือบสายตาเข้าไปในห้องครัว....



    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

    “อะไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  !!!!”ทั้งมีนาและลีนารีบวิ่งตามเข้ามาในครัว ในขณะที่ฉันหลับตาปี๋

    “โอ้ ฉันไม่คิดว่าจะสดขนาดนี้นะ”ลีนากล่าวแล้วเบ้หน้า  หลังจากมองชายหญิงหกคนที่ดับอนาถ  สี่คนอยู่ที่กำแพงร่องรอยของเลือดบอกว่าพวกเขาโดนยิงนัดเดียวจอด ที่กลางหน้าผาก  ผู้หญิงอีกคนนอนอยู่บนเคาท์เตอร์ ถูกมัดมือมัดเท้ามีร่องรอยของการซ้อมจนบอบช้ำและแน่นอนนัดเดียวจอดอีกเช่นเคย  และคนท้ายสุดนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตาแก๊ส  มีนาผลักเขาให้หงายหน้าขึ้น  แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี  ชายคนนั้นถูกทรมานจนวินาทีสุดท้าย  ตาเหลือกเบิกโพลง ใบหน้าที่ยับเยินจนหาเค้าเดิมแทบไม่ได้



    “ฉันไม่คิดจะอยู่บ้านนี้แล้วล่ะ”

    “อย่าคิดมากเลยคิราภ์  บ้านนี้หรูออกนะ”ลีนาพยายามยิ้มปลอบใจ

    “อีกเดี๋ยวหน่วยเก็บกวาดก็มาแล้วล่ะ”มีนาเสริมขึ้น

    “ไม่เอา!!!เดี๋ยวเกิดอยู่ๆไปแล้วเขามาทวงบ้านคืนล่ะ”

    “ไม่มีหรอน่า  ผีที่ไหนหลอกมัจจุราชกัน”ลีนาหัวเราะ  แต่ฉันขำไม่ออก

    “ไม่ ไม่ไม่ และไม่!!!!!!”

    “งั้นคืนนี้จะพักที่ไหน”

    “บ้านฉันไง”

    “เธอจะเข้าไปได้ยังไง ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเธอแล้ว”

    “ทำไมฉันจะเข้าบ้านตัวเองไม่ได้”

    “ตอนนี้เธออยู่ในกายเนื้อ  ใครๆก็มองเห็นเธอ เพราะตั้งแต่เธอสัมผัสกระดาษสัญญานั่นเธอก็มีกายเนื้อแล้ว  มีใครบ้างจะเปิดประตูต้อนรับลูกสาวที่เพิ่งจะจัดพิธีศพให้ไปหมาดๆบ้าง”  เออ...นั่นสิ



    “ งั้น...งั้นบ้านลีนาก็ได้”

    “ถ้าพักหนึ่งคืนได้ ก็จะเลื่อนไปเป็น สามคืน  หนึ่งสัปดาห์  สามเดือนและสุดท้ายก็ตลอดไป ฉันไม่เอาด้วยหรอก”

    “ขี้งก   งั้นฉันอยู่กับมีนาก็ได้”

    “บ้านมีนาเล็กเท่ารูหนู แถวรกจนมีกลิ่นแปลกๆอีก จะอยู่ได้แน่รึ?”

    “....”

    “เฮ่อ  ไปหาอะไรกินกันดีกว่า อย่าเถียงกันอีกเลย”มีนาตัดบทเรียบร้อย ในที่สุดเราทั้งสามก็ออกจากบ้านสุดหรู(แต่สยอง)นั่น   โดยสวนกับรถตำรวจแค่2วินาทีเท่านั้น...ละมั้งนะ









    “ทำไมนะสาวน้อย!  ทำไมเธอถึงเรื่องเยอะแบบนี้  ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ดี”ลีนาถอนหายใจยาว หลังจากลับมาจากการดูบ้านที่ไม่น่าภิรมย์เอาเสียเลย



    “ฉันไม่ได้เรื่องเยอะสักหน่อย!”ฉันร้องเสียงดัง  ในขณะที่มีนาส่งสัญญาณว่าให้เงียบๆหน่อย แล้วโทรศัพท์

    “เธอนั่นแหละเรื่องเยอะ”

    “ฮึ  แล้วพวกเธอไม่มีที่อื่นให้กินแล้วใช่ไหม  ถึงชอบกลับมาที่ร้านนี้นัก” ใช่แล้วที่นี่คือคาเฟ่เดิม  พนักงานบริการแย่เหมือนเดิม  หรืออาจแย่กว่านั้น  น่าแปลกที่ ที่นี่เปิดแทบจะตลอดคืน และคนแน่นทั้งวันเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเวลาไหน



    “ฉันเหนื่อยจัง  อยากกลับบ้านนอนแล้ว”ลีนาบนแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

    “เดี๋ยวก็ได้ จะรีบกลับไปฝันหวานถึงไหนไม่ทราบ”มีนาว่าแล้วหัวเราะ

    “ฉันไม่เหมือนนายนี่”

    “เอาน่าล้อเล่นเอง”

    “อืม  สาวน้อยฉันมีเรื่องจะบอกเธอต่อแต่นี้ไปพวกฉันจะไม่เลี้ยงข้าวเธอแล้วนะ  ถ้าเกิดพวกเราต้องเลี้ยงข้าวเธอทุกมื้ออย่างนี้  พวกเราจนตาย  รู้ไหม พวกเราเป็นมัจจุราชก็จริง แต่พวกเราก็ต้องใช้เงินในการจับจ่ายซื้อของไม่ต่างจากมนุษย์พวกนั้นเท่าไหร่  ดังนั้นเธอสมควรจะหางานทำได้แล้วนะ”



    “ว่าไงนะ~!!!”

    “อย่างที่ได้ยินจากลีนานั่นแหละ  ทุกคนต้องหาเงินใช้เอง  กระทรวงมีเงินเดือนให้เราก็จริงแต่มันไม่พอหรอกนะ  ถ้าอยู่แต่ในกระทรวงมันพอ  แต่เราต้องออกปฏิบัติงาน มันไม่มีทางพอ  แค่ค่าเดินทางเดือนหนึ่งก็หมดแล้ว  ดังนั้นเราเลยต้องหางานทำ  ลีนาเป็นนักตามของ เอ่อ..ฉันหมายถึงพวกที่รับตามหาของที่หายน่ะ  ส่วนฉันเป็นนักประดิษฐ์น่ะ”มีนาอธิบายแล้วตักสลัดคำใหญ่เข้าปาก



    “ฉันอายุ16นะ ใครที่ไหนจะจ้างฉัน!!!”

    “มีสิ คนที่อายุ16แล้วมีงานทำน่ะ”

    “ใครอีกล่ะ”

    “ไซเรน  อายุสิบหก(เทียบจากวันตาย อายุ16 ปีมัจจุราช) เริ่มทำงานเป็นนางแบบ  คิราภ์เห็นโปสเตอร์นั่นไหม”มีนาชี้ออกไปนอกหน้าต่างร้าน   โปสเตอร์ที่ติดอยู่บนยอดตึกขนาดใหญ่  รูปหญิงสาวนัยน์ตาดำขลับราวนิล แต่ลึกราวห้วงอวกาศ ถึงรูปจะไม่ถ่ายให้เห็นเต็มๆทั้งหน้า  แต่มองก็รู้ทันทีว่าคือไซเรน  



    “ไซเรนหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ สวยและมีเสน่ห์อย่างประหลาด ฉันเองก็ใฝ่ฝันว่าซักวันจะขอเป็นแบบไซเรนบ้าง”ลีนาพูดด้วยน้ำเสียงลอยๆดวงหน้าฝันหวาน



    “แค่หน้าตายังไม่ผ่าน  อย่าหวังเลยลีนา” มีนาว่าแล้วหัวเราะก๊าก  ลีนาค้อนขวับเข้าให้

    “แต่ฉันยังไม่สิบหกปีมัจจุราชอะไรนั่นเลยนะ”

    “เพราะปรกติ คนที่ได้รับคัดเลือกเป็นมัจจุราชจะต้อง สิบหกปีมัจจุราชขึ้นไปน่ะสิ  ของเธอเป็นกรณีพิเศษ”ยังไม่ทันที่ฉันจะอ้าปากพูดอะไร

    “มีนามีเรื่องอะไร” เสียงของใครคนหนึ่งคุ้นหู ดังขึ้นข้างตัวฉัน

    “ไงไซเรน มาแล้วหรือ  นั่งสิ”มีนาขยับที่นั่งเข้าไปข้างใน ให้ไซเรนนั่งลง

    “ไม่ล่ะ รีบ...ว่ามา”

    “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน คืออย่างนี้คิราภ์หาที่พักไม่ได้น่ะ  ฉันไม่รู้จะเอาไปฝากใคร” ไซเรนตวัดสายตามาทางฉันเพียงครู่เดียว โดยที่ฉันไม่สามารถอ่านสิ่งใดออกได้จากตาคู่นั้น มันไร้แววและลึกเกินกว่าจะคาดเดาได้



    “ก็เลยคิดจะฝากฉันสินะ”

    “อืม”มีนายิ้มแห้งๆให้ไซเรน

    “ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก”

    “เธอว่าอะไรนะ!! อย่ามาดูถูกกันนะ ยัยฆาต---“ฉันหุบปากลง ก่อนจะพูดจบแต่ฉันยังคงมองตาของไซเรน นัยน์ตาคู่นั้นไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย



    “ไซเรนบ้านเธอก็กว้าง  ฝากลูกหมาลูกแมวไว้สักตัวคงไม่เป็นไร”

    “แมวฉันมีแล้ว”

    “หือ?”

    “แต่ฉันยังไม่มีคนเลี้ยงแมว”

    “หือ?”มีนา ลีนา รวมทั้งฉันร้องเป็นเสียงเดียวกัน  บางครั้งผู้หญิงคนที่ชื่อไซเรนก็พูดจาเข้าใจยาก

    “ฉันจะรับเธอไว้เป็นคนเลี้ยงแมว”เท่านั้นแหละ เสียงหัวเราะของมีนาและลีนาก็ดังขึ้นอย่างสุดกลั้น

    “คนเลี้ยงแมว”มีนาหัวเราะก๊ากแล้วทวนคำว่า ‘คนเลี้ยงแมว’ เป็นสิบๆรอบ







                หลังจากนั้นฉายาที่ฉันได้คือมัจจุราชคนเลี้ยงแมว  คุณอาจเห็นว่ามันตลก  แต่ฉันไม่ตลกหรอกนะจะบอกให้....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×