ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : cHaPtEr1 :วันแห่งความตาย
คุยกันซักกะติ๊ด~: ก็สวัสดีทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะฮับ  ผมชื่อ\"อคิราภ์\" (ชื่อคล้ายตัวเอกชื่อนี้เลย)อิอิ เรื่องนี้เป็นของน้องสาวผมเองเเต่งไว้เเต่ฝากเอามาลง55+ ยังไงฝากผลงานของไอ้น้องฉาวไว้ด้วยนะฮับ  เมนต์ด้วยนะฮับ คอมเมนต์จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้เพื่อเเก้ไขนะฮับ หุหุ เเต่ผมว่าก่อนอื่นๆผมต้องเเก้ไขไอ้นิสัยของไอ้น้องฉาวคนนี้ซะก่อนเเล้ว  มันฝากผมลงอะไรต่อมิอะไรตลอดเลยเเหะ(หลายครั้งเเล้วนะ)
ปล.ผมกับน้องฉาวคงสิงสู่อยู่ในร่าง(นามปากกานี้)เดียวกันไปอีกหลายพัก เท่ากับว่า \"เมนต์ที 1 ได้ 2 คนนะขอรับ\"
มนุษย์ตายแล้วไปไหน?  ผี  วิญญาณ  มีจริงนะหรือ? ถ้าหากมันมีจริงแล้วอย่างอื่นล่ะ...อย่างอื่นอย่างเช่น....มัจจุราช
cHaPtEr1 :วันแห่งความตาย
        เช้าสดใสปลายเดือนมีนาคม อันร้อนอบอ้าวเหมือนเดือนเมษายน ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากที่นอนอันอ่อนนุ่ม 
“ตื่นแล้วหรือจ๊ะคิราภ์?”แม่ทักฉันตอนที่ฉันลงมาถึงห้องครัว
“ค่ะ แม่”
“นี่เดี๋ยวทานเสร็จแล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะ  วันนี้มีเรียนฟิสิกส์วันสุดท้ายแล้ว”ฉันพยักหน้ารับช้าๆ แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากอย่างเบื่อๆ
“พ่อละคะ”
“ไปทำงานแล้วจ๊ะ  เย็นนี้กลับดึกด้วยสิ  รีบทานเข้าสิจ๊ะ!!”
“แล้วไอ้น้องชายละคะ”
“เรียกน้องดีๆสิลูก!! รีบทานเข้า!”ฉันพยักหน้ารับอีกครั้งแล้วรีบจัดการกับอาหารตรงหน้าให้เร็วที่สุด....นี่เป็นประโยคพูดคุยยามเช้าของฉันที่คุยกับแม่และมันเป็นบทสนธนาระหว่างฉันกับแม่ที่ยาวที่สุดแล้วในแต่ละวัน
“อิ่มแล้วค่ะ”ฉันยกจานไปล้างแล้วไปอาบน้ำและแต่งตัวออกจากบ้าน  โดยที่ฉันไม่มีทางรู้ได้เลยว่า การพูดคุยกับแม่ และการออกจากบ้านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของฉัน.....
        ฉันใช้การเดินเพื่อจะเป็นการออกกำลังเสมอ อันที่จริงแล้วเพราะว่าป้ายรถประจำทางมันอยู่ไกล  จึงต้องเดินหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา  ฉันเดินเข้าซอยตัดออกมาที่ถนนใหญ่ ในขณะที่สองหูของฉันกำลังฟังเพลงโปรดด้วยอารมณ์ดีสุดๆ ฉันก็รีบข้ามตามคนอื่นๆที่ล่วงหน้าห่างจากฉันไปประมาณ 5 ก้าวแต่แล้ว ขาก็พาฉันไปยืนอยู่ที่กลางถนน  เสียงรถปีบแตรลั่นแล้วผ่านไป แม้หูทั้งสองข้างยังได้ยินเสียงเพลงอยู่แต่เสียงแตรก็ดังเสียดหูขึ้นมาแทนที่  ฉันอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นรถคันสีเหลืองส้มขนาดใหญ่มีแท็งก์บรรจุของเหลวพร้อมท่อดูดยาวพันๆไว้ข้างบน กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว  สมองสั่งให้ถอยสิ!!ถอยออกมา  แต่ขาก็ไม่ฟังคำสั่งอีกต่อไปแล้ว ฉันติดอยู่กลางถนน และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินคือ เสียงของหนักๆชนเข้ากับอะไรบางอย่าง...และสติทั้งหมดก็มืดดับลง
“เฮ้ย!!คนโดนรถชน” เสียงใครคนหนึ่งตะโกน ตามด้วยเสียงกรีดร้อง ซึ่งไม่ใช่ของฉันหรอก เพราะตอนนี้ตัวฉันหนักอึ้ง  แขนขาหนัก หนักไปเสียทุกส่วนแม้กระทั่งเปลือกตา  ฉันพยายามยกเปลือกตาขึ้นแต่มันไม่สำเร็จ ขอบตาของฉันร้อนผ่าว  แน่แล้ว...แน่แล้วจริงๆ คราวนี้ฉันจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อแม่  เพื่อนๆ หรือใครๆอีก
“อาคิราภ์...อาคิราภ์”เสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อฉัน
“ใครน่ะ!!”ฉันลืมตาขึ้นแล้วโดดลุกขึ้นนั่ง  อ้าว...ฉันยังไม่ตาย ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือ...มือยังไม่โปร่งแสง
“ฉันยังไม่ตาย”ฉันร้องอย่างดีใจ
“อา...เธอได้สติแล้ว  อาคิราภ์  ฉันดีใจด้วย  อาคิราภ์ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”ฉันซึ่งกำลังดีใจ หันกลับไปมองคนพูด คนๆนั้นเป็นหญิงสาวอายุมากกว่าฉัน3-4ปีได้ ผิวขาวเกือบซีด ผมสีเงินยาวอย่างยิ่งสยาย  มีผ้าสีแดงเข้มเหมือนสีเลือดผูกตาไว้
“เธอพูดว่าอะไรนะ....ฉันฟังไม่ชัด”
“อาคิราภ์ ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ไม่แม่แต่แสดงถึงความจริงใจ
“นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน  ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือของฉันก็ไม่ได้โปร่งแสงสักหน่อย เธอไปเอาที่ไหนมาพูด  นี่มันไม่ใช่วันที่ 1 เมษา เสียหน่อย!!!!”
“ลองหลับตานับหนึ่งถึงสามแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งสิ”
“ทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอสั่งด้วย”
“ทำ!!!  ฉันสั่งให้เธอทำ!!” หญิงสาวคนนั้นสั่งแล้วตาของฉันก็ปิดลงแน่นสนิทเหมือนเย็บมันติดเข้าด้วยกัน
“นับหนึ่งถึงสาม” เสียงสั่งเบาๆเหมือนลอยมาตามลมเข้าหู ฉันนับ1...2...3.....
“ลืมตาขึ้น  แล้วมองไปรอบๆ”  ตาของฉันเบิกโพล่ง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ  ให้ตายสิ!!!...ฉันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ  ข้างล่างนั่น  กลุ่มคนกำลังล้อมอะไรสักอย่างอยู่เป็นวงกลมกว้าง เมื่อฉันกระพริบตาอีกครั้ง ฉันกลับลงมายืนบนพื้นอีกครั้ง  ฉันแทรกตัวเข้าไปในวงนั้น  นั่น.....ร่างของฉันนอนอยู่ตรงนั้น มีเลือดท่วมไปหมด ศรีษะบิดไปอีกทาง  เห็นแล้วฉันรู้สึกคลื่นไส้  ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด  ทั้งที่รู้ว่านั่น!...คือตัวฉันเอง
“นั่นคือหลักฐานว่า เธอตายแล้ว  ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีก” ฉันถึงดึงกลับมายืนตรงหน้าหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้มีผมยาวสีเงินอีกแล้ว เธอผมสีดำสนิทเหมือนคนทั่วๆไป รวมเป็นหางม้าอย่างง่าย สวมชุดยีนส์ดูทะมัดทะแมง...และดูเท่มากในเวลาเดียวกัน  แต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับไร้แวว
“ตอนนี้เธอเป็นวิญญาณ ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”
“เออ ขอโทษครับมีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเลียบๆเคียงๆถามหญิงสาว
“ทำไมเขาถึงพูดกับเธอได้ล่ะก็ในเมื่อเธอก็เป็นวิญญาณเหมือนกัน”
“ไม่ทราบสิคะ”หญิงสาวตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง
“เพราะฉันมีกายเนื้อ  ในขณะที่เธอ กายเนื้อนอนอยู่ตรงนั้น”หญิงสาวชี้ไปที่ฝูงชนอีกครั้ง
“ฉันไม่มีเวลามากนัก ไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“ไปไหน  สวรรค์งั้นหรอ?!!!”ฉันร้องถามสุดเสียง หญิงสาวกลับหัวเราะ อย่างแห้งแล้ง  ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรน่าหัวเราะสักนิด
“ไม่!!เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์”
“งั้นนรกสินะ ฉันไม่น่าทำตัวแบบนั้นเลย”
“เปล่าเธอไม่ได้ไปนรก”
“อ้าวแล้วที่ไหนล่ะ”
“เธอจะไม่ได้ไหนทั้งนั้น”ฉันอ้าปากค้างอีกครั้งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินนำหน้าไป
“คุณหมายความว่ายังไง”ฉันวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไป ให้ตายสิ!นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
“ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้จนกว่าเราจะเดินไปถึงนั่น”หญิงสาวชี้มือไปที่คาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่งริมถนน
       
        ในคาเฟ่เล็กๆแห่งนั้นมีควันบุหรี่อบอวนไปหมด ถึงคุณจะเป็นวิญญาณก็เถอะ คุณอาจต้องอาศัยหน้ากากกันแก๊ซพิษ
“นั่งลง”หญิงสาวคนนั้นสั่งฉัน
“ทำไมฉันจะต้องทำตามคำสั่งคุณด้วย”
“ฉัน-บอก-ให้-นั่ง-ลง”สิ้นคำสั่งร่างกายของฉัน(อันที่จริงเป็นวิญญาณ)ก็นั่งแหมะลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เอาล่ะระหว่างฉันกำลังรอ  จะอนุญาตให้เธอถามคำถามได้สัก สองสามข้อ”
“ได้!!ถ้าฉันไม่ได้ไปทั้งสวรรค์หรือนรก และฉันจะไปไหน”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คำถามต่อไป”
“คุณเป็นใคร?”หญิงสาวมองหน้าฉันนิ่งอยู่อึดใจแล้วตอบ
“ฉันคือ....”
“มานานแล้วหรือ?”ชายหนุ่มตัวงอๆร่างสูงแขนขาเก้งก้าง และผมยุ่งๆลงมาปิดหน้าปิดตากับผู้หญิงแต่งหน้าเข้ม ตาโปนเหมือนกบ แต่งตัวจัดเดินเข้ามาทักทายแล้วนั่งลงข้างๆฉัน
“เด็กผู้โชคดีคนนั้นสินะ”หญิงคนนั้นพูดแล้วมองฉันอย่างพิจารณา
“คุณช่วยตอบคำถามของฉันก่อนได้ไหม?”ฉันพูดขึ้น ทำให้ทั้งสามหันมาสนใจฉัน
“คุณเป็นใครและคุณคืออะไร”
“คำถามดีมาก นั่นล่ะประโยคเด็ด”ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วหัวเราะ
“ฉันคือไซเรน  มัจจุราชหัวหน้าหน่วยที่1”หญิงสาวตอบเหมือนแทบไม่ได้คิดและไม่มีอะไรสลักสำคัญ
“มัจจุราช!!! มีจริงที่ไหน  อย่ามาอำกันเล่นหน่อยเลยนะ”
“เธอกำลังนั่งอยู่กับมัจจุราชสามคนขณะนี้ แม่สาวน้อย”หญิงคนนั้นพูดในขณะที่ขุดค้นตลับแป้งออกมาจากกระเป๋าถือสีชมพูแสบตา
“แล้วต่อไปนี้ฉันจะไปไหน”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น  จนกว่ามัจจุราชที่ทำหน้าที่มารับวิญญาณเธอจะได้วิญญาณตามตัวเลขที่กำหนดไว้ หรือจะเรียกว่าตามโควตาก็ได้”หญิงคนนั้นตอบขณะผัดหน้า
“นี่3คนนั้นน่ะ  ถ้าคิดจะมานั่งตากแอร์ฟรีๆละก็ไสหัวออกไปซะ!!”
“น้ำเปล่า” หญิงสาวบอกเสียงเรียบ
“น้ำเปล่า  กาแฟ  น้ำส้ม”ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับไป  ตาแก่นั่นไม่เห็นฉันทั้งๆที่นั่งหัวโด่อยู่นี่ทั้งคน!!
“อะไรกันน่ะ!!นี่มันไร้สาระสิ้นดี  ฉันยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าฉันตาย”
“เธอตายแล้วนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมองเห็นพวกเราในฐานะมัจจุราช  และเป็นเหตุผลว่าไม่มีใครมองเห็นเธอ  นอกจากพวกเรา”หญิงสาวพูดอย่างไร้อารมณ์
“แต่...สำหรับเธอเรามีข้อเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนกัน คือการยอมรับสถานะภาพการเป็นมัจจุราช  และเธอจะไม่ต้องคอยให้ฉันรับวิญญาณได้ตามโควต้า ได้ชีวิตอมตะ  และแน่นอนเธอจะต้องทำแบบเดียวกันกับฉันนี่กับคนอื่นๆที่ถึงฆาต”ทุกคนหยุดนิ่งเหมือนนัดกันในขณะที่เจ้าของร้าน ‘ร่อน’ ถาดเครื่องดื่มมาให้ทุกคน
“อะไรนะ!!จะให้ฉันเป็นมัจจุราชแบบพวกเธอหรอ?” ฉันพูดขึ้น หลังจากเจ้าของร้านไปแล้ว
“เรียกคุณ อย่าเรียกว่าเธอ”หญิงสาวแทรกขึ้นเรียบเช่นเคย
“โอเค คุณก็คุณ!”
ปี๊บ...ปี๊บ....~  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  หญิงสาวหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“เราให้เวลาตัดสินใจ 3 วัน ลองคิดดู...ฉันมีงาน ต่อจากนี้ไปเราจะเฝ้าดูเธออยู่ห่างๆ3 วัน เราจะเอาคำตอบ”หญิงสาวกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านโดนที่ยังไม่ได้จิบน้ำแม้แต่อึกเดียว
“สาวน้อยเธอมีเวลา 3 วัน ลองคิดดู การเป็นมัจจุราช ใช่...มันอาจจะดีตรงที่ไม่ต้องรอ  ได้ชีวิตอำมตะ แต่มันก็ต้องมีสิ่งที่แลกมากับความสบายนั้นเพื่อให้คุ้มค่ากัน”หญิงคนนั้นกล่าว
“ฉันจะแนะนำตัวก่อนนะ ฉันชื่อลีนา รองหัวหน้าหน่วย 2 ส่วนนี้ มีนา หัวหน้าของฉัน  อย่าเข้าใจว่าเราเป็นพี่น้องกันล่ะสาวน้อย”
“....”
“แหม...อย่าเงียบสิจ๊ะ”ลีนาจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาปูดโปนของเธอ
“ 3 วันนี้ฉันจะต้องไปที่ไหน  ฉันไม่รู้เลยว่า ฉัน...จะไปที่ไหนได้อีก  ไม่มีใครเห็นฉันไม่มี...ไม่มีเลย”น้ำตาของฉันร่วงลงมาจากขอบตาโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่ามันออกมาได้อย่างไร
“ 3 วันนี้ ฉันช่วยเธอไม่ได้สาวน้อย มัจจุราชจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งจนเกินกว่าหน้าที่  นั่นเป็นกฎ  แต่ในเมื่อเธอมีเวลา3วัน  เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นฉัน  ฉันจะกลับบ้านน่ะ...”
“เฮ้!ลีนา  เธอมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแล้วงั้นรึ?”ชายหนุ่มชื่อมีนาหัวเราะขำขันในขณะที่ฉัน อารมณ์ขันระเหยไปในอากาศแล้ว
“นี่สาวน้อย  3  วันมันนานไป งั้นเราลดให้เป็นหนึ่งคืนเป็นไง เห็นแกความน่ารักของเธอเชียวนะ  พรุ่งนี้ อ้อ..ต่อให้ถึงเที่ยงดีกว่า  เราจะมาเอาคำตอบ ไปล่ะ”ลีนายิ้มให้ฉันก่อนจะลุกขึ้นจากไปพร้อมกับมีนา คนที่เธอบอกว่าเป็นหัวหน้าของเธอ  ฉันมองคนทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไป พนักงานคนหนึ่งท่าทางง่วงๆเดินเข้ามาเก็บโต๊ะ  ฉันเอื้อมมือไปแตะหน้าต่างแต่ มือของฉันทะลุมันออกไป และในวินาทีต่อมาฉันก็ลงไปนอนกองกับพื้นที่นอกร้าน
       
ฉันจะไปที่ไหนดี...
*********************************************************************
“คิดถึงบ้านจัง~”ฉันพึมพำกับตัวเอง  ทันใดนั้น ฉันก็มาปรากฏตัวในห้องนอนอันคุ้นเคยของฉันเอง!!!
กริ๊ง....กริ๊ง~
“สวัสดีค่ะ”เสียงแม่รับโทรศัพท์อยู่ไกลๆ ฉันออกจากห้องเดินมาตามทางเดินช่วงสั้นๆของชั้น สอง  ก่อนจะลงบันได เดินไปยืนใกล้ๆแม่
“ค่ะใช่ค่ะ  ดิฉันเป็นแม่เขาเอง” 
“แม่”ฉันเรียกแม่เบาๆ...แต่แม่ไม่รู้เลยว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้
“คุณว่ายังไงนะคะ!!!”แม่ร้องเสียงดัง  ดวงตาเบิกโพลง  ดวงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างน่าตกใจ
“คุณ-ว่า-ยัง-ไง-นะคะ!!!” เสียงแม่ร้องดังขึ้นอีก
“คิราภ์ตายแล้ว....”มือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว
“ตอนนี้คิราภ์อยู่ที่ไหนคะ”แม่ถามคนที่ปลายสาย ด้วยเสียงแหบแห้ง 
“ค่ะฉันจะไปเดี๋ยวนี้”แม่วางโทรศัพท์ลงช้าๆ ดวงหน้ายังคงขาวซีด ไม่มีน้ำตาไหล ออกมา มันคงเหือดแห้งไปเสียแล้ว...แม่ยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งคงโทรหาพ่อ ซึ่งฉันก็เดาไม่ผิด
       
        แม่เดินอย่างเหม่อลอยมาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด  ฉันคุกเข่าลงข้างๆแม่
“แม่อย่าเศร้าเสียใจเลยนะ  คิราภ์อยู่นี่”
“แม่มองคิราภ์สิ  คิราภ์อยู่ที่นี่แล้ว ตรงหน้าแม่”ฉันเอื้อมมือออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของแม่ แต่กลับไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้นอกจากความว่างเปล่า...นี่นะหรือความทุกข์ของคนเป็นแม่  นี่น่ะหรือความทุกข์อันสาหัสของเหล่าวิญญาณอันมิได้อยู่ในมิติที่อาจจับต้องตัวคนที่สำคัญที่สุดได้...
       
                                แม่ลุกขึ้นทรงตัวอีกครั้งยืนได้อีกครั้งก่อนจะรวบรวมของต่างๆออกจากบ้านไป  ฉันยืนมองส่งแม่ที่หน้าประตู  ด้วยน้ำตาอาบหน้า
        ใจของฉันไม่แข็งพอที่จะตามแม่ไป... เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะเห็นคนที่ฉันรักร้องไห้ให้ฉัน
            ตลอดคืนฉันมองพวกเขาที่ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของฉัน  ทุกคนที่อยู่ในบ้าน หรือมาที่บ้าน ต่างเศร้าโศก พูดกันด้วยเสียงเบาราวกระซิบและน้อยครั้ง  หรือพยักหน้ารับช้าๆ โดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด    สิ่งที่ฉันทำได้คือการเฝ้ามอง ไม่สามารถแตะต้องสิ่งใดได้ สิ่งที่กายนี้ทำได้คือการเฝ้ามองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 
       
                        หากฉันกลับไปมีกายเนื้ออีกครั้ง สิ่งที่ฉันทำได้คงไม่ใช่แค่การเฝ้ามองอีกต่อไป...
ปล.ผมกับน้องฉาวคงสิงสู่อยู่ในร่าง(นามปากกานี้)เดียวกันไปอีกหลายพัก เท่ากับว่า \"เมนต์ที 1 ได้ 2 คนนะขอรับ\"
มนุษย์ตายแล้วไปไหน?  ผี  วิญญาณ  มีจริงนะหรือ? ถ้าหากมันมีจริงแล้วอย่างอื่นล่ะ...อย่างอื่นอย่างเช่น....มัจจุราช
cHaPtEr1 :วันแห่งความตาย
        เช้าสดใสปลายเดือนมีนาคม อันร้อนอบอ้าวเหมือนเดือนเมษายน ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากที่นอนอันอ่อนนุ่ม 
“ตื่นแล้วหรือจ๊ะคิราภ์?”แม่ทักฉันตอนที่ฉันลงมาถึงห้องครัว
“ค่ะ แม่”
“นี่เดี๋ยวทานเสร็จแล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะ  วันนี้มีเรียนฟิสิกส์วันสุดท้ายแล้ว”ฉันพยักหน้ารับช้าๆ แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากอย่างเบื่อๆ
“พ่อละคะ”
“ไปทำงานแล้วจ๊ะ  เย็นนี้กลับดึกด้วยสิ  รีบทานเข้าสิจ๊ะ!!”
“แล้วไอ้น้องชายละคะ”
“เรียกน้องดีๆสิลูก!! รีบทานเข้า!”ฉันพยักหน้ารับอีกครั้งแล้วรีบจัดการกับอาหารตรงหน้าให้เร็วที่สุด....นี่เป็นประโยคพูดคุยยามเช้าของฉันที่คุยกับแม่และมันเป็นบทสนธนาระหว่างฉันกับแม่ที่ยาวที่สุดแล้วในแต่ละวัน
“อิ่มแล้วค่ะ”ฉันยกจานไปล้างแล้วไปอาบน้ำและแต่งตัวออกจากบ้าน  โดยที่ฉันไม่มีทางรู้ได้เลยว่า การพูดคุยกับแม่ และการออกจากบ้านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของฉัน.....
        ฉันใช้การเดินเพื่อจะเป็นการออกกำลังเสมอ อันที่จริงแล้วเพราะว่าป้ายรถประจำทางมันอยู่ไกล  จึงต้องเดินหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา  ฉันเดินเข้าซอยตัดออกมาที่ถนนใหญ่ ในขณะที่สองหูของฉันกำลังฟังเพลงโปรดด้วยอารมณ์ดีสุดๆ ฉันก็รีบข้ามตามคนอื่นๆที่ล่วงหน้าห่างจากฉันไปประมาณ 5 ก้าวแต่แล้ว ขาก็พาฉันไปยืนอยู่ที่กลางถนน  เสียงรถปีบแตรลั่นแล้วผ่านไป แม้หูทั้งสองข้างยังได้ยินเสียงเพลงอยู่แต่เสียงแตรก็ดังเสียดหูขึ้นมาแทนที่  ฉันอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นรถคันสีเหลืองส้มขนาดใหญ่มีแท็งก์บรรจุของเหลวพร้อมท่อดูดยาวพันๆไว้ข้างบน กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว  สมองสั่งให้ถอยสิ!!ถอยออกมา  แต่ขาก็ไม่ฟังคำสั่งอีกต่อไปแล้ว ฉันติดอยู่กลางถนน และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินคือ เสียงของหนักๆชนเข้ากับอะไรบางอย่าง...และสติทั้งหมดก็มืดดับลง
“เฮ้ย!!คนโดนรถชน” เสียงใครคนหนึ่งตะโกน ตามด้วยเสียงกรีดร้อง ซึ่งไม่ใช่ของฉันหรอก เพราะตอนนี้ตัวฉันหนักอึ้ง  แขนขาหนัก หนักไปเสียทุกส่วนแม้กระทั่งเปลือกตา  ฉันพยายามยกเปลือกตาขึ้นแต่มันไม่สำเร็จ ขอบตาของฉันร้อนผ่าว  แน่แล้ว...แน่แล้วจริงๆ คราวนี้ฉันจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อแม่  เพื่อนๆ หรือใครๆอีก
“อาคิราภ์...อาคิราภ์”เสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อฉัน
“ใครน่ะ!!”ฉันลืมตาขึ้นแล้วโดดลุกขึ้นนั่ง  อ้าว...ฉันยังไม่ตาย ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือ...มือยังไม่โปร่งแสง
“ฉันยังไม่ตาย”ฉันร้องอย่างดีใจ
“อา...เธอได้สติแล้ว  อาคิราภ์  ฉันดีใจด้วย  อาคิราภ์ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”ฉันซึ่งกำลังดีใจ หันกลับไปมองคนพูด คนๆนั้นเป็นหญิงสาวอายุมากกว่าฉัน3-4ปีได้ ผิวขาวเกือบซีด ผมสีเงินยาวอย่างยิ่งสยาย  มีผ้าสีแดงเข้มเหมือนสีเลือดผูกตาไว้
“เธอพูดว่าอะไรนะ....ฉันฟังไม่ชัด”
“อาคิราภ์ ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ไม่แม่แต่แสดงถึงความจริงใจ
“นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน  ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือของฉันก็ไม่ได้โปร่งแสงสักหน่อย เธอไปเอาที่ไหนมาพูด  นี่มันไม่ใช่วันที่ 1 เมษา เสียหน่อย!!!!”
“ลองหลับตานับหนึ่งถึงสามแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งสิ”
“ทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอสั่งด้วย”
“ทำ!!!  ฉันสั่งให้เธอทำ!!” หญิงสาวคนนั้นสั่งแล้วตาของฉันก็ปิดลงแน่นสนิทเหมือนเย็บมันติดเข้าด้วยกัน
“นับหนึ่งถึงสาม” เสียงสั่งเบาๆเหมือนลอยมาตามลมเข้าหู ฉันนับ1...2...3.....
“ลืมตาขึ้น  แล้วมองไปรอบๆ”  ตาของฉันเบิกโพล่ง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ  ให้ตายสิ!!!...ฉันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ  ข้างล่างนั่น  กลุ่มคนกำลังล้อมอะไรสักอย่างอยู่เป็นวงกลมกว้าง เมื่อฉันกระพริบตาอีกครั้ง ฉันกลับลงมายืนบนพื้นอีกครั้ง  ฉันแทรกตัวเข้าไปในวงนั้น  นั่น.....ร่างของฉันนอนอยู่ตรงนั้น มีเลือดท่วมไปหมด ศรีษะบิดไปอีกทาง  เห็นแล้วฉันรู้สึกคลื่นไส้  ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด  ทั้งที่รู้ว่านั่น!...คือตัวฉันเอง
“นั่นคือหลักฐานว่า เธอตายแล้ว  ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีก” ฉันถึงดึงกลับมายืนตรงหน้าหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้มีผมยาวสีเงินอีกแล้ว เธอผมสีดำสนิทเหมือนคนทั่วๆไป รวมเป็นหางม้าอย่างง่าย สวมชุดยีนส์ดูทะมัดทะแมง...และดูเท่มากในเวลาเดียวกัน  แต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับไร้แวว
“ตอนนี้เธอเป็นวิญญาณ ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”
“เออ ขอโทษครับมีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเลียบๆเคียงๆถามหญิงสาว
“ทำไมเขาถึงพูดกับเธอได้ล่ะก็ในเมื่อเธอก็เป็นวิญญาณเหมือนกัน”
“ไม่ทราบสิคะ”หญิงสาวตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง
“เพราะฉันมีกายเนื้อ  ในขณะที่เธอ กายเนื้อนอนอยู่ตรงนั้น”หญิงสาวชี้ไปที่ฝูงชนอีกครั้ง
“ฉันไม่มีเวลามากนัก ไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“ไปไหน  สวรรค์งั้นหรอ?!!!”ฉันร้องถามสุดเสียง หญิงสาวกลับหัวเราะ อย่างแห้งแล้ง  ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรน่าหัวเราะสักนิด
“ไม่!!เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์”
“งั้นนรกสินะ ฉันไม่น่าทำตัวแบบนั้นเลย”
“เปล่าเธอไม่ได้ไปนรก”
“อ้าวแล้วที่ไหนล่ะ”
“เธอจะไม่ได้ไหนทั้งนั้น”ฉันอ้าปากค้างอีกครั้งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินนำหน้าไป
“คุณหมายความว่ายังไง”ฉันวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไป ให้ตายสิ!นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
“ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้จนกว่าเราจะเดินไปถึงนั่น”หญิงสาวชี้มือไปที่คาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่งริมถนน
       
        ในคาเฟ่เล็กๆแห่งนั้นมีควันบุหรี่อบอวนไปหมด ถึงคุณจะเป็นวิญญาณก็เถอะ คุณอาจต้องอาศัยหน้ากากกันแก๊ซพิษ
“นั่งลง”หญิงสาวคนนั้นสั่งฉัน
“ทำไมฉันจะต้องทำตามคำสั่งคุณด้วย”
“ฉัน-บอก-ให้-นั่ง-ลง”สิ้นคำสั่งร่างกายของฉัน(อันที่จริงเป็นวิญญาณ)ก็นั่งแหมะลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เอาล่ะระหว่างฉันกำลังรอ  จะอนุญาตให้เธอถามคำถามได้สัก สองสามข้อ”
“ได้!!ถ้าฉันไม่ได้ไปทั้งสวรรค์หรือนรก และฉันจะไปไหน”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คำถามต่อไป”
“คุณเป็นใคร?”หญิงสาวมองหน้าฉันนิ่งอยู่อึดใจแล้วตอบ
“ฉันคือ....”
“มานานแล้วหรือ?”ชายหนุ่มตัวงอๆร่างสูงแขนขาเก้งก้าง และผมยุ่งๆลงมาปิดหน้าปิดตากับผู้หญิงแต่งหน้าเข้ม ตาโปนเหมือนกบ แต่งตัวจัดเดินเข้ามาทักทายแล้วนั่งลงข้างๆฉัน
“เด็กผู้โชคดีคนนั้นสินะ”หญิงคนนั้นพูดแล้วมองฉันอย่างพิจารณา
“คุณช่วยตอบคำถามของฉันก่อนได้ไหม?”ฉันพูดขึ้น ทำให้ทั้งสามหันมาสนใจฉัน
“คุณเป็นใครและคุณคืออะไร”
“คำถามดีมาก นั่นล่ะประโยคเด็ด”ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วหัวเราะ
“ฉันคือไซเรน  มัจจุราชหัวหน้าหน่วยที่1”หญิงสาวตอบเหมือนแทบไม่ได้คิดและไม่มีอะไรสลักสำคัญ
“มัจจุราช!!! มีจริงที่ไหน  อย่ามาอำกันเล่นหน่อยเลยนะ”
“เธอกำลังนั่งอยู่กับมัจจุราชสามคนขณะนี้ แม่สาวน้อย”หญิงคนนั้นพูดในขณะที่ขุดค้นตลับแป้งออกมาจากกระเป๋าถือสีชมพูแสบตา
“แล้วต่อไปนี้ฉันจะไปไหน”
“เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น  จนกว่ามัจจุราชที่ทำหน้าที่มารับวิญญาณเธอจะได้วิญญาณตามตัวเลขที่กำหนดไว้ หรือจะเรียกว่าตามโควตาก็ได้”หญิงคนนั้นตอบขณะผัดหน้า
“นี่3คนนั้นน่ะ  ถ้าคิดจะมานั่งตากแอร์ฟรีๆละก็ไสหัวออกไปซะ!!”
“น้ำเปล่า” หญิงสาวบอกเสียงเรียบ
“น้ำเปล่า  กาแฟ  น้ำส้ม”ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับไป  ตาแก่นั่นไม่เห็นฉันทั้งๆที่นั่งหัวโด่อยู่นี่ทั้งคน!!
“อะไรกันน่ะ!!นี่มันไร้สาระสิ้นดี  ฉันยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าฉันตาย”
“เธอตายแล้วนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมองเห็นพวกเราในฐานะมัจจุราช  และเป็นเหตุผลว่าไม่มีใครมองเห็นเธอ  นอกจากพวกเรา”หญิงสาวพูดอย่างไร้อารมณ์
“แต่...สำหรับเธอเรามีข้อเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนกัน คือการยอมรับสถานะภาพการเป็นมัจจุราช  และเธอจะไม่ต้องคอยให้ฉันรับวิญญาณได้ตามโควต้า ได้ชีวิตอมตะ  และแน่นอนเธอจะต้องทำแบบเดียวกันกับฉันนี่กับคนอื่นๆที่ถึงฆาต”ทุกคนหยุดนิ่งเหมือนนัดกันในขณะที่เจ้าของร้าน ‘ร่อน’ ถาดเครื่องดื่มมาให้ทุกคน
“อะไรนะ!!จะให้ฉันเป็นมัจจุราชแบบพวกเธอหรอ?” ฉันพูดขึ้น หลังจากเจ้าของร้านไปแล้ว
“เรียกคุณ อย่าเรียกว่าเธอ”หญิงสาวแทรกขึ้นเรียบเช่นเคย
“โอเค คุณก็คุณ!”
ปี๊บ...ปี๊บ....~  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  หญิงสาวหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“เราให้เวลาตัดสินใจ 3 วัน ลองคิดดู...ฉันมีงาน ต่อจากนี้ไปเราจะเฝ้าดูเธออยู่ห่างๆ3 วัน เราจะเอาคำตอบ”หญิงสาวกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านโดนที่ยังไม่ได้จิบน้ำแม้แต่อึกเดียว
“สาวน้อยเธอมีเวลา 3 วัน ลองคิดดู การเป็นมัจจุราช ใช่...มันอาจจะดีตรงที่ไม่ต้องรอ  ได้ชีวิตอำมตะ แต่มันก็ต้องมีสิ่งที่แลกมากับความสบายนั้นเพื่อให้คุ้มค่ากัน”หญิงคนนั้นกล่าว
“ฉันจะแนะนำตัวก่อนนะ ฉันชื่อลีนา รองหัวหน้าหน่วย 2 ส่วนนี้ มีนา หัวหน้าของฉัน  อย่าเข้าใจว่าเราเป็นพี่น้องกันล่ะสาวน้อย”
“....”
“แหม...อย่าเงียบสิจ๊ะ”ลีนาจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาปูดโปนของเธอ
“ 3 วันนี้ฉันจะต้องไปที่ไหน  ฉันไม่รู้เลยว่า ฉัน...จะไปที่ไหนได้อีก  ไม่มีใครเห็นฉันไม่มี...ไม่มีเลย”น้ำตาของฉันร่วงลงมาจากขอบตาโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่ามันออกมาได้อย่างไร
“ 3 วันนี้ ฉันช่วยเธอไม่ได้สาวน้อย มัจจุราชจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งจนเกินกว่าหน้าที่  นั่นเป็นกฎ  แต่ในเมื่อเธอมีเวลา3วัน  เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นฉัน  ฉันจะกลับบ้านน่ะ...”
“เฮ้!ลีนา  เธอมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแล้วงั้นรึ?”ชายหนุ่มชื่อมีนาหัวเราะขำขันในขณะที่ฉัน อารมณ์ขันระเหยไปในอากาศแล้ว
“นี่สาวน้อย  3  วันมันนานไป งั้นเราลดให้เป็นหนึ่งคืนเป็นไง เห็นแกความน่ารักของเธอเชียวนะ  พรุ่งนี้ อ้อ..ต่อให้ถึงเที่ยงดีกว่า  เราจะมาเอาคำตอบ ไปล่ะ”ลีนายิ้มให้ฉันก่อนจะลุกขึ้นจากไปพร้อมกับมีนา คนที่เธอบอกว่าเป็นหัวหน้าของเธอ  ฉันมองคนทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไป พนักงานคนหนึ่งท่าทางง่วงๆเดินเข้ามาเก็บโต๊ะ  ฉันเอื้อมมือไปแตะหน้าต่างแต่ มือของฉันทะลุมันออกไป และในวินาทีต่อมาฉันก็ลงไปนอนกองกับพื้นที่นอกร้าน
       
ฉันจะไปที่ไหนดี...
*********************************************************************
“คิดถึงบ้านจัง~”ฉันพึมพำกับตัวเอง  ทันใดนั้น ฉันก็มาปรากฏตัวในห้องนอนอันคุ้นเคยของฉันเอง!!!
กริ๊ง....กริ๊ง~
“สวัสดีค่ะ”เสียงแม่รับโทรศัพท์อยู่ไกลๆ ฉันออกจากห้องเดินมาตามทางเดินช่วงสั้นๆของชั้น สอง  ก่อนจะลงบันได เดินไปยืนใกล้ๆแม่
“ค่ะใช่ค่ะ  ดิฉันเป็นแม่เขาเอง” 
“แม่”ฉันเรียกแม่เบาๆ...แต่แม่ไม่รู้เลยว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้
“คุณว่ายังไงนะคะ!!!”แม่ร้องเสียงดัง  ดวงตาเบิกโพลง  ดวงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างน่าตกใจ
“คุณ-ว่า-ยัง-ไง-นะคะ!!!” เสียงแม่ร้องดังขึ้นอีก
“คิราภ์ตายแล้ว....”มือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว
“ตอนนี้คิราภ์อยู่ที่ไหนคะ”แม่ถามคนที่ปลายสาย ด้วยเสียงแหบแห้ง 
“ค่ะฉันจะไปเดี๋ยวนี้”แม่วางโทรศัพท์ลงช้าๆ ดวงหน้ายังคงขาวซีด ไม่มีน้ำตาไหล ออกมา มันคงเหือดแห้งไปเสียแล้ว...แม่ยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งคงโทรหาพ่อ ซึ่งฉันก็เดาไม่ผิด
       
        แม่เดินอย่างเหม่อลอยมาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด  ฉันคุกเข่าลงข้างๆแม่
“แม่อย่าเศร้าเสียใจเลยนะ  คิราภ์อยู่นี่”
“แม่มองคิราภ์สิ  คิราภ์อยู่ที่นี่แล้ว ตรงหน้าแม่”ฉันเอื้อมมือออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของแม่ แต่กลับไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้นอกจากความว่างเปล่า...นี่นะหรือความทุกข์ของคนเป็นแม่  นี่น่ะหรือความทุกข์อันสาหัสของเหล่าวิญญาณอันมิได้อยู่ในมิติที่อาจจับต้องตัวคนที่สำคัญที่สุดได้...
       
                                แม่ลุกขึ้นทรงตัวอีกครั้งยืนได้อีกครั้งก่อนจะรวบรวมของต่างๆออกจากบ้านไป  ฉันยืนมองส่งแม่ที่หน้าประตู  ด้วยน้ำตาอาบหน้า
        ใจของฉันไม่แข็งพอที่จะตามแม่ไป... เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะเห็นคนที่ฉันรักร้องไห้ให้ฉัน
            ตลอดคืนฉันมองพวกเขาที่ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของฉัน  ทุกคนที่อยู่ในบ้าน หรือมาที่บ้าน ต่างเศร้าโศก พูดกันด้วยเสียงเบาราวกระซิบและน้อยครั้ง  หรือพยักหน้ารับช้าๆ โดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด    สิ่งที่ฉันทำได้คือการเฝ้ามอง ไม่สามารถแตะต้องสิ่งใดได้ สิ่งที่กายนี้ทำได้คือการเฝ้ามองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 
       
                        หากฉันกลับไปมีกายเนื้ออีกครั้ง สิ่งที่ฉันทำได้คงไม่ใช่แค่การเฝ้ามองอีกต่อไป...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น