ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Begin with the \"DEATH\"

    ลำดับตอนที่ #1 : cHaPtEr1 :วันแห่งความตาย

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 48


    คุยกันซักกะติ๊ด~: ก็สวัสดีทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะฮับ  ผมชื่อ\"อคิราภ์\" (ชื่อคล้ายตัวเอกชื่อนี้เลย)อิอิ เรื่องนี้เป็นของน้องสาวผมเองเเต่งไว้เเต่ฝากเอามาลง55+ ยังไงฝากผลงานของไอ้น้องฉาวไว้ด้วยนะฮับ  เมนต์ด้วยนะฮับ คอมเมนต์จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้เพื่อเเก้ไขนะฮับ หุหุ เเต่ผมว่าก่อนอื่นๆผมต้องเเก้ไขไอ้นิสัยของไอ้น้องฉาวคนนี้ซะก่อนเเล้ว  มันฝากผมลงอะไรต่อมิอะไรตลอดเลยเเหะ(หลายครั้งเเล้วนะ)



    ปล.ผมกับน้องฉาวคงสิงสู่อยู่ในร่าง(นามปากกานี้)เดียวกันไปอีกหลายพัก เท่ากับว่า \"เมนต์ที 1 ได้ 2 คนนะขอรับ\"















    มนุษย์ตายแล้วไปไหน?  ผี  วิญญาณ  มีจริงนะหรือ? ถ้าหากมันมีจริงแล้วอย่างอื่นล่ะ...อย่างอื่นอย่างเช่น....มัจจุราช



    cHaPtEr1 :วันแห่งความตาย



            เช้าสดใสปลายเดือนมีนาคม อันร้อนอบอ้าวเหมือนเดือนเมษายน ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากที่นอนอันอ่อนนุ่ม  

    “ตื่นแล้วหรือจ๊ะคิราภ์?”แม่ทักฉันตอนที่ฉันลงมาถึงห้องครัว

    “ค่ะ แม่”

    “นี่เดี๋ยวทานเสร็จแล้วรีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วนะ  วันนี้มีเรียนฟิสิกส์วันสุดท้ายแล้ว”ฉันพยักหน้ารับช้าๆ แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากอย่างเบื่อๆ



    “พ่อละคะ”

    “ไปทำงานแล้วจ๊ะ  เย็นนี้กลับดึกด้วยสิ   รีบทานเข้าสิจ๊ะ!!”

    “แล้วไอ้น้องชายละคะ”

    “เรียกน้องดีๆสิลูก!! รีบทานเข้า!”ฉันพยักหน้ารับอีกครั้งแล้วรีบจัดการกับอาหารตรงหน้าให้เร็วที่สุด....นี่เป็นประโยคพูดคุยยามเช้าของฉันที่คุยกับแม่และมันเป็นบทสนธนาระหว่างฉันกับแม่ที่ยาวที่สุดแล้วในแต่ละวัน



    “อิ่มแล้วค่ะ”ฉันยกจานไปล้างแล้วไปอาบน้ำและแต่งตัวออกจากบ้าน  โดยที่ฉันไม่มีทางรู้ได้เลยว่า การพูดคุยกับแม่ และการออกจากบ้านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของฉัน.....



            ฉันใช้การเดินเพื่อจะเป็นการออกกำลังเสมอ อันที่จริงแล้วเพราะว่าป้ายรถประจำทางมันอยู่ไกล  จึงต้องเดินหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา  ฉันเดินเข้าซอยตัดออกมาที่ถนนใหญ่ ในขณะที่สองหูของฉันกำลังฟังเพลงโปรดด้วยอารมณ์ดีสุดๆ ฉันก็รีบข้ามตามคนอื่นๆที่ล่วงหน้าห่างจากฉันไปประมาณ 5 ก้าวแต่แล้ว ขาก็พาฉันไปยืนอยู่ที่กลางถนน  เสียงรถปีบแตรลั่นแล้วผ่านไป แม้หูทั้งสองข้างยังได้ยินเสียงเพลงอยู่แต่เสียงแตรก็ดังเสียดหูขึ้นมาแทนที่  ฉันอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นรถคันสีเหลืองส้มขนาดใหญ่มีแท็งก์บรรจุของเหลวพร้อมท่อดูดยาวพันๆไว้ข้างบน กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว  สมองสั่งให้ถอยสิ!!ถอยออกมา  แต่ขาก็ไม่ฟังคำสั่งอีกต่อไปแล้ว ฉันติดอยู่กลางถนน และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินคือ เสียงของหนักๆชนเข้ากับอะไรบางอย่าง...และสติทั้งหมดก็มืดดับลง



    “เฮ้ย!!คนโดนรถชน” เสียงใครคนหนึ่งตะโกน ตามด้วยเสียงกรีดร้อง ซึ่งไม่ใช่ของฉันหรอก เพราะตอนนี้ตัวฉันหนักอึ้ง  แขนขาหนัก หนักไปเสียทุกส่วนแม้กระทั่งเปลือกตา   ฉันพยายามยกเปลือกตาขึ้นแต่มันไม่สำเร็จ ขอบตาของฉันร้อนผ่าว  แน่แล้ว...แน่แล้วจริงๆ คราวนี้ฉันจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อแม่  เพื่อนๆ หรือใครๆอีก



    “อาคิราภ์...อาคิราภ์”เสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อฉัน

    “ใครน่ะ!!”ฉันลืมตาขึ้นแล้วโดดลุกขึ้นนั่ง  อ้าว...ฉันยังไม่ตาย ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือ...มือยังไม่โปร่งแสง

    “ฉันยังไม่ตาย”ฉันร้องอย่างดีใจ

    “อา...เธอได้สติแล้ว  อาคิราภ์  ฉันดีใจด้วย  อาคิราภ์ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”ฉันซึ่งกำลังดีใจ หันกลับไปมองคนพูด คนๆนั้นเป็นหญิงสาวอายุมากกว่าฉัน3-4ปีได้ ผิวขาวเกือบซีด ผมสีเงินยาวอย่างยิ่งสยาย  มีผ้าสีแดงเข้มเหมือนสีเลือดผูกตาไว้



    “เธอพูดว่าอะไรนะ....ฉันฟังไม่ชัด”

    “อาคิราภ์ ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความตาย”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ไม่แม่แต่แสดงถึงความจริงใจ

    “นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน  ฉันยังลุกขึ้นนั่งได้  มือของฉันก็ไม่ได้โปร่งแสงสักหน่อย เธอไปเอาที่ไหนมาพูด  นี่มันไม่ใช่วันที่ 1 เมษา เสียหน่อย!!!!”

    “ลองหลับตานับหนึ่งถึงสามแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งสิ”

    “ทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอสั่งด้วย”

    “ทำ!!!  ฉันสั่งให้เธอทำ!!” หญิงสาวคนนั้นสั่งแล้วตาของฉันก็ปิดลงแน่นสนิทเหมือนเย็บมันติดเข้าด้วยกัน

    “นับหนึ่งถึงสาม” เสียงสั่งเบาๆเหมือนลอยมาตามลมเข้าหู ฉันนับ1...2...3.....

    “ลืมตาขึ้น  แล้วมองไปรอบๆ”  ตาของฉันเบิกโพล่ง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ  ให้ตายสิ!!!...ฉันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ   ข้างล่างนั่น  กลุ่มคนกำลังล้อมอะไรสักอย่างอยู่เป็นวงกลมกว้าง เมื่อฉันกระพริบตาอีกครั้ง ฉันกลับลงมายืนบนพื้นอีกครั้ง  ฉันแทรกตัวเข้าไปในวงนั้น  นั่น.....ร่างของฉันนอนอยู่ตรงนั้น มีเลือดท่วมไปหมด ศรีษะบิดไปอีกทาง  เห็นแล้วฉันรู้สึกคลื่นไส้  ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด  ทั้งที่รู้ว่านั่น!...คือตัวฉันเอง



    “นั่นคือหลักฐานว่า เธอตายแล้ว  ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีก” ฉันถึงดึงกลับมายืนตรงหน้าหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้มีผมยาวสีเงินอีกแล้ว เธอผมสีดำสนิทเหมือนคนทั่วๆไป รวมเป็นหางม้าอย่างง่าย สวมชุดยีนส์ดูทะมัดทะแมง...และดูเท่มากในเวลาเดียวกัน  แต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับไร้แวว



    “ตอนนี้เธอเป็นวิญญาณ ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”

    “เออ ขอโทษครับมีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเลียบๆเคียงๆถามหญิงสาว

    “ทำไมเขาถึงพูดกับเธอได้ล่ะก็ในเมื่อเธอก็เป็นวิญญาณเหมือนกัน”

    “ไม่ทราบสิคะ”หญิงสาวตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง

    “เพราะฉันมีกายเนื้อ  ในขณะที่เธอ กายเนื้อนอนอยู่ตรงนั้น”หญิงสาวชี้ไปที่ฝูงชนอีกครั้ง

    “ฉันไม่มีเวลามากนัก ไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”

    “ไปไหน  สวรรค์งั้นหรอ?!!!”ฉันร้องถามสุดเสียง หญิงสาวกลับหัวเราะ อย่างแห้งแล้ง  ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรน่าหัวเราะสักนิด

    “ไม่!!เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์”

    “งั้นนรกสินะ ฉันไม่น่าทำตัวแบบนั้นเลย”

    “เปล่าเธอไม่ได้ไปนรก”

    “อ้าวแล้วที่ไหนล่ะ”

    “เธอจะไม่ได้ไหนทั้งนั้น”ฉันอ้าปากค้างอีกครั้งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินนำหน้าไป

    “คุณหมายความว่ายังไง”ฉันวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไป ให้ตายสิ!นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

    “ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้จนกว่าเราจะเดินไปถึงนั่น”หญิงสาวชี้มือไปที่คาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่งริมถนน

            

            ในคาเฟ่เล็กๆแห่งนั้นมีควันบุหรี่อบอวนไปหมด ถึงคุณจะเป็นวิญญาณก็เถอะ คุณอาจต้องอาศัยหน้ากากกันแก๊ซพิษ

    “นั่งลง”หญิงสาวคนนั้นสั่งฉัน

    “ทำไมฉันจะต้องทำตามคำสั่งคุณด้วย”

    “ฉัน-บอก-ให้-นั่ง-ลง”สิ้นคำสั่งร่างกายของฉัน(อันที่จริงเป็นวิญญาณ)ก็นั่งแหมะลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

    “เอาล่ะระหว่างฉันกำลังรอ  จะอนุญาตให้เธอถามคำถามได้สัก สองสามข้อ”

    “ได้!!ถ้าฉันไม่ได้ไปทั้งสวรรค์หรือนรก และฉันจะไปไหน”

    “เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คำถามต่อไป”

    “คุณเป็นใคร?”หญิงสาวมองหน้าฉันนิ่งอยู่อึดใจแล้วตอบ

    “ฉันคือ....”

    “มานานแล้วหรือ?”ชายหนุ่มตัวงอๆร่างสูงแขนขาเก้งก้าง และผมยุ่งๆลงมาปิดหน้าปิดตากับผู้หญิงแต่งหน้าเข้ม ตาโปนเหมือนกบ แต่งตัวจัดเดินเข้ามาทักทายแล้วนั่งลงข้างๆฉัน



    “เด็กผู้โชคดีคนนั้นสินะ”หญิงคนนั้นพูดแล้วมองฉันอย่างพิจารณา

    “คุณช่วยตอบคำถามของฉันก่อนได้ไหม?”ฉันพูดขึ้น ทำให้ทั้งสามหันมาสนใจฉัน

    “คุณเป็นใครและคุณคืออะไร”

    “คำถามดีมาก นั่นล่ะประโยคเด็ด”ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วหัวเราะ

    “ฉันคือไซเรน  มัจจุราชหัวหน้าหน่วยที่1”หญิงสาวตอบเหมือนแทบไม่ได้คิดและไม่มีอะไรสลักสำคัญ

    “มัจจุราช!!! มีจริงที่ไหน  อย่ามาอำกันเล่นหน่อยเลยนะ”

    “เธอกำลังนั่งอยู่กับมัจจุราชสามคนขณะนี้ แม่สาวน้อย”หญิงคนนั้นพูดในขณะที่ขุดค้นตลับแป้งออกมาจากกระเป๋าถือสีชมพูแสบตา

    “แล้วต่อไปนี้ฉันจะไปไหน”

    “เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น  จนกว่ามัจจุราชที่ทำหน้าที่มารับวิญญาณเธอจะได้วิญญาณตามตัวเลขที่กำหนดไว้ หรือจะเรียกว่าตามโควตาก็ได้”หญิงคนนั้นตอบขณะผัดหน้า



    “นี่3คนนั้นน่ะ  ถ้าคิดจะมานั่งตากแอร์ฟรีๆละก็ไสหัวออกไปซะ!!”

    “น้ำเปล่า” หญิงสาวบอกเสียงเรียบ

    “น้ำเปล่า  กาแฟ  น้ำส้ม”ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับไป  ตาแก่นั่นไม่เห็นฉันทั้งๆที่นั่งหัวโด่อยู่นี่ทั้งคน!!

    “อะไรกันน่ะ!!นี่มันไร้สาระสิ้นดี  ฉันยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าฉันตาย”

    “เธอตายแล้วนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมองเห็นพวกเราในฐานะมัจจุราช  และเป็นเหตุผลว่าไม่มีใครมองเห็นเธอ  นอกจากพวกเรา”หญิงสาวพูดอย่างไร้อารมณ์



    “แต่...สำหรับเธอเรามีข้อเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนกัน คือการยอมรับสถานะภาพการเป็นมัจจุราช  และเธอจะไม่ต้องคอยให้ฉันรับวิญญาณได้ตามโควต้า ได้ชีวิตอมตะ  และแน่นอนเธอจะต้องทำแบบเดียวกันกับฉันนี่กับคนอื่นๆที่ถึงฆาต”ทุกคนหยุดนิ่งเหมือนนัดกันในขณะที่เจ้าของร้าน ‘ร่อน’ ถาดเครื่องดื่มมาให้ทุกคน



    “อะไรนะ!!จะให้ฉันเป็นมัจจุราชแบบพวกเธอหรอ?” ฉันพูดขึ้น หลังจากเจ้าของร้านไปแล้ว

    “เรียกคุณ อย่าเรียกว่าเธอ”หญิงสาวแทรกขึ้นเรียบเช่นเคย

    “โอเค คุณก็คุณ!”



    ปี๊บ...ปี๊บ....~  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  หญิงสาวหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ



    “เราให้เวลาตัดสินใจ 3 วัน ลองคิดดู...ฉันมีงาน ต่อจากนี้ไปเราจะเฝ้าดูเธออยู่ห่างๆ3 วัน เราจะเอาคำตอบ”หญิงสาวกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านโดนที่ยังไม่ได้จิบน้ำแม้แต่อึกเดียว



    “สาวน้อยเธอมีเวลา 3 วัน ลองคิดดู การเป็นมัจจุราช ใช่...มันอาจจะดีตรงที่ไม่ต้องรอ  ได้ชีวิตอำมตะ แต่มันก็ต้องมีสิ่งที่แลกมากับความสบายนั้นเพื่อให้คุ้มค่ากัน”หญิงคนนั้นกล่าว



    “ฉันจะแนะนำตัวก่อนนะ ฉันชื่อลีนา รองหัวหน้าหน่วย 2 ส่วนนี้ มีนา หัวหน้าของฉัน  อย่าเข้าใจว่าเราเป็นพี่น้องกันล่ะสาวน้อย”

    “....”

    “แหม...อย่าเงียบสิจ๊ะ”ลีนาจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาปูดโปนของเธอ

    “ 3 วันนี้ฉันจะต้องไปที่ไหน   ฉันไม่รู้เลยว่า ฉัน...จะไปที่ไหนได้อีก  ไม่มีใครเห็นฉันไม่มี...ไม่มีเลย”น้ำตาของฉันร่วงลงมาจากขอบตาโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่ามันออกมาได้อย่างไร



    “ 3 วันนี้ ฉันช่วยเธอไม่ได้สาวน้อย มัจจุราชจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งจนเกินกว่าหน้าที่  นั่นเป็นกฎ  แต่ในเมื่อเธอมีเวลา3วัน  เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นฉัน   ฉันจะกลับบ้านน่ะ...”

    “เฮ้!ลีนา  เธอมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแล้วงั้นรึ?”ชายหนุ่มชื่อมีนาหัวเราะขำขันในขณะที่ฉัน อารมณ์ขันระเหยไปในอากาศแล้ว

    “นี่สาวน้อย  3  วันมันนานไป งั้นเราลดให้เป็นหนึ่งคืนเป็นไง เห็นแกความน่ารักของเธอเชียวนะ   พรุ่งนี้ อ้อ..ต่อให้ถึงเที่ยงดีกว่า  เราจะมาเอาคำตอบ ไปล่ะ”ลีนายิ้มให้ฉันก่อนจะลุกขึ้นจากไปพร้อมกับมีนา คนที่เธอบอกว่าเป็นหัวหน้าของเธอ  ฉันมองคนทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไป พนักงานคนหนึ่งท่าทางง่วงๆเดินเข้ามาเก็บโต๊ะ   ฉันเอื้อมมือไปแตะหน้าต่างแต่ มือของฉันทะลุมันออกไป และในวินาทีต่อมาฉันก็ลงไปนอนกองกับพื้นที่นอกร้าน



            

    ฉันจะไปที่ไหนดี...



    *********************************************************************





    “คิดถึงบ้านจัง~”ฉันพึมพำกับตัวเอง  ทันใดนั้น ฉันก็มาปรากฏตัวในห้องนอนอันคุ้นเคยของฉันเอง!!!



    กริ๊ง....กริ๊ง~



    “สวัสดีค่ะ”เสียงแม่รับโทรศัพท์อยู่ไกลๆ ฉันออกจากห้องเดินมาตามทางเดินช่วงสั้นๆของชั้น สอง  ก่อนจะลงบันได เดินไปยืนใกล้ๆแม่

    “ค่ะใช่ค่ะ  ดิฉันเป็นแม่เขาเอง”  

    “แม่”ฉันเรียกแม่เบาๆ...แต่แม่ไม่รู้เลยว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้

    “คุณว่ายังไงนะคะ!!!”แม่ร้องเสียงดัง  ดวงตาเบิกโพลง  ดวงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างน่าตกใจ

    “คุณ-ว่า-ยัง-ไง-นะคะ!!!” เสียงแม่ร้องดังขึ้นอีก

    “คิราภ์ตายแล้ว....”มือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว…

    “ตอนนี้คิราภ์อยู่ที่ไหนคะ”แม่ถามคนที่ปลายสาย ด้วยเสียงแหบแห้ง  

    “ค่ะฉันจะไปเดี๋ยวนี้”แม่วางโทรศัพท์ลงช้าๆ ดวงหน้ายังคงขาวซีด ไม่มีน้ำตาไหล ออกมา มันคงเหือดแห้งไปเสียแล้ว...แม่ยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งคงโทรหาพ่อ ซึ่งฉันก็เดาไม่ผิด

            

            แม่เดินอย่างเหม่อลอยมาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด  ฉันคุกเข่าลงข้างๆแม่

    “แม่อย่าเศร้าเสียใจเลยนะ  คิราภ์อยู่นี่”

    “แม่มองคิราภ์สิ  คิราภ์อยู่ที่นี่แล้ว ตรงหน้าแม่”ฉันเอื้อมมือออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของแม่ แต่กลับไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้นอกจากความว่างเปล่า...นี่นะหรือความทุกข์ของคนเป็นแม่   นี่น่ะหรือความทุกข์อันสาหัสของเหล่าวิญญาณอันมิได้อยู่ในมิติที่อาจจับต้องตัวคนที่สำคัญที่สุดได้...



            

                                    แม่ลุกขึ้นทรงตัวอีกครั้งยืนได้อีกครั้งก่อนจะรวบรวมของต่างๆออกจากบ้านไป   ฉันยืนมองส่งแม่ที่หน้าประตู  ด้วยน้ำตาอาบหน้า



            ใจของฉันไม่แข็งพอที่จะตามแม่ไป... เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะเห็นคนที่ฉันรักร้องไห้ให้ฉัน









                ตลอดคืนฉันมองพวกเขาที่ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของฉัน   ทุกคนที่อยู่ในบ้าน หรือมาที่บ้าน ต่างเศร้าโศก พูดกันด้วยเสียงเบาราวกระซิบและน้อยครั้ง   หรือพยักหน้ารับช้าๆ โดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด    สิ่งที่ฉันทำได้คือการเฝ้ามอง ไม่สามารถแตะต้องสิ่งใดได้ สิ่งที่กายนี้ทำได้คือการเฝ้ามองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  

            



                            หากฉันกลับไปมีกายเนื้ออีกครั้ง สิ่งที่ฉันทำได้คงไม่ใช่แค่การเฝ้ามองอีกต่อไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×