ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ~วัณณุปถชาดก-ว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน~
วัณณุปถชาดก-ว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน
วัณณุปถชาดก "นายวาณิชสามารถนำพาหมู่คณะเดินทางไปสุ่จุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ แม้ในระหว่างการเดินทางจะเจออุปสรรคแต่เขาก็สามารถใช้ความเพียรก้าวข้ามปัญหาไปได้"
ขบวนกองเกวียนของนายวาณิชเดินทางไปขายสินค้ายังต่างเมือง
ณ พระเชตะวันมหา วิหารในพุทธกาลครั้งนั้น หมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจำพรรษาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ต่างขยันหมั่นเพียรศึกษาพระธรรมวินัย และเกื้อกูลกันเป็นอันดี ภิกษุรูปหนึ่งประพฤติตนเรียบร้อย ขยันหมั่นเพียรในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่รักของภิกษุในพระเชตวัน
ภิกษุหนุ่มผู้ประพฤติตนเรียบร้อยมีความขยันหมั่นเพียรเป็นที่รักของบรรดาภิกษุทั้งหลาย
ตลอด 5 ปีที่อุปสมบท “ท่านขยันหมั่นเพียรดีนัก” “เออ ดีๆๆ ท่านนะ จะบรรลุแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ได้แน่ๆ” “เราจะขยันหมั่นเพียร ประพฤติธรรมจนถึงพระนิพพานให้ได้” ภิกษุหนุ่มศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉานก็ปรารถนาจะเจริญภาวนาเพื่อบรรลุมรรค ผลพระนิพพาน จึงกราบลาพระบรมศาสดาออกวิปัสสนาในป่าลึก
ภิกษุหนุ่มกราบลาพระศาสดาออกวิปัสสนาในป่าลึกตลอดพรรษา
ตลอดฤดูเข้าพรรษา ภิกษุหนุ่มผู้มีความเพียรในการศึกษาพระธรรมวินัยและมีความเพียรในการในการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิ
(Meditation)ภาวนา ได้เดินทางออกวิปัสสนา ณ ป่าใหญ่นอกเมือง
ตลอดเวลา 3 เดือนในฤดูเข้าพรรษาพระภิกษุรูปนี้ปรารภความเพียรอย่างหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย “เฮ้อ..เมื่อไหร่จิตใจเราจะสงบได้เสียที มีแต่เรื่องทางโลกรบกวนสมาธิ แค่บรรลุปฐมญาณยังแสนยากหนอ” เมื่อการปฏิบัติมิได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ภิกษุผู้ภาคเพียรก็ยิ่งท้อใจ
ภิกษุหนุ่มมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการเจริญสมาธิภาวนาเป็นอย่างยิ่ง
“ชาตินี้เราคงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่ เฮ้อ..ควรจะกลับไปยังพระอารามเชตวันเสียที” เมื่อคิดได้ดังนั้นภิกษุผู้ท้อแท้ก็เดินทางออกจากป่าสู่เขตวิหารเชตวันดัง เก่า “กลับไปปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ ไปฟังพระธรรมเทศนาให้ชื่นใจ ดีกว่ามานี่หวังบรรลุธรรมลมๆ แล้งๆ เช่นนี้ เฮ้อ..พอกันที”
ภิกษุหนุ่มละความเพียรในการภาวนาได้เดินทางกลับมายังวิหารเชตวัน
เพื่อนพระภิกษุสงฆ์เมื่อเห็นท่านกลับมาอย่างสิ้นหวังก็พากันปลอบโยนและชัก ชวนไปเฝ้าพระพุทธโอวาทต่อพระบรมศาสดา “อย่าเสียใจไปเลยท่าน ค่อยเพียรภาวนาไปก็ได้ สักวันคงจะเห็นผล” “นั่นซิ เราไปเฝ้าขอโอวาทพระบรมศาสดากันเถอะ เผื่อพระองค์จะทรงชี้ทางสว่างให้ท่านได้บรรลุมรรคผล”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานกำลังใจให้ภิกษุด้วยการเล่า วัณณุปถชาดกเมื่อครั้งอดีต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพุทธโอวาทแด่ภิกษุผู้ละทิ้งความเพียร โดยการตรัสเล่า วัณณุปถชาดกที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตชาติของภิกษุนั้นเอง
“อือ..ก็ดีนะท่าน พระพุทธโอวาทแก้ปัญหาและปลดทุกข์ปวงชนมามากมายนักแล้ว” วาระนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสติปัญญาและกำลังใจให้ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติธรรมต่อไป พระองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณแล้วตรัสเล่า วัณณุปถชาดก ดังนี้
นายวาณิชผู้มีอาชีพค้าขายสินค้าไปยังเมืองต่างๆ พร้อมด้วยขบวนกองเกวียน
ในอดีตกาลมีนายวาณิชชาวพาราณสีคนหนึ่งบรรทุกสินค้าไปขายต่างเมืองเป็นประจำ วันหนึ่งวาณิชผู้นี้ต้องนำกองเกวียนข้ามทะเลทรายเป็นทางไกลถึง 60 โยชน์ “โห้ย....คราวนี้ต้องเดินทางไกลยิ่งนัก เฮ้อ ทั้งไกลทั้งร้อน ผ่านทะเลทรายอีกต้องลำบากมากขึ้นแน่ๆ”
นายวาณิชพร้อมด้วยขบวนเกวียนออกเดินทางค้าขายยังต่างเมืองในเวลากลางคืน
ในการเดินทางครั้งนั้นผ่านผืนทรายร้อนจัดมากจึงต้องหยุดในเวลากลางวันและออก เดินทางในเวลากลางคืนแทน “ตะวันสูงขึ้นแล้ว ต้องรีบพักก่อนจะถูกเผาจนตัวเกรียม หยุดก่อนทุกคน หยุดพักกันได้เราจะพักจนพระจันทร์ขึ้นแล้วค่อยไปต่อ” “เฮ้อ..ได้พักซะที เดินทางมาทั้งคืนแหละ....นอนดีกว่า..ง่วง”
นายวาณิชสั่งให้ลูกน้องหยุดพักในเวลากลางวันเพราะแดดและผืนทรายร้อนจัดมาก
“อ้าว..อะไรจะหลับง่ายปานนี้ พักปุ๊บหลับปั๊บ ตื่นมากินกันก่อนซิ” นายกองเกวียนพ่อค้าใหญ่จะหยุดให้คนและโคได้พักผ่อนเช่นนี้เสมอจนกระทั่งระยะ ทางเหลืออีกแค่ 1 โยชน์หรือ 16 กิโลเมตร ก็จะพ้นเขตทะเลทราย เมื่อได้หยุดพักทุกคนก็ชะล่าใจ ดื่มน้ำและกินอาหารจนหมด “ฮะ ฮ่า ฮ้าๆ มีความสุขจริงๆ กินๆๆๆ
นายวาณิชและลูกน้องหยุดรับประทานอาหารและพักผ่อนจากการเดินทาง
นายวาณิช ผู้มีความเพียรให้บริวาร
พักในตอนกลางวันและเดินทางต่อในตอนกลางคืน
กินกันให้เต็มที่ไปเลยพรุ่งนี้ก็ถึงในเมืองแล้ว ฮะฮ่า” “ใช่ๆๆ ต้องกินให้หมดเกลี้ยงเก็บไว้ก็หนัก เดี๋ยวก็ถึงที่แล้วค่อยไปหาของอร่อยๆ ในเมืองกินต่อ” “อูย อิ่มจนลุกไม่ขึ้นแล้วนี่” เมื่อได้เวลาเดินทาง ต้นหนคนนำทางก็ขับเกวียนออกนำหน้าดังเคย เกวียนทุกเล่มก็ขับตามๆ กันไปโดยอาศัยดูทิศดวงดาว
เมื่อพลบค่ำนายวาณิชและลูกน้องพร้อมขบวนเกวียนก็ออกเดินทางต่อไป
“อ้าวทุกคน เตรียมตัวออกเดินทางได้” “ฮุยเลฮุย..เดินทางกันเร็วๆ จะได้ถึงเมืองไวๆ” “โอ้ย...ยังอิ่มอยู่เลยกินไปเยอะเกิน ขอนอนต่อในเกวียนแล้วกัน สายลมเย็นของทะเลทรายยามค่ำคืนและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของกงล้อประสานกันกลายเป็น ดนตรีกล่อมจนต้นหนผู้นำทางเผลอหลับ “เฮ้อ ลมเย็นดีจังเลย บรรยากาศก็ดี เห้อ.....”
ต้นหนคนนำทางเผลอหลับในขณะที่ขบวนเกวียนกำลังเดินทาง
“อย่าหลับซิลุง ข้าไม่รู้จักทางนะ” “เออ ตรงไปก่อนๆ เดี๋ยวข้าบอกทางให้น่ะ....ครอกๆๆ...” เมื่อเป็นเช่นนี้กองเกวียนของนายวาณิชแทนที่จะถึงจุดหมายกลับหลงทางเดินวน กลับมาอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครสังเกตรู้สักนิดก็หาไม่ “โอ๊ย เมื่อไหร่จะถึงซะที เหนื่อยแล้วน่ะ” “เออน่า แกอย่าบ่นเลย เดี๋ยวก็ถึงแล้วมั้ง”
ขบวนเกวียนเดินวนย้อนกลับมาที่เดิมโดยที่ไม่มีใครรู้และสังเกตเห็น
นั่นซิ แกอย่าบ่นเลย เดินทางต่อไปเถอะ” กว่ากองเกวียนจะรู้ว่าหลงทางก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งเดินไกลแดดยิ่งแรงยิ่งแผดกล้า “เฮ้ย..นี่พวกเราหลงทางกั
นหรือ เนี่ย ข้าวปลาน้ำดื่มก็หมดแล้ว” “โอ้ย หิวน้ำ หิวข้าวด้วย หิวๆๆๆ” “เออ อย่าบ่นซิ ยิ่งบ่นก็ยิ่งหิว เมื่อคืนไม่น่ากินให้หมดเลย..อด”
นายวาณิชไม่มีความท้อถอยแม้จะรู้ว่าหลงทางก็มีความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
นายวาณิชผู้นำกองเกวียนเป็นผู้ใหญ่มีความสุขุมรอบคอบ จึงออกสำรวจหาทางแก้ไข “ตัวเราจะละทิ้งความเพียรไม่ได้ หมู่คณะจะพากันตายเป็นแน่ เราต้องอดทน ความหวังต้องมีซินะ ผู้เพียรพยายามไม่เคยสิ้นหวังนี่น่า” นายวาณิชเดินสำรวจเส้นทางไปอย่างไม่ละความพยายาม
นายวาณิชพยายามเดินสำรวจจนพบก่อหญ้าและมั่นใจว่าข้างล่างจะต้องมีน้ำ
ความเพียรพยายามสู่ความสำเร็จ นายวาณิชผู้มีความเพียรไม่ย่อท้อเดินสำรวจหาแหล่งน้ำและในที่สุดทำให้เขาก็สามารถนำพาหมู่คณะกองเกวียนผ่านพ้นวิกฤตไปได้
“นั่นไง ตรงนี้มีหญ้าขึ้นก่อหนึ่งแสดงว่าข้างล่างต้องมีน้ำ ความหวังอยู่ข้างล่างพื้นทรายนี้เอง” “เฮ้ย..พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว” “ไปไหนรึท่าน ข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ท่านอย่าบอกนะว่าให้เดินทางไปตายเอาดาบหน้า” “ไม่ใช่ ข้าเจอแหล่งน้ำแล้วต่างหาก พวกเจ้าช่วยกันนำจอบนำเสียมมาเถอะ เร็วๆ เข้าพวกเราจะมีน้ำดื่มแล้ว”
นายวาณิชบอกให้บริวารไปช่วยกันขุดหาน้ำในที่ที่ตนเจอกอหญ้า
ด้วยความดีใจบริวารทั้งหมดช่วยกันคนละไม้คนละมือ ระดมพลังกันขุดหาน้ำที่อยู่ใต้ผืนทรายเป็นการใหญ่ “โอ้..โอ๊ย เหนื่อย หิวน้ำ จะไม่ไหวอยู่แล้วนี่ โอย” “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย ขุดตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมีน้ำสักหยด” “โอย ขุดลึกแค่ไหนก็เจอทรายกับทราย เหนื่อย” เมื่อขุดไม่พบน้ำทุกคนก็หมดหวัง
บริวารต่างช่วยกันขุดบริเวณกอหญ้าแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะได้เจอกับแผ่นที่ก้นหลุม
ยิ่งพบแผ่นหินอยู่ก้นหลุม ก็ยิ่งท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก “เฮ้อ ทุกคนต่างสิ้นหวังกันหมด ไม่ได้ เราจะเป็นอย่างทุกคนไม่ได้ เราต้องเพียรพยายามขุดต่อไปจนกว่าจะเจอน้ำ” นายวาณิชไม่ยอมสิ้นหวัง เขาแนบกายลงเอาหูฟังยังแผ่นหินอย่างตั้งใจ “โอ้ เสียงข้างล่างตรงนี้ มันเสียงน้ำนี่
นายวาณิชแนบกายเอาหูฟังแผ่นหินและเขาก็ได้ยินเสียงสายน้ำอยู่ด้านล่างของแผ่นหินนั้น
ใช่แล้วเสียงน้ำไหลมากมายเลย เฮ้ย..มาช่วยกันขุดตรงนี้เร็ว มีน้ำแน่ๆ” “ได้เลยท่าน ข้ายังมีแรงพอ นี่แน่ะๆๆๆ” หนุ่มคนสนิทร่างใหญ่เมื่อออกแรงทุบไม่กี่ครั้ง หินแผ่นนั้นก็แหลกทะลายลง บังเกิดเป็นลำน้ำพุ่งขึ้น เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ ชาวกองเกวียนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
แผ่นหินโดนทุบอย่างแรงสายน้ำก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นจริงดังที่นายวาณิชคาดไว้
“ไชโย ในที่สุดเราก็เจอน้ำ” “รอดตายเพราะเจ้านายขยันแท้ๆ” น้ำ ใต้ผืนทรายช่วยต่อชีวิตให้ทุกๆ คนให้มีเรี่ยวแรงหุงหาอาหารดื่มกินเพื่อรอเดินทางใหม่อีกครั้ง “พวกเธอ พึงจำไว้เถิดความหวังย่อมมีอยู่เสมอ ในชนผู้ไม่เกียจคร้าน” จันทร์ประดับฟ้าสีครามคืนนั้น นายวาณิชได้พากองเกวียนสู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ
เหล่าบริวารได้ใช้น้ำหุงหาอาหารดื่มกินในระหว่างที่รอเดินทางต่อในยามค่ำคืน
“เย้ๆๆ ถึงเขตเมืองแล้ว” เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสวัณณุปถชาดกจบแล้ว ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยเอนกปริยายโปรดภิกษุผู้ท้อถอยให้บรรลุธรรม ณ ที่นั้น
ผู้ที่มีความเพียร ย่อม มีความก้าวหน้า ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความบากบั่น ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่นเพียรไม่ท้อแท้ท้อถอยย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต ดังตัวอย่างใน วัณณุปถชาดก ที่กล่าวมาข้างต้น
ในสมัยพุทธกาลคนสนิทนายวาณิช กำเนิดเป็น ภิกษุผู้ท้อถอยความเพียร
หมู่คณะชาวกองเกวียน กำเนิดเป็นพุทธบริษัท
พ่อค้าหัวหน้ากองเกวียน เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
อกิลาสุโน วณฺณปเถ ขณนฺตา อุทงฺคเณ ตตฺถ ปป อวินฺทํ
เอวํ มุนิ วิริยพลูปปนฺโน อกิลาสุ วิทฺเท หทยสฺส สนฺติ
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย
ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใด
มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรกำลัง
เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจฉันนั้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น