ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ~มุณิกชาดก-ว่าด้วยผู้มีอายุยืน~
มุณิกชาดก-ว่าด้วยผู้มีอายุยืน
มุณิกชาดก "เป็น เรื่องของโคมหาโลหิตและโคจุฬโลหิตที่ทำงานรับใช้เจ้านายอย่างเต็มกำลัง แต่โคจุฬโลหิตผู้น้องกลับมองว่าไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากเจ้านายซึ่งต่างกับ เจ้าหมูมุณิกะที่เจ้านายดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี"
โคมหาโลหิตผู้พี่และโคจุฬโลหิตผู้น้องซึ่งถูกเลี้ยงดูโดยชาวนาและบุตรสาว
ใน 16 แคว้นที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎกของชมพูทวีปนั้น โกศลคือชนอารยันที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่ามคธรัฐซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเลือกเป็นดินแดนตรัสรู้และประกาศพระพุทธศาสนามาก่อน และสงฆ์สภาในพระอารามเชตวันแห่งมหานครสาวัตถีนครหลวงของโกศลก็คงความยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจำนวนพุทธสถานทั้งหมดเช่นกัน
เมืองสาวัตถีนครหลวงของแคว้นโกศลซึ่งมีความยิ่งใหญ่แห่งดินแดนของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสดาทรงตรัสชาดกหลายพระชาติที่นี่ ชาดกแต่ละเรื่องมักจะมีเหตุมาจากพระสงฆ์สาวก แล้วทรงมีพระมหากรุณาธิคุณประทานแก้ไขเหตุนั้นให้ ดังพุทธกาลสมัยนี้ มีภิกษุในพระพุทธศาสนารูปหนึ่งอุปสมบทมานานหลายปี เกิดรุ่มร้อนต้องการลาสึกไปวิวาห์มีครอบครัว
ภิกษุผู้มีความรุ่มร้อนถูกกิเลสแห่งสตรีเข้าครอบงำจิตใจจนเกิดทุกข์เวทนายิ่งนัก
ภิกษุรูปนี้ถูกกิเลสแห่งอิสตรีเข้าครอบงำจิตใจ จนนอนนั่งมิเป็นสุข แม้ยับยั้งชั่งใจด้วยสำนึกดีชั่วรู้หมดก็ยังอดใจไม่ไหว “เฮ้อ....ไม่ว่าจะเป็นธรรมะข้อ ใด ก็ไม่อาจลบน้องนางออกไปจากใจได้เลย” ด้วยสตรีตัวต้นเหตุซึ่งเป็นสาวแก่ที่หลงเหลือจากการแต่งงานมิได้ลดราผูก ปฏิพัทธ์ต่อท่านเลยสักเวลา
สตรีผู้ซึ่งมีใจปฏิพัทธ์ต่อภิกษุรูปหนึ่งและเธอก็ได้คอยจัดหาภัตตาหารมาถวายภิกษุนั้นเป็นประจำ
“ใกล้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว น้องจำใจกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ หลวงพี่พรุ่งนี้น้องจะมาใหม่นะจ๊ะ” เปรียบได้ว่าตะวันขึ้น เมื่อใด นางนั้นก็ออกมาหายพร้อมแสงตะวันเมื่อนั้น เหตุนี้ทำความกระสับกระส่ายแก่ภิกษุท่านนี้ยิ่งนัก “เช้านี้จะได้เจอกับน้องหญิงอีกแล้ว ดีใจจังเลย” “อ้าวๆๆๆ ขันติไว้หน่อยๆๆ หลวงน้องเอ้ย”
ภิกษุผู้เผลอสติมีใจต่อหญิงสาวมีความยินดีที่ได้เจอหญิงสาวในทุกๆวัน
“หลวงพี่ขา น้องจัดหาภัตตาหารให้เรียบร้อยแล้ว เพลนี้ไม่ต้องฉันในโรงทานนะจ๊ะ เดี๋ยวน้องถวายที่กุฏิเอง รับรองอร่อยกว่าที่ตักบาตรเช้า นี้แน่ๆ จ๊ะ” “ผู้หญิงอาไร้ไม่รู้จักดีชั่ว น่าตำหนิจริงๆ เลย” ความวุ่นวายใจเป็นมารร้ายของการปฏิบัติพระธรรม เหตุดังนี้พระพุทธเจ้าสดับแล้วทรงประทานพุทธโอวาทแก่ภิกษุนั้นว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่ามุณิกชาดกแด่บรรดาภิกษุสงฆ์
มุณิกชาดก "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพุทธโอวาทแก่ภิกษุผู้ถูกครอบงำจากอิสตรีและทรงตรัสเล่ามุณิกชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย"
“ดูก่อนภิกษุมิใช่แต่บัดนี้ที่หญิงผู้นี้ทำเธอพินาศ เมื่อก่อนนั้นเธอถึงกับสิ้นชีวิตในวันวิวาห์ของหญิงนี้มาแล้ว บัดนั้นองค์พระศาสดาทรงตรัสมุณิกะชาดกขึ้นแสดงให้เห็นบูรพกรรมไว้ดังนี้ ในชนบทนิคมหนึ่งเมื่ออดีตชาติยังมีชาวนากับบุตรสาวเลี้ยงชีพอยู่ด้วยการทำนาและกสิกรรมอย่างขยันขันแข็ง
ชาวนาและบุตรสาวดำรงชีพด้วยการทำนามีโค 2 ตัวเป็นกำลังสำคัญในการทำงาน
โดยมีโคใหญ่คู่หนึ่งเป็นกำลังสำคัญ “พ่อจ๋า...ลูกเตรียมข้าวไว้ให้พ่อทานกลางวันเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ” “จ้า เดี๋ยวพ่อจะเอาหญ้าให้โคก่อนแล้วก็จะออกไปแล้ว เจ้าน่ะ วางไว้ตรงนั้นเถอะ” โคสีนิลเป็นผู้พี่ชื่อ มหาโลหิต โคสีน้ำตาลเป็นน้องชื่อ จุฬโลหิต ทั้งสองใช้แรงงาน แบกบรรทุก ทำไร่ไถนา ช่วยเหลือชาวนามิได้เกียจคร้าน
โคทั้งสองตัวออกจากบ้านทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็นพร้อมกับเจ้านายในทุกๆ วัน
“ไปเจ้าโคทั้งสองถึงเวลาทำงานของเราแล้ว” โคทั้งสองออกจากคอกไปยังทุ่งนาพร้อมเจ้าของตั้งแต่เช้าตรู่และจะทำงานอยู่ กลางทุ่งกว้างนั้นอย่างเหน็ดเหนื่อยจนตะวันตกดิน เมื่อเหนื่อยล้าโคสีน้ำตาลผู้น้องจะบ่นตัดพ้อในความอยุติธรรมของชาวนาทุก ครั้ง “ตะวันจะตกดินแล้ว ไป๊ ไป กลับบ้านกันเถอะ
หลังเลิกงานจากนาโคทั้งสองก็แบกบรรทุกข้าวของและฟืนกลับไปยังบ้าน
เดี๋ยวข้าจะหาหญ้าอ่อนอร่อยๆ ให้พวกเจ้ากินนะ” “เฮ้ย เหนื่อยจริงๆ เลยทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำเนี่ย เกิดเป็นโคนี่มันลำบากจริงๆ” “เจ้าอย่าบ่นไปเลยน่า มันเป็นหน้าที่ของเรา ทำไปเถอะ” บางวันหากยังต้องบรรทุกสินค้ากลับบ้านอีก จุลโลหิตก็มักต่อว่าต่อขานกระทบไปถึงสัตว์เลี้ยงของชาวนาอีกตัวหนึ่งอยู่เสมอ
โคผู้น้องบ่นน้อยใจกับโคผู้พี่เกี่ยวกับอาหารที่ชาวนาที่ชาวนาจัดหาให้กิน
“เจ้านายเราก็จริงๆ เลย ไม่มีความยุติธรรม พี่ดูซิ เรารึ ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ เสร็จงานเราต้องแบกของกลับบ้านอีก แต่เจ้านั่นนะ สบายทั้งวัน วันๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้กินดีอยู่ดีกว่าเราซะอีก” “เรากับเขาก็เป็นสัตว์คนละชนิด เจ้าจะเอาไปเทียบกันได้ยังไง” “พี่ก็ดูเอาเถอะ เราทั้งสองนะ ทำงานหนักเทียบตาย หาเลี้ยงทุกคน
โคผู้พี่อธิบายให้โคผู้น้องเข้าใจในหน้าที่ที่ต้องทำและอาหารที่ควรจะได้รับ
แต่มีอาหารแค่หญ้าแห้งๆ ให้กิน มันไม่ยุติธรรมเลย” “ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้นล่ะ จุลโลหิต อะไรคือความไม่ยุติธรรมรึ” “ก็ เจ้าหมู มุณิกะ นะซิ วันๆ เอาแต่นอนหลับ ได้กินข้าวกินถั่ว มันน่าน้อยใจเจ้านายมั๊ยล่ะ ใช้งานเราแต่เช้าจนมืดค่ำ ไม่เคยให้กินอาหารดีๆ สักมื้อเดียว”
บุตรสาวของชาวนาเข้าพิธีหมั้นกับบุตรชายคฤหบดีของนิคมชนบท
มุนิกะ เป็นสัตว์เลี้ยงอีกตัวที่ชาวนาเลี้ยงไว้ด้วยอาหารและการดูแลที่ดีกว่าโคทั้ง สอง “อู๊ดๆ เป็นหมูนี่สบายจริงๆ เลยเราไม่ต้องทำงานหนักเหมือนเจ้าโคทั้งสอง นี่แหละน๊า บุญพาวาสนาส่ง ของอย่างนี้มันแข่งกันไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” มุณิกะได้รับการบำรุงจนอวบอ้วนและโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
หมูมุณิกะสัตว์เลี้ยงที่ชาวนาและบุตรสาวดูแลใส่ใจมากเป็นพิเศษ
ยิ่งโตมันก็ยิ่งกินอาหารมากขึ้นสิ้นเปลืองขึ้น แต่ทั้งชาวนาและลูกสาวก็ไม่ได้บ่นหรือตำหนิมันเลยแม้แต่น้อย “อูยอิ่ม กินไม่ไหวแล้ว นอนดีกว่า นายหญิงนี่ดีกับเราจริงๆ เล้ย หาอาหารดีๆ มาให้กินทุกวัน งานการก็ไม่เคยใช้ สบ๊ายสบาย” ความเป็นอยู่ของหมูมุณิกะแตกต่างจากความเป็นอยู่ของโคทั้งสองยิ่งนัก
บุตรสาวของชาวนาอาบน้ำให้เจ้าหมูมุณิกะให้เนื้อตัวสะอาดเพื่อที่จะนำไปฆ่าในวันถัดไป
หมูมุณิก "หมูมุณิกได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากบุตรสาวของชาวนาทั้งเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่"
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จุลโลหิตเกิดความไม่พอใจ แต่โคผู้พี่ก็เตือนสติน้องให้ลดความทุกข์ความริษยาไปในคืนหนึ่ง “น้องพี่ อย่าได้อิจฉาเจ้ามุณิกะมันเลย อาหารดีๆ นั่นนะ มันไม่ได้กินเพื่ออยู่แต่กำลัง มันกินเพื่อตาย” “จริงเหรอพี่” “จริงซิ เจ้าคอยดูเถอะ พรุ่งนี้จะมีงานหมั้นของคุณหนู
หมูมุณิกะถูกนำออกจากคอกมาผูกไว้กับเสาใกล้ๆ บ้าน
เค้าต้องยิ่งปรนเปรอเจ้ามุนิกะให้อ้วนขึ้นไปอีก” “เค้าคงเตรียมไว้เป็นอาหาร ฉลองงานแต่งวันข้างหน้าแน่ๆ วุ๊ย..คิดแล้วเสียวไส้” เมื่อ ถึงเวลาเช้า คุณหนูบุตรสาวของชาวนาก็เข้าพิธีหมั้นกับบุตรชายคฤหบดีของนิคมชนบทนั้น มีแขกมาร่วมงานไม่มากนัก เสร็จพิธีแล้วก็พากันกลับไป
ชาวนาและบุตรสาวนำคนฆ่าหมูมาที่บ้านของตน
“วิวาห์ของเราใกล้เข้ามาแล้วนะ” “จ๊ะพี่ น้องตื่นเต้นจังเลย” “ใกล้ถึงวันแต่งลูกสาวเราแล้ว ต้องขุนเจ้ามุณิกะให้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย” ยิ่งใกล้วันวิวาห์บุตรสาวชาวนาก็ยิ่งบำรุงเจ้ามุณิกะเป็นการใหญ่ “โอ๊ย..อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว นายหญิงนี่น่ารักจริงๆ เลย หานั่นหานี่มาให้กินตลอด นายหญิงจ๋า มุณิกะรักนายจังเลย”
ชาวบ้านพากันมาช่วยเตรียมงานที่บ้านของชาวนาและบุตรสาว
ไม่กี่วันหลังการขุนมาอย่างดีหมูของชาวนาก็อ้วนพีจนเต็มที่ เจ้ามุณิกะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ลูกสาวชาวนาคอยหาอาหารดีๆ มาบำรุง คอบอาบน้ำขัดถูให้ทุกครั้งที่อากาศร้อน “มามะเจ้ามุณิกะมาอาบน้ำนะ เนื้อตัวเจ้าจะได้สะอาดสะอ้าน” “อ้า...เย็นสบายจัง ชาติก่อนเราต้องเคยมีบุญคุณกับนายหญิงแน่ๆ เลย เค้าถึงตอบแทนเราขนาดนี้ ฮ่ะๆๆ สบายตัว เย็นๆๆๆ”
เจ้าหมูมุณิกะกรีดร้องด้วยความโศกเศร้าเสียใจที่นายหญิงจับมันมัดเข้ากับหลัก
หมูมุณิกะ "ถูกปล่อยออกมาจากคอก มันลำพองตนกลับหลงดีใจว่านายหญิงจะพาเที่ยว ซึ่งความจริงมันหารู้ไม่ว่า วันนี้คือวันตายของมัน"
และแล้ววันหนึ่งมุณิกะก็ถูกปล่อยออกมาจากคอก วันนี้คือวันเตรียมอาหารเพื่องานวิวาห์ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง “เอ๊ะทำไมวันนี้เราถึงถูกปล่อยออกมาจากคอกละ หรือว่านายหญิงจะพาเราไปเที่ยวนะ” “ผูกมุณิกะไว้กับเสาแล้วใช่มั๊ยลูก” “จ๊ะพ่อ” “โอ้โห..ตัวขาวอวบน่ากินนะเนี่ย เชือดได้เลยมั๊ยจ๊ะนาย” “นี่มันวันอะไรกัน ทำไมคนมากันมากมาย
เนื้อของเจ้าหมูมุณิกะแปรสภาพเป็นอาหารหลากหหลายชนิด
แล้วต้มน้ำร้อนกันทำไมเนี่ย ว๊ายแล้วนั่นนายใหญ่กับนายหญิงพาใครมา น่ากลัวจังเลย” และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงตามคำพูดของโคมหาโลหิตที่บอกไว้แก่น้อง มุณิกะถูกจับมัดกับหลักเชือดหมู ด้วยมือนายหญิงที่มันรักนักหนานั่นเอง หมูอ้วนของชาวนากรีดร้องตั้งแต่ถูกพันธนาการอย่างเสียใจ จนกระทั่งร้องสุดชีวิตในนาทีเจ็บปวดจากคมมีดของคนฆ่าหมู
โคทั้งสองเข้าใจถึงการถูกเลี้ยงดูอย่างดีไว้เพื่อการถูกฆ่าเป็นอาหารของเจ้าหมูมุณิกะ
“เจ้ามุณิกะนี่ ร้องเสียงดังจังเลยแสบแก้วหูไปหมดแล้วเนี่ย” “โอ๊ย..นายหญิง ทำไมนายหญิงทำกับมุณิกะอย่างนี้” และแล้วเนื้อและไขมันของมุณิกะก็กลายเป็นอาหารหลายชนิดสำหรับงานฉลองพิธี วิวาห์ในวันต่อมา นับว่าเป็นประโยชน์เดียวที่ตอบแทนนายผู้เลี้ยงดูมันอย่างแสนจะคุ้ม “อื้อหือ อร่อยๆ อาหารนี่รสเยี่ยมมากเลย” “หมูนี่ก็นุ่มลิ้นกำลังดีเลย อร่อยจริงๆ”
โคทั้งสองช่วยเหลืองานชาวนาและบุตรสาวตามปกติอย่างเดิม
“เออ..กิน เต็มที่เลยนะเพื่อนยังมีอีกเยอะ” “เห็นโทษของการกินมากๆ หรือยัง บัดนี้มุณิกะกินจนวิบัติไปแล้ว เราจงพอใจหญ้าแห้งที่เหมาะสมกับเราเถอะ อายุจะได้ยืนยาว” “จ๊ะพี่ จะว่าไปหญ้าแห้งนี่มันก็อร่อยเหมือนกันเนอะ” โคจุฬโลหิตผู้น้องเห็นสัจธรรมที่หมายถึงความจริงอันเป็นธรรมดาดังนี้ ก็ไม่มีทุกข์น้อยใจชาวนาอีกต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมุณิกชาดกจบลงก็ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยเอนกปริยาย
โคทั้งสองตั้งใจทำงานตอบแทนชาวนาและบุตรสาวอย่างปกติสุขจนหมดอายุขัยสิ้น ชีวิตตามกันไป ตามวาระกรรม เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงมุณิกะจบลง ก็ทรงเทศนาอริยสัจ 4_ให้ ภิกษุที่ถูกกิเลสจากสตรีรุกรานเข้าใจเข้าถึงและพัฒนาความทุกข์ให้กลายเป็น สิ่งธรรมดา บรรลุโสดาบันคือแจ่มแจ้งในความจริงข้อนี้ได้ในบัดนั้น
ในพุทธกาลสมัย สุกรชื่อมุณิกะ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้พ่านกิเลสรูปนี้
โคจุฬโลหิต กำเนิดเป็น พระอานนท์พุทธอนุชา
โคมหาโลหิต เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
มามุณิกัสสปิ อาตุรันนานิ ภุญชะติ
อัปโปสสุโก ภุสังขาทะ เอตัง ฑีฆายุลักขะณัง
เจ้าอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย
มันกินอาหารอันทำเดือดร้อน
จงเป็นผู้ขวนขวาย น้องกินแต่แกลบหญ้าแห้งเถิด
นี่เป็นลักษณะแห่งความเป็นผู้อายุยืน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น