คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่สอง ไม่ใช่ไม่อยากมีใคร เพียงแต่คนที่ใช่เขายังไม่หันมามอง
บทที่สอง ไม่ใช่ไม่อยากมีใคร เพียงแต่คนที่ใช่เขายังไม่หันมามอง
“เอเลน เย็นนี้ไปหาไรกินกันก่อนกลับเหอะ” เจ้าเพื่อนตัวสูงตรงเข้ามากอดคอผม
“ไม่ได้ นัดกับพี่รีไวเขาไว้แล้วว่าจะกลับพร้อมกัน” ผมตอบพลางปัดแขนมันออก หนักชะมัด พิงมาได้ แกคิดว่าตัวแกเบานักรึไงห๊ะ!!! แจน
“ขาใครขามันไม่ได้ติดกันสักหน่อย ทำไมต้องรอกลับพร้อมไอ้พี่เตี้ยนั่นด้วยล่ะวะ แกไม่ใช่ลูกมันสักหน่อยที่จะต้องคอยให้มันเทียวรับเทียวส่ง”
“แจน.....เรียกพี่รีไวให้มันสุภาพกว่านี้หน่อยเหอะ”
“รุ่นพี่ที่หวังจะเคลมรุ่นน้องแบบนั้นฉันไม่ค่อยอยากจะเคารพมันหรอกว่ะ”
“ว่าอะไรนะ” แจนมันบ่นพึมพำอะไรสักอย่างซึ่งผมได้ยินไม่ชัด
“เปล๊า!!! .....ไม่มีอะไร” มันตอบในขณะที่ดึงหนังสือผมออกจากกระเป๋าเป้ในขณะที่ผมกำลังพยายามเก็บของกลับบ้าน.......จะเกรียนก็ดูเวล่ำเวลาบ้างเหอะ ฉันเก็บเข้า แกเก็บออก แล้วชาตินี้จะเสร็จมั้ยวะ
“แจน อย่ากวน......ฉันไม่ใช่ทุเรียน แกกวนฉันไปฉันก็ไม่อร่อยขึ้นมาหรอก”
“แม่ม.....ใครกันวะที่กวน” มันขำพลางยกสันหนังสือขึ้นเคาะหน้าผากผม
มีใครเคยสั่งเคยสอนมันบ้างมั้ยเนี่ยว่าอย่าใช้สันหนังสือเคาะหัวคน มันเจ็บนะเฟ่ย อย่างน้อยๆแกก็น่าจะม้วนเป็นแท่งแล้วค่อยเคาะก็ยังดีนะเว่ย ไม่เคยดูตลกบ้างรึไง.......ตรูเจ็บ
“น่า เอเลน ไปหาอะไรกินกันเหอะ กลับบ้านฉันก็ต้องอยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียวอีก พ่อแม่ยังไม่เลิกงานเลยนี่นา” ไอ้เพื่อนตัวโย่งมันเริ่มอ้อนผมแล้ว แกคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันน่ารักนักรึไงวะแจน ถ้ามันทำท่าทางอ้อนๆแบบนี้ต่อหน้าพี่รีไวมีสิทธิ์เจอบาทาลูบพักตร์ของพี่เตี้ยผมแน่ โทษฐานอ้อนได้น่าหมั่นไส้....
“จะกลับบ้านกับพี่รีไว”
“กลับไปแกก็กินข้าวคนเดียวเหมือนกันนี่หว่า”
“จะกินข้าวกับพี่รีไว” ผมตอบมันตามตรง แต่มันกลับทำหน้าบึ้ง......แกมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนาวะแจน
“แล้ว.....แล้วการบ้านภาษาอังกฤษล่ะวะ แกไม่ลอกฉันจะทำได้เหรอ”
“จะทำการบ้านกับพี่รีไว” ผมสะพายเป้แล้วเดินหนีมันเพื่อตัดรำคาญ..........วันนี้แกง๊องแง๊งเกินเหตุว่ะแจน
“แกนี่มันสมกับเป็นหมาน้อยผู้ซื่อสัตย์จริงๆว่ะเอเลน”
“ว่าไงนะ” คำพูดของมันทำให้ผมชะงัก.......อยู่ดีๆมาว่าผมเป็นหมา งั้นอย่างแกก็ม้าล่ะวะแจน
“ก็เป็นหมาน้อยสัตว์เลี้ยงของไอ้พี่เตี้ยนั่น อยู่ที่ไหนถ้าเรียกก็ต้องมาหา สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ สั่งให้กินก็ต้องกิน สั่งให้คอยก็ต้องคอย ดีแต่ทำหน้าตาน่ารักบ้องแบ๊วอ้อนไปวันๆ เพราะแบบนั้นไอ้พี่เตี้ยนั่นถึงได้มองว่าแกเป็นหมาน้อย”
“หุบปากม้าๆของแกไว้กินหญ้าเหอะแจน ถ้าไม่อยากฟันร่วงหมดปาก” ผมด่ามันพร้อมกับเขวี้ยงกระเป๋าเป้ใส่หน้ามันด้วย
“ไม่รู้อะไรแท้ๆ......แกอย่ามาพูดจะดีกว่า” ผมเดินปึงปังออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด ไอ้ม้าแจนมันบังอาจว่าผมเป็นหมา ไม่ได้ดูหนังหน้าตัวเองเลยสินะ พี่รีไวเขาโตกว่า ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากกว่าผมตั้งสองปีเชียวนะผมผิดตรงไหนที่ยึดหลักเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด........แต่กลับถูกม้าอย่างไอ้แจนไล่ฟัดเสียอย่างนั้น
ผมเดินมานั่งรอที่ริมบันไดทางขึ้นหน้าอาคารเรียน ยังไม่เห็นเงาของคนที่นัดผมเลยโผล่มาเลย บางทีปีสามอาจจะกำลังโฮมรูมกันอยู่ก็ได้ หยิบโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ขึ้นมาเสียบหูฟังเปิดเพลงฟังแก้หงุดหงิด ไอ้แจนมันดันโทรเข้ามาพอดี
“อะไร” ไม่ค่อยอยากจะสนทนากับมันเท่าไหร่นัก
“ขอโทษ......ฉันขอโทษที่ว่าแก” มันตอบมาเสียงเบา
“อืม.....” แล้วจะให้ผมว่าไงได้ล่ะ เพื่อนกันมันจะโกรธกันได้นานแค่ไหนเชียว
“แล้วกระเป๋าแก”
“ไม่ต้องโผล่หน้าม้าๆของแกมา ฉันไม่อยากเจอ ถ้าอยากขอโทษก็ทำการบ้านภาษาอังกฤษมาให้ด้วย.....แค่นี้แหละ เจอกันพรุ่งนี้” ผมรีบตัดสายก่อนที่มันจะโวยวายปฏิเสธ โชคดีชะมัด ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นอกจากจะทำให้ไอ้เพื่อนจอมเกรียนมันจ๋อยได้แล้วยังมีคนทำการบ้านให้อีก.........สมน้ำหน้ามัน
ผมนั่งคอยมองคนที่ผ่านไปผ่านมาร่วมครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างชายหนุ่มไซส์พิเศษของผมโผล่มาเลย
ทำอะไรอยู่นะ........ทำไมพี่ปล่อยให้ผมคอยนานจัง
จะว่าไปที่แจนพูดมันก็มีส่วนถูกนะ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ผมมักจะเป็นฝ่ายคอยตามคอยติดพี่รีไวอยู่เสมอ คอยมองแผ่นหลังเล็กๆที่มักจะเดินนำหน้าอยู่ใกล้ๆ รอคอยว่าเมื่อไหร่เขาจะหันกลับมาเรียกกลับมามองผม แม้อันที่จริงแค่สัมผัสเบาๆอย่างเช่นการลูบหัวก็ทำให้ผมฟินได้แล้วก็ตามที.........บางทีผมอาจจะเป็นหมาน้อยอย่างที่แจนมันพูดจริงๆก็ได้ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ไม่สบายใจอะไรรึไง” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆทำให้ผมลืมตาขึ้น พี่รีไวกำลังก้มหน้ามองผมอยู่ในระยะประชิด
“เปล่าครับ” ผมตอบกลับไปเสียงเบา ระยะห่างไม่ถึงคืบเท่านี้คงไม่ต้องพูดดังก็ได้ยินอยู่แล้ว เขาจ้องหน้าผมอยู่พักหนึ่งเหมือนพยายามจะอ่านสีหน้าจับโกหกผมอยู่
“กลับกันเถอะ”
“ครับ” มือใหญ่ลูบศีรษะผมเบาๆแล้วฉุดผมลุกขึ้น
“แวะที่ร้านก่อนนะ คุณแม่บอกคิดถึงให้ไปหา”
“ดีครับ นานแล้วที่ไม่ได้ไปเลย” พี่รีไวจับมือผมไว้ในขณะที่ผมเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆแบบนี้กลายเป็นความเคยชินของเราสองคนไปแล้ว เพราะพี่รีไวมักจะจูงมือผมเดินด้วยกันมาตั้งแต่เด็กผมจึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร พวกเราเดินคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ บทเรียน ไปจนถึงความเกรียนของแจนขณะที่เดินออกจากโรงเรียนโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของคนกลุ่มหนึ่งอยู่นานแล้ว
“ฟังเพลงอะไรอยู่”
“I love you ครับ”
“เพลงอะไรนะ”
“ก็ I love you ไงครับ”
“เอเลน พูดให้มันชัดๆกว่านี้หน่อยสิว่าเพลงอะไร”
“I Love You ครับ!!! พี่ได้ยินชัดรึยังล่ะครับทีนี้” ผมแทบจะตะโกนใส่หูเขาแล้วนะเนี่ย ยังไม่แก่แต่หูตึงแล้วหรือครับ.......ผมแอบบ่นให้เขา แต่พี่รีไวกลับยิ้มออกมาเสียดื้อๆ
“คงจะเพราะสินะ”
“ก็น่ารักดีนะครับ พี่ไม่เคยฟังเลยเหรอครับ” ผมตอบพลางแอบหันหน้าหนี.....อย่ายิ้มแบบนั้นสิครับ
“ร้องให้ฟังหน่อยสิ”
“ง่ะ!!! ไม่เอาอ่ะ ผมให้พี่ฟังด้วยดีกว่า อยู่นิ่งๆนะครับ เดี๋ยวผมสวมหูฟังให้”
“ก็บอกว่าร้องให้ฟังหน่อยไง” มือใหญ่ล็อคกรามผมไว้แน่นไม่ยอมให้ผมหลบตาเขาอีก
“ไม่เอาอ่ะ ผมร้องไม่ได้หรอก พี่ปล่อยผมเถอะครับ” ผมพยายามขืนตัวออก
“แค่นี้ทำให้กันไม่ได้เหรอ” คำพูดเรียบๆกับใบหน้านิ่งแค่นั้นกลับทำให้ผมสะอึก......แล้วทำไมผมจะทำให้พี่ไม่ได้ล่ะครับ
“I love you….I love you…..and I know you love me too. And I Know......นี่พี่แกล้งผมใช่มั้ยครับเนี่ย” ผมมองรอยยิ้มที่เริ่มจะกว้างขึ้นเรื่อยๆของเขา นี่พี่รีไวแกล้งโกรธผมหรอกเหรอเนี่ย......
ผมรีบเดินนำหน้าหนีออกไปก่อนด้วยความงอน......... แกล้งกันมาได้ ผมอายจะแย่แล้วนะครับพี่
“เอเลน.......” เสียงเรียกดังไล่หลังมา แต่ผมจะไม่หันกลับไปหรอกนะ ผมงอนพี่รีไวอยู่นี่
“เอเลน......” ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่หันกลับไปน่ะ
“กลับบ้านด้วยกันเถอะเอเลน” พี่รีไวยังยืนรอผมอยู่ที่เดิม มือใหญ่ยื่นออกมาข้างหน้ารอให้ผมเดินกลับไปหา
ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าผมจะไม่หันกลับไป เพราะถ้าหากผมหันไปหาแล้วสบตาคู่นั้นของเขาผมจะไม่มีวันปฏิเสธเขาได้........เช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ครับ” ผมเดินกลับไปสอดมือจับประสานกับมือใหญ่ของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยเบาๆ
“แต่ผมไม่ร้องแล้วนะครับ”
“ไม่ร้องก็ได้ แต่ขอฟังด้วยหน่อยแล้วกัน” ผมยัดหูฟังอีกข้างใส่รูหูให้เขาขณะที่เปิดเร่งเสียงดังขึ้น พี่รีไวยัดมือข้างที่เราจับกันลงกระเป๋าเสื้อผิวปากเป็นทำนองเพลงคลอไปด้วยเบาๆ......ไหนว่าไม่เคยฟังไงครับ พี่หลอกให้ผมปล่อยไก่เหรอ ผมคิดขณะที่แอบยิ้ม
ผมจะไม่ให้พี่เห็นหรอกนะ.....ว่าผมกำลังยิ้มอยู่
“ยิ้มอะไร” เสียงทุ้มหันมาถามผมเบาๆ
“เปล่านี่ครับ......ผมไม่ได้ยิ้มสักหน่อย แล้วพี่ล่ะครับ ยิ้มอะไร”
“เปล่านี่......” ตอบมาได้หน้าตาเฉยทั้งๆที่ตัวเองก็ยิ้มอยู่เหมือนกันแท้ๆ
เรามองหน้ากัน ยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้นทั้งๆที่มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย เราก็แค่กำลังฟังเพลงด้วยกันก็เท่านั้น เพลงที่เต็มไปด้วยคำบอกรักว่า I love you….I love you คำๆนี้ที่ก้องอยู่ในหูของเราสองคน มือที่ยัดอยู่ในกระเป๋าของเราสองคนจับกันแน่นขึ้น
“ถ้ายังจะยืนกันอยู่แบบนี้ ผมว่าวันนี้คงจะกลับไม่ถึงบ้านกันนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นในขณะที่เกาแก้มแอบซ่อนรอยยิ้ม
“ก็ไปสิ” เขาเอ่ยพลางกระตุกมือข้างที่จับผมไว้แล้วออกเดินไปด้วยกัน ท่ามกลางเสียงเพลง
I love you…..I love you….and I know you love me too.And I kow you love me too.
“เกือบแล้ว......เกือบแล้วมั้ยล่ะ” สาวม.ปลายเอที่แอบอยู่ใต้ต้นมะขามส่งเสียงขึ้น
“อีกนิดเดียว นึกว่ารุ่นพี่จะจูบน้องเอเลนแล้ว” สาวม.ปลายบี แอบโผล่มาจากหลังต้นมะขามอีกคน
“อยากจะไปกดหัวรุ่นพี่ประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากของน้องเอเลนยิ่งนัก” สาวม.ปลายซีแอบโผล่ตามมาติดๆด้วยหน้าหื่นๆ
“จับมือกันกลับบ้านด้วยอ่ะ”
“มีบอก I love you กันอีกอ่ะสองคนนั้นจะทำตัวเป็นธรรมชาติเกินไปแล้วนะ ไม่เขินกันบ้างหรือไงกัน”
“คนแอบมองเขินจะแย่......เชื่อมั้ย พรุ่งนี้ต้องมาเรียนพร้อมกันแน่ๆ” สามสาวจับกลุ่มสุมหัวกันงุบงิบ
“โอเค พรุ่งนี้เจอกันเวลาเดิม แล้วค่อยมาแอบส่องกันใหม่ วันนี้สลายตัวได้” แผนการตามส่องสองหนุ่มกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของสามสาวไปเสียแล้ว คิดว่าพวกเธอมาโรงเรียนทำไม พวกเธอก็มาส่องน้องเอเลนกับพี่รีไวเพื่อหาแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายลงบล็อคน่ะสิ....ขอบอก
เสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นเมื่อเราเปิดประตูร้านเข้าไปพร้อมกัน ร้านที่ส่งเสียงจอแจกลับเงียบลงฉับพลัน ลูกค้ากว่าครึ่งที่เป็นเด็กสาวมองมาทางพวกเราตาไม่กระพริบ พี่รีไวลากแขนผมเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่กำลังง่วนกับการปั่นเครื่องดื่มอยู่จนหัวหมุน
“กลับมาแล้วครับ”
“อ้าว.....มากันแล้วสินะ เอเลนคิดถึงจังลูก” คุณแม่รีบวางมือวิ่งมากอดผมทันที นี่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่มาที่นี่...... เหมือนได้กลับบ้าน
“ผมก็คิดถึงคุณแม่ครับ” กอดตอบพลางส่งยิ้มให้เธอไปด้วย
“ลูกชายแม่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่รึไง” พี่รีไวที่อยู่ข้างหลังเอ่ยเสียงเข้ม
“ก็ลูกชายคนนี้ของแม่ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กๆแล้วนี่ มีแต่ลูกชายคนเล็กนี่แหละที่น่ารักขึ้นทุกวันๆ เนอะเอเลน”คุณแม่พูดพลางหอมแก้มผมฟอดใหญ่ พี่รีไวไม่ได้ว่าอะไรเขาแค่ยักไหล่และนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆโต๊ะรับลูกค้าแล้วหยิบหนังสือขึ้นม่านเหมือนที่เคยทำอยู่ตลอด
“เดี๋ยวผมช่วยนะครับ” ผมวางกระเป๋าไว้แล้วเริ่มลุยงาน ลูกค้าเยอะแยะแบบนี้คุณแม่ทำคนเดียวคงเหนื่อยแย่
“ลุยเลยลูก เอเลน เหมือนที่หนูเคยทำนั่นแหละนี่ออเดอร์นะจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะเข้าไปดูเค้กที่อบไว้หน่อย”
“ครับ” ผมรับออเดอร์มาในขณะที่สวมผ้ากันเปื้อนโดยมีพี่รีไวช่วยผูกสายที่ด้านหลังให้
ตอนนี่แค่ทำพวกเครื่องดื่มไม่คนามือผมแล้วล่ะ ผมเก่งขนาดคุณแม่ปล่อยให้ทำคนเดียวได้ตามสบายเลยนะจะบอกให้ ผมเริ่มนำเครื่องดื่มตามออเดอร์ไปเสิร์ฟตามโต๊ะของสาวๆพวกนั้น
“ต้องการอะไรเพิ่มสั่งได้เลยนะครับ” ผมยิ้มให้พวกเธอในขณะที่พวกเธอเริ่มหน้าแดงกัน......คงไม่เป็นไรกันนะ แอร์ในร้านก็เย็นสบายดีออก
“ขอบคุณค่ะ” พวกเธอสุมหัวกันงุบงิบตอนที่ผมเดินออกมาและเริ่มทำเครื่องดื่มที่ผมถนัดมากที่สุด สตรอเบอร์รี่มิลค์เชค
“นี่ๆ เห็นหรือเปล่าคนนั้นน่ะ ผู้ชายที่สวมแว่นนั่งโต๊ะน่ะ.....มองตามคนที่มาเสิร์ฟเราตลอดเลย”
“ใช่ๆ ตอนเข้ามาในร้านก็จับมือกันมาด้วยอ่ะ”
“ท่าทางจะหวงนะ”
“อุ้ย.....ไม่หวงได้ยังไงล่ะ ก็น้องคนนั้นเขาน่ารักออก”
“แต่เห็นคุณน้าเจ้าของร้านเรียกลูกทั้งสองคนเลย ไม่ใช่พี่น้องกันหรอกเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นจะเหมือนกันเลยนะ....ฉันว่าไม่น่าใช่ แล้วค่อยถามคุณน้าทีหลัง เรื่องนี้ต้องมีเคลียร์” พวกสาวๆสุมหัวกันหัวเราะคิกคัก
“แต่สำหรับฉัน พี่น้องก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ......พี่น้องค้ำคอร์อ่ะ....ฉันชอบ”
พวกเธอส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันยกใหญ่ คงจะเม้าท์อะไรกันอยู่ล่ะมั้ง ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจนักหรอก ผมเทเครื่องดื่มสีสวยลงใส่แก้ววางสตรอเบอร์รี่ผ่าซีกลงแล้วบีบวิปครีมเป็นรูปหัวใจ ยกไปเสิร์ฟให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะใกล้ๆแทน
“จะรับอะไรเพิ่มมั้ยครับ” ผมเอ่ยถามขณะที่เล่นเลียนแบบท่าทีเด็กเสิร์ฟผู้เรียบร้อย พี่รีไวเงยหน้าขึ้นมองขยับแว่นที่สวมอยู่เล็กน้อยแล้วตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“เอาเด็กเสิร์ฟมานั่งเป็นเพื่อนด้วยได้มั้ย”
แหมช่างกล้าพูดนะครับ ผมหลุดขำออกมาแล้วจริงๆ
“ยังไม่ว่างนะครับ คงต้องรอไปก่อน” ผมตอบขำๆแล้วเดินเข้าหลังร้านไปช่วยคุณแม่ยกเค้กที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆออกมาแทน
“นี่ๆ ได้ยินมั้ยเมื่อกี้น่ะ....เขาจีบกันอ่ะ จีบกันสดๆเลย” พวกเธอคุยกันงุบงิบ พอถูกชายหนุ่มผู้สวมแว่นตวัดตามองต่างก็พากันหลบตาทันที แต่ผิดคาด แทนที่จะได้เจอสีหน้าไม่พอใจ ชายหนุ่มคนนั้นกลับส่งยิ้มมุมปากมาให้พวกเธอแทน
แค่คำพูดจีบกันเมื่อครู่นี้ก็เล่นดาเมจhpกันจนลดลงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่พอเจอรอยยิ้มพิฆาตนั่นตามเข้าไปดาเมจกระจุยhpเหลือศูนย์ ตายๆ..... ตายสนิท ระวังเหอะ ทำร้ายแฟนเกิร์ลสมากๆเดี๋ยวจะไม่มีกองอวยไว้หนุนหลังนะคะคุณพี่!!!
“ไปแล้วนะครับคุณแม่” ผมโค้งให้ท่านในขณะที่พี่รีไวเดินออกไปเฉยเลย
“กลับล่ะ”
“จ้าๆ วันนี้ขอบใจนะลูก เอเลน พรุ่งนี้มาอีกนะจ๊ะ”
“จะพยายามนะครับ.....ขอบคุณสำหรับเค้กนะครับคุณแม่” ผมหิ้วกล่องเค้กกล่องเบ้อเริ่มเอาไว้แล้วรีบวิ่งตามพี่รีไวไป
เมื่อประตูปิดลงเหล่าสาวๆที่ดักรอโอกาสนี้อยู่นานแล้วจึงไม่รอช้า พวกเธอจับกลุ่มรุมถามคุณน้าเจ้าของร้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนใจจะขาด
“คุณน้าคะ สองคนนั้นมันอะไรกันคะ....สองคนนั้นน่ะ อะไรก๊าน!!!!!”
“เอ๋ เด็กสองคนนั้นเหรอจ้ะ......อ๋อ....รีไวกับเอเลนลูกชายน้าเองจ้ะ รีไวน่ะคนโต ส่วนเอเลนที่ช่วยเสิร์ฟวันนี้น่ะคนเล็กจ้ะ” คุณน้าเจ้าของร้านตอบยิ้มๆ
“คงไม่ใช่.....คงไม่ใช่......พี่น้องกันจริงๆใช่มั้ยคะ” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามในขณะที่กัดผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นด้วยความลุ้น
“ก็...คนโตน่ะ ลูกชายน้าเองจ้ะ.......ส่วนคนเล็กน่ะ........ว่าที่ลูกสะใภ้จ้ะ” รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วพลันขยายขึ้นไปอีก
“แอร๊ยยยยยยยย!!!!” พวกสาวๆโวยวายเสียงดัง
“คุณน้าคะ คุณน้า นี่ไลน์ของพวกหนูค่ะ ถ้าลูกชายกับลูกสะใภ้.....ไม่สิ ลูกชายคนเล็กคุณน้ามาที่นี่เมื่อไหร่ ไลน์บอกพวกหนูด้วยนะคะ.....นะคะ....นะคะ”
หญิงเจ้าของร้านรับแอดไลน์เหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม
“ได้จ้ะ.....มาร่วมด้วยช่วยกันฟินด้วยกันนะจ้ะ”
“อร้ายยยยยย!!! ขอบคุณค่ะ......ขอบคุณค่ะ”
เสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าสาวๆดังลั่นออกมานอกร้านจนผมต้องหันกลับไปมอง
“ครึกครื้นกันดีจังนะครับ”
“ก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ” พี่รีไวบอกขณะที่พลิกหน้าหนังสือในมือไปด้วย
“เดินอ่านหนังสือเดี๋ยวก็สะดุดล้มหรอกครับ”
“เอเลนก็จับมือพี่ไว้สิ.....พี่จะได้ไม่สะดุด เป็นตาแทนพี่หน่อยไม่ได้หรือไง” ผมจับมือที่ยื่นมาให้เอาไว้แล้วพูดเบาๆ
“พี่อยากให้ผมเป็นอะไร ผมก็เป็นได้หมดนั่นแหละครับ”
“แล้วถ้าพี่อยากให้เป็.........”
“อะไรนะครับ” พี่รีไวพูดอะไรบางอย่างแต่รถบรรทุกที่วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วกลบเสียงของพี่เขาไปหมด เขามองผมนิ่ง....ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“พี่อยากให้เอเลนเป็นเด็กดีของพี่แบบนี้ต่อไป” อะไรกัน แค่นั้นเองหรอกเหรอ ผมหลุดขำออกมา ก็พี่เขาเล่นทำหน้าตาจริงจังเสียจนผมทำตัวไม่ถูกนี่นา
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ดื้อหรอก......”
“อืม.....” พี่รีไวถอนหายใจขณะที่ลูบหัวผมไปด้วย
“ว่าแต่พี่เถอะครับ แบบนี้จะดีหรอ........”
“อะไร”
“ผมเห็นนะ พี่สาวพวกนั้นเขาแอบมองพี่”
“เขามองนายต่างหาก” เขาพูดขำๆ
“ไม่จริงอ่ะ ผมเห็นพวกเขานั่งจ้องพี่ตาไม่กระพริบเลย”
“เอเลน.....อยากจะพูดอะไรกันแน่”
“ก็พี่เล่นขลุกอยู่กับผมทุกวันแบบนี้ พี่น่าจะเผื่อเวลาให้แฟนบ้างนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เราเดินตามถนนกันไปเรื่อยๆ อาทิตย์อัสดงทอแสงสีส้มแดงอยู่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำ แสงแดดในยามพลบค่ำฉาบทอดลงบนผิวหน้าขาวซีดของพี่รีไวจนแดงเถือก หรือความจริงพี่เขาจะหน้าแดงเพราะกำลังโกรธอยู่นะ.....แต่จะโกรธอะไรกันล่ะ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย
“ของแบบนั้นน่ะไม่จำเป็นหรอก....” เขาตอบเสียงห้วน
“แต่ผมว่าพี่น่าจะหาแฟนสักคน”
“ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่จริงๆน่ะ”
“ก็เพราะแบบนี้น่ะสิครับถึงได้มีข่าวลือแปลกๆ”
“ข่าวลืออะไร”
“ก็เขาลือกันใหญ่ว่าผมกับพี่ มีซัมติ้งวรองกันน่ะ” ผมเอ่ยขำๆแต่พี่รีไวไม่ยักขำด้วยแฮะ
“ก็ปล่อยเขาพูดไป จะสนใจทำไมล่ะ” พี่รีไวตอบขณะที่ยึดมือผมไปคลึงเล่น......ถึงพี่จะขูดหลังมือผมไปแต่หวยมันก็ไม่ออกมาหรอกนะครับ
“ผมน่ะ ไม่อะไรหรอกครับ......แต่มันทำให้พี่เสียหายนี่สิ”
“ลมปากคน ใส่ใจมากๆเดี๋ยวเป็นบ้าเอาได้นะ” เขาตอบขณะที่ตั้งนิ้วดีดหลังมือผมดังป๊อก!!! เจ็บครับ
“ครับๆ เรื่องนั้นผมรู้” แล้วพี่จะดีดผมทำเพื่อ หลังจากดีดมันจนแดงเถือกแล้วเขาก็ลูบมันเบาๆ ผมพยายามดึงมือออกแต่กลับถูกยึดไว้แน่น
กรุณาคืนมือผมมาเถอะครับพี่........
“แล้วเอเลนล่ะ ทำไมไม่มีแฟนสักที”
“ผมเอง.....ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่เหมือนกันครับ”
พี่รีไวยิ้มขณะที่ลูบหัวผมเบาๆ
“งั้นก็อยู่กันไปแบบนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าพี่ว่าดีผมก็โอเคครับ”
ความคิดของมนุษย์เรามันเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ คนอื่นอาจจะมองความสัมพันธ์ของพวกเราว่ามันแปลกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วอะไรเป็นอะไรเราสองคนต่างก็รู้กันดีที่สุด เพราะอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นความเคยชินของชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว
“ไปกินเค้กที่ห้องผมนะครับ”
“อืม”
“อ๊ะ....แต่ต้องแบ่งไว้เผื่อแจนด้วย”
“เอเลน ม้ามันไม่กินเค้กหรอกนะ”
“โห พี่ก็ ล้อมันจังนะครับ ยังไงแจนมันก็เพื่อนผมน่ะ”
“ระวังเพื่อนสนิทมันจะคิดไม่ซื่อขึ้นมาล่ะ”
“เห....อะไรนะครับ”
“ถ้ากินเหลือแล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาไปเผื่อมัน แต่ถ้าหมด ก็ถือกล่องเค้กไปให้มันแทะลับฟันเล่น”
“ครับๆ” ชักจะหงุดหงิดมากขึ้นแล้วสินะเนี่ย พูดเรื่องแจนขึ้นมาทีไรล่ะเป็นแบบนี้ทุกที สองคนนี้นี่ไม่ถูกกันจริงอะไรจริงเลยแฮะ
“ฮัดชิ้ว.....ฮัดชิ้ว” ยกหลังมือปาดน้ำมูกที่ย้อยออกมาอย่างลวกๆแล้วสูดหายใจดังครืด
“ใครนินทาวะแม่ม ต้องเป็นไอ้พี่เตี้ยนั่นแน่ๆ” ว่าพลางกัดฟันกรอด มือที่ถือปากกากำแน่นจนขึ้นข้อขาว
“เจ็บว่ะ.....” ว่าพลางสะบัดมือเบาๆ อันที่จริงมันต้องหักเหมือนพระเอกในละครเวลาที่โกรธมากๆไม่ใช่เหรอวะ ปากกาด้ามนี้แข็งชะมัด สงสัยจะผลิตไม่ได้มาตรฐาน มอก.
“เอเลนนะเอเลน.....แกจำไว้เลย” บ่นให้เจ้าของสมุดการบ้านที่ตนกำลังลอกเลียนแบบลายมือทำให้อยู่
“คำก็พี่เตี้ย.....สองคำก็พี่เตี้ย.....เอะอะอะไรก็นึกถึงแต่มัน แล้วฉันล่ะ......ฉันคนที่แกใช้เป็นม้าเป็นลาอยู่เนี่ย เคยสนใจกันบ้างมั้ย” บ่นพลางเคี้ยวปลอกปากกา มโนไปเองว่ากำลังเคี้ยวหัวไอ้พี่เตี้ยมันอยู่
“คอยดูเถอะ.....จะเอาคืนเสียให้เข็ดเลย.....ไอ้พี่เตี้ย!!!”
สมาร์ทโฟนเครื่องจิ๋วออกอาการสั่นครืดคราด เอเลนเปิดอ่านข้อความดูคร่าวๆแล้วตะโกนไปบอกคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวีอยู่บนโซฟา
“คุณแม่ส่งข้อความมาน่ะครับ พรุ่งนี้ให้แวะไปที่ร้านอีก”
“ตอบไปซะว่าพรุ่งนี้ไม่ว่าง”
“แต่คุณแม่คงอยากจะได้คนช่วยนะครับ”
“ปกติก็ทำคนเดียวได้อยู่แล้ว แค่อยากหาเรื่องอะไรสนุกๆดูมากกว่า”
“เรื่องอะไรกันครับ เรื่องสนุกของคุณแม่.......” ผมถามในขณะที่รินน้ำชาใส่ถ้วยให้เราทั้งสองคน
“ก็เรื่อง.........กินมูมมามจัง” พี่รีไวยกนิ้วปาดเค้กที่ติดอยู่บนมุมปากให้ผม ก่อนที่เขาจะยกนิ้วขึ้นไปเลียผมรีบชิงตัดหน้าเลียนิ้วเขาเสียก่อนเลย
“มันสกปรกนะครับ อย่ากินต่อผมเลย พี่จะกินเค้กอีกมั้ยครับเดี๋ยวผมจะไปเอามาให้”
“มีเท่าไหร่เอามาให้หมดอย่าไปเหลือให้ม้ามันกินเลย” แน่ะมีโอกาสหน่อยไม่ได้แขวะแจนมันตลอด
“ครับๆ รอสักครู่นะครับ”
หลังจากที่เอเลนเดินเข้าครัวไป รีไวก็ยกนิ้วที่ยังหลงเหลือสัมผัสอุ่นๆจากลิ้นนุ่มๆขึ้นไล้เลียเบาๆ
“ก็เรื่องนี้นี่แหละที่มันสนุกน่ะ......”
ความคิดเห็น