คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Hello || 06
มานากะเพิ่งรู้ว่าคนที่เธอไปแย่งนมด้วยมาตลอดนั้นชื่อคาเงยามะ
โทบิโอะ เซ็ตเตอร์ผู้เก่งกาจและมากความสามารถจากคิตากาวะ ไดอิจิ
ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในนามราชาแห่งสนาม
พอคิดว่าสึกิชิมะจะต้องเจอคู่แข่งที่เก่งกาจแถมยังมีเจ้าคนหัวพระอาทิตย์ที่กระโดดได้สูงอีกก็รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้
แม้ว่าเขาจะได้เปรียบที่ส่วนสูงและเซ้นส์ในการอ่านเกมแต่ถ้าด้านพละกำลังยังไงก็สู้ไม่ไหว
อีกอย่างมีทานากะอยู่ด้วยก็กลายเป็นทีมที่ได้เปรียบทั้งเรื่องพละกำลังและฝีมือการเซ็ตลูกจากคาเงยามะ
แต่ส่วนตัวเธอก็ไม่รู้ว่านิสัยของเขาเป็นยังไงหรอกนะ
แต่ถ้าเป็นเซ็ตเตอร์เหมือนกันก็อาจจะคล้ายๆกันล่ะมั้ง
ถ้าชอบกินกุนกุนโยเกิร์ตเหมือนกันก็น่าจะเป็นคนดีแหละ
“เคย์
ตอนเย็นซ้อมวอลเลย์มั้ย”
“เพื่อ?”อีกฝ่ายเลิกคิ้วข้างหนึ่งเชิงสงสัย
“วันเสาร์นายมีแข่งนี่
ลองซ้อมดูหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถือว่าได้ออกกำลังกายด้วยไง”
“มันก็แค่ชมรมเธอไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย”
“เดี๋ยวพอโดนเอาคืนก็หงุดหงิดอีก
ซ้อมๆไว้เดาทางพวกนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”อย่าคิดว่าหล่อนจะไม่รู้
พอโดนต้อนทีไรหมอนี่ก็จะหงุดหงิดตลอด
ปากบอกก็แค่ชมรมแต่เมื่อวานหลังจากคุยกับพวกนั้นเสร็จสีหน้านี่แสดงความหงุดหงิดอยากเห็นได้ชัดเลย
“หนวกหูน่า
เธอเป็นแม่ฉันหรือไงกัน”
ยังไม่ทันจะอ้าปากได้พูดต่อสึกิชิมะก็ยกเฮดโฟนขึ้นมาสวมเพื่อตัดความรำคาญ
หล่อนได้แต่เก็บความหงุดหงิดไว้ในใจก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
ผ่านยามากุจิที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำโดยกำลังจะเอ่ยปากถามว่าไปไหนแต่ก็ต้องเงียบเมื่อเห็นสายตาของหล่อนที่บ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดพร้อมคิ้วเรียวขมวดอย่างเห็นได้ชัดจึงปล่อยให้เธอเดินผ่านไป
หันกลับมามองเพื่อนสนิทที่สวมเฮดโฟนอยู่ที่โต๊ะเรียนก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะเนี่ย
มานากะเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ดื้อด้านและทำตัวเฉยเมยขนาดนั้น
ที่พูดไปก็เพราะเป็นห่วงล้วนๆและไม่อยากให้มาเสียดายทีหลังแท้ๆแต่เขากลับไม่สนใจเลยแถมยังบอกอีกว่าก็แค่ชมรมเองไม่เห็นต้องซีเรียสเลยนั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ถึงจะเข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงพูดแบบนั้นแต่มันก็อดไม่ได้อยู่ดี
เดินมายังตู้กดน้ำอัตโนมัติแถวโรงยิมเพราะตัวเองดันเดินเลยจากบริเวณที่กดเป็นประจำ
หยิบเศษเหรียญออกมาจากกระเป๋าหวังจะดื่มกุนกุนโยเกิร์ตแก้เครียดพอเห็นว่าตู้นี้มีโยเกิร์ตยี่ห้อเดียวกันตั้งสองช่องก็นึกเสียดายว่าทำไมไม่ยอมมากดตรงนี้ตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องไปแย่งกับคาเงยามะให้รู้สึกผิด
จะว่าไปเมื่อไหร่เขาจะเลี้ยงโยเกิร์ตเธอคืนนะ
“มีสมาธิหน่อยสิฮินาตะ
เอ้า! ลองอีกครั้งนะ”
“ครับ!”
เสียงของเด็กหนุ่มสองคนดังมาจากบริเวณโรงยิมใกล้เธอ
มานากะชะโงกหน้าออกไปดูก็พบสึกาวาระที่เป็นรองกัปตันทีมและเจ้าหัวพระอาทิตย์ที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อคราวที่แล้วกำลังซ้อมรับลูกวอลเลย์บอลอยู่
ท่าทางเก้ๆกังๆและดูไม่ค่อยมีพื้นฐานของเขาทำให้การรับบอลนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
แถมยังรักษาความสมดุลได้ไม่ค่อยดีอีก พอคิดไปว่าเขาจะต้องซ้อมกับคาเงยามะทุกเลิกเรียนแถมยังมีแข่งวันเสาร์นี้ก็พลอยคิดว่าจะรอดหรือเปล่าถ้ายังเงอะงะอยู่แบบนี้
หมอนี่คงได้แค่กระโดดตบอย่างเดียวล่ะนะ
ช่วยหน่อยคงจะไม่เป็นไรหรอก
“ขอโทษครับ!”ฮินาตะเอ่ยขอโทษรุ่นพี่ปีสามเมื่อตนเองรับบอลไม่ได้
“นี่
เจ้าหัวพระอาทิตย์”
“ฮะ? ใคร ใครน่ะหัวพระอาทิตย์”เด็กหนุ่มหันซ้ายขวาเมื่อได้ยินเสียงของเธอทำเอาทั้งมานากะและสึกาวาระกุมขมับ
หัวพระอาทิตย์ก็นายไง
“เธอหมายถึงนายน่ะฮินาตะ”
“ผมเหรอ?!”
“ใช่ นายนั่นแหละ”เด็กสาวชี้ไปที่เขา ฮินาตะมีสีหน้างุนงงแล้วชี้มาทางตัวเองเหมือนจะบอกว่าฉันนี่นะหัวพระอาทิตย์?
“มานากะจังมีอะไรหรือเปล่า
ปกติไม่เห็นมาแถวนี้นี่”สึกาวาระทัก
“ลองเปลี่ยนทางเดินบ้างนิดหน่อยค่ะสึกะซัง”
“มานากะ? เธอที่อยู่กับเจ้าแว่นโย่งชิมะนั่นนี่!”
ทำไมสึกิชิมะถึงมีหลายชื่อกันนะ
ฮินาตะชี้มายังเด็กสาวด้วยใบหน้าตกใจ
เพราะเธอคือคนที่อยู่กับสึกิชิมะเมื่อตอนนั้นและดูเหมือนว่าจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกันแน่จึงมีความระแวงอยู่เล็กน้อย
มานากะที่เห็นท่าทีแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอเป็นนักเรียนธรรมดานะไม่ใช่สายลับ
“เมื่อวานนายกระโดดได้สูงมากนะ”
“โอ้! ขอบคุณ!”
“แต่รับลูกได้ห่วยมากเลย”
“มานากะจังอย่าไปพูดแบบนั้นสิ”คนอายุมากกว่าเข้ามาห้ามเด็กสาวที่ดูเหมือนจะพูดแทงใจดำอีกฝ่ายไป
“คือ
ขอโทษๆแต่ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นจริงๆนะ”แต่ดูเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งซึมมากกว่าเดิม
หล่อนเกาหัวเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
พอเป็นเรื่องวอลเลย์บอลเธอก็มักจะพูดตรงตลอดเลยนี่สิ
มานากะเดินออกจากอาคารมายังบริเวณที่ทั้งสองคนอยู่ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮินาตะ
ตัวเล็กกว่าเราอีกแฮะ พิจารณาส่วนสูงของคนตรงหน้า
สิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คงจะมีแค่ส่วนสูงนี่แหละนะแต่ถ้าเรื่องกระโดดตบลูกน่าจะไม่มีปัญหา
มานากะก้มลงหยิบลูกบอลหลากสีที่อยู่บนพื้นแล้วไปยืนใกล้ๆกับสึกาวาระ
“ตั้งท่าซะสิ”
หล่อนสั่งให้ฮินาตะตั้งท่าพร้อมสังเกตลักษณะท่าทางของเขาไปด้วย
เป็นไปตามคาดว่าเจ้าตัวไม่ได้มีทักษะพื้นฐานเท่าไหร่
ส่วนที่รับบอลเมื่อวันก่อนน่าจะใช้เซ้นส์ทางกีฬาเอาแต่แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะนะ
ถ้าได้พื้นฐานและเรียนรู้เทคนิคเพิ่มอีกนิดก็น่าจะใช้ได้
ลองเบาๆก่อนก็แล้วกัน
โยนลูกขึ้นกลางอากาศก่อนจะเหวี่ยงมือตบไปที่บอลโดยเล็งทิศทางไปยังเด็กหนุ่มตรงข้ามโดยไม่ใส่แรงมากนัก
แต่ทว่าบอลกลับกระเด็นออกจากแขนอีกฝ่ายแทนที่จะลอยกลับมาหาตน
แถมตอนที่รับก็ยังเห็นว่าเขาเซเล็กน้อยทำให้เธอรู้ว่าการรักษาสมดุลของเขายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แถมวันเสาร์ก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วยคงไม่มีเวลาไปฝึกซ้อมอย่างอื่นนอกจากรับลูกให้ได้ก่อนแล้วล่ะ
“เวลารับลูกน่ะลองลดสะโพกลงหน่อยนะ
แถมบาลานซ์ของนายตอนนี้ยังไม่ค่อยดีอีกเลยทำให้เวลารับลูกเลยเซอยู่นิดหน่อยแต่ฉันคิดว่าตรงนี้นายน่าจะแก้ได้อยู่”
“ก็ฮินาตะเขาไม่มีพื้นฐานเลยนี่นา
แถมประสบการณ์การแข่งก็มีแค่ครั้งเดียวอีก”สึกาวาระเดินเข้ามาเสริมโดยมีฮินาตะพยักหน้ายืนยัน
“เอ๊ะ? แค่ครั้งเดียวงั้นเหรอคะ? ทั้งที่เซ้นส์กีฬาสุดยอดแท้ๆ”
“ฉันน่ะจะต้องฝึกรับลูกให้ได้!
เพื่อที่คาเงยามะจะได้เซ็ตลูกให้ฉัน!”ฮินาตะพูดด้วยความมุ่งมั่นทำเอาอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบกับญาติของตนเอง
เซ็ตลูกงั้นเหรอ
อยากตบมากขนาดนั้นเลยสินะ
“นี่
นายอยากเป็นสไปเกอร์เหรอ”
“อืม
ความรู้สึกที่ได้สัมผัสลูกบอลแล้วออกแรงตบเต็มแรงฉันชอบมันที่สุดเลยล่ะ
แถมมันยังเท่อีกต่างหาก ว่าแต่เธอรู้ได้ไงน่ะ เคยเล่นวอลเล่ย์มาก่อนเหรอ?”
“อืม
เป็นเซ็ตเตอร์น่ะแต่ฉันคิดว่าเซ็ตเตอร์มันเท่กว่านะเป็นหอบัญชาการของทีมแถมส่งลูกไปให้ตัวตบอีก”
“พูดเหมือนคาเงยามะเลย!”
นี่กำลังจะบอกว่าเธอเหมือนกับเจ้านมโยเกิร์ตนั่นเหรอ
คุยกันได้สักพักก็ต้องขอตัวกลับไปก่อนเพราะเดี๋ยวสึกิชิมะจะสงสัย
ก่อนกลับก็ไม่ลืมถามชื่ออีกฝ่ายทำให้รู้ว่าเขาชื่อฮินาตะ โชโย
โดยที่เธอไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่าเวลาจะรับลูกไม่ต้องเกร็งมาก คอยจับตาดูบอล
ปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติและรักษาสมดุลของตัวเองให้ดีซึ่งสึกาวาระเองก็จะคอยช่วยดูและฝึกซ้อมให้จึงบอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ไว้พรุ่งนี้ค่อยแวะมาดูบ้างก็แล้วกัน
มานากะเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะขึ้นมาบนอาคารเรียน
เจอทานากะที่เดินสวนกันมาก็ทักทายเธอด้วยชื่อใหม่ที่เขาตั้งให้ว่ามานะตันซึ่งตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้เท่าไหร่
ก็เพราะว่ามันน่ารักเกินไปแถมยังไม่เข้ากับตัวของเธออีกแถมเมื่อกี้นี้ตอนที่ทานากะเรียกแบบนั้นหล่อนก็ไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำจนเขาเดินเข้ามาจับไหล่ทักทายนั่นแหละถึงจะรู้ว่าเรียกตนเอง
นึกขึ้นได้ว่ารุ่นพี่คนนี้อยู่ทีมเดียวกับฮินาตะก็เลยถือโอกาสถามเรื่องความสามารถทางวอลเลย์บอลของเขาสักหน่อย
ซึ่งคำตอบก็ตรงกับที่ฮินาตะประสบอยู่ว่าไม่มีพื้นฐานและประสบการณ์แข่งแต่มีเซ้นส์ทางด้านกีฬาที่ดีเยี่ยม
แถมยังบอกอีกว่าถ้ารับลูกไม่ได้คาเงยามะจะไม่เซ็ตลูกให้เด็ดขาด
สมกับฉายาราชาจริงๆ
มานากะได้ฟังเรื่องราวการแข่งของคาเงยามะในสมัยมัธยมต้นนิดหน่อยจากทานากะก็ทำให้รู้ว่าแต่ก่อนนั้นเป็นคนเผด็จการขนาดไหน
แต่แค่จากการแข่งขันเท่านั้นที่คาเงยามะจะเป็นอย่างนี้
แต่เธอก็คิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้วก็ได้
หล่อนเดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนจะตาประสานตากับสึกิชิมะทำเอาอารมณ์ดีๆเมื่อกี้นั้นหายวับไปอย่างรวดเร็วโดยมีความรู้สึกหงุดหงิดเข้ามาแทน
เจ้าตัวที่หันมาสบตากับเธอพอดีก็เชิดหน้าขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองวิวทางหน้าต่างต่อ
เชิดมาเชิดกลับไม่โกง
ตลอดทั้งบ่ายเรียกได้ว่าทั้งคู่ไม่แม้แต่จะปริปากคุยกันเลยก็ว่าได้ต่อให้นั่งข้างกันก็ตาม
ยามากุจิที่เห็นสถานการณ์แบบนี้ก็อยากจะเข้าไปลองถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะการที่ทั้งคู่เงียบอย่างนี้มันผิดปกติ
ทั้งที่ทุกวันจะต้องมีส่งสายตาหากันบ้างแท้ๆแต่นี่กลับไม่มีอะไรแถมออกจะตั้งใจเรียนเกินไปด้วยซ้ำ
หรือเพราะเป็นเรื่องของคนสองคน? ถ้าอย่างนั้นขอไม่ยุ่งดีกว่า
“นิชิโนะซังจะไปไหนน่ะ”ยามากุจิทักเมื่อเห็นเด็กสาวรีบสะพายกระเป๋าโดยไม่รอให้แฟนหนุ่ม(ปลอมๆ)ของหล่อนทำเวรเสร็จ
“กลับบ้าน”น้ำเสียงของเธอที่แสดงความไม่พอใจทำเอาคนทั้งห้องเรียนสะท้าน
ทั้งที่เสียงปกติก็เหวี่ยงแถมดูน่ากลัวแล้วแต่พอมีอารมณ์ร่วมเข้ามามันยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
“สึกกี้ไม่ตามไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”
มานากะทำหน้าหงิกระหว่างเดินลงจากอาคาร
ผ่านแก๊งรุ่นพี่ปีสองของชมรมวอลเลย์บอลโดยที่ยังไม่ทันได้ทักทายก็รีบหุบเงียบเมื่อเห็นแววตาของเธอ
แบบนี้มันยิ่งกว่าทานากะอีก
เดินผ่านบริเวณสนามกีฬาก็เห็นทั้งคาเงยามะและฮินาตะกำลังซ้อมรับลูกกันอยู่
ดูเหมือนว่าจะตัวจะเริ่มรักษาสมดุลตนเองได้ตามที่เธอบอก
มานากะยืนดูทั้งคู่อยู่ไม่ไกลนักจนเด็กหนุ่มหัวส้มนั้นสังเกตได้ก็หันมาเรียกชื่อและโบกไม้โบกมือให้เธอก่อนจะโดนลูกวอลเลย์บอลของคาเงยามะอัดเข้าที่หัว
ได้ยินเสียงต่อล้อต่อเถียงกันดังมาถึงบริเวณที่คนอยู่ประมาณว่าตั้งสมาธิให้ดีหน่อยสิ!
ไม่งั้นฉันไม่เซ็ตลูกให้นะเว้ย! พูดจบก็หันมามองแล้วโบกมือให้มานากะ
ทำแบบนี้มันต่างจากฮินาตะตรงไหนกัน
ถึงจะบอกว่ากลับบ้านแต่ที่จริงแล้วไม่ได้กลับหรอก
มานากะเดินเข้ามาบริเวณย่านการค้าของเมืองเพื่อหาอะไรรองท้อง
ถึงกลับบ้านไปก็ต้องไปเจอกันอยู่ดีแถมตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายเท่าไหร่จึงเลือกมาเดินเล่นแล้วตอนเย็นๆค่อยกลับแทน
มือสองข้างล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมขณะเดินไปตามทางเท้า
เห็นเด็กโรงเรียนเดียวกันเดินสวนมาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักแต่พอเห็นคนอื่นเดินกันเป็นคู่ก็อดอิจฉาไม่ได้
‘ถ้าได้เดินกับพี่เขาจะดีมั้ยนะ’
มานากะนึกถึงใบหน้าของรุ่นพี่หนุ่มคนนั้น
ไม่รู้เป็นเพราะอะไรช่วงนี้เธอถึงได้นึกถึงเขาตลอดเวลา
ขนาดเมื่อคืนยังฝันถึงจนบางทีก็คิดว่าตัวเองนอนน้อยจนหลอนมาเองแต่มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ
หรือว่าเธอกำลังคิดถึงเขากันนะ
แล้วตอนนี้เขากำลังคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า
คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา
จะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อเจอกันแค่สองครั้งแถมก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรจะไปคิดถึงได้อย่างไรเล่า
แถมไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้อีกฝ่ายคงจะลืมเธอไปแล้วก็ได้
แต่ก็ไม่อยากให้ลืมหรอกนะ
พอไม่มีเขามานั่งคอยรับฟังที่เธอพูดมันก็คิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อดี
บางครั้งเธออาจจะต้องปล่อยไปก็ได้ แถมเรื่องที่เธอหงุดหงิดสึกิชิมะมันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรขนาดนั้นด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า
“มานากะจัง!”
“อ่ะ! อิ๊โออะ”ได้ยินเสียงร้องทักจากทางด้านหลังก็พบว่าเป็นเพื่อนต่างห้องของตนเอง
“เอ่อ...เอาขนมปังออกก่อนมั้ย
แบบนั้นคงพูดไม่สะดวกเท่าไหร่นะ”ยาจิทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคาบขนมปังก้อนโตไว้อยู่ในปาก
“พอดีมันหิวน่ะ”ว่าแล้วก็ยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“อย่างนั้นเองสินะ
อ่ะ ว่าแต่วันนี้มาคนเดียวเหรอ? ปกติเห็นเดินกลับบ้านกับเพื่อนนี่”
“หงุดหงิดหมอนั่นนิดหน่อยก็เลยออกมาเดินเล่นระบายอารมณ์น่ะ”
ฝ่ายฮิโตกะที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจแล้วจึงไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ
ยืนอยู่ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อสักพักมานากะก็ถามอีกฝ่ายว่าจะกลับหรือยังเพราะหล่อนจะเข้าไปซื้อของมานั่งทานเล่นอีกสักชิ้นสองชิ้น
ฮิโตกะกะส่ายหัวก่อนจะตอบไปว่าจะรออยู่ด้านนอกเดี๋ยวค่อยกลับพร้อมกัน
มานากะพยักหน้ารับรู้แล้วจากจากนั้นจึงเดินเข้าไปในร้าน
“ช็อตเค้กลดราคาแฮะ
หมอนั่นจะกินมั้ยนะ....”พอเห็นสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กที่วางอยู่บนตู้ก็พาลให้นึกถึงญาติของตนเองขึ้นมา
“แต่เมื่อวานก็เพิ่งกินไปนี่
ไม่ได้ๆกินมากไปมันยิ่งไม่ดีอยู่ด้วย”
“โทรไปถามเลยล่ะกัน”หยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมกดเบอร์โทรแต่ก็ต้องชะงักเมื่อคิดได้ว่าตนกำลังงอนอีกฝ่ายอยู่
มานากะสูดหายใจก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้าไปตามเดิม
ถ้าเป็นฝ่ายบอกก่อนเดี๋ยวโดนล้อกันพอดี
เพราะอย่างนั้นไม่ซื้อให้หรอก!
มานากะเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กในมือ
ถึงจะบอกว่าไม่ซื้อให้และไม่อยากให้เจ้าตัวทานมากเกินไปแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับมาอยู่ดี
แถมเข้าไปตั้งนานสองนานยังได้แค่เจ้านี่กลับมาชิ้นเดียวถ้วนอีกด้วย
ซื้อมาแล้วก็ช่างมันแล้วกัน
เก็บสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กลงกระเป๋าของตนพร้อมกวาดสายตามองหาเด็กสาวตัวเล็กที่บอกจะรออยู่บริเวณนี้
แต่ก็ต้องไปสะดุดตากับมอเตอร์ไซค์ตกแต่งสไตล์เด็กแว้นจอดเรียงกันอยู่หน้าร้านก็นึกได้ว่าตามต่างจังหวัดก็มีพวกเด็กแว้นหรือแยงกี้เหมือนกันงั้นเหรอเนี่ย
มองรถสีฉูดฉาดสักพักก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
พอหันไปก็เจอแก๊งผู้ชายย้อมผมสีนีออนซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของรถพวกนี้กำลังยืนล้อมใครบางคนเอาไว้
แต่ตรงนั้นเป็นที่ที่ฮิโตกะยืนอยู่นี่
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวจ๊ะน้องสาว”
‘อิ้ว...ประโยคแบบนี้ยังมีคนพูดอีกเหรอเนี่ย’มานากะได้แต่แหยงในใจ
ขณะที่กำลังรอมานากะเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์หลายคันมาอยู่บริเวณหน้าร้าน
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูตามสัญชาตญาณก็เห็นเป็นแก๊งนักเรียนอันธพาลที่เคยได้ยินมาว่าไปตีกับเด็กโรงเรียนอื่น
ยาจิหลบสายตาก่อนจะเริ่มภาวนาให้เด็กสาวออกมาจากร้านเร็วๆจะได้รีบกลับบ้านเสียที
แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาบริเวณที่ตนเองอยู่
คุณแม่คะ
ดูเหมือนหนูจะโดนนักเลงหมายหัวแล้วล่ะค่ะ
ยาจิยืนตัวสั่นพร้อมมีสีหน้าตื่นตระหนกด้วยความกลัว
ดวงตามองซ้ายขวาเพื่อมองหาทางหนีทีไล่แต่พอจะขยับไปทางซ้ายดูเหมือนเจ้าพวกนั้นก็ก้าวเข้ามาบังเธอ
ไปทางขวาก็มายืนปิดทางอีก มือหยาบกร้านของอีกฝ่ายวางบนไหล่มนก่อนจะเริ่มบีบเบาๆ
ยาจิสะบัดออกพลางถอยร่นจนชิดกำแพง
“ไม่เอาน่า
ไม่ต้องกลัวๆพี่ไม่ทำอะไรหรอก---โอ๊ย!”
“หนวกหูชะมัด
หุบปากพล่อยๆของนายแล้วถอยห่างออกจากเพื่อนฉันสักทีจะได้มั้ย”มือเล็กคว้าหมับเข้าไปที่ข้อมือของอีกฝ่ายแล้วออกแรงบีบเต็มแรง
ชายคนนั้นกระชากมือตนเองกลับก่อนจะเห็นว่าบริเวณข้อมือนั้นขึ้นเป็นรอยแดง
ดวงตาคมสีตะกั่วกวาดสายตามองเหล่าอันธพาลที่ยืนล้อมตนเอง
มานากะดึงให้ยาจิเข้ามาอยู่ด้านหลังของตนเพราะว่าสภาพตอนนี้ของอีกฝ่ายนั้นไม่สู้ดีนัก
อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ชอบใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาขวาง
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาแข็งกร้าวจากเธอเหมือนกับสื่อเป็นนัยน์ๆว่ารีบไสหัวไปซะ
“ขอโทษเพื่อนฉันซะ”มานากะกดเสียงต่ำ
“หะ---หา!? แล้วทำไมฉันต้องขอโทษด้วยเล่า”
“มะ---ไม่เป็นไรหรอกมานากะจัง
ฉันไม่เจ็บตรงไหนหรอกเรารีบกลับกันเถอะ”ยาจิพูดเสียงสั่นพร้อมกระตุกชายเสื้อคนตัวสูง
เธอยังไม่อยากมีเรื่องให้มันวุ่นวายแถมอีกฝ่ายก็มีจำนวนเยอะกว่าด้วย
“มันทำให้เธอกลัวนะฮิโตกะ
ฉะนั้นรีบขอโทษแล้วก็จบกันตรงนี้ซะ”หล่อนหันไปพูดเสียงดุใส่เด็กสาวด้านหลัง
มานากะกอดอกมองด้วยสายตาคาดคั้นต้องการให้พวกนั้นขอโทษให้ได้ “อย่าให้ฉันต้องทำมากกว่านี้เลยนะ”
“พูดบ้าอะไรน่ะ
ตัวแค่นี้จะไปทำอะไรได้วะ ฮ่าๆๆ”หัวโจกหันไปหัวเราะกับแก๊งของตัวเอง
แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวทำไมเขาต้องกลัวด้วยล่ะ
“กะอีแค่พูดคำว่าขอโทษสั้นๆทำไม่ได้
แต่ทำไมเวลามาพูดคุกคามคนอื่นทำไมถึงพูดได้ล่ะ”
รีบพูดขอโทษเร็วๆสิฟะ
เริ่มรำคาญแล้ว
“ไม่เว้ย! อั่ก!”
มือเล็กคว้าหมับเข้าที่ข้อมืออีกฝ่ายที่หมายจะพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อ
ยกเท้าขึ้นถีบท้องจนกระเด็นไปชนกับรั้วกั้น เมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนเองโดนเล่นงานก็ปรี่เข้ามาพร้อมง้างหมัดเตรียมต่อย
มานากะผลักยาจิออกไปอีกทางก่อนจะเบี่ยงหลบหมัดขวาของชายคนนั้นแล้วผลักไปชนกำแพง
จากนั้นก็หันไปเหวี่ยงหมัดใส่อีกคนจนร่วงลงไปกับพื้น
พลั่ก!!
“มานากะจัง!”
ยาจิร้องเมื่อเห็นว่าหัวโจกนั้นลุกขึ้นมาสวนหมัดใส่เต็มหน้าของมานากะ
นิ้วโป้งเกลี่ยเลือดบริเวณมุมปากตัวเองออกแล้วยกขาถีบเข้าที่ท้องอีกฝ่ายที่หมายจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ลูกน้องคนสุดท้ายใช้โอกาสจังหวะที่มานากะเริ่มเซพุ่งเข้ามาจัดการแต่มือหล่อนคว้าคอเสื้อแล้วปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้าของอีกคนอยู่หลายทีก่อนจะโยนไปกองรวมกันกับคนอื่น
เมื่อจัดการกลุ่มอันธพาลเรียบร้อยมานากะเดินไปลากคอหัวโจกคนนั้นมาไว้ตรงหน้ายาจิ
ใบหน้ามีรอยช้ำจากการต่อยแถมมีสีหน้าตื่นกลัวเมื่อเห็นหล่อนเดินเข้ามาใกล้เพราะคิดว่าจะโดนทำร้ายอีก
เด็กสาวกดให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงต่อหน้ายาจิ
“ขอโทษซะสิ”
“มะ---มานากะจัง
มะ---ไม่เป็นไรหรอก”
“เงียบเถอะน่าฮิโตกะ”น้ำเสียงขุ่นของมานากะทำเธอสะดุ้ง
“ขะ---ขอโทษครับ!!
ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว!!”อีกฝ่ายก้มลงแล้วกล่าวเสียงดังด้วยความสำนึกผิด
“ก็แค่นี้”มานากะปล่อยมือออกจากคอเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะเดินตรงไปที่ยาจิ
ชายตามองคนที่เหลืออยู่จนทั้งสามคนที่นอนกองอยู่สะดุ้งก่อนจะพูดขอโทษออกมาเสียงดัง
“กลับบ้านเถอะ”
สองขาก้าวเดินตามทางฟุตบาทพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
ทั้งคู่เงียบมาตลอดทางไม่แม้แต่จะพูดอะไรกันโดยเฉพาะยาจิที่น่าจะช็อคอยู่ไม่น้อย
แหงล่ะ เห็นคนตีกันตรงหน้าแบบนี้เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น
มานากะถอนหายใจออกมาพาลคิดไปว่าอีกคนเห็นตนที่เป็นแบบนี้จะเลิกคบเป็นเพื่อนหรือเปล่าพอคิดได้ก็รู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย
“มานากะจัง
ส่งแค่นี้แหละ”
“อ่า อืม”มานากะหันมาหายาจิก่อนจะเงียบไป
คนตัวเล็กกว่าเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ขอโทษที่ทำอะไรแบบนั้นนะ
ทั้งที่ฉันจะพาเธอออกมาเลยก็ได้แท้ๆ”ยาจิชะงัก
เธอไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะคิดเรื่องพวกนี้ด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก
ก็มานากะจังน่ะอยากช่วยฉันนี่นา”คนตัวเล็กยกมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมพร้อมส่งยิ้ม
“ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ”
“อืม”
มานากะรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่ายาจิไม่ได้มีท่าทางรังเกียจเธออย่างที่คิด
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ตลอดไปได้
ยาจิโบกมือลากับมานากะเพื่อนที่จะเดินไปยังบ้านของตนเองเป็นเวลาพอดีกับที่รถบัสสายที่จะขึ้นมาเทียบพอดี
เด็กสาวเดินมาหยุดบริเวณหน้าบ้านของตน
ยืนทำใจอยู่หน้าบ้านว่าจะเข้าไปดีหรือไม่เพราะสภาพตอนนี้ของเธอคือเพิ่งกลับจากการไปมีเรื่องมา
คุณน้าไม่เท่าไหร่แต่สึกิชิมะนี่สิ หมอนั่นยิ่งขี้ห่วงอยู่ด้วย มานากะถอนหายใจออกมาเจอมาหนักกว่านี้ก็เคยแล้ว
แค่โดนที่ปากแผลเดียวเองแถมสภาพก็ไม่ได้แย่อะไรแค่เสื้อผ้ายับนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
มือเลื่อนเปิดประตูบ้านก่อนจะกล่าวว่ากลับมาแล้ว
ได้ยินเสียงน้าของตนดังมาจากห้องครัวแต่ไม่ยักเห็นวี่แววของเด็กหนุ่มอีกคนเลย
มานากะเดินเลี่ยงที่จะไปเจอหญิงสาวที่อยู่ในห้องครัวก่อนจะออกมายังสวนหลังบ้าน
ได้ยินเสียงลูกบอลกระทบแป้นบาสจากสวนก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงในชุดลำลองกำลังซ้อมวอลเลย์บอลอยู่
ส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าตรงระเบียงทางเดินที่ยื่นออกมา
“ไหนว่าไม่ซ้อมไง”
สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายทักก่อนอยู่ดีสินะ
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะไม่ซ้อม”สึกิชิมะหยุดซ้อมกับแป้นบาสก่อนจะหันมาหาเธอ “แล้วไปหลบอะไรอยู่ตรงมืดๆ
เป็นแบทแมนหรือไง”
“คิดว่าจะตกใจซะอีก”มานากะว่าอย่างเสียดายก่อนจะเดินออกมาจากมุมมืดเผยให้เห็นสภาพของตนที่มีรอยช้ำบนปากและมือและเสื้อผ้ายับเล็กน้อย
“เดี๋ยวนะ
นี่เธอไปมีเรื่องมางั้นเหรอ”สึกิชิมะรีบสาวเท้ามายังเด็กสาว
มือยกใบหน้าขึ้นมาสำรวจบาดแผลด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“นิดหน่อยเอง
มาซ้อมต่อดีกว่านะ”มานากะจับมือของเขาให้ออกจากใบหน้าก่อนจะเอื้อมไปหยิบลูกวอลเลย์บอลแต่กลับโดยอีกฝ่ายตีมือกลับมาแทน
“ไม่ เห็นเธอเป็นแบบนี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจซ้อมหรอกนะ”สึกิชิมะเดินไปนั่งตรงระเบียงแล้วดึงเธอให้เข้ามาใกล้ๆ
“ถ้านายไม่ใช่ญาติฉันป่านนี้คงเขินไปแล้วล่ะนะ”หล่อนพูดกลั้วหัวเราะขณะที่อีกฝ่ายกำลังจับมือมองรอยช้ำบนมือของตน
“ตลกตาย
แล้วกินอะไรมายัง”เงยหน้าถามอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่ปล่อยมือ
เมื่อเห็นว่ามานากะพยักหน้าให้เป็นคำตอบก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ “เดี๋ยวจะบอกแม่ให้ล่ะกันว่าเธอไม่กินข้าวเย็น
ไปอาบน้ำเถอะ”
สึกิชิมะลุกขึ้นจับมือเธอเดินเข้าไปในบ้านโดยเลี่ยงบริเวณครัวเพราะไม่อยากให้แม่ของตนสังเกตเห็นว่าหลานสาวสุดที่รักไปทำอะไรมา
ขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ลงทุนดินเลี่ยงเข้ามาทางหน้าบ้านอย่างน้อยก็รู้ว่าเขาไม่ได้งอนเธอล่ะนะ
“รักนายจังเคย์”
“พูดอะไรของเธอน่ะ
ขนลุก”เห็นสึกิชิมะทำหน้าแหยงก็อดกระทุ้งศอกเบาๆใส่ไม่ได้
“งั้นช็อตเค้กที่ซื้อมาให้นายฉันกินเองก็แล้วกัน”
“โอเค รักเหมือนกัน”
ความคิดเห็น