คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Hello || 04
เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงดังระงมไปทั่วห้องก่อนจะดับลงเพราะเท้าของเด็กสาวดันเตะมันจนกระเด็นอยู่บนพื้นห้อง
ไม่รู้ว่านอนอีท่าไหนถึงได้กลับหัวกลับหางแบบนี้จากที่ควรจะหันไปฝั่งหัวเตียงก็ดันอยู่ปลายเตียงซะได้
มานากะในสภาพหัวฟูลุกขึ้นนั่งพลางป้องปากหาวเนื่องจากยังหลับไม่เต็มอิ่ม
เมื่อคืนดันเม้าท์มอยสัพเพเหระกับสึกิชิมะนานไปหน่อยแถมในหัวไม่มีคำว่าเปิดเทอมด้วยซ้ำทำให้กว่าจะได้นอนก็ปาไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว
ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีมีนั่งคุยกันแบบนี้คงไม่แปลก ถ้ามันไม่ใช่ก่อนเปิดเทอมล่ะนะ
สายตากวาดไปทั่วห้องจนรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตนแต่เป็นห้องของเด็กหนุ่มซึ่งเธออาศัยอยู่ด้วย
คงเป็นเพราะคุยกันเพลินเลยหลับไปโดยไม่รู้ตัวล่ะมั้งแต่ตัวเธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่จะเป็นห้องของเธอหรือของสึกิชิมะเธอก็นอนได้ทั้งนั้นแหละ
มือเอื้อมมาเขย่าแขนคนที่นอนกอดหมอนข้างพลางบอกให้เขาตื่นแต่กลับได้ยินเพียงเสียงครางในลำคอตอบกลับมาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไม่ตื่นจึงดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่สำเร็จเธอจึงล้มเลิกความพยายามนั่นแล้วลุกขึ้นไปแปรงฟันก่อนเขา
“เคย์ตื่นได้แล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับ
มานากะคิดว่าหลังจากที่เธออาบน้ำแปรงฟันเสร็จเขาอาจจะตื่นแล้วก็ได้แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
สึกิชิมะยังคงนอนอยู่บนเตียงเหมือนก่อนที่เธอจะลุกไปแปรงฟันไม่มีผิด
ปกติเขาไม่ใช่คนนอนตื่นสายแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้เป็นแบบนี้ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังเหลือเวลาอีกเยอะในการเตรียมตัวก็เถอะ
เอาหมอนตีให้ตื่นก็แล้วแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ลุก มานากะยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะคิดอะไรออก
หล่อนก้าวขาขึ้นไปยืนบนเตียงแล้วใช้ขาข้างหนึ่งถีบสึกิชิมะโดยใส่แรง(ไม่)เล็กน้อยให้กลิ้งตกจากเตียงจนเกิดเสียงดัง
“มานากะ!”
“ตื่นสักทีนะ
ถ้าไม่ตื่นนี่ฉันกะว่าจะจัดงานศพให้แล้วนะเนี่ย”
“เหอะ
ยังเร็วไปที่จะจัดงานนั่นให้ฉันนะ”เด็กหนุ่มลุกขึ้นพลันความรู้สึกเจ็บบริเวณบั้นท้ายที่กระแทกพื้นอย่างแรงก็พุ่งเข้ามา
นี่กะเอาคืนตอนที่เขาเคยนอนทับเธอใช่มั้ย
“คนแบบนายนี่ยิ่งต้องจัดให้ไวเลย”
“อ้อเหรอ
แต่พอดีคนแบบฉันมักอยู่นานสุดนะ”
มานากะเลิกต่อล้อต่อเถียงกับสึกิชิมะและรีบส่งเขาเข้าไปในห้องน้ำโดยทันที
สองขาก้าวไปตามทางเดินเพื่อไปยังห้องครัวก็เห็นว่าแม่ของสึกิชิมะกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่
เด็กสาวยืนเกาะขอบทางเข้าพลางคิดว่าควรจะช่วยอะไรสักอย่างดีมั้ยเพราะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ยันจบมัธยมปลายปีสามเลย
ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติที่สนิทกันแต่มันก็รู้สึกเกรงใจแถมยังแปลกๆที่คนมาอาศัยนั้นไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย
“มานากะจังปลุกเคย์เสร็จแล้วเหรอ?”แม่ของสึกิชิมะละสายตาจากการทำมื้อเช้าเพื่อหันมาคุยกับหลานสาว “แล้วทำไมไปเกาะขอบอยู่ตรงนั้นล่ะ?”
คนถูกทักถึงกับสะดุ้งแล้วก้มหน้าเดินไปหาคนเป็นผู้ใหญ่กว่า
หล่อนตอบเสียงเบาว่าปลุกสึกิชิมะเรียบร้อยแล้วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาแต่ก้มมองพื้นอยู่
น้าสาวหัวเราะเบาๆพลางใช้มือลูบหัวของคนอายุน้อยด้วยความเอ็นดู
“เอ่อ...น้าคะ”
“จ๊ะ?”
“พอมีอะไรจะให้หนูช่วยมั้ยคะ?”เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดประหม่า
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ
แค่นี้น้าทำเองได้สบายๆอยู่แล้ว”
“แต่ว่าตอนนี้หนูมาอยู่ที่นี่แล้วถ้าไม่ให้ช่วยอะไรก็คงจะดูแปลกๆอีกอย่างหนูก็รู้สึกไม่สบายใจด้วยที่จะต้องอยู่เฉยๆแล้วให้คุณน้าจัดการทุกอย่างแบบนี้”
“คิดมากไปแล้วนะมานากะจัง”
ถึงแม่ของสึกิชิมะว่าแบบนั้นแต่สุดท้ายก็ยอมให้เด็กสาวเข้ามาช่วยงานในครัว
หล่อนถามว่าพอจะทำอาหารได้หรือเปล่าก็เลยบอกไปว่าทำได้แต่อาหารง่ายๆที่ไม่ซับซ้อน
เมื่อรู้แบบนั้นจึงให้มานากะเป็นผู้ช่วยในการทำอาหารอย่างการหั่นวัตถุดิบจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตระเตรียมมาก
“มองอะไรของนาย”มานากะถามคนตรงข้ามที่กำลังจ้องมองชุดอาหารเช้า คิ้วเรียวของเขาขมวดเป็นปมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“เธอทำ?”
“ช่วยทำ”
“มียาพิษป่ะ”ว่าขณะยกซุปมิโสะขึ้นมาดม
“เอ๊ะ? เห็นฉันเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
ว่าจบก็หันมาสนใจอาหารเช้าตรงหน้าต่อแล้วปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องของตนหงุดหงิดเล่นๆเริ่มต้นวันด้วยการกวนประสาทใครสักคนก็เป็นสิ่งที่ดีอีกแบบ
ยิ่งเห็นเธอหัวเสียมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมีกำลังใจในการเรียนมากเท่านั้น
ระหว่างทานมานากะก็มักจะส่งสายตาที่พวกเขารู้กันอยู่สองคนมาให้และเธอก็สื่อว่าให้กินข้าวให้เยอะๆ
แต่คิดว่าสึกิชิมะจะสนใจสิ่งที่เธอกำลังสื่ออยู่นั้นหรือ ไม่เลย
เขายังคงทานแบบปกติเหมือนเดิมแถมยังจงใจทานให้น้อยกว่าปกติเพื่อกวนประสาทเธอเล่นๆและนั่นสร้างความสุขให้กับเขาไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจและคำสบถของหล่อน
ไอ้เวรชิมะ
นั่นมันโคตรหยาบเลย
หลังจากทานข้าวเสร็จก็เก็บจานและเตรียมตัวไปโรงเรียน
ระหว่างรอสึกิชิมะไปหยิบอาหารกลางวันดวงตาสีตะกั่วก็เหม่อมองท้องฟ้าจนกระทั่งมีใบหน้าของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา
ยกมือมาขยี้ตาก่อนจะมองออกไปอีกครั้งก็พบว่าไม่มีหน้าอยู่บนนั้นแล้ว
บางทีเธออาจจะคิดถึงจนหลอนไปเองก็ได้
“อรุณสวัสดิ์สึกกี้
นิชิโนะซังด้วย”เดินมาจนถึงทางแยกก็เจอยามากุจิโผล่ออกมา
มานากะพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้าต่อจนรู้สึกจั๊กจี้เหมือนมีคนมาลูบหูเธอเบาๆ
“เธอใส่ต่างหูตั้งแต่เมื่อไหร่”
นิ้วโป้งเกลี่ยบริเวณติ่งหูของอีกคนเบาๆ
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ามีต่างหูสีเงินกลมเล็กติดอยู่
ทำไมเขาไม่ยักสังเกตเห็นว่าหล่อนใส่ต่างหูแถมใส่เมื่อไหร่ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง
ยามากุจิยื่นหน้าออกมาดูก็ร้องอย่างแปลกใจเพราะเขาไม่ค่อยเห็นนักเรียนหญิงใส่ต่างหูเท่าไหร่
เด็กโตเกียวเป็นอย่างนี้เองสินะ!
“นายไม่สังเกตหรอกเหรอ?
ฉันคิดว่านายรู้อยู่แล้วเสียอีก”สึกิชิมะส่ายหน้า
“เริ่มติดตั้งแต่ตอนปีสามน่ะ”
“มิน่าล่ะ”
“มันแปลกเหรอ?”มานากะเอียงศีรษะเล็กน้อย
“ก็นิดหน่อย
แต่มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น”
“นิชิโนะซังใส่ต่างหูแล้วดูเท่จัง”
“งั้นหรอกเหรอไม่ค่อยมีใครชมฉันแบบนั้นเลยแฮะ”เด็กสาวเกาแก้มแก้เขิน พอโดนชมจากคนอื่นก็รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย
“แล้วแบบนี้ครูจะไม่ว่าหรอกเหรอ”
“ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก”หล่อนยกมือลูบต่างหูตนเอง
‘ถ้าพี่เขาเห็นจะว่ายังไงนะ’
“ฮัดชิ่ว!!!”
“เป็นอะไรน่ะคุโรโอะ
ไม่สบายหรือเปล่า?”โนบุบูกิ
ไคว่าหลังจากเห็นเพื่อนร่วมชมรมของตนจาม
“ไม่รู้สิ
ฉันก็ดูแลตัวเองปกตินะ”เด็กหนุ่มยกหลังมือถูจมูกตนเองก่อนจะนึกย้อนไปช่วงหลายวันก่อนว่าตนเองทำอะไรบ้าง
นอกจากซ้อมเขาก็ออกกำลังกายและทานอาหารครบห้าหมู่ปกติแถมช่วงเวลาที่ผ่านมาฝนก็ไม่ตกด้วย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สบาย
“เขาบอกว่าถ้าจามหนึ่งครั้งแปลว่ามีคนคิดถึงล่ะ”ยาคุว่าขึ้น
มีคนคิดถึง? แล้วใครกันล่ะที่จะคิดถึงเขา
“หรือจะเป็นเด็กที่นายไปฉุดมาตอนนั้น”
“ฉุด?”
“เฮ้ยๆ
พูดดีๆหน่อยสิวะ”คุโรโอะหันไปถลึงตาใส่ยาคุแต่เจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ถ้ามีคนมาเห็นภาพเดียวกันกับเขาใครๆก็ต้องคิดว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ไปฉุดใครมาแน่ๆ
“เด็กที่ไหนล่ะคุโรโอะ?”
“เด็กม.ต้นน่ะแต่ตอนนี้เธอขึ้นม.ปลายแล้ว
ตอนนั้นเหมือนว่าจะเดือดร้อนก็เลยเข้าไปช่วยน่ะ”ว่าพลางยกน้ำขึ้นมาดื่ม
“อาจจะเป็นเด็กคนนั้นที่คิดถึงนายก็ได้นะ”
ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อเมื่อลิเบอโร่ประจำทีมบอกว่าเป็นเธอคนนั้นเด็กหนุ่มยกผ้าขนหนูแสร้งเป็นว่าซับเหงื่อแต่จริงๆปิดบังใบหน้าของตนเอง
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องเขินด้วยทั้งที่จริงๆเจอหน้ากันแค่สองครั้งแถมก่อนนอนยังเอาแต่คิดถึงว่าตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง
แค่เป็นห่วงในฐานะคนที่ช่วยเหลือเท่านั้นเองไม่ได้เขินจริงๆ
“แล้วนายได้ติดต่อกับเธอหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันลืมขอเบอร์เธอไปซะสนิทเลย”หัวเราะแห้งๆใส่ตัวเองเมื่อรู้ว่าทำบางอย่างพลาดไป “แต่ฉันคิดว่ายังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ”
ช่วงเปิดเทอมใหม่มักจะวุ่นวายเสมอโดยเฉพาะเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่
ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วตั้งแต่ก่อนเข้าประตูรั้วจนถึงด้านในของอาคารเรียน
ระหว่างทางก็มีเด็กบางคนเริ่มจับกลุ่มกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเก่าบางคนก็เริ่มเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
เห็นรุ่นพี่ปีสองและปีสามเดินโปรโมทชมรมของตนเองตามระเบียงทางเดิน
โดยเฉพาะเวลาเที่ยงวันที่เริ่มมีการพูดเกี่ยวกับชมรมของตัวเอง
มานากะที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าชมรมไหนก็ได้แต่มองใบสมัครที่วางอยู่บนโต๊ะของตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์
“จ้องแบบนั้นมันจะเขียนชมรมให้เธออยู่หรอก”เงยหน้ามองก็เห็นสึกิชิมะยืนอยู่เหนือหัวพ่วงด้วยยามากุจิ
“ก็ฉันไม่รู้จะเข้าชมรมไหนดีนี่”ว่าแล้วก็ถอนหายใจจากนั้นก็เก็บมันลงกระเป๋า
“ยังมีเวลาคิดอยู่นะนิชิโนะซัง”
“แต่ฉันอยากให้เธอมาอยู่ด้วยกัน”
“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะยังไม่จบอีกเหรอ?”มานากะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด
จำได้ว่าเมื่อคืนก็เถียงกันเรื่องนี้แทบตายจนสุดท้ายก็ตัดไปที่เถียงกันจนเหนื่อยเลยขอนอนก่อนค่อยมาคุยต่อ
“ถ้าเธอไปอยู่ที่อื่นฉันก็กลัวว่าจะมีคนมาตอแยเธอไง”ดวงตาสีน้ำผึ้งตวัดมองเด็กหนุ่มที่แอบมองญาติของตนเองจนพวกเขาสะดุ้ง
มานากะถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ดีว่าเขาต้องการอยู่ด้วยกันกับเธอมากขนาดไหน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเสียหายก็จริงแต่ก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆบ้าง
แต่ตรงนี้มานากะก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไร
สึกิชิมะและยามากุจิยกข้าวกลางวันมานั่งทานที่โต๊ะของหล่อน
เด็กหนุ่มอีกคนที่ดูเกร็งๆเล็กน้อยเวลาอยู่ใกล้กับมานากะแต่สุดท้ายก็เริ่มผ่อนคลายและเป็นกันเองกับเธอมากขึ้น
เด็กสาวเขี่ยมะเขือเทศราชินีที่มีอยู่ในกล่องทั้งหมดนั่นไปให้สึกิชิมะไม่วายโดนบ่นกลับมาแถมยังยัดใส่ปากเธอไปอีกหนึ่งลูก
มานากะทำหน้าแหยเวลาเคี้ยวแต่เมื่อเห็นสายตาดุๆของอีกฝ่ายจึงจำใจกลืนลงไป
ถึงยามากุจิที่เป็นผู้หวังดีจะบอกว่าเอามะเขือเทศไปให้เขาก็ได้แต่คิดหรือว่าสึกิชิมะจะยอม
ทีเธอบอกให้เขากินข้าวเยอะๆยังไม่เอาข้าวยัดปากเลย
“ไปหาอะไรล้างปากดีกว่า
มะเขือเทศทำฉันแหวะ”ปั้นหน้าบูดเมื่อนึกถึงรสชาติของมะเขือเทศ
“ก็เห็นกินดูน่าอร่อยดีนี่
คิดว่าจะชอบซะอีก”
“งดช็อตเค้กหนึ่งอาทิตย์”
“ทรมานกันชัดๆ!”สึกิชิมะลุกขึ้นมาโวย งดอย่างอื่นงดได้แต่ถ้าช็อตเค้กเขาไม่ยอม!
“นิชิโนะซังไม่ชอบมะเขือเทศมากเลยเหรอ”ยามากุจิหันมาถามมานากะเพราะปกติเขาก็เห็นผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบทานมะเขือเทศราชินีแท้ๆ
“อือ แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่ชอบก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน”เด็กสาวส่ายหัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์การโดนยัดเยียดมะเขือเทศใส่ปากเมื่อครู่
ขาเรียวก้าวออกมาจากห้องตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนใหม่ของตนอยู่ห้องห้าก็ชะโงกหัวเข้าไปดูก็เห็นอีกคนเหมือนกำลังนั่งทำอะไรสักอย่าง
เด็กสาวผมสั้นหันมาโบกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใสมาให้ซึ่งมานากะก็พยักหน้าและโบกมือกลับ
เดินล้วงกระเป๋าเสื้อสูทนักเรียนมายังตู้ขายน้ำอัตโนมัติชั้นล่าง
หยอดเหรียญใส่เครื่องก่อนจะกวาดสายตามองหากุนกุนโยเกิร์ตเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงกล่องเดียวก็ไม่รอช้ารีบกดทันที
เหมือนเจ้านี่จะช่วยล้างปากเธอได้อย่างดีเยี่ยมจึงทำให้อารมณ์นั้นเปลี่ยนไปโดยทันที
ยังไม่ทันที่จะก้าวขาออกไปก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินมายังตู้ขายน้ำ
ดวงตาสีตะกั่วหันไปมองบุคคลที่อยู่ด้านหลังก็เหมือนเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งเรือนผมสีดำสนิทพอมองดูดีๆก็จำได้ว่าเป็นคนที่เธอมองเมื่อวันประกาศผลสอบ
เหมือนอีกฝ่ายจะเดินมาซื้อเครื่องดื่มเหมือนกันแต่ทว่าท่าทีของเขากลับขมวดคิ้ว
นิ้วเรียวจ่อไปที่ช่องของกุนกุนโยเกิร์ตที่ขึ้นตัวอักษรสีแดงว่าหมด
ดูเหมือนเธอจะแย่งของที่เขาอยากได้มาสินะ
เด็กหนุ่มบุ้ยปากก่อนจะหันไปกดนมแทนจนกระทั่งดวงตาสีน้ำเงินเข้มของอีกฝ่ายประสานกับดวงตาของเธอจนกระทั่งดวงตาเลื่อนมามองเครื่องดื่มที่ตนเองถืออยู่ในมือ
มานากะกะพริบตาปริบๆก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปเร็วๆโดยทำเป็นเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”สึกิชิมะหันมาถามคนที่เอาแต่มองกล่องนมโยเกิร์ต เขาไม่เข้าใจว่ากินหมดแล้วทำไมไม่เอาไปทิ้งสักที
“นี่เคย์
ตอนนี้น่ะฉันรู้สึกผิดมากเลยล่ะ”
“เธอไปทำอะไร?”
“เหมือนฉันจะไปแย่งสิ่งสำคัญมาจากใครสักคนแล้วสิ”
“ฮะ?”
วันแรกของการเปิดเทอมนั้นผ่านไปด้วยดี
มานากะยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าชมรมไหนโดยที่สึกิชิมะและยามากุจิก็ยืนยันว่าจะรอเธอตัดสินใจ
สองคนนั้นก็พูดได้สิเพราะมีชมรมในใจอยู่แล้วนี่
แถมกลับบ้านไปก็ต้องเตรียมใจโดนญาติตัวเองกรอกหูว่าให้เข้าชมรมวอลเลย์บอลด้วยกันอีกแต่เธอก็บอกไปว่าให้ไปส่งก่อนเลยจะได้ไม่ต้องมารอ
แต่ก็ไม่วายโดนกระซิบข้างหูมาว่าเธอควรมาอยู่ชมรมวอลเลย์บอล ตอนนี้อยากได้ใครสักคนมานั่งฟังเธอระบายเหมือนตอนนั่งริมแม่น้ำ
ชีวิตมานากะนี่มันเหนื่อยจริงๆ
“เคย์
เอาแขนออกไปจากไหล่ฉันได้แล้ว”หล่อนเอ็ดคนตัวสูงที่วางแขนพาดไหล่ของเธอ
“ก็ฉันเมื่อยแขนนี่”ไม่วายยกมือข้างเดียวกันมายีหัวเธออีก
ทำไมไม่อ่อนโยนเหมือนตอนที่เขาคนนั้นลูบเลยนะ
มานากะกลอกตาเมื่อรู้ว่าตนพูดอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟังแน่ๆ
จึงยกนมโยเกิร์ตขึ้นมาดูดเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายแล้ว
ในหัวยังคิดไม่ตกว่าจะเข้าตามสึกิชิมะและยามากุจิดีหรือเปล่าเพราะเธอก็อยากจะลองทำอะไรอย่างอื่นบ้าง
เดินคิดไปเรื่อยๆก็รู้สึกเหมือนคนจ้องมอง
เมื่อกวาดสายตาก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงคนนั้นที่เธอเพิ่งจะแย่งกุนกุนโยเกิร์ตมา
จะเรียกว่าแย่งก็ไม่ถูกเพราะมันก็เหลือกล่องสุดท้ายพอดี
เห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งก็รีบหลบสายตาแล้วเดินไปหลบหลังสึกิชิมะทันที
แค่นมโยเกิร์ตเองทำไมต้องแค้นขนาดนั้นด้วย
‘มาโรงเรียนวันแรกก็โดนหมายแล้วเหรอเนี่ย’
“มานากะจัง!”เสียงใสที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง เห็นยาจิ
ฮิโตกะวิ่งมาทางเธอพร้อมโบกไม้โบกมือมาให้ด้วย
เป็นความสดใสที่เธอตั้งตัวแทบไม่ทัน
“อ่ะ...ฮิโตกะ”
“ใครน่ะ”สึกิชิมะก้มลงมาถาม
“เพื่อนน่ะ”
“มีเพื่อนกับเขาด้วย?
โอ๊ย!”ใบหน้าเด็กหนุ่มเหยเกด้วยความเจ็บปวดเมื่อเด็กสาวกระแทกส้นรองเท้าลงมาที่เท้าของตัวเองเต็มๆ
เด็กสาวพยายามฉีกยิ้มเป็นมิตรไปให้อีกฝ่าย
เธอเป็นคนประเภทที่ถ้าหากมีคนพุ่งเข้ามาหาด้วยความสดใสก็จะทำตัวไม่ถูกทันที
ยาจิยิ้มแฉ่งก่อนจะถามสารทุกข์สุขดิบว่าเปิดเรียนวันแรกเป็นอย่างไรบ้างแถมบอกว่าดีใจที่มานากะโบกมือทักทายเธอเมื่อตอนเที่ยงด้วย
แถมดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจผู้ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยซ้ำ
“มานากะจังสนใจไปหาอะไรกินด้วยกันมั้ย?”
เหมือนคำพูดของยาจิจุดประกายความตื้นตันใจให้กับหล่อน
ตั้งแต่มาเหยียบที่มิยางินี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนชวนออกไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนเหมือนที่เธอวาดฝันไว้สมัยเป็นม.ต้น
แถมยังเป็นเพื่อนคนแรกจากต่างโรงเรียนอีก
มานากะแทบอยากจะเอาไปบอกเขาคนนั้นว่าเธอมีเพื่อนเหมือนกับคนอื่นเขาแล้ว
เด็กสาวหันมามองสึกิชิมะเป็นเชิงขออนุญาตก็เห็นเจ้าตัวพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ไปได้
ว่าแล้วก็พุ่งเข้าไปกอดเด็กหนุ่มอีกคนด้วยความดีใจโดยที่ไม่ทันได้ให้เขาตั้งตัว
ยามากุจิและยาจิร้องตกใจเหมือนเพิ่งจะเคยเห็นชายหญิงวัยรุ่นกอดกันเป็นครั้งแรกทำเอาหน้าทั้งคู่แดงเพราะเขินแทนสองคนนั้น
สึกิชิมะถอนหายใจออกมาแถมเขาก็ไม่ได้มีท่าทางตกใจตอนที่เธอเข้ามากอดด้วยซ้ำ
มือหนายกมือขึ้นมาลูบหัวเหมือนที่ทำปกติทุกวันแต่นั่นกลับทำให้อีกสองคนที่เหลือกลับเขินหนักกว่าเดิม
“อย่ากลับดึกล่ะกัน”
มานากะแยกไปคนละทางกับสึกิชิมะเพื่อจะเดินไปหาอะไรทานกับยาจิที่ย่านการค้า
คนตัวเล็กกว่านั้นชวนเธอคุยไปตลอดทางจึงทำให้บทสนทนาไม่ขาดตอน
เด็กสาวที่นานๆทีจะได้เข้ามาในบริเวณนี้ก็สำรวจไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำเอายาจิสงสัยว่าเธอไม่ใช่คนท้องถิ่นที่นี่หรือเปล่า
“มานากะจังไม่ใช่คนที่นี่เหรอ?”
“อื้ม
เป็นคนโตเกียวน่ะ”
“โห! สุดยอดเลย
ฉันน่ะใฝ่ฝันที่จะไปเป็นดีไซเนอร์ที่โตเกียวมาตลอดเลยนะ!”ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายลุกวาวยามได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากโตเกียว
“อย่างนั้นเหรอ
ฉันว่าเธอทำได้อยู่แล้วล่ะนะ”
“ขอบคุณมากนะ
นี่รู้มั้ยว่าตอนแรกที่ฉันเห็นมานากะจังน่ะฉันกลัวมากเลย”ดูเหมือนคำพูดของยาจิจะกระทบกระเทือนจิตใจของเธออย่างรุนแรง
ถึงแม้จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าหน้าตัวเองมันไม่เป็นมิตรแต่พอได้ฟังจากปากคนอื่นมันก็ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่
“ใครๆก็พูดอย่างนั้น”
“มะ---ไม่ใช่นะ
ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น
แต่จริงๆก็เป็นแบบนั้นแค่แวบแรกแหละแต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว”ยาจิรีบปฏิเสธทันทีเมื่อเห็นอีกคนมีท่าทางไม่โอเค
สุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าร้านขายไอศกรีมโดยที่ยาจิอาสาจะเลี้ยงเพื่อเป็นการไถ่โทษที่พูดสิ่งที่ทำให้มานากะไม่สบายใจ
ตอนแรกหล่อนก็ปฏิเสธไปแถมไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้วแต่ดูเหมือนคนผมสั้นต้องการที่จะเลี้ยงให้ได้ก็เลยต้องจำใจรับมา
แต่อย่างน้อยไอศกรีมก็ช่วยให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมาในระดับหนึ่งล่ะนะ
“แต่ฉันคิดว่ามานากะจังน่ะน่ารักมากเลยนะถึงแม้ว่าเราเพิ่งจะคุยกันแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เถอะ”
“ฮิโตกะก็....”มานากะเว้นจังหวะอึกอักไม่ยอมพูด
ดวงตาสีตะกั่วมองลงพื้นเหมือนว่าอายที่จะพูดประโยคถัดไป
“ฮิโตกะก็น่ารักเหมือนกัน”
“มานากะจังน่ารักที่สุดเลย!”ยาจิพุ่งเข้ามากอดหล่อนพลางถูหน้าไปมาบนหน้าอกของมานากะทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก
เดินเล่นกันไปได้สักพักก็จวนเวลากลับบ้าน
มานากะต้องนั่งรถบัสกลับไปยังบ้านของตนโดยที่ยาจิไม่ได้ไปด้วยเพราะว่าบริเวณนั้นอยู่แถวบ้านของเธอพอดี
คนตัวเล็กกว่าเดินมาส่งเด็กสาวบริเวณป้ายรถบัส
วันนี้ยาจิพาเธอไปเปิดหูเปิดตาตามที่ต่างๆเพราะปกติเวลาว่างมานากะไม่ใช่ประเภทที่จะชอบออกไปไหนตลอดปิดเทอมจึงเอาแต่นอนเล่นอยู่บ้านตลอด
พอได้ออกมาข้างนอกก็ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาและได้เที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆสักที
“งั้นกลับบ้านดีๆนะมานากะจัง
ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ”ยาจิโบกมือลาก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเดินทางไปยังบ้านของตนเอง
“เดี๋ยวฮิโตกะ”
“หืม?”เหลียวกลับมามองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียก
มานากะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ายาจิพอมายืนใกล้กันก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงเท่าระดับอกของเธอเท่านั้นเอง
‘น่ารัก’
“ขอเบอร์เธอหน่อยได้มั้ย
แต่ถ้าไม่สะดวกก็เป็นอย่างอื่นก็ได้”ดวงตาสีตะกั่วเสมองไปทางอื่นพร้อมยื่นสมาร์ทโฟนไปให้
“แต่ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องให้ก็ได้นะ ฉันไม่ได้อะไรหรอก”
ดูก็รู้ว่าถ้าไม่ให้คงผิดหวังแน่
ยาจิฉีกยิ้มกว้างแล้วรับโทรศัพท์มาจากมืออีกฝ่าย
หล่อนก้มหน้าจิ้มอะไรสักอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นกลับไปให้ดังเดิม
มานากะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่านอกจากจะมีเบอร์โทรแล้วก็ยังมีช่องทางอื่นอีกหลายอย่างที่เด็กสาวให้มาใช้สำหรับติดต่อกันและกัน
“โทรมาคุยกันได้ตลอดเลยนะมานากะจัง!”
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงบ้านของตนเอง
วางกระเป๋านักเรียนและสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กลงบนพื้นไม้เพื่อที่จะถอดรองเท้า
ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของใครบางคนเดินมาจากข้างหลังเดาไม่ยากเลยว่าต้องเป็นสึกิชิมะแน่ๆ
“ไปเที่ยวแล้วมีของฝากมาให้หรือเปล่า”
มานากะชี้ไปที่กล่องสีขาวที่วางอยู่ด้านข้าง
เมื่อเด็กหนุ่มเปิดออกมาดูก็ตาลุกวาวทันทีเมื่อเห็นว่ามันคือสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กของโปรดของเขา
มือหนาเอื้อมมายีหัวอีกฝ่ายเพราะจริงๆเมื่อกี้เขาก็ถามเล่นๆไปเท่านั้นแต่ไม่คิดว่าจะซื้อมาจริงๆด้วย
“อย่ากินทีเดียวหมดล่ะ
ฉันไม่อยากเห็นนายตายก่อนเพราะน้ำตาลในเลือดสูงหรอกนะ”เก็บรองเท้าเข้าชั้นวางแล้วยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายเตรียมจะขึ้นห้อง
“แต่ก็ยังซื้อมาให้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ”ใบหน้าหล่อเหลาวางบนไหล่ของอีกฝ่าย
“แค่เห็นแล้วมันนึกถึงนายก็เลยซื้อมาให้เฉยๆหรอกนะ
ไปอาบน้ำแล้ว”มือบางผลักหน้าอีกคนให้ออกไปจากไหล่ของตัวเองแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
“ตอนอาบน้ำก็อย่าลืมคิดเรื่องชมรมด้วยล่ะ
แต่ยังไงเธอก็ควรมาอยู่ด้วยกันกับฉันนะ”
“ฝันไปเถอะ!”
ความคิดเห็น