คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Hello || 03
เนื่องจากต้องเดินทางเป็นระยะเวลายาวนานสัมภาระที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจึงถูกขนขึ้นรถตั้งแต่เช้าตรู่
มานากะที่นานๆทีก็ตื่นเช้าก็ต้องพยายามแหกตาและประคองสติตัวเองไม่ให้ร่วงไปนอนกับพื้นขณะขนของ
หลังจากที่คุโรโอะมาส่งที่บ้านเมื่อวานพ่อเธอก็คิดว่ามีสตอล์กเกอร์แอบตามมาถึงบ้านยังดีที่ห้ามไว้ทันก็เลยต้องแก้ข่าวให้ยกใหญ่ว่านั่นไม่ใช่โจรหรือคนโรคจิตใดๆทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าทีแรกเธอก็เกือบโทรแจ้งตำรวจไปแล้วเหมือนกัน
หลังจากนั้นมานากะก็โดนแม่ไล่ให้ไปเก็บของใช้ที่จำเป็นเพื่อแพ็คใส่กล่องจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในวันถัดไป
เนื่องจากของและเสื้อผ้าของหล่อนนั้นมีไม่มากเท่าไหร่จึงไม่ได้เสียเวลาตรงนั้นมากนักแต่พอเก็บของเสร็จก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นและโดนบังคับให้ขึ้นไปนอนโดยทันทีเพราะต้องออกเดินทางแต่เช้า
ถ้าถามว่าทำไมตัวมานากะนั้นไม่แย้งอะไรออกไปก็คงเป็นเพราะเธอทำตามใจตัวเองมามากพอแล้วและแม่ก็คงสุดจะทนเลยตัดปัญหาโดยการไปถีบส่งไปอยู่กับญาติที่มิยางิซะเลย
แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับตัวมานากะด้วยเพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้ใคร่การต่อยตีเท่าไหร่
ยิ่งไม่มีเรื่องพวกนี้ยิ่งดีเธอจะได้ใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นเขาเสียที
“เก็บของมาครบแล้วใช่มั้ย”มาริโกะถามลูกสาวของตนที่เพิ่งจะขนกล่องสุดท้ายเข้ารถ
แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจึงหันไปมองก็เห็นว่าหล่อนยืนนิ่งทำตาปรืออยู่ท้ายรถคล้ายนอนไม่เต็มอิ่ม
เพียะ!
ผู้เป็นแม่เดินไปดีดหน้าผากลูกสาวเพื่อเรียกสติ
มาริโกะถามย้ำอีกรอบเมื่อเห็นว่าลูกสาวพยักหน้ารับก็เดินเข้าไปในร้าน
มานากะลูบหน้าผากตัวเองพลางป้องปากหาวถึงจะดีดแรงขนาดไหนเธอก็ยังง่วงอยู่ดีนั่นแหละ
เดินหาวเข้ามานั่งเล่นกับชิโร่ที่สวนหลังบ้านแต่เล่นได้สักพักก็โดนเรียกให้ไปทานมื้อเช้า
“แน่ใจนะว่าไม่ลืมอะไร”
“ไม่ลืมค่ะม๊า”รับจานอาหารเช้ามาจากผู้เป็นแม่แล้วจึงเริ่มทาน
“ไปอยู่ที่นั่นก็ทำตัวดีๆล่ะ
อย่าไปมีเรื่องกับใครอีกนะ”
มานากะครางในลำคอตอบรับแล้วหั่นไส้กรอกเป็นชิ้นเล็กๆแอบโยนให้ชิโร่กิน
เวลาเธอทำแบบนี้ทีไรมักจะโดนดุทุกครั้งแต่ก็ไม่เลิกทำสักที
“คุณแน่ใจเหรอคะว่าจะไม่ไปด้วย?”มาริโกะหันมาถามสามี
“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าร้านจะดีกว่า
อีกอย่างพรุ่งนี้คุณก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมไม่อยากเปิดปิดร้านให้ลูกค้าบ่นหรอกนะ”
หลังจากทานเสร็จก็ลุกไปล้างจานให้เรียบร้อย
เดินขึ้นมาบนห้องอีกรอบหนึ่งเพื่อสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะออกไป
เดินหาวหวอดๆพลางใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกมายังรถที่ถูกจอดไว้หน้าบ้าน
กอดร่ำลาคุณพ่อและคุณปู่ที่รักจบด้วยการกอดเจ้าชิโร่และสัญญากับมันว่าจะมาหาบ่อยๆจากนั้นจึงเดินขึ้นรถเพื่อมุ่งสู่มิยางิ
“บอกให้นอนเร็วๆจะได้ไม่ง่วง”
“ก็คนมันง่วงนี่ม๊า
ให้ทำไงได้ล่ะ”ปรับเอนเบาะให้เหมาะกับการนอนพลางยกผ้าคลุมขึ้นมาคลุม
สภาพตอนนี้เหมือนตื่นนอนเพื่อเก็บของจากนั้นก็มานอนต่อหรือเรียกว่าแค่เปลี่ยนที่นอนใหม่นั่นเอง
“พรุ่งนี้ก็ต้องไปสอบเข้านะอย่าลืมล่ะ”สายตายังคงทอดมองไปยังถนน
มานากะผงกหัวรับมือทั้งสองข้างกำลังง่วนกับการตอบแชทจากญาติตนเองอยู่
“ม๊าขอแค่อย่างเดียวนะอยู่นู่นจะมีแฟนมีอะไรก็ว่าไป----”
“หนูว่าชาตินี้หนูไม่น่ามีแฟนหรอก”
“จะมีหรือไม่มีนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหรอกนะ
ม๊าขอแค่อย่างเดียวอย่าไปมีเรื่องกับใครก็พอขอแค่นี้ทำให้ม๊าได้มั้ย”
“ถ้าไม่มีคนมาหาเรื่องหนูก็น่าจะทำได้อยู่”มานากะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก มาริโกะถึงกับถอนหายใจออกมากับคำตอบแบบขอไปทีของลูกสาว
เอาเถอะ ตัวเธอก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะนะ
เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอไม่มีอะไรจะพูดต่อจึงเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงฟังระหว่างนั่งรถ
มานากะค่อยๆหลับตาลงปล่อยให้เสียงเพลงดังอยู่ในโสตประสาท
ทำสมองให้โล่งแต่แล้วก็มีใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
เป็นหน้าของเด็กหนุ่มที่เธอเพิ่งจะระบายปัญหาชีวิตไปเมื่อวานนี้
ไม่รู้ทำไมเธอถึงนึกถึงใบหน้าของเขาขึ้นมาเอาดื้อๆทั้งที่เจอกันแค่สองครั้งแท้ๆ
แต่ก็นึกถึงเขาก็มีแต่ความสบายใจ
‘รู้งี้แลกเบอร์ไว้ก็ดี’
หลังจากนึกถึงหน้าของคุโรโอะตัวเธอก็เผลอหลับไป
ไม่รู้ว่านานกี่ชั่วโมงมานากะก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะคุณแม่ที่รักนั้นปลุกเธอมาริโกะบอกว่าอีกเดี๋ยวเดียวก็จะถึงที่หมายแล้ว
เด็กสาวแกะสายหูฟังที่พันคอเธออยู่แล้วเก็บใส่ซองอย่างดีไม่นานนักรถก็เคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
มานากะเดินเซเล็กน้อยขณะลงจากรถเพราะตอนนี้หล่อนยังง่วงอยู่
กระชับเสื้อคลุมเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอนแล้วเดินมากดออดหน้าบ้าน
“ครับ”น้ำเสียงเอื่อยดังขึ้นพร้อมประตูบ้านที่เปิดออก
เด็กหนุ่มตัวสูงเกือบร้อยเก้าสิบก้มมองมายังผู้มาเยือน
นิ้วชี้ดันแว่นขึ้นพร้อมหรี่ตามองเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าตัวเอง
“แม่ครับมีเด็กหลงทะ---โอ๊ย!!!”
“ปากหมา”เท้าเล็กเหยียบไปที่เท้าอีกคนเต็มแรง
มือหนาจับหัวอีกแล้วโยกไปมาด้วยความหมั่นไส้
“นั่นปากเหรอนั่น
เดี๋ยวปั๊ดไม่ให้อยู่ด้วยหรอก”
“ได้ งั้นฉันกลับล่ะ”ปัดมือเขาออกจากหัวแล้วหมุนตัวเดินออกไปแต่กลับถูกมือของอีกคนกระชากไปกอดแทน
“มาถึงแล้วคิดว่าจะปล่อยไปง่ายๆเหรอ”
มานากะไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดแต่กลับกอดตอบอีกฝ่ายไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีความคิดถึงก็เริ่มกลับมา
ญาติเพียงคนเดียวที่รู้ใจเธอเป็นที่สุดถึงแม้ปากจะหาเรื่องไปหน่อยก็ตาม
กอดกันได้สักพักก็เด็กหนุ่มก็เป็นฝ่ายผละออกก่อนจะเดินจับมือเธอไปยกของลงจากรถ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะเคย์คุง
สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”มาริโกะว่าพลางยืดแขนลูบหัวอีกฝ่าย
“คงจะอย่างนั้นแหละครับ”
‘สึกิชิมะ เคย์’ ผงกหัวตอบรับ
มานากะที่เห็นแม่ของตนมีท่าทีเอ็นดูลูกพี่ลูกน้องของตัวเองก็แอบเบะปากลับหลัง
“เบะปาก เบะปากทำไม
ฮะ?”เพราะถูกเลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจึงเดาไม่ยากเลยว่ามานากะจะทำหน้าอย่างไร
สึกิชิมะบีบแก้มนุ่มของอีกคนเป็นเชิงหยอกแต่หล่อนก็กลอกตาแทนนั่นจึงทำให้มือเขาไม่ยอมปล่อยจากแก้มของเธอ
ตีกันอยู่สักพักก็ต้องเบนความสนใจมายังการขนของเข้าบ้านแต่ก็ไม่วายตีกันเรื่องใครจะเข้าบ้านก่อนอีก
รักกันได้ไม่ถึงนาทีก็ตีกันอีกแล้ว
มาริโกะได้แต่มองภาพนั้นอย่างเหนื่อยใจระหว่างยืนรอเด็กทั้งสองคน
ส่วนแม่ของสึกิชิมะนั้นก็ได้แต่หัวเราะชอบใจเพราะกำลังจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้าน
กล่องสุดท้ายถูกวางลงบนพื้นห้อง
เมื่อมองไปรอบๆสภาพของห้องนั้นก็ถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพราะมาริโกะโทรมาบอกแม่ของสึกิชิมะก่อนแล้วจึงทำให้จัดการเตรียมห้องได้เร็ว
ห้องของเธอกับห้องของสึกิชิมะอยู่ตรงข้ามกันแถมประตูยังตรงพอดีเป๊ะด้วยอีกอย่างทั้งคู่ดันเป็นพวกชอบเปิดประตูออกมาพร้อมกันด้วยสิ
มีหวังได้เหม็นขี้หน้ากันในเร็ววันแหงๆ
แต่เอาเถอะการได้กวนสึกิชิมะก็เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งที่เธอต้องการที่จะทำล่ะนะ
“มีห้องดีๆให้แล้วก็ไปห้องตัวเองสิ”สึกิชิมะยืนพิงประตูมองเด็กสาวสาวที่นอนอยู่บนเตียงของตน
หลังจากขนของเข้าห้องเสร็จหล่อนก็แอบย่องเข้ามาแล้วกระโจนลงบนเตียงทันที
ดวงตาสีตะกั่วกวาดสายตาไปรอบๆก็เห็นหุ่นไดโนเสาร์วางบนชั้นวางของก็ทำให้นึกได้ว่าสึกิชิมะชอบไดโนเสาร์มาก
พลันรู้สึกถึงอะไรหนักอึ้งทับอยู่บนตัวก็เดาได้ไม่อยากว่าเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นที่ทิ้งตัวนอนทับเธอ
“มันหนักนะเคย์”ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มานากะก็ไม่ได้ดันเขาออกแต่อย่างใด
“ก็เธอเล่นนอนทับที่ฉันนี่
ฉันนอนทับเธอบ้างจะเป็นไรไป”
“คิดว่าตัวนายเท่าลูกแมวหรือไง”
“งั้นฉันจะคิดว่าตัวเองเป็นลูกแมวก็แล้วกัน”
เอาเถอะ
ถือว่าครั้งนี้จะยอมให้เพราะไม่ได้เจอกันนานก็แล้วกัน
“ทั้งคู่ทำอะไรกันเนี่ย!”มาริโกะเอ่ยอยู่หน้าประตูห้องเมื่อเห็นสภาพของทั้งคู่
“โตๆกันแล้วนะ
อีกอย่างลูกเป็นผู้หญิงไปให้เคย์คุงนอนทับได้ยังไง”
“ญาติกันไม่เห็นเป็นไรเลย”มานากะลุกขึ้นนั่งก่อนจะได้ยินเสียง กร๊อบ ดังมาจากหลังของตัวเอง
สึกิชิมะหนักกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก
สักพักทั้งคู่ก็โดนมาริโกะไล่ออกมาจากนอกห้องและบอกว่าทีหลังห้องใครห้องมันอย่านอนเตียงเดียวกันเด็ดขาดเพราะมันดูไม่ดี
มานากะก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องขนาดนั้นแต่เธอก็ทำได้แค่เดินจับหลังตัวเองพลางเดินลงบันไดอย่างลำบากเนื่องจากโดนเด็กโข่งนอนทับจึงทำให้ปวดหลัง
ส่วนผู้กระทำนั้นเดินลอยหน้าลอยตาลงไปก่อนเธอเสียด้วยซ้ำ
มานากะก็ได้แต่กัดฟันกรอดและหวังว่าสักวันเขาจะต้องปวดหลังเหมือนที่เธอปวด
“เคย์
พามานากะจังไปเดินเล่นหน่อยสิ”แม่ของสึกิชิมะหรือผู้มีศักดิ์เป็นน้าของเธอเอ่ยขึ้นภายในห้องนั่งเล่น
“ตอนนี้เลยเหรอครับ?”
“อื้อ
ยังไงมานากะจังก็ต้องอยู่กับเราไปตลอดด้วยนี่ถือว่าเดินรำลึกความหลังแล้วก็สำรวจเมืองไปด้วยไง”
โอ้
นี่แม่กะจะไม่ให้เธอกลับโตเกียวเลยใช่มั้ย
“ไปป่ะ?”มานากะเงยหน้าถาม
“ถ้าเธออยากไปฉันก็จะไป”สึกิชิมะไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเพราะอย่างไรซะพวกเขาทั้งคู่ก็ตัวติดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
สองขาเดินเคียงข้างเด็กหนุ่มไปตามทาง
ก่อนออกจากบ้านสึกิชิมะถามเธอว่าจะออกไปด้วยสภาพแบบนี้จริงๆเหรอเพราะตอนนี้เธอสวมเสื้อโอเวอร์ไซส์และกางเกงผ้าขายาวสีเบจ
อีกทั้งยังรองเท้าแตะแถมยังมัดผมแบบลวกๆสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
แต่มานากะก็เพิ่งตื่นนอนจริงๆนั่นแหละ เด็กสาวก็ได้แต่ตอบปัดๆไปว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรแต่ยังไม่ทันได้ใส่รองเท้าก็โดนเขาดึงไปมัดผมให้ใหม่จะได้ไม่ต้องยุ่งเหมือนที่เป็นอยู่
ตอนนี้ผมหางม้าของเธอจึงเรียบร้อยสวยงามเพราะสึกิชิมะมัดให้อย่างดี
สภาพแวดล้อมรอบบ้านนั้นต่างจากตอนที่เธอเคยมาเมื่อหลายปีก่อนเล็กน้อยแต่อะไรหลายอย่างก็ยังเหมือนเดิม
ชี้ไปที่ร้านขายของชำสมัยยังเด็กที่พวกเธอมักจะมาซื้อด้วยกันบ่อยๆ
สักพักก็ได้ขนมแท่งติดไม้ติดมือมาด้วย
มีเดินผ่านสวนสาธารณะและโรงยิมที่ทั้งคู่เคยมาเล่นวอลเลย์บอลด้วยกัน
“ว่าแต่เป็นไงบ้าง
โตเกียวน่ะ”
“ก็ดี”
“ดีนี่หมายถึงดีที่มีเรื่องกับชาวบ้าน?”
“แบบนั่นมันเรียกว่าดีด้วยเหรอ?”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง
“ก็ปกติเธอมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่วไม่ใช่เหรอ
คิดว่าเธอจะชอบเสียอีก”มือหนาแกว่งมือของเธอที่จับอยู่เบาๆขณะเดินไปตามทาง
มานากะโคลงศีรษะเหมือนไม่อยากตอบ
มือยังคงยกขนมแท่งขึ้นมากัดอย่างสบายอารมณ์พร้อมสูดอากาศระหว่างทาง
มานากะเลือกที่จะสนใจกับบรรยากาศมากกว่าเพราะอากาศที่นี่ดีกว่าที่โตเกียวเป็นไหนๆจนอยากจะชวนอีกคนให้มารับอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ด้วยกัน
ว่าแต่ทำไมต้องนึกถึงด้วยเนี่ย
“นี่เคย์”
“ว่า?”สึกิชิมะตอบโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“เมื่อหลายวันก่อนฉันได้ไปรู้จักคนคนหนึ่งด้วยแหละ”
“ผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ผู้ชาย”คนตัวสูงถึงกับหันขวับมามองเธอทันทีที่พูดว่าผู้ชายรู้จักตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เพิ่งเคยรู้ว่าตัวมานากะนั้นมีผู้ชายเข้าหาด้วย
อีกอย่างเขาเป็นประเภทที่หวงเธอมากขนาดไม่ยอมให้เด็กผู้ชายแถวบ้านเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
มานากะเห็นเขาแสดงความไม่พอใจผ่านทางสายตาภายใต้กรอบแว่นนั่นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จะผ่านไปกี่ปีก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แถมตอนนี้สึกิชิมะดูอยากจะรู้สุดๆว่าผู้ชายที่เธอพูดคนนั้นเป็นใครนิสัยเป็นอย่างไรแต่มานากะก็ยังลีลาไม่ยอมบอกเขา
ถ้าอยากรู้ก็ถามออกมาซะสิ
“เป็นใคร
อายุเท่าไหร่ อยู่ชั้นไหน โรงเรียนอะไร”
“เป็นคนที่ช่วยทำแผลให้ฉัน
อายุดูๆแล้วก็น่าจะสิบเจ็ดสิบแปดได้”
“ม.ปลาย? ไม่เจอกันตั้งหลายปีมีหนุ่มม.ปลายมาติดแล้วเหรอเนี่ย”สึกิชิมะหัวเราะ
“แค่คนที่ช่วยฉันเอง
นายไม่เห็นต้องซีเรียสอะไรเลยนี่”
“เพราะเป็นเธอฉันเลยซีเรียสไง”
แต่บางทีมานากะก็คิดว่าเขาหวงเกินไปล่ะนะ
เมื่ออีกคนไม่ได้เปิดประเด็นเธอก็ไม่ได้คิดที่จะพูดอะไรต่อ
ทั้งคู่ยังคงเดินจับมือกันไปเรื่อยๆเดินผ่านสถานที่ในวัยเด็กมีนั่งพักตามริมแม่น้ำบ้างเล็กน้อย
ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกันแต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัดแต่อย่างใดคงเพราะแค่มีกันและกันอยู่มันก็สบายใจโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะมั้ง
“ว่าแต่นายจะเข้าโรงเรียนอะไรล่ะ”เด็กสาวใช้หัวพิงกับไหล่ของเขาขณะนั่งพักอยู่ริมแม่น้ำ
“คาราสึโนะ
อีกอย่างเธอก็จะเข้าโรงเรียนเดียวกันกับฉันด้วยไม่ใช่รึไง”
“จริงด้วยสินะ
ว่าแต่นายยังเล่นวอลเลย์อยู่ใช่มั้ย?”สึกิชิมะผงกหัวให้เป็นคำตอบ
“ทำไม? เลิกเล่นแล้วเหรอ?”
“อือ เลิกแล้ว”คำตอบของหล่อนสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่พอควร
ปกติก็มักจะส่งรูปช่วงที่ซ้อมไม่ก็ไปแคมป์ฝึกมาให้เขาตลอดแถมตอนแข่งยังดูจริงจังขนาดนั้นไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเลิกเล่นเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าเลิกเล่นแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ”
“ไม่รู้สิ
แต่อยากลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้างแค่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”มานากะหลับตาลงพลางนึกสิ่งที่ตอนอยากทำแต่เพราะทั้งชีวิตเธอมีแต่วอลเลย์บอลที่ทุ่มเทให้กับมันจึงไม่รู้ว่าจะทำอะไร
“เชื่อสิว่ารอบตัวเธอหมุนด้วยวอลเลย์
ยังไงซะเธอก็ต้องกลับมาเกี่ยวข้องกับมันอยู่ดีนั่นแหละ”
หลายวันต่อมาตัวมานากะเองเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วแถมมีเรื่องให้เข้าใจผิดอีกอย่างเข้ามาในชีวิตอีกด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าระหว่างทางที่จะไปสอบเข้าที่คาราสึโนะก็บังเอิญเจอเพื่อนสนิทของสึกิชิมะที่ชื่อว่ายามากุจิ
ทาดาชิ
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ซึ่งมานากะก็ไม่ได้สนใจในจุดนั้นมากนัก
แต่รีแอคชั่นที่เขาเห็นเธอและสึกิชิมะนั่นมันเหนือคนปกติทั่วไปยามากุจิตกใจแถมยังพูดอีกว่าสึกิชิมะเดินกับผู้หญิงเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน
ถ้าดูจากนิสัยของเขาแล้วก็น่าตกใจอยู่หรอก
แต่เมื่อยามากุุจิเห็นทั้งคู่เดินจับมือกันเขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ทำเอาเธอถึงกับอึ้งว่าคนอะไรจะมีรีแอคชั่นใหญ่ขนาดนั้น
เจ้าตัวถามด้วยเสียงสั่นๆว่าตัวสึกิชิมะเป็นอะไรกันกับมานากะ
ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากตอบเด็กหนุ่มก็โอบไหล่เธอแล้วบอกว่าแฟนแบบเต็มปากเต็มคำ ส่วนหล่อนก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะขี้เกียจจะแก้แถมตัวยามากุจิเองก็คงเชื่อแบบสนิทใจด้วย
รู้สึกผิดแต่ก็ช่างมันเถอะ
“ทีหลังนายหัดกินข้าวเยอะๆบ้างนะ
จะได้มีกล้ามบ้าง”มานากะว่าพลางใช้นิ้วจิ้มไปที่บริเวณท้องของสึกิชิมะ
ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะตัวผอมบางยังคงมีกล้ามพอให้เห็นอยู่บ้างเพียงแค่น้ำหนักของเขาในตอนนี้มันไม่สมดุลกับส่วนสูงของเขาเท่านั้นเอง
“ไม่เอาอ่ะ
เธอก็น่าจะรู้นี่ว่าฉันไม่ชอบกินเยอะ”สึกิชิมะว่าขณะเลือกเพลงบนโทรศัพท์
ปกติเขาจะสวมเฮดโฟนตลอดแต่วันนี้เขากลับสวมหูฟังแบบธรรมดาแทนเพราะอยากฟังเพลงกับเธอด้วย
“เอาเพลงนี้ดีป่ะ?”
“จะเลือกเพลงอะไรก็เลือกไปเถอะ
แต่นายต้องหัดกินข้าวยะ---ดังไปแล้วนะเคย์!”ขึ้นเสียงใส่เมื่อคนตัวสูงเร่งระดับเสียงแถมยังผิวปากเหมือนกับต้องการตัดจบบทสนทนา
“อรุณสวัสดิ์สึกกี้
นะ---นิชิโนะซังด้วย”เสียงติดประหม่าของยามากุจิดังขึ้น
“อืม อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”มานากะพูดถัดจากสึกิชิมะ
ยามากุจิที่ดูเหมือนจะยังเกร็งๆเธออยู่ผงกหัวตอบรับแถมยังก้มหน้าเหมือนไม่อยากสบตา
ดูเหมือนหน้าเธอคงจะเป็นปัญหาจริงๆนั่นแหละ
อุตส่าห์จะทำให้ตัวเองมีเพื่อนเยอะๆเหมือนคนอื่นแท้ๆแต่มันกลับยากกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะยามากุจิ
หน้ายัยนี่ก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”
“เอ๊ะ....อืม
เข้าใจแล้วสึกกี้”
เหมือนจะพูดให้หายกังวลแต่ทำไมกลับดูน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
“นี่ยามากุจิ”จู่ๆมานากะก็เอ่ยขึ้นทำเอาคนที่ถูกเรียกถึงกับสะดุ้ง “นายรู้จักกับเคย์ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”
“เอ่อ...ตั้งแต่ตอนประถมน่ะ
ตอนนั้นฉันถูกแกล้งแต่ก็ได้สึกกี้ช่วยเอาไว้หลังจากนั้นก็เริ่มสนิทกันน่ะ”พอเป็นเรื่องของสึกิชิมะดูเหมือนยามากุจิจะเริ่มผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ไม่ได้ช่วยสักหน่อย
อีกอย่างหุบปากน่ายามากุจิ”
“ขอโทษสึกกี้”
“เห~ ก็สนิทกันมานานพอดูเลยนะ”ว่าพลางเหล่ตามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆที่ดูเหมือนไม่อยากจะให้พูดเรื่องนี้แล้ว
“ว่าแต่นิชิโนะซังกับสึกกี้ไปรู้จักกันตอนไหนเหรอ”
“หุบปากน่ายามากุจิ”
“ขอโทษสึกกี้
ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะนิชิโนะซัง”
พยายามส่งยิ้มบางๆไปให้ยามากุจิ
ในใจก็นึกสงสารว่าเจ้าตัวคงโดนสึกิชิมะพูดแบบนี้ใส่บ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้วแน่ๆ
แต่ถ้าเธอเป็นยามากุจิล่ะก็คงต่อยสึกิชิมะแล้วตะโกนใส่หน้าว่าน่ารำคาญไปแล้วล่ะ
เด็กสาวหันไปสบตาสีน้ำผึ้งของสึกิชิมะว่าจะเอาอย่างไรต่อเพราะตอนนี้ยามากุจิก็คิดไปแล้วว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันจริงๆ
แต่อีกอีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยเหมือนให้เธอหาเรื่องโกหกสักเรื่องตอบตอบไปจะได้จบๆ
แต่เธอก็คิดว่าทำไมไม่บอกความจริงไปเลยล่ะแต่อีกใจก็ช่างมันปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็สนุกอีกแบบเพราะตัวมานากะและสึกิชิมะเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
“พอดีแม่ของฉันกับแม่เคย์เป็นเพื่อนกันน่ะพวกเราก็เลยสนิทกันไปด้วย”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ
แสดงว่าก็สนิทกันมาตั้งนานเลยล่ะสิ”
“อืม
แต่ฉันเป็นคนโตเกียวแถมยังเรียนอยู่ที่นั่นเลยทำให้ไม่ได้เจอกับเคย์นานหลายปีเลยล่ะนะ
แต่ตอนนี้ย้ายมาอยู่กับญาติก็เลยเจอกันได้บ่อยขึ้น”ญาติคนนั้นก็คนที่ยืนอยู่ข้างๆนั่นแหละจ้า
“คนโตเกียวหรอกเหรอเนี่ย!”
“เงียบน่ายามากุจิ”
“ขอโทษสึกกี้”
วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบเข้าโรงเรียนคาราสึโนะทั้งสามคนจึงเดินทางไปยังที่นั่นเพื่อดูผลสอบว่าตัวเองติดหรือไม่
สำหรับมานากะนั้นไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าตัวเธอจะติดมั้ยเพราะไม่ได้มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนเท่าไหร่แต่สำหรับสึกิชิมะนั้นน่าจะผ่านได้สบายแล้ว
เดินขึ้นเนินมาตามทางก็มีนักเรียนหลายคนร่วมทางมาด้วยบางคนก็ปั่นจักรยานขึ้นเนินมาก็มี
มานากะมาหยุดอยู่หน้าบอร์ดสำหรับติดผลสอบ
ดวงตาสีตะกั่วกวาดสายตามองไปตามรายชื่อซึ่งดูเหมือนว่าจะแยกห้องให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเจอชื่อของตนที่อยู่ห้องสี่ก็โล่งใจแถมสึกิชิมะและยามากุจิก็ดันอยู่ห้องเดียวกันกับเธออีก
หล่อนคิดว่าอย่างน้อยก็ยังดีที่มีคนรู้จักอยู่ห้องเดียวกันบ้างล่ะนะเพราะเธอก็ไม่ถนัดด้านการผูกมิตรกับใครเท่าไหร่
ระบายยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นว่ามีรายชื่อของตนติดอยู่บนบอร์ด
หยิบโทรศัพท์ออกมาหมายจะโทรหาเด็กหนุ่มคนนั้นแต่ก็ต้องชะงัก
ไม่มีเบอร์นี่หว่า
“จะโทรหาใครอ่ะ
มีเพื่อนด้วยเหรอ”
“ปากเสีย”มือบางผลักหน้าของสึกิชิมะเมื่อเจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอเกินไป “แค่จะโทรหาใครบางคนแต่ลืมไปว่าไม่มีเบอร์เขา”
“คนนั้นเหรอ”มานากะพยักหน้าโดยมีสีหน้าซึมๆทำให้สึกิชิมะคิดว่าหล่อนคงอยากจะบอกคนคนนั้นมาก
“ก่อนจะบอกผู้ชายอ่ะโทรหาแม่หรือยัง”
“บอกตั้งแต่เห็นชื่อตัวเองแล้ว”
สึกิชิมะโยกหัวเธอเบาๆก่อนจะหันไปคุยกับยามากุจิต่อ
ดวงเนตรสีตะกั่วกวาดไปทั่วบริเวณที่เธอยืนอยู่ก็เห็นนักเรียนหลายคนเริ่มทยอยเข้ามาก่อนจะไปสะดุดกับเด็กหนุ่มตัวสูงโดดจากคนทั่วไป
เรือนผมสีดำสนิทพร้อมดวงตาสีน้ำเงินเข้มประดับอยู่บนหน้าเรียบนิ่งคล้ายเคยเห็นในนิตยสารอะไรสักอย่างมองไปสักพักจนกระทั่งเจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่ามีคนมองเลยหันมาหล่อนจึงต้องรีบสะบัดหน้าหนีโดยทันที
นึกขอโทษเด็กหนุ่มคนนั้นและโทษตัวเองว่าเสียมารยาทอยู่ในใจจนถึงขนาดสึกิชิมะหันมามองเหมือนว่าเกิดอะไรขึ้นแต่มานากะก็ส่ายหัวเป็นคำตอบ
เมื่อดูรายชื่อบนบอร์ดเรียบร้อยจึงตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
ขณะเดินออกมาจากฝูงชนก็สังเกตเห็นเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ขาเรียวเขย่งสุดปลายเท้าคล้ายพยายามจะดูบอร์ดรายชื่อแต่ว่าตัวของเธอนั้นเล็กเกินไปจึงโดนคนอื่นบังไปหมด
มานากะเอียงศีรษะมองเด็กสาวคนนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหันไปบอกสึกิชิมะว่าให้ไปรออยู่ที่หน้าโรงเรียนก่อน
เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถามแต่เมื่อคิดได้ว่าคงไม่ได้คำตอบดีๆจากหล่อนจึงเลือกที่จะพยักหน้าแทนและบอกยามากุจิให้ไปรอที่หน้าโรงเรียนด้วยกัน
“นี่”
“คะ!!!”เด็กสาวสะดุ้งตัวยามเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า
น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือและใบหน้าเริ่มถอดสีเหมือนกำลังโดนปล้น
“ฉะ...ฉันไม่มีเงินหรอกนะคะ!!
ถึงมีก็มีเท่านี้แหละค่ะ!!”
“เฮ้ย ดะ...เดี๋ยวสิ”
สองแขนของอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าพร้อมกระเป๋าสตางค์สีหวานบนมือของหล่อน
ดวงตาสีตะกั่วเห็นได้ชัดว่าตัวของคนตรงข้ามนั้นสั่นมากขนาดไหน
ในใจกระตุกวูบพร้อมคิดว่าตัวเองน่ากลัวขนาดนั้นเเชียวหรือ? สักพักก็ได้ยินเสียงคนเริ่มซุบซิบรอบบริเวณ
เพราะเมื่อกี้เด็กคนนี้ดันพูดเสียงดังเลยทำให้ทุกคนหันมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้แทน
มานากะตวัดสายตามองนักเรียนคนอื่นจนทุกคนสะดุ้งยามเห็นสายตาคมของหล่อนจึงเบนความสนใจไปที่บอร์ดรายชื่อดังเดิม
“ฉันไม่ได้จะมาปล้นหรอกนะ”มานากะพูดเสียงแผ่วจนอีกคนเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเห็นว่าตัวหล่อนนั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด
“ค่ะ...ค่ะ!!!”แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประหม่าอยู่ดีล่ะนะ
“เธอน่ะชื่ออะไร”มานากะมองคนตัวเล็กด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ตอนนี้เธอคิดว่าการทำตัวนิ่งๆจะไม่ทำให้อีกฝ่ายกลัว
“ยะ...เอ่อ เอ๊ะ?”
“นี่
จำชื่อตัวเองไม่ได้งั้นเหรอ”เลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าดันเกิดอ๊องขึ้นมากะทันหัน
“ไม่ใช่นะคะ!! ยะ---ยาจิ
ยาจิ ฮิโตกะค่ะ!!!”
ยาจิตอบเสียงดังฟังชัดจนหล่อนตกใจ
มานากะพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในฝูงชนที่มุงดูบอร์ด
นิ้วเรียวไล่ดูรายชื่อตั้งแต่ห้องหนึ่งเพื่อหาชื่อของยาจิ
ฮิโตกะจนกระทั่งมาเจออยู่ที่ห้องห้าซึ่งเป็นห้องสุดท้ายแถมยังเป็นห้องที่รวมเด็กเก่งเหมือนกับห้องสี่
แต่เธอก็ไม่ได้จะชมตัวเองว่าเรียนเก่งหรอกนะ
“ยาจิ ฮิโตกะ
เธอมีชื่ออยู่ห้องห้า”
“จริงเหรอ! จริงนะ!”ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยความดีใจ “ขอบคุณมากเลยนะ
ถ้าไม่ได้เธออีกนานกว่าจะรู้แน่ว่าได้อยู่ห้องไหนน่ะ”
มือเล็กของอีกฝ่ายกอบกุมมือของเธอพร้อมเขย่าไปมา
ดวงตาสีตะกั่วเบิกกว้างเล็กน้อยเพราะเพิ่งเคยเห็นคนที่มาอาการดีใจมาขนาดนี้มาก่อน
“ฉันยาจิ ฮิโตกะ อ๊ะ!
บอกชื่อไปแล้วนี่นา”ยาจิเกาหัวแก้เขินเพราะตนเพิ่งจะบอกชื่อไปรอบสอง
“ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ?”
“นิชิโนะ มานากะ
ห้องสี่”
“นิชิโนะจังสินะ
เรียกฉันว่าฮิโตกะก็ได้นะ”ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
บางทีมานากะคงต้องหัดยิ้มกว้างๆแล้วล่ะมั้ง
“มานากะ
เรียกว่ามานากะก็ได้”
“ได้เลยมานากะจัง!”
TALK
เอาตามตรงนะฉันเห็นพวกเธอครั้งแรกฉันก็จะคิดว่าเป็นเป็นแฟนกัน มีเดินจับไม้จับมืองุ้งงิ้งๆ เนี่ย เป็นใครก็เข้าใจว่างั้นอ่ะพูดตรงๆ
หลังจากนี้พี่แมวจะไม่โผล่มาแล้วนะคะ จะไม่มาเป็นตัวเป็นตน(เหมือนผีเลยอ่ะ)แต่จะมาในตอนที่มานากะนึกถึงพี่แมวแทน สตอรี่หลังจากนี้น้องจะโซโล่ล้วนๆค่ะ อาจมีไทม์สคิปบ้างอาจเห็นน้องไปอยู่กับคนนั้นคนนี้บ้างก็อย่าได้แปลกใจนะคะ ถ้าเห็นน้องอยู่แต่กับสึกกี้อะไรๆก็สึกกี้ขอให้รู้ไว้ว่าน้องมีเพื่อนคบแค่นี้นะคะ เพราะเป็นแนวชีวิตประจำวันเลยอยากให้เห็นว่าวันๆน้องทำอะไรบ้างเลยอยากให้เข้าใจหากในตอนต่อๆไปไม่มีพี่แมวโผล่มานะคะ และจะได้เบอร์พี่แมวตอนไหนไว้มาติดตามนะคะ ได้เบอร์เมื่อไหร่บทเยอะเมื่อนั้นค่ะ
ช่วงนี้ยุ่งๆเรื่องงานศพนิดหน่อยค่ะ แถมกดดันตัวเองอีกว่าจะเขียนได้ดีมั้ยเพราะเป็นคนชอบเปรียบเทียบเรื่องตัวเองกับเรื่องคนอื่นตลอดเลย แต่ไรต์ก็พยายามกำจัดความรู้สึกนั้นแล้วนะคะ แค่มาบ่นค่ะไม่มีอะไรหรอก รักทุกคนนะคะ
ความคิดเห็น