คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Hello || 02
คุโรโอะพาเด็กสาวมายังโรงเรียนของตนเองโชคดีที่ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากย่านการค้าแถบนั้นมากนัก
มานากะมองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจเพราะเธอก็ไม่เคยเข้าโรงเรียนอื่นมาก่อน เด็กหนุ่มเดินจูงมือเธอมาที่ห้องชมรมของตนแล้วไขกุญแจเข้าไปภายในห้อง
สภาพในห้องชมรมก็ไม่ต่างจากห้องทั่วไปมากนัก
ดวงตาสีตะกั่วยังคงสำรวจไปทั่วห้องแล้วไปหยุดอยู่ที่ลูกวอลเลย์บอลบริเวณมุมห้อง
แถมยังมีโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับวอลเลย์บอลติดอยู่ตามผนัง
ชมรมวอลเลย์บอล?
“นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ
เดี๋ยวไปหากล่องปฐมพยาบาลก่อน”คุโรโอะลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เธอนั่ง
มานากะที่กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องก็โดนสายตากดดันจากเขาส่งมาแล้วเดินออกไปค้นตามลิ้นชักและชั้นวางของ
มานากะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริงเธอก็พกอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดตัวตลอดนั่นแหละนะเพราะว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยก็เลยต้องพกเอาไว้
ว่าแล้วก็ยกกระเป๋าขึ้นมาไว้บนตักเตรียมหาของที่ว่าแต่ค้นแล้วค้นอีกทุกซอกทุกมุมก็เจอแต่ซองพลาสเตอร์ที่ถูกแกะและแกนผ้าพันแผลเปล่าๆ
หมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“โดนมาหนักเหมือนกันนะเนี่ย
เจ็บมากมั้ยครับ”คุโรโอะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้ามหล่อนโดยในมือก็มีกล่องปฐมพยาบาลติดมาด้วย
“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ
โดนมาบ่อยแล้ว”
“บ่อยแล้ว? แสดงว่ามีเรื่องมาบ่อยล่ะสิ เป็นนักเลงรึไงเราอ่ะ”
“ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย
อ๊ะ!---”ความเจ็บพุ่งขึ้นมาเมื่อเขาใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดที่แผลบริเวณมุมปาก
มานากะมองเขาอย่างคาดโทษแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา
“มีเรื่องแบบนั้นมันไม่ดีนะรู้มั้ย
เป็นเด็กโรงเรียนดังเสียเปล่าอีกอย่างถ้าเกิดเป็นอะไรหนักๆขึ้นมารู้มั้ยว่าคนรอบตัวจะเสียใจขนาดไหน”
“ขอโทษค่ะ…”
“คนที่ควรจะขอโทษน่ะไม่ใช่พี่หรอกนะแต่เป็นครอบครัวต่างหากที่ต้องไปขอโทษ
คงตกใจมากแน่ที่รู้ว่าลูกไปมีเรื่องกับคนอื่นแบบนี้”
จริงๆทั้งครอบครัวก็รู้กันหมดแล้วแหละ
มานากะไม่ได้พูดสิ่งที่คิดอยู่ในหัวออกไปดังนั้นบทสนทนาก็เลยจบลงเอาดื้อๆ
ดวงตายังคงมองเด็กหนุ่มที่ยังคงง่วนกับการทำแผลบนใบหน้าและมือทั้งสองข้างของเธอ
ทั้งที่ไม่รู้จักกันแท้ๆแต่ถึงจะหวังดีก็ไม่ถึงขั้นจะพามาทำแผลเลยนี่นา
“แสบ…”เด็กสาวสะบัดหน้าหนีเมื่อเขาเริ่มทายาลงบนแผล
“อย่าดื้อสิ
หันมาให้พี่ทำแผลดีๆก่อน”มือหนาจับใบหน้าให้หันมาหาเขา
หลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของหล่อนที่แสดงออกมา
“หนูไม่ชอบ มันแสบค่ะ”
“พี่บอกแล้วไงคะว่าอย่าดื้อ”
“หนูไม่ได้ดื้อค่ะ”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน คำก็ดื้อ สองคำก็ดื้อ
เธอไม่ได้เป็นเด็กดื้ออย่างที่เขาว่าเสียหน่อย
แค่แสบตอนที่เขาทายาลงบนแผลก็เท่านั้นเอง
“ถ้าไม่ได้ดื้อก็อยู่เฉยๆให้พี่ทายาสิคะ
จริงมั้ย?”
ด้วยทำพูดของเขาจึงทำให้มานากะยอมนั่งนิ่งๆแล้วให้เขาทำแผลแแต่โดยดี
แต่ทุกครั้งที่ทายาลงบนแผลมันก็แสบทุกทีในเมื่อหันหน้าหนีไม่ได้เธอก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าบึ้งเพื่อให้เขารับรู้แทน
คุโรโอะหลุดหัวเราะออกมาทุกครั้งที่เห็นเธอเอาแต่ขมวดคิ้วแบบนั้น
ฉีกซองพลาสเตอร์ออกมาก่อนจะแปะทับบนแผลของเด็กสาว
จากนั้นก็เปลี่ยนไปทำแผลที่มือต่อ
“เล่นกีฬาด้วยเหรอ?”
“วอลเลย์บอลค่ะ”
“มิน่าล่ะถึงคุ้นๆ
เซ็ตเตอร์ของโรงเรียนแชมป์สามปีซ้อนนี่เอง”เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
“แต่หนูคิดว่าจะเลิกเล่นแล้วล่ะค่ะ”
“เห...ทำไมล่ะ
ตอนแข่งในสนามก็ดูจริงจังแถมยังเล่นได้ดีอีกนะ”
“ไม่รู้สิคะ
แค่อยากลองทำอะไรอย่างอื่นดูบ้าง”ได้ยินเขาพูดออกมาอย่างเสียดาย
ในใจก็คิดว่ามันน่าเสียดายขนาดนั้นเลยรึไง “มันน่าเสียดายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“พูดตามตรงก็น่าเสียดายนะที่จะไม่ได้เห็นคนเก่งๆอย่างนี้เล่นในสนามอีก
เซ็ตลูกเข้ามือตัวตบทุกครั้งแถมจังหวะที่เล่นลูกหยอดก็ดีอีก ถ้าเล่นต่ออีกนิดก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้นะ”
“พูดเหมือนกัปตันเลย”
“เชื่อเถอะใครๆก็ต้องพูดแบบนี้”
ครืด ครืด
มือหยิบสมาร์ทโฟนออกมากระเป๋ากระโปรง
หน้าจอโชว์เบอร์โทรศัพท์ว่าใครโทรมาก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
มานากะมองหน้าคุโรโอะสลับกับมองชื่อผู้ติดต่อว่าจะรับดีไหมซึ่งตัวเขาก็ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเธอจึงตัดสินใจกดรับแล้วเอาขึ้นมาแนบหู
[ยัยเด็กบ้า!!!]
เสียงตะโกนของชายวัยกลางคนดังออกมาพอที่จะทำให้คุโรโอะที่ทำแผลให้อยู่ถึงกับสะดุ้ง
“ตะโกนแบบนี้ไม่กลัวเจ็บคอเหรอคะโทมุระซัง”มานากะว่าเสียงเรียบก่อนจะเปลี่ยนมากดลำโพงแทนแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนตักเพราะเธอขี้เกียจถือ
[คิดว่าฉันอยากเจ็บคอนักรึไง]
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตะโกนสิคะ
พูดกันดีๆก็ได้”
[เด็กอย่างเธอต่อให้ตะโกนใส่หน้ากี่ครั้งก็ไม่จำอยู่ดี]ได้ยินเสียงคนปลายสายถอนหายใจออกมา
[ไอ้พวกในตรอกน่ะ ฝีมือเธอใช่มั้ย]
“อา…”
[คิดจะทำอะไรน่ะ
ให้ประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นรายสุดท้ายก่อนจบม.ต้นรึไงมีเรื่องตั้งแต่ปีหนึ่งนี่ยังไม่เบื่ออีกเหรอ
มีเรื่องบ่อยจนคนทั้งป้อมจำหน้าเธอได้แล้วล่ะมั้ง]
“หนูก็ไม่อยากมีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย
แต่พวกนั้นมันกัดไม่ปล่อยเองแล้วก็มีมาเรื่อยๆบอกให้พอก็ไม่ยอมพอก็เลยอย่างที่เห็น”
[แต่ทุกปีแบบนี้มันก็ออกจะเกินไปมั้ย
เห็นว่าเป็นเด็กดีตั้งแต่เด็กๆอย่าให้ฉันต้องจับเธอมานั่งเทศนาเลยนะ
จะขึ้นม.ปลายแล้วก็ช่วยทำตัวดีๆหน่อยเถอะ]ชายที่ชื่อโทมุระว่าอย่างเหนื่อยใจเพราะเขาก็ขี้เกียจตามมานั่งสั่งสอนเธอทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้
“จะพยายามค่ะ”
[ไม่ใช่จะพยายามแต่ต้องทำให้ได้เพราะมันจะเป็นผลดีต่อตัวเธอเองนั่นแหละ
แล้วนี่กลับบ้านรึยัง]
“ยังค่ะ ทำแผลอยู่”มานากะว่างพลางมองคุโรโอะที่นั่งทำแผลให้เธอ
[รีบกลับบ้านก็แล้วกัน
ให้ตายสิเป็นเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลย] พูดจบเขาก็ตัดสายไปโดยไม่ทันให้มานากะได้เอ่ยลาสักนิด
“ไหนว่าไม่แจ้งตำรวจไง”
“ก็ไม่ได้แจ้ง
แค่เขาโทรมาหาเองก็เท่านั้น”
“มีเรื่องจนสนิทกับตำรวจเลยเหรอ
เหลือเชื่อจริงๆ”คุโรโอะส่ายหัวเบาๆพลางพันเทปพันแผลที่มือของเธอ
“เอ้า เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ
คุณ…”
“คุโรโอะ เท็ตสึโร่”
“นิชิโนะ มานากะ
ขอบคุณมากนะคะพี่คุโรโอะ”มานากะก้มหัวเป็นการขอบคุณ
“เท็ตสึโร่ จะเรียกว่าเท็ตสึโร่ก็ได้พี่ไม่ว่าหรอกนะ”เขาว่าขณะเก็บกล่องปฐมพยาบาลเข้าตู้
“ค่ะ พี่เท็ตสึโร่”
สองขาก้าวตามถนนเมื่อเริ่มเข้าเขตการค้าของอีกฝั่งซึ่งอยู่ใกล้บ้านเธอ
อาศัยแสงไฟจากเสาไฟสองข้างทางส่องนำทางเพื่อเดินกลับบ้านซึ่งโดยปกติเธอมักจะเดินกลับคนเดียวแต่วันนี้กลับมีเพื่อนร่วมทางเดินมาด้วย
มานากะมองคนที่เดินอยู่ด้านข้างเธอด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาต้องเดินมาด้วย
คุโรโอะที่รู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ก็ละสายตาจากการสำรวจเส้นทางแล้วหันมายิ้มให้เธอ
“บ้านพี่อยู่แถวนี้เหรอคะ”มานากะตัดสินใจถามออกไป
“เปล่า
อยู่ฝั่งโน้นน่ะ”คุโรโอะชี้ไปอีกฟากซึ่งมันก็ไกลอยู่พอควร
“แล้วทำไมต้องเดินตามมาด้วยล่ะคะ”
“ก็เดินมาส่งเผื่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนิชิโนะจังอีกไง”
“มานากะก็พอค่ะ
อีกอย่างเรื่องแบบนั้นมันไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ”เด็กสาวรีบสับขาเดินไปข้างหน้าแต่ไม่ว่าจะเดินให้เร็วอย่างไรเขาก็ตามทันมาด้วยการก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“พี่ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง”
เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เอาเถอะก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะเป็นกังวลน่ะเพราะตอนที่โทมุระซังที่เป็นตำรวจมาเห็นเธอในสภาพนี้ครั้งแรกก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่หรอก
แถมตัวคุโรโอะเองก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือเจตนาร้ายอะไรกับเธออีก
จริงๆตัวมานากะเองก็ไม่ได้ลำบากใจหรอกนะเพียงแต่เธอไม่ชินเวลามีคนเดินกลับบ้านด้วยกันก็เท่านั้นแหละ
เดินมาเรื่อยๆก็หยุดอยู่หน้าบ้านสามชั้นหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของเธอเอง
“ที่บ้านเป็นร้านอาหารเหรอเนี่ย”คุโรโอะสังเกตป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ด้านหน้า
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”มานากะก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง
“อืม
คราวหน้าก็อย่าไปมีเรื่องกับใครอีกล่ะ”
หล่อนพยักหน้าให้เขาแต่ตัวคุโรโอะเองก็ยังมีลางสังหรณ์ว่าคงจะต้องเกิดขึ้นอีกแน่ๆแต่ถ้าไม่เกิดอีกก็ดีไปล่ะนะ
หางตาสังเกตเห็นไฟในบ้านเปิดเดาว่าคนในบ้านคงจะรู้แล้วว่าลูกสาวนั้นกลับมาบ้านแล้ว
“งั้นพี่กลับแล้วนะ”คุโรโอะเตรียมหันหลังเพื่อเดินกลับบ้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงของเธอ
“กะ---”
“หืม?”หันกลับมามองเด็กสาวที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ดันพูดแบบติดๆขัดๆ
พวงแก้มขึ้นริ้วสีแดงจางๆคล้ายเขินอายกับประโยคที่ตนกำลังจะพูด
“กะ---กลับบ้านดีๆนะคะ”พูดเสร็จก็สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
“ฮึ
เหมือนไม่เคยได้พูดเลยนะ”คุโรโอะหัวเราะเบาๆให้กับท่าทีเขินอายของหล่อน
“ก็พูดกับพี่เป็นครั้งแรกนี่แหละค่ะ”
แค่ประโยคธรรมดาแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ใจเขาวูบวาบแปลกๆ
“อื้ม
หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ”เด็กหนุ่มเพียงยิ้มรับก่อนจะโบกมือลาแล้วหันหลังเดินจากไป
มานากะโบกมือค้างไว้จนเขานั้นลับสายตาไปจึงเดินเข้าบ้าน
โฮ่ง!!
เดินเข้ามาในเขตบ้านไม่กี่ก้าวเจ้าสุนัขพันธุ์ชิบะก็กระโจนเข้าใส่จนมานากะล้มลงกับพื้นหญ้า
“อย่ากัดเสื้อฉันนะชิโร่!”
ดุเจ้าชิบะที่เตรียมกัดเสื้อฮู้ดของตนจนมันทำหน้าหงอย
ก็เข้าใจว่าอยากเล่นด้วยแต่สถานการณ์ที่เธอจะต้องไปเผชิญในตอนนี้มันโซซีเรียสมาก
แถมยิ่งเป็นปีสุดท้ายของม.ต้นคงโดนหนักไม่ใช่น้อย
มานากะถอนหายใจอย่างปลงๆพลางลุกขึ้นแล้วปัดกระโปรงของตัวเองแล้วเดินเข้าไปทางหลังร้านเนื่องจากประตูหน้าร้านนั้นปิดเรียบร้อย
มือเปิดประตูเข้ามายังส่วนที่กั้นระหว่างตัวบ้านและร้าน
ดวงตาสีตะกั่วมองบันไดที่จะนำพาไปยังชั้นสองและชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของบ้านเต็มตัว
ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเพราะเธอเพิ่งทำความผิดอันใหญ่หลวงมาแถมหลักฐานก็ปรากฏให้เห็นอยู่บนตัวเธอ
เจ้าชิโร่ที่เดินวนอยู่รอบตัวก็เข้ามาคลอเคลียแล้วเอาหน้าถูที่ต้นขาของเธอเหมือนกำลังให้กำลังใจก่อนจะไปเผชิญศึกหนัก
เดาว่าโทมุระซังคงจะโทรมารายงานแม่ของเธอเรียบร้อย
เรื่องแบบนี้น่ะคนคนนี้ไม่เคยพลาดหรอก
“นี่มันกี่โมงแล้วนิชิโนะ
มานากะ”เสียงเย็นเยียบของผู้เป็นมารดาดังขึ้นอยู่บนโซฟา
ทำเอามานากะเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินน้ำเสียงพร้อมสายตาแบบนั้น
“จะสองทุ่มแล้วค่ะม๊า”หล่อนตอบเสียงแผ่วก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งลงโซฟาตัวตรงข้าม
เห็นพ่อและปู่นั่งสังเกตการณ์อยู่ที่โต๊ะอาหารเหมือนสื่อเป็นนัยว่าขอไม่เข้าไปยุ่งด้วย
“โทมุระซังโทรมารายงานม๊าแล้ว
วันนี้ทำอะไรบ้าง”
“ก็...ไปเล่นวอลเล่ย์จนถึงหกโมงครึ่ง
จากนั้น…”
อึก
กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นพร้อมรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากด้านหลัง
ทำเอาชิโร่ที่เป็นสุนัขถึงกับตัวสั่นแล้วกระโดดขึ้นมานั่งใกล้เธอบนโซฟาหวังเป็นที่พึ่ง
‘โทษนะชิโร่
ตอนนี้ฉันก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน’
“อะไรอีก?”
“ก็ไปตามนัดแล้วจากนั้นก็ทำแผลค่ะ”
“นัดที่ว่าคือการไปล้มเด็กม.ปลายห้าคนจนน่วมใช่มั้ย”
“เก่งมากลูกพะ---”คนเป็นพ่อหุบปากแทบไม่ทันเมื่อภรรยาตนตวัดสายตาเย็นเฉียบมาให้แล้วจึงกลับไปนั่งสงบเสงี่ยมเหมือนเดิม
มานากะพยักหน้ายอมรับเพราะทั้งครอบครัวนั้นก็รู้อยู่แล้วว่าเธอทำอะไรบ้างตลอดสามปีที่ผ่านมา
รวมถึงตัวเธอที่พยายามจะหยุดแต่ก็กลับมีเรื่องให้แทรกมาตลอดแต่ก็ปล่อยเลยตามเลย
แต่ตัวเธอนั้นก็ไม่ได้ทิ้งการเรียนเสียทีเดียวยังคงรักษาระดับของตนเองไว้ได้ดีตลอดทางครอบครัวจึงไม่ห่วงอะไรในเรื่องนี้
“จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่มานากะ
ถ้าเกิดพวกนั้นพกอาวุธแล้วเอามาแทงลูกล่ะรู้มั้ยว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกเสียใจขนาดไหน”
บรรยากาศเริ่มกดดันมากขึ้นจนน่าอึดอัด
“ม๊าโอเคที่ลูกยังไม่ทิ้งการเรียนแต่ตัวลูกก็รู้ดีว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องดี
ขนาดมีโทมุระซังคอยช่วยดูให้ก็ยังไม่หยุดทำเรื่องแบบนี้อีก
มีอะไรก็ปล่อยผ่านไปบ้างก็ได้ไม่จำเป็นต้องไปตามนัดพวกนั้นถึงที่ก็ได้นี่
แถมมีเรื่องแต่ละทีก็ได้แผลมาตลอดม๊าไม่เคยเห็นลูกกลับมาบ้านในสภาพปกติเลยด้วยซ้ำ”
“หนูขอโทษค่ะ”
‘นิชิโนะ มาริโกะ’ได้แต่จ้องลูกสาวตัวเองที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ
มานากะไม่ใช่เด็กไม่ดีแถมยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแต่ทำไมตลอดสามปีที่ผ่านมาถึงได้ทำตัวเหลวแหลกไปมีเรื่องกับคนอื่น
ถึงจะไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นแต่ตัวคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือตัวมานากะเองนี่แหละ
“หลังพิธีจบการศึกษาม๊าจะส่งเราไปมิยางิ”มาริโกะว่าด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้มีท่าทีโต้แย้งอะไรจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าแม่ของเธออาจจะทำแบบนี้แต่ไม่คิดว่าจะทำจริงๆ
แต่ในเมื่อพูดมาชัดขนาดนี้แล้วมีแต่ต้องทำใจและเก็บของใส่กระเป๋าเพราะแม่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น
มานากะเอนหัวพิงพนักโซฟาก่อนจะถอนหายใจออกมาในใจก็ได้แต่บอกว่าช่างมันเถอะซ้ำไปซ้ำมา
พ่อและปู่ลุกออกมาจากบริเวณโต๊ะอาหารแล้วมานั่งข้างเธอที่โซฟาตัวเดียวกัน
“ปู่ว่าแบบนี้มันออกจะรุนแรงไปสักหน่อยนะ”
“ให้ป๊าไปพูดให้มั้ย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ
ป๊ากับปู่ก็น่าจะรู้นี่ว่าม๊าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”ยิ้มรับบางๆแล้วลุกจากโซฟาขึ้นไปบนชั้นสามโดยมีเจ้าชิโร่กระดิกหางเดินตามไป
“ข้าวอยู่ในตู้เย็นนะ
ถ้าหิวก็เอาออกมาอุ่นได้เลย”คนเป็นพ่อพูดไล่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงขานรับของลูกสาวกลับมา
หลังจากอาบน้ำทานข้าวเย็นเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในห้องของตน
มานากะล้มตัวลงบนเตียงนอนนุ่มนิ่มมือควานหาสมาร์ทโฟนที่ตนเพิ่งโยนทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ
เงยหน้าขึ้นมาจากหมอนก่อนจะเลื่อนไปที่รายชื่อผู้ติดต่อเพื่อโทรหาใครสักคน
[ว่า?]
“จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ”
[เดี๋ยวเอาเกลือไปสาดไว้หน้าบ้านก่อน]
เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบตามสไตล์เจ้าตัว
“แรงมาก คนกันเองแท้ๆ”
[แสดงว่าม๊าสุดจะทนแล้วล่ะสิ]
“อืม
ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”มานากะพูดเสียงเหนื่อยๆเพราะวันนี้ตอนใช้แรงกับการทำหลายอย่างไปเยอะมาก
[ถ้าเหนื่อยก็นอนเลยก็ได้
ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะที่จะได้คุยกัน] คนปลายสายพูดด้วยความเป็นห่วง
“อ่า งั้นฝันดีนะ”
[ฝันดี]
พิธีสำเร็จการศึกษา
นักเรียนชั้นมัธยมต้นปีสามเดินออกมาจากหอประชุมพร้อมใบจบการศึกษา
ต่างคนต่างดีใจที่เรียนจบชั้นมัธยมต้นและเริ่มวางแผนกันแล้วว่าจะสอบเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนไหน
ได้ยินเสียงร้องด้วยความดีใจกลางสนามกีฬาจากห้องอื่น
บางคนก็แยกย้ายไปถ่ายรูปกับเพื่อนของตน บ้างก็เดินกลับบ้านไปเลย
มานากะที่นานๆทีจะได้ใส่สูทนักเรียนเดินออกมาจากหอประชุมรวมถึงสมาชิกชมรมวอลเลย์บอลหญิงปีสุดท้ายคนอื่นๆมารวมตัวกันที่โรงยิมที่พวกตนใช้ซ้อม
ไม่ได้มีแค่ปีสามแต่ก็มีปีหนึ่งและปีสองมาร่วมแสดงความยินดีด้วย
“ในฐานะที่เป็นกัปตันตั้งแต่ปีสองฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ทีมเดียวกันกับพวกเธอ
และประสบการณ์ในการแข่งที่ผ่านมารวมถึงการได้เป็นแชมป์สามสมัยนั้นทำให้ฉันภูมิใจในตัวของพวกเธอที่พยายามอย่างเต็มที่มาก”คนเป็นกัปตันกล่าว
“ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่เน็ตฝั่งเดียวกันแต่คราวหน้าวันที่เราก้าวออกไปจากที่นี่พวกเราจะอยู่คนละฝั่งของเน็ตและจะกลายเป็นศัตรูกันบนสนาม
ถึงจะอยู่คนละฝั่งแต่ความเป็นเพื่อนของเราจะยังคงอยู่เหมือนเดิม”
“ตัวฉันไม่ได้มีความคิดที่จะเล่นวอลเลย์บอลต่อหรอกนะ
แต่ฉันก็ยังอยากเห็นทุกคนหรือใครสักคนในที่นี้ได้เล่นต่อ
อยากจะเห็นพวกเธอต่อสู้กันอย่างสูสีบนสนามให้ได้รู้ว่าตัวเองนั้นต่างจากม.ต้นและได้ทะเยอทะยานด้วยกำลังของตัวเองและพวกพ้องเพื่อขึ้นไปสู่ระดับประเทศ
หวังว่าสักวันจะได้เห็นใครสักคนขึ้นไปอยู่บนจุดนั้น”
สิ้นคำของกัปตันสมาชิกปีสามบางคนก็ปล่อยโฮออกมาเนื่องจากจะไม่ได้เล่นเป็นทีมเดียวกันอีก
มองอากาเนะที่เดินปลอบสมาชิกทีมคนอื่นๆก็รู้สึกใจหายเมื่อคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องจากกันถึงแม้ว่าจะแค่ม.ต้นก็เถอะ
แต่ตัวมานากะก็ยังอยากจะเล่นกับทีมนี้ต่อไปและมีกัปตันทีมที่ดึงศักยภาพคนในทีมออกมาได้เต็มที่แบบนี้อยู่ในทีม
แต่ก็อย่างว่าทุกคนต้องไปตามทางของตัวเองและจะต้องเป็นศัตรูกัน
“ที่ฉันพูดเมื่อกี้เป็นไง”อากาเนะเดินเข้ามาหา
“ไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา”มานากะเลือกตอบไปตามตรงทำเอาคนเป็นกัปตันหัวเราะออกมาเพราะมันก็ไม่ได้ผิดจากที่เธอคาดไปสักนิดว่าหล่อนจะตอบอย่างนี้
“ตอบแบบนี้ก็สมกับเป็นเธอล่ะนะ
ว่าแต่คิดไว้รึยังว่าจะเข้าที่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้สิ
แต่ไม่ใช่ที่โตเกียวหรอก ว่าแต่เธอล่ะ?”ทั้งคู่ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินออกมาจากโรงยิม
“คงเข้าตามเพื่อนล่ะมั้ง
เพราะหมอนั่นอยากจะเอาดีทางด้านกีฬาต่อน่ะ ต่างกับฉันลิบลับเลยเนาะ”อากาเนะหัวเราะเบาๆ
“อ้าว
ไม่ใช่แฟนหรอกเหรอ”
“ไม่ใช่ย่ะ!”
“เห็นตัวติดกันนึกว่าแฟนเสียอีก”
“นี่ถ้าฉันตัวติดกันกับพ่อเธอก็จะบอกว่าแฟนสินะ”
“อาจจะ”
พิธีสำเร็จการศึกษานั้นเสร็จภายในเที่ยงวัน
ก่อนจะออกจากโรงเรียนคุณกัปตันก็ชวนเธอไปเลี้ยงฉลองกับคนในชมรมแต่ว่าหล่อนก็ปฏิเสธไปแต่ว่าก็ไม่ได้นึกเสียดายอะไรหรอก
อย่างน้อยก็มีเบอร์ไว้โทรแถมตอนนี้ก็ยังวิดีโอคอลหากันได้อีก
สองขาเดินตามทางเท้าผ่านหลายโรงเรียนที่ก็มีพิธีสำเร็จการศึกษาเช่นเดียวกัน
เดินมาเรื่อยๆจนถึงสถานีแต่ตัวเธอก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักถึงแม้ว่าจะสามารถนั่งไปยังสถานีแถวบ้านได้ก็เถอะ
ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน
มานากะลงจากรถไฟถึงแม้ว่าจะมาถึงปลายทางแล้วแต่ยังต้องเดินไปอีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน
แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องก็เลยแวะเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆพอให้หายหิว
ที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นกุนกุนโยเกิร์ตยี่ห้อโปรดของเธอที่เป็นทีไรก็ต้องซื้อติดมาทุกที
ยืนอยู่หน้าร้านสักพักเมื่อคิดได้ว่าไม่มีอะไรที่อยากซื้อแล้วจึงเดินออกมา
ลมเย็นๆปะทะเข้ากับร่างยามเดินเลียบริมแม่น้ำหล่อนตัดสินใจที่จะนั่งทานมื้อเที่ยงอยู่ที่นี้
อีกอย่างวันนี้อากาศก็ดีแถมแดดไม่ค่อยมีเท่าไหร่จึงเหมาะแก่การนั่งกินลมชมวิวเป็นอย่างยิ่ง
หย่อนก้นนั่งลงบนพื้นหญ้าพลางแกะห่อข้าวปั้นที่เพิ่งซื้อมาขึ้นมาทาน
นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้อัพรูปลงอินสตราแกรมที่ร้างมานานก็เลยหยิบใบจบออกมาถ่ายรูปและอัพลงให้เสร็จสรรพ
เสียงน้ำไหลดังเข้ามาในโสตประสาทแถมบริเวณนี้ยังไม่ค่อยมีคนจึงทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
หยิบโทรศัพท์มาเช็คข่าวสารก็เจอแต่เพื่อนร่วมรุ่นที่พากันออกไปฉลองตามร้านอาหาร
ไปเที่ยวสวนสนุก หรือไม่ก็ไปร้องคาราโอเกะ
ในใจก็แอบอิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะและได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตามแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป
มานากะเองไม่ใช่พวกที่ผูกมิตรกับใครเก่งแถมหน้าตาเธอยังทำให้หลายคนกลัวอีกจะมีก็แต่คุณกัปตันและคนในชมรมที่สนิทกับเธอ
“น่าอิจฉาจัง”
“อิจฉาอะไรเหรอ”
“เฮ้ย!”ร้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีคนมาพูดอยู่ข้างหู
เมื่อเงยหน้าก็พบกับผู้ช่วยชีวิตเธอเมื่อหลายวันก่อนยืนยิ้มแฉ่งอยู่เหนือหัว “คุณตำรวจ!!”
“ไม่ใช่โจรเฟ้ย!!”คุโรโอะทำหน้ายู่ใส่คนอายุน้อยกว่าเพราะหล่อนดันคิดว่าเขาเป็นโจรนี่สิ
แย่จริงๆเด็กสมัยนี้
หล่อวัวตายควายล้มทำไมถึงคิดว่าเป็นโจรได้นะ
วันนี้เป็นวันหยุดของชมรมวอลเลย์บอลเนโกมะแต่เขาดันถูกใช้ให้ออกมาทำธุระข้างนอก
ระหว่างที่จะเดินกลับก็บังเอิญเห็นมานากะเดินมานั่งทานข้าวปั้นอยู่ที่ริมแม่น้ำก็เลยกะว่าจะเข้ามาทักทายเสียหน่อย
แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคำแรกที่ทักทายกันจะเป็นการเรียกคุณตำรวจนี่สิ
เด็กนี่ทำกับผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ
“ขอโทษค่ะ
พอดีลุคพี่มันให้น่ะ”มานากะตอบเสียงเรียบ
“พูดได้น่าตาเฉยเลยนะ”มือหนายีกลุ่มผมสีบลอนด์หม่นของหล่อนด้วยความหมั่นไส้
เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กสาวที่กำลังบ่นอุบพลางจัดผมให้เป็นทรง “เรียนจบแล้วงั้นเหรอ ยินดีด้วยนะ”
“อ่ะ ขอบคุณค่ะ”ขอบคุณอย่างเคอะเขินเพราะไม่เคยมีคนแปลกหน้ามาพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน
“แล้วที่บอกว่าอิจฉานี่คือยังไงเหรอ”
มานากะนั่งกอดเข่า
เธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีว่าอิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะแถมยังได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป
ถ้าพูดออกไปจะถูกหาว่าคิดอะไรเป็นเด็กน้อยหรือเปล่าแถมก็ยังทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครถามอะไรแบบนี้กับเธอโดยตรง
“ถ้าไม่อยากบอกพี่ก็เข้าใจนะเพราะเราก็ไม่ได้สนิทกะ---”
“ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น
ก็แค่...”
“หืม?”
“แค่ไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนี้กับหนูก็เท่านั้นเอง
เลยทำตัวไม่ถูกเวลาจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง”มานากะพูดเสียงอ่อนทำให้คุโรโอะเข้าใจว่าหล่อนอาจจะไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยถ้าฟังจากที่บอกกับเขาเรื่องเดินกลับเมื่อตอนนั้น
“งั้นเหรอ
แล้วอิจฉาอะไรล่ะพอจะพูดให้ฟังได้หรือเปล่า”มานากะเงียบไปครู่หนึ่ง
“แค่อิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะๆแถมยังได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
มันก็เลยรู้สึกแบบนั้น”
“ไม่มีเพื่อนเหรอเราอ่ะ”พูดเสร็จก็หันไปหามานากะที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าซึมๆ
เขาคงจะพูดแทงใจดำเข้าแล้วสินะ “ขะ...ขอโทษ”
“ก็มีแค่คนในชมรมที่พอคุยได้
แต่ถ้าสนิทก็มีแค่คนเดียว”พูดพลางนึกถึงคุณกัปตันคนเก่ง
“แล้วมันไม่ดีเหรอที่มีเพื่อนสนิทน่ะ?”
“ก็ดีแต่มัน
จะว่ายังไงดีล่ะไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้นถึงแม้เขาจะชวนไปไหนมาไหนก็ตามแต่หนูก็มักจะปฏิเสธเพราะไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆด้วย”
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปแค่นั้น
อีกอย่างชีวิตวัยรุ่นมันก็ไม่ได้มีแค่นี้สักหน่อย”คุโรโอะหันมามองเธอ
“ขึ้นม.ปลายมานากะจังอาจจะมีเพื่อนใหม่เยอะแยะก็ได้ใครจะไปรู้
เนอะ”
มือหนายกขึ้นมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“ไม่ชอบอะไรก็บอกไปก็เท่านั้น
พี่ว่าเพื่อนก็คงจะเข้าใจ”
“ขอบคุณมากนะคะ”ใบหน้าเรียบขึ้นริ้วสีแดงจางๆและปล่อยให้เขาลูบหัวอยู่แบบนั้น
“จะว่าไปมานากะจังขี้เหงาสินะ”คุโรโอะหัวเราะร่วน
“ไม่ได้ขี้เหงาสักหน่อย”มานากะหันไปแยกเขี้ยวใส่คนตัวสูง นี่เธอเป็นคนขี้เหงาอย่างนั้นเหรอ
ไม่ใช่หรอกต้องไม่ใช่แน่ๆ
“ไม่ก็ไม่
ว่าแต่เราจะไปต่อไหนล่ะ?”ถามคนนั่งข้างๆที่มัวแต่นั่งเด็ดหญ้า
“มิยางิ
ม๊าบอกว่าให้ไปมิยางิ”
“โห
ไกลเหมือนกันนะเนี่ย คงจะไม่ได้เจอกันอีกแน่เลยใช่มั้ย”
“ไม่แน่
ถ้าวันไหนหนูกลับมาโตเกียวอาจจะได้เจอกันก็ได้
หรือไม่ก็ถ้าพี่มีโอกาสได้ไปมิยางิเราก็อาจจะได้เจอกัน แค่อาจจะ…”มานากะพูดประโยคหลังเสียงแผ่ว
คุโรโอะล่ะรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้เหลือเกิน
ถึงแม้บุคลิกภายนอกจะเป็นคนดูดุหรือไม่ค่อยน่าเข้าหาแต่พอลองได้คุยกันก็เป็นเหมือนเด็กน้อยขี้เหงาที่ไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่านั้น
“ต้องเจอแน่
พี่คิดว่านะ”ดวงเนตรสีตะกั่วเป็นประกายยามได้ยินคำพูดที่จุดประกายความหวังจากเขา
เห็นหล่อนแอบอมยิ้มก็อดเอ็นดูไม่ได้
“นั่นสินะ
ไม่ได้ไปอีฟากของโลกสักหน่อย”
“ถ้าแบบนั้นก็เว่อร์ไปหน่อยมั้ง
ฮ่าๆๆ”
ถึงแม้จะรู้จักกันเพียงแค่ชื่อและเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ทำไมเขาถึงได้ทำให้มานากะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้
นอกจากลูกพี่ลูกน้องของเธอก็มีแค่คุโรโอะนี่แหละที่เธอสามารถระบายความในใจออกมาได้โดยที่ไม่มีการโต้แย้งหรือตัดสินไปเองโดยไม่ฟังให้จบ
ถ้าอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอดก็คงดี
“ว่าแต่จะกลับหรือยัง”
“พี่รีบเหรอ?”มานากะละสายตาจากการมองแม่น้ำ
“ก็ไม่นะ นั่งอยู่แบบนี้ทั้งวันยังได้”
“งั้นกลับล่ะ”เด็กสาวลุกขึ้นพลางปัดกระโปรงตนเองโดยไม่ลืมหยิบถุงเพื่อนำมันไปทิ้งที่ถังขยะ
“อ้าวเฮ้ย
ทีอย่างนี้ล่ะรีบกลับเลยนะ”
“แค่ได้นั่งได้คุยกับพี่แค่นี้หนูก็พอใจแล้ว”คำพูดของมานากะเหมือนไปกระตุ้นให้ใจของเด็กหนุ่มเต้นรัว
“งั้น ให้พี่ไปส่งมั้ย”
“แต่บ้านพี่อยู่อีกฝั่งเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
นั่งรถบัสเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว”ถึงจะพูดเหมือนใกล้แต่ความจริงมันก็ไกลพอตัวล่ะนะ
“แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน”ประโยคของหล่อนทำเอาคุโรโอะฉีกยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งเหยาะๆไปเดินข้างเด็กสาวแล้วพาเธอไปส่งยังจุดหมายปลายทางทันที
ความคิดเห็น