ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Haikyuu!!] Hello,Police - Kuroo x OC -

    ลำดับตอนที่ #2 : Hello || 02

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 63





                คุโรโอะพาเด็กสาวมายังโรงเรียนของตนเองโชคดีที่ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากย่านการค้าแถบนั้นมากนัก มานากะมองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจเพราะเธอก็ไม่เคยเข้าโรงเรียนอื่นมาก่อน เด็กหนุ่มเดินจูงมือเธอมาที่ห้องชมรมของตนแล้วไขกุญแจเข้าไปภายในห้อง สภาพในห้องชมรมก็ไม่ต่างจากห้องทั่วไปมากนัก ดวงตาสีตะกั่วยังคงสำรวจไปทั่วห้องแล้วไปหยุดอยู่ที่ลูกวอลเลย์บอลบริเวณมุมห้อง แถมยังมีโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับวอลเลย์บอลติดอยู่ตามผนัง


                ชมรมวอลเลย์บอล?


                นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวไปหากล่องปฐมพยาบาลก่อนคุโรโอะลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เธอนั่ง มานากะที่กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องก็โดนสายตากดดันจากเขาส่งมาแล้วเดินออกไปค้นตามลิ้นชักและชั้นวางของ


                มานากะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงเธอก็พกอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดตัวตลอดนั่นแหละนะเพราะว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยก็เลยต้องพกเอาไว้ ว่าแล้วก็ยกกระเป๋าขึ้นมาไว้บนตักเตรียมหาของที่ว่าแต่ค้นแล้วค้นอีกทุกซอกทุกมุมก็เจอแต่ซองพลาสเตอร์ที่ถูกแกะและแกนผ้าพันแผลเปล่าๆ


                หมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


                โดนมาหนักเหมือนกันนะเนี่ย เจ็บมากมั้ยครับคุโรโอะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้ามหล่อนโดยในมือก็มีกล่องปฐมพยาบาลติดมาด้วย


                ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ โดนมาบ่อยแล้ว


                บ่อยแล้ว? แสดงว่ามีเรื่องมาบ่อยล่ะสิ เป็นนักเลงรึไงเราอ่ะ


                ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย อ๊ะ!---ความเจ็บพุ่งขึ้นมาเมื่อเขาใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดที่แผลบริเวณมุมปาก มานากะมองเขาอย่างคาดโทษแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา


                มีเรื่องแบบนั้นมันไม่ดีนะรู้มั้ย เป็นเด็กโรงเรียนดังเสียเปล่าอีกอย่างถ้าเกิดเป็นอะไรหนักๆขึ้นมารู้มั้ยว่าคนรอบตัวจะเสียใจขนาดไหน


                ขอโทษค่ะ…”


                คนที่ควรจะขอโทษน่ะไม่ใช่พี่หรอกนะแต่เป็นครอบครัวต่างหากที่ต้องไปขอโทษ คงตกใจมากแน่ที่รู้ว่าลูกไปมีเรื่องกับคนอื่นแบบนี้


                จริงๆทั้งครอบครัวก็รู้กันหมดแล้วแหละ


                มานากะไม่ได้พูดสิ่งที่คิดอยู่ในหัวออกไปดังนั้นบทสนทนาก็เลยจบลงเอาดื้อๆ ดวงตายังคงมองเด็กหนุ่มที่ยังคงง่วนกับการทำแผลบนใบหน้าและมือทั้งสองข้างของเธอ ทั้งที่ไม่รู้จักกันแท้ๆแต่ถึงจะหวังดีก็ไม่ถึงขั้นจะพามาทำแผลเลยนี่นา


                แสบ…”เด็กสาวสะบัดหน้าหนีเมื่อเขาเริ่มทายาลงบนแผล


                อย่าดื้อสิ หันมาให้พี่ทำแผลดีๆก่อนมือหนาจับใบหน้าให้หันมาหาเขา หลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของหล่อนที่แสดงออกมา


                หนูไม่ชอบ มันแสบค่ะ


                พี่บอกแล้วไงคะว่าอย่าดื้อ


                หนูไม่ได้ดื้อค่ะคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน คำก็ดื้อ สองคำก็ดื้อ เธอไม่ได้เป็นเด็กดื้ออย่างที่เขาว่าเสียหน่อย แค่แสบตอนที่เขาทายาลงบนแผลก็เท่านั้นเอง


                ถ้าไม่ได้ดื้อก็อยู่เฉยๆให้พี่ทายาสิคะ จริงมั้ย?”


                ด้วยทำพูดของเขาจึงทำให้มานากะยอมนั่งนิ่งๆแล้วให้เขาทำแผลแแต่โดยดี แต่ทุกครั้งที่ทายาลงบนแผลมันก็แสบทุกทีในเมื่อหันหน้าหนีไม่ได้เธอก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าบึ้งเพื่อให้เขารับรู้แทน คุโรโอะหลุดหัวเราะออกมาทุกครั้งที่เห็นเธอเอาแต่ขมวดคิ้วแบบนั้น ฉีกซองพลาสเตอร์ออกมาก่อนจะแปะทับบนแผลของเด็กสาว จากนั้นก็เปลี่ยนไปทำแผลที่มือต่อ


                เล่นกีฬาด้วยเหรอ?”


                วอลเลย์บอลค่ะ


                มิน่าล่ะถึงคุ้นๆ เซ็ตเตอร์ของโรงเรียนแชมป์สามปีซ้อนนี่เองเขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ


                แต่หนูคิดว่าจะเลิกเล่นแล้วล่ะค่ะ


                เห...ทำไมล่ะ ตอนแข่งในสนามก็ดูจริงจังแถมยังเล่นได้ดีอีกนะ


                ไม่รู้สิคะ แค่อยากลองทำอะไรอย่างอื่นดูบ้างได้ยินเขาพูดออกมาอย่างเสียดาย ในใจก็คิดว่ามันน่าเสียดายขนาดนั้นเลยรึไง มันน่าเสียดายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”


                พูดตามตรงก็น่าเสียดายนะที่จะไม่ได้เห็นคนเก่งๆอย่างนี้เล่นในสนามอีก เซ็ตลูกเข้ามือตัวตบทุกครั้งแถมจังหวะที่เล่นลูกหยอดก็ดีอีก ถ้าเล่นต่ออีกนิดก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้นะ


                พูดเหมือนกัปตันเลย


                เชื่อเถอะใครๆก็ต้องพูดแบบนี้


    ครืด ครืด


                มือหยิบสมาร์ทโฟนออกมากระเป๋ากระโปรง หน้าจอโชว์เบอร์โทรศัพท์ว่าใครโทรมาก็ถึงกับถอนหายใจออกมา มานากะมองหน้าคุโรโอะสลับกับมองชื่อผู้ติดต่อว่าจะรับดีไหมซึ่งตัวเขาก็ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเธอจึงตัดสินใจกดรับแล้วเอาขึ้นมาแนบหู


                [ยัยเด็กบ้า!!!] เสียงตะโกนของชายวัยกลางคนดังออกมาพอที่จะทำให้คุโรโอะที่ทำแผลให้อยู่ถึงกับสะดุ้ง


                ตะโกนแบบนี้ไม่กลัวเจ็บคอเหรอคะโทมุระซังมานากะว่าเสียงเรียบก่อนจะเปลี่ยนมากดลำโพงแทนแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนตักเพราะเธอขี้เกียจถือ


                [คิดว่าฉันอยากเจ็บคอนักรึไง]


                ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตะโกนสิคะ พูดกันดีๆก็ได้


                [เด็กอย่างเธอต่อให้ตะโกนใส่หน้ากี่ครั้งก็ไม่จำอยู่ดี]ได้ยินเสียงคนปลายสายถอนหายใจออกมา [ไอ้พวกในตรอกน่ะ ฝีมือเธอใช่มั้ย]


                อา…”


                [คิดจะทำอะไรน่ะ ให้ประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นรายสุดท้ายก่อนจบม.ต้นรึไงมีเรื่องตั้งแต่ปีหนึ่งนี่ยังไม่เบื่ออีกเหรอ มีเรื่องบ่อยจนคนทั้งป้อมจำหน้าเธอได้แล้วล่ะมั้ง]


                หนูก็ไม่อยากมีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย แต่พวกนั้นมันกัดไม่ปล่อยเองแล้วก็มีมาเรื่อยๆบอกให้พอก็ไม่ยอมพอก็เลยอย่างที่เห็น


                [แต่ทุกปีแบบนี้มันก็ออกจะเกินไปมั้ย เห็นว่าเป็นเด็กดีตั้งแต่เด็กๆอย่าให้ฉันต้องจับเธอมานั่งเทศนาเลยนะ จะขึ้นม.ปลายแล้วก็ช่วยทำตัวดีๆหน่อยเถอะ]ชายที่ชื่อโทมุระว่าอย่างเหนื่อยใจเพราะเขาก็ขี้เกียจตามมานั่งสั่งสอนเธอทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้


                จะพยายามค่ะ


                [ไม่ใช่จะพยายามแต่ต้องทำให้ได้เพราะมันจะเป็นผลดีต่อตัวเธอเองนั่นแหละ แล้วนี่กลับบ้านรึยัง]


                ยังค่ะ ทำแผลอยู่มานากะว่างพลางมองคุโรโอะที่นั่งทำแผลให้เธอ


                [รีบกลับบ้านก็แล้วกัน ให้ตายสิเป็นเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลย] พูดจบเขาก็ตัดสายไปโดยไม่ทันให้มานากะได้เอ่ยลาสักนิด


                ไหนว่าไม่แจ้งตำรวจไง


                ก็ไม่ได้แจ้ง แค่เขาโทรมาหาเองก็เท่านั้น


                มีเรื่องจนสนิทกับตำรวจเลยเหรอ เหลือเชื่อจริงๆคุโรโอะส่ายหัวเบาๆพลางพันเทปพันแผลที่มือของเธอ เอ้า เสร็จแล้ว


                ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณ…”


                คุโรโอะ เท็ตสึโร่


                นิชิโนะ มานากะ ขอบคุณมากนะคะพี่คุโรโอะมานากะก้มหัวเป็นการขอบคุณ


                เท็ตสึโร่ จะเรียกว่าเท็ตสึโร่ก็ได้พี่ไม่ว่าหรอกนะเขาว่าขณะเก็บกล่องปฐมพยาบาลเข้าตู้


                ค่ะ พี่เท็ตสึโร่


                สองขาก้าวตามถนนเมื่อเริ่มเข้าเขตการค้าของอีกฝั่งซึ่งอยู่ใกล้บ้านเธอ อาศัยแสงไฟจากเสาไฟสองข้างทางส่องนำทางเพื่อเดินกลับบ้านซึ่งโดยปกติเธอมักจะเดินกลับคนเดียวแต่วันนี้กลับมีเพื่อนร่วมทางเดินมาด้วย มานากะมองคนที่เดินอยู่ด้านข้างเธอด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาต้องเดินมาด้วย คุโรโอะที่รู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ก็ละสายตาจากการสำรวจเส้นทางแล้วหันมายิ้มให้เธอ


                บ้านพี่อยู่แถวนี้เหรอคะมานากะตัดสินใจถามออกไป


                เปล่า อยู่ฝั่งโน้นน่ะคุโรโอะชี้ไปอีกฟากซึ่งมันก็ไกลอยู่พอควร


                แล้วทำไมต้องเดินตามมาด้วยล่ะคะ


                ก็เดินมาส่งเผื่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนิชิโนะจังอีกไง


                มานากะก็พอค่ะ อีกอย่างเรื่องแบบนั้นมันไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะเด็กสาวรีบสับขาเดินไปข้างหน้าแต่ไม่ว่าจะเดินให้เร็วอย่างไรเขาก็ตามทันมาด้วยการก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น


                พี่ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง


                เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เอาเถอะก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะเป็นกังวลน่ะเพราะตอนที่โทมุระซังที่เป็นตำรวจมาเห็นเธอในสภาพนี้ครั้งแรกก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่หรอก แถมตัวคุโรโอะเองก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือเจตนาร้ายอะไรกับเธออีก จริงๆตัวมานากะเองก็ไม่ได้ลำบากใจหรอกนะเพียงแต่เธอไม่ชินเวลามีคนเดินกลับบ้านด้วยกันก็เท่านั้นแหละ เดินมาเรื่อยๆก็หยุดอยู่หน้าบ้านสามชั้นหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของเธอเอง


                ที่บ้านเป็นร้านอาหารเหรอเนี่ยคุโรโอะสังเกตป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ด้านหน้า


                ขอบคุณที่มาส่งนะคะมานากะก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง


                อืม คราวหน้าก็อย่าไปมีเรื่องกับใครอีกล่ะ


                หล่อนพยักหน้าให้เขาแต่ตัวคุโรโอะเองก็ยังมีลางสังหรณ์ว่าคงจะต้องเกิดขึ้นอีกแน่ๆแต่ถ้าไม่เกิดอีกก็ดีไปล่ะนะ หางตาสังเกตเห็นไฟในบ้านเปิดเดาว่าคนในบ้านคงจะรู้แล้วว่าลูกสาวนั้นกลับมาบ้านแล้ว


                งั้นพี่กลับแล้วนะคุโรโอะเตรียมหันหลังเพื่อเดินกลับบ้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงของเธอ


                กะ---


                หืม?”หันกลับมามองเด็กสาวที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ดันพูดแบบติดๆขัดๆ พวงแก้มขึ้นริ้วสีแดงจางๆคล้ายเขินอายกับประโยคที่ตนกำลังจะพูด


                กะ---กลับบ้านดีๆนะคะพูดเสร็จก็สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น


                ฮึ เหมือนไม่เคยได้พูดเลยนะคุโรโอะหัวเราะเบาๆให้กับท่าทีเขินอายของหล่อน


                ก็พูดกับพี่เป็นครั้งแรกนี่แหละค่ะ


                แค่ประโยคธรรมดาแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ใจเขาวูบวาบแปลกๆ


                อื้ม หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะเด็กหนุ่มเพียงยิ้มรับก่อนจะโบกมือลาแล้วหันหลังเดินจากไป มานากะโบกมือค้างไว้จนเขานั้นลับสายตาไปจึงเดินเข้าบ้าน


    โฮ่ง!!


                เดินเข้ามาในเขตบ้านไม่กี่ก้าวเจ้าสุนัขพันธุ์ชิบะก็กระโจนเข้าใส่จนมานากะล้มลงกับพื้นหญ้า อย่ากัดเสื้อฉันนะชิโร่!ดุเจ้าชิบะที่เตรียมกัดเสื้อฮู้ดของตนจนมันทำหน้าหงอย ก็เข้าใจว่าอยากเล่นด้วยแต่สถานการณ์ที่เธอจะต้องไปเผชิญในตอนนี้มันโซซีเรียสมาก แถมยิ่งเป็นปีสุดท้ายของม.ต้นคงโดนหนักไม่ใช่น้อย มานากะถอนหายใจอย่างปลงๆพลางลุกขึ้นแล้วปัดกระโปรงของตัวเองแล้วเดินเข้าไปทางหลังร้านเนื่องจากประตูหน้าร้านนั้นปิดเรียบร้อย


                มือเปิดประตูเข้ามายังส่วนที่กั้นระหว่างตัวบ้านและร้าน ดวงตาสีตะกั่วมองบันไดที่จะนำพาไปยังชั้นสองและชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของบ้านเต็มตัว ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเพราะเธอเพิ่งทำความผิดอันใหญ่หลวงมาแถมหลักฐานก็ปรากฏให้เห็นอยู่บนตัวเธอ เจ้าชิโร่ที่เดินวนอยู่รอบตัวก็เข้ามาคลอเคลียแล้วเอาหน้าถูที่ต้นขาของเธอเหมือนกำลังให้กำลังใจก่อนจะไปเผชิญศึกหนัก เดาว่าโทมุระซังคงจะโทรมารายงานแม่ของเธอเรียบร้อย เรื่องแบบนี้น่ะคนคนนี้ไม่เคยพลาดหรอก


                นี่มันกี่โมงแล้วนิชิโนะ มานากะเสียงเย็นเยียบของผู้เป็นมารดาดังขึ้นอยู่บนโซฟา ทำเอามานากะเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินน้ำเสียงพร้อมสายตาแบบนั้น


                จะสองทุ่มแล้วค่ะม๊าหล่อนตอบเสียงแผ่วก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งลงโซฟาตัวตรงข้าม เห็นพ่อและปู่นั่งสังเกตการณ์อยู่ที่โต๊ะอาหารเหมือนสื่อเป็นนัยว่าขอไม่เข้าไปยุ่งด้วย


                โทมุระซังโทรมารายงานม๊าแล้ว วันนี้ทำอะไรบ้าง


                ก็...ไปเล่นวอลเล่ย์จนถึงหกโมงครึ่ง จากนั้น…”


                อึก


                กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นพร้อมรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากด้านหลัง ทำเอาชิโร่ที่เป็นสุนัขถึงกับตัวสั่นแล้วกระโดดขึ้นมานั่งใกล้เธอบนโซฟาหวังเป็นที่พึ่ง


                โทษนะชิโร่ ตอนนี้ฉันก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน


                อะไรอีก?”


                ก็ไปตามนัดแล้วจากนั้นก็ทำแผลค่ะ


                นัดที่ว่าคือการไปล้มเด็กม.ปลายห้าคนจนน่วมใช่มั้ย


                เก่งมากลูกพะ---คนเป็นพ่อหุบปากแทบไม่ทันเมื่อภรรยาตนตวัดสายตาเย็นเฉียบมาให้แล้วจึงกลับไปนั่งสงบเสงี่ยมเหมือนเดิม


                มานากะพยักหน้ายอมรับเพราะทั้งครอบครัวนั้นก็รู้อยู่แล้วว่าเธอทำอะไรบ้างตลอดสามปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเธอที่พยายามจะหยุดแต่ก็กลับมีเรื่องให้แทรกมาตลอดแต่ก็ปล่อยเลยตามเลย แต่ตัวเธอนั้นก็ไม่ได้ทิ้งการเรียนเสียทีเดียวยังคงรักษาระดับของตนเองไว้ได้ดีตลอดทางครอบครัวจึงไม่ห่วงอะไรในเรื่องนี้


                จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่มานากะ ถ้าเกิดพวกนั้นพกอาวุธแล้วเอามาแทงลูกล่ะรู้มั้ยว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกเสียใจขนาดไหน


                บรรยากาศเริ่มกดดันมากขึ้นจนน่าอึดอัด


                ม๊าโอเคที่ลูกยังไม่ทิ้งการเรียนแต่ตัวลูกก็รู้ดีว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องดี ขนาดมีโทมุระซังคอยช่วยดูให้ก็ยังไม่หยุดทำเรื่องแบบนี้อีก มีอะไรก็ปล่อยผ่านไปบ้างก็ได้ไม่จำเป็นต้องไปตามนัดพวกนั้นถึงที่ก็ได้นี่ แถมมีเรื่องแต่ละทีก็ได้แผลมาตลอดม๊าไม่เคยเห็นลูกกลับมาบ้านในสภาพปกติเลยด้วยซ้ำ


                หนูขอโทษค่ะ


                นิชิโนะ มาริโกะได้แต่จ้องลูกสาวตัวเองที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ มานากะไม่ใช่เด็กไม่ดีแถมยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแต่ทำไมตลอดสามปีที่ผ่านมาถึงได้ทำตัวเหลวแหลกไปมีเรื่องกับคนอื่น ถึงจะไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นแต่ตัวคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือตัวมานากะเองนี่แหละ


                หลังพิธีจบการศึกษาม๊าจะส่งเราไปมิยางิมาริโกะว่าด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้มีท่าทีโต้แย้งอะไรจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป


                ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าแม่ของเธออาจจะทำแบบนี้แต่ไม่คิดว่าจะทำจริงๆ แต่ในเมื่อพูดมาชัดขนาดนี้แล้วมีแต่ต้องทำใจและเก็บของใส่กระเป๋าเพราะแม่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น มานากะเอนหัวพิงพนักโซฟาก่อนจะถอนหายใจออกมาในใจก็ได้แต่บอกว่าช่างมันเถอะซ้ำไปซ้ำมา พ่อและปู่ลุกออกมาจากบริเวณโต๊ะอาหารแล้วมานั่งข้างเธอที่โซฟาตัวเดียวกัน


                ปู่ว่าแบบนี้มันออกจะรุนแรงไปสักหน่อยนะ


                “ให้ป๊าไปพูดให้มั้ย


                “ไม่ต้องหรอกค่ะ ป๊ากับปู่ก็น่าจะรู้นี่ว่าม๊าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะยิ้มรับบางๆแล้วลุกจากโซฟาขึ้นไปบนชั้นสามโดยมีเจ้าชิโร่กระดิกหางเดินตามไป


                “ข้าวอยู่ในตู้เย็นนะ ถ้าหิวก็เอาออกมาอุ่นได้เลยคนเป็นพ่อพูดไล่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงขานรับของลูกสาวกลับมา


                หลังจากอาบน้ำทานข้าวเย็นเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในห้องของตน มานากะล้มตัวลงบนเตียงนอนนุ่มนิ่มมือควานหาสมาร์ทโฟนที่ตนเพิ่งโยนทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ เงยหน้าขึ้นมาจากหมอนก่อนจะเลื่อนไปที่รายชื่อผู้ติดต่อเพื่อโทรหาใครสักคน


                [ว่า?]


                “จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ


                [เดี๋ยวเอาเกลือไปสาดไว้หน้าบ้านก่อน] เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบตามสไตล์เจ้าตัว


                “แรงมาก คนกันเองแท้ๆ


                [แสดงว่าม๊าสุดจะทนแล้วล่ะสิ]


                อืม ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละมานากะพูดเสียงเหนื่อยๆเพราะวันนี้ตอนใช้แรงกับการทำหลายอย่างไปเยอะมาก


                [ถ้าเหนื่อยก็นอนเลยก็ได้ ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะที่จะได้คุยกัน] คนปลายสายพูดด้วยความเป็นห่วง


                อ่า งั้นฝันดีนะ


                [ฝันดี]

     

     


    พิธีสำเร็จการศึกษา


                นักเรียนชั้นมัธยมต้นปีสามเดินออกมาจากหอประชุมพร้อมใบจบการศึกษา ต่างคนต่างดีใจที่เรียนจบชั้นมัธยมต้นและเริ่มวางแผนกันแล้วว่าจะสอบเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนไหน ได้ยินเสียงร้องด้วยความดีใจกลางสนามกีฬาจากห้องอื่น บางคนก็แยกย้ายไปถ่ายรูปกับเพื่อนของตน บ้างก็เดินกลับบ้านไปเลย มานากะที่นานๆทีจะได้ใส่สูทนักเรียนเดินออกมาจากหอประชุมรวมถึงสมาชิกชมรมวอลเลย์บอลหญิงปีสุดท้ายคนอื่นๆมารวมตัวกันที่โรงยิมที่พวกตนใช้ซ้อม ไม่ได้มีแค่ปีสามแต่ก็มีปีหนึ่งและปีสองมาร่วมแสดงความยินดีด้วย


                ในฐานะที่เป็นกัปตันตั้งแต่ปีสองฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ทีมเดียวกันกับพวกเธอ และประสบการณ์ในการแข่งที่ผ่านมารวมถึงการได้เป็นแชมป์สามสมัยนั้นทำให้ฉันภูมิใจในตัวของพวกเธอที่พยายามอย่างเต็มที่มากคนเป็นกัปตันกล่าว


                ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่เน็ตฝั่งเดียวกันแต่คราวหน้าวันที่เราก้าวออกไปจากที่นี่พวกเราจะอยู่คนละฝั่งของเน็ตและจะกลายเป็นศัตรูกันบนสนาม ถึงจะอยู่คนละฝั่งแต่ความเป็นเพื่อนของเราจะยังคงอยู่เหมือนเดิม


                ตัวฉันไม่ได้มีความคิดที่จะเล่นวอลเลย์บอลต่อหรอกนะ แต่ฉันก็ยังอยากเห็นทุกคนหรือใครสักคนในที่นี้ได้เล่นต่อ อยากจะเห็นพวกเธอต่อสู้กันอย่างสูสีบนสนามให้ได้รู้ว่าตัวเองนั้นต่างจากม.ต้นและได้ทะเยอทะยานด้วยกำลังของตัวเองและพวกพ้องเพื่อขึ้นไปสู่ระดับประเทศ หวังว่าสักวันจะได้เห็นใครสักคนขึ้นไปอยู่บนจุดนั้น


                สิ้นคำของกัปตันสมาชิกปีสามบางคนก็ปล่อยโฮออกมาเนื่องจากจะไม่ได้เล่นเป็นทีมเดียวกันอีก มองอากาเนะที่เดินปลอบสมาชิกทีมคนอื่นๆก็รู้สึกใจหายเมื่อคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องจากกันถึงแม้ว่าจะแค่ม.ต้นก็เถอะ แต่ตัวมานากะก็ยังอยากจะเล่นกับทีมนี้ต่อไปและมีกัปตันทีมที่ดึงศักยภาพคนในทีมออกมาได้เต็มที่แบบนี้อยู่ในทีม แต่ก็อย่างว่าทุกคนต้องไปตามทางของตัวเองและจะต้องเป็นศัตรูกัน


                ที่ฉันพูดเมื่อกี้เป็นไงอากาเนะเดินเข้ามาหา


                ไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ออกมามานากะเลือกตอบไปตามตรงทำเอาคนเป็นกัปตันหัวเราะออกมาเพราะมันก็ไม่ได้ผิดจากที่เธอคาดไปสักนิดว่าหล่อนจะตอบอย่างนี้


                ตอบแบบนี้ก็สมกับเป็นเธอล่ะนะ ว่าแต่คิดไว้รึยังว่าจะเข้าที่ไหนล่ะ


                ไม่รู้สิ แต่ไม่ใช่ที่โตเกียวหรอก ว่าแต่เธอล่ะ?”ทั้งคู่ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินออกมาจากโรงยิม


                คงเข้าตามเพื่อนล่ะมั้ง เพราะหมอนั่นอยากจะเอาดีทางด้านกีฬาต่อน่ะ ต่างกับฉันลิบลับเลยเนาะอากาเนะหัวเราะเบาๆ


                อ้าว ไม่ใช่แฟนหรอกเหรอ


                ไม่ใช่ย่ะ!


                เห็นตัวติดกันนึกว่าแฟนเสียอีก


                นี่ถ้าฉันตัวติดกันกับพ่อเธอก็จะบอกว่าแฟนสินะ


                อาจจะ


                พิธีสำเร็จการศึกษานั้นเสร็จภายในเที่ยงวัน ก่อนจะออกจากโรงเรียนคุณกัปตันก็ชวนเธอไปเลี้ยงฉลองกับคนในชมรมแต่ว่าหล่อนก็ปฏิเสธไปแต่ว่าก็ไม่ได้นึกเสียดายอะไรหรอก อย่างน้อยก็มีเบอร์ไว้โทรแถมตอนนี้ก็ยังวิดีโอคอลหากันได้อีก สองขาเดินตามทางเท้าผ่านหลายโรงเรียนที่ก็มีพิธีสำเร็จการศึกษาเช่นเดียวกัน เดินมาเรื่อยๆจนถึงสถานีแต่ตัวเธอก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนักถึงแม้ว่าจะสามารถนั่งไปยังสถานีแถวบ้านได้ก็เถอะ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน


                มานากะลงจากรถไฟถึงแม้ว่าจะมาถึงปลายทางแล้วแต่ยังต้องเดินไปอีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องก็เลยแวะเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆพอให้หายหิว ที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นกุนกุนโยเกิร์ตยี่ห้อโปรดของเธอที่เป็นทีไรก็ต้องซื้อติดมาทุกที ยืนอยู่หน้าร้านสักพักเมื่อคิดได้ว่าไม่มีอะไรที่อยากซื้อแล้วจึงเดินออกมา


                ลมเย็นๆปะทะเข้ากับร่างยามเดินเลียบริมแม่น้ำหล่อนตัดสินใจที่จะนั่งทานมื้อเที่ยงอยู่ที่นี้ อีกอย่างวันนี้อากาศก็ดีแถมแดดไม่ค่อยมีเท่าไหร่จึงเหมาะแก่การนั่งกินลมชมวิวเป็นอย่างยิ่ง หย่อนก้นนั่งลงบนพื้นหญ้าพลางแกะห่อข้าวปั้นที่เพิ่งซื้อมาขึ้นมาทาน นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้อัพรูปลงอินสตราแกรมที่ร้างมานานก็เลยหยิบใบจบออกมาถ่ายรูปและอัพลงให้เสร็จสรรพ เสียงน้ำไหลดังเข้ามาในโสตประสาทแถมบริเวณนี้ยังไม่ค่อยมีคนจึงทำให้เธอรู้สึกสบายใจ


                หยิบโทรศัพท์มาเช็คข่าวสารก็เจอแต่เพื่อนร่วมรุ่นที่พากันออกไปฉลองตามร้านอาหาร ไปเที่ยวสวนสนุก หรือไม่ก็ไปร้องคาราโอเกะ ในใจก็แอบอิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะและได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตามแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป มานากะเองไม่ใช่พวกที่ผูกมิตรกับใครเก่งแถมหน้าตาเธอยังทำให้หลายคนกลัวอีกจะมีก็แต่คุณกัปตันและคนในชมรมที่สนิทกับเธอ


                น่าอิจฉาจัง


                อิจฉาอะไรเหรอ


                เฮ้ย!ร้องตกใจเมื่อจู่ๆก็มีคนมาพูดอยู่ข้างหู เมื่อเงยหน้าก็พบกับผู้ช่วยชีวิตเธอเมื่อหลายวันก่อนยืนยิ้มแฉ่งอยู่เหนือหัว คุณตำรวจ!!


                ไม่ใช่โจรเฟ้ย!!คุโรโอะทำหน้ายู่ใส่คนอายุน้อยกว่าเพราะหล่อนดันคิดว่าเขาเป็นโจรนี่สิ


                แย่จริงๆเด็กสมัยนี้ หล่อวัวตายควายล้มทำไมถึงคิดว่าเป็นโจรได้นะ


                วันนี้เป็นวันหยุดของชมรมวอลเลย์บอลเนโกมะแต่เขาดันถูกใช้ให้ออกมาทำธุระข้างนอก ระหว่างที่จะเดินกลับก็บังเอิญเห็นมานากะเดินมานั่งทานข้าวปั้นอยู่ที่ริมแม่น้ำก็เลยกะว่าจะเข้ามาทักทายเสียหน่อย แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคำแรกที่ทักทายกันจะเป็นการเรียกคุณตำรวจนี่สิ เด็กนี่ทำกับผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ


                ขอโทษค่ะ พอดีลุคพี่มันให้น่ะมานากะตอบเสียงเรียบ


                พูดได้น่าตาเฉยเลยนะมือหนายีกลุ่มผมสีบลอนด์หม่นของหล่อนด้วยความหมั่นไส้ เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กสาวที่กำลังบ่นอุบพลางจัดผมให้เป็นทรง เรียนจบแล้วงั้นเหรอ ยินดีด้วยนะ


                อ่ะ ขอบคุณค่ะขอบคุณอย่างเคอะเขินเพราะไม่เคยมีคนแปลกหน้ามาพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน


                แล้วที่บอกว่าอิจฉานี่คือยังไงเหรอ


                มานากะนั่งกอดเข่า เธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีว่าอิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะแถมยังได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป ถ้าพูดออกไปจะถูกหาว่าคิดอะไรเป็นเด็กน้อยหรือเปล่าแถมก็ยังทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครถามอะไรแบบนี้กับเธอโดยตรง


                ถ้าไม่อยากบอกพี่ก็เข้าใจนะเพราะเราก็ไม่ได้สนิทกะ---


                ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น ก็แค่...


                หืม?”


                แค่ไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนี้กับหนูก็เท่านั้นเอง เลยทำตัวไม่ถูกเวลาจะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังมานากะพูดเสียงอ่อนทำให้คุโรโอะเข้าใจว่าหล่อนอาจจะไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยถ้าฟังจากที่บอกกับเขาเรื่องเดินกลับเมื่อตอนนั้น


                งั้นเหรอ แล้วอิจฉาอะไรล่ะพอจะพูดให้ฟังได้หรือเปล่ามานากะเงียบไปครู่หนึ่ง


                แค่อิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะๆแถมยังได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มันก็เลยรู้สึกแบบนั้น


                ไม่มีเพื่อนเหรอเราอ่ะพูดเสร็จก็หันไปหามานากะที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าซึมๆ เขาคงจะพูดแทงใจดำเข้าแล้วสินะ ขะ...ขอโทษ


                ก็มีแค่คนในชมรมที่พอคุยได้ แต่ถ้าสนิทก็มีแค่คนเดียวพูดพลางนึกถึงคุณกัปตันคนเก่ง


                แล้วมันไม่ดีเหรอที่มีเพื่อนสนิทน่ะ?”


                ก็ดีแต่มัน จะว่ายังไงดีล่ะไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้นถึงแม้เขาจะชวนไปไหนมาไหนก็ตามแต่หนูก็มักจะปฏิเสธเพราะไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆด้วย


                ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปแค่นั้น อีกอย่างชีวิตวัยรุ่นมันก็ไม่ได้มีแค่นี้สักหน่อยคุโรโอะหันมามองเธอ ขึ้นม.ปลายมานากะจังอาจจะมีเพื่อนใหม่เยอะแยะก็ได้ใครจะไปรู้ เนอะ


                มือหนายกขึ้นมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน


                ไม่ชอบอะไรก็บอกไปก็เท่านั้น พี่ว่าเพื่อนก็คงจะเข้าใจ


                ขอบคุณมากนะคะใบหน้าเรียบขึ้นริ้วสีแดงจางๆและปล่อยให้เขาลูบหัวอยู่แบบนั้น


                จะว่าไปมานากะจังขี้เหงาสินะคุโรโอะหัวเราะร่วน


                ไม่ได้ขี้เหงาสักหน่อยมานากะหันไปแยกเขี้ยวใส่คนตัวสูง นี่เธอเป็นคนขี้เหงาอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่หรอกต้องไม่ใช่แน่ๆ


                ไม่ก็ไม่ ว่าแต่เราจะไปต่อไหนล่ะ?”ถามคนนั่งข้างๆที่มัวแต่นั่งเด็ดหญ้า


                มิยางิ ม๊าบอกว่าให้ไปมิยางิ


                โห ไกลเหมือนกันนะเนี่ย คงจะไม่ได้เจอกันอีกแน่เลยใช่มั้ย


                ไม่แน่ ถ้าวันไหนหนูกลับมาโตเกียวอาจจะได้เจอกันก็ได้ หรือไม่ก็ถ้าพี่มีโอกาสได้ไปมิยางิเราก็อาจจะได้เจอกัน แค่อาจจะ…”มานากะพูดประโยคหลังเสียงแผ่ว


                คุโรโอะล่ะรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้เหลือเกิน ถึงแม้บุคลิกภายนอกจะเป็นคนดูดุหรือไม่ค่อยน่าเข้าหาแต่พอลองได้คุยกันก็เป็นเหมือนเด็กน้อยขี้เหงาที่ไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่านั้น


                ต้องเจอแน่ พี่คิดว่านะดวงเนตรสีตะกั่วเป็นประกายยามได้ยินคำพูดที่จุดประกายความหวังจากเขา เห็นหล่อนแอบอมยิ้มก็อดเอ็นดูไม่ได้

                นั่นสินะ ไม่ได้ไปอีฟากของโลกสักหน่อย


                ถ้าแบบนั้นก็เว่อร์ไปหน่อยมั้ง ฮ่าๆๆ


                ถึงแม้จะรู้จักกันเพียงแค่ชื่อและเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ทำไมเขาถึงได้ทำให้มานากะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ นอกจากลูกพี่ลูกน้องของเธอก็มีแค่คุโรโอะนี่แหละที่เธอสามารถระบายความในใจออกมาได้โดยที่ไม่มีการโต้แย้งหรือตัดสินไปเองโดยไม่ฟังให้จบ


                ถ้าอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอดก็คงดี


                ว่าแต่จะกลับหรือยัง


                พี่รีบเหรอ?”มานากะละสายตาจากการมองแม่น้ำ


                ก็ไม่นะ นั่งอยู่แบบนี้ทั้งวันยังได้


                งั้นกลับล่ะเด็กสาวลุกขึ้นพลางปัดกระโปรงตนเองโดยไม่ลืมหยิบถุงเพื่อนำมันไปทิ้งที่ถังขยะ


                อ้าวเฮ้ย ทีอย่างนี้ล่ะรีบกลับเลยนะ


                แค่ได้นั่งได้คุยกับพี่แค่นี้หนูก็พอใจแล้วคำพูดของมานากะเหมือนไปกระตุ้นให้ใจของเด็กหนุ่มเต้นรัว


                งั้น ให้พี่ไปส่งมั้ย


                แต่บ้านพี่อยู่อีกฝั่งเลยนะ


                ไม่เป็นไรหรอก นั่งรถบัสเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้วถึงจะพูดเหมือนใกล้แต่ความจริงมันก็ไกลพอตัวล่ะนะ


                แล้วแต่พี่ก็แล้วกันประโยคของหล่อนทำเอาคุโรโอะฉีกยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งเหยาะๆไปเดินข้างเด็กสาวแล้วพาเธอไปส่งยังจุดหมายปลายทางทันที













    TALK
    ทำไมคุณพี่แมวดูนุ่มนิ่มจังคะแง้;-; มีพาไปทำพงทำแผลแถมยังสอนน้องเล็กๆน้อยๆด้วย เป็นน่ารักมาก แถมยังเข้าหาน้องอีกโอ้ยยยยย พ่อเทพบุตรของเค้าแถมน้องก็ดูจะแฮปปี้ดีที่ได้คุยกับพี่นะคะ
    แต่การกระทำของน้องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะคะแล้วก็โดนแม่เทศน์ไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
    เค้าลองเปลี่ยนธีมแล้วนะคะ ใครที่อ่านบนPCก็มาบอกกันได้นะคะว่ามันโอเคขึ้นมั้ยเห็นตัวอักษรชัดหรือเปล่า แต่เค้าอยากคุมโทนสีแบบนี้ให้มันเข้ากับธีมที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆแนวชีวิตประจำวันมากกว่า
    คิดเห็นยังไงก็คอมเมนต์มาได้เลยนะคะ จุ๊บๆ
    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×