ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Mortal

    ลำดับตอนที่ #2 : ร่องรอยของเลือด

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 58



    ตอนที่ 2 ร่องรอยของเลือด


    ฝีเท้าสองคู่และขาสี่ข้างวิ่งตรงไปยังด้านหน้าทางที่เหมือนจะเรียบโล่งหากเบื้องหน้ามันเรียบโล่งดั่งตลอดทางก็คงดีแต่นั่นคงไม่ดีแน่หากถูกตามด้วยคนนับสิบและสุนัขครึ่งคนตัวใหญ่ๆสักเกือบสิบตัว

    แม้มันจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหากเป็นคนปกติแต่ในสถานการณ์แบบพวกเขานี่ต่อให้เป็นเหวลึกจริงๆก็คงต้องเสี่ยงโดดไปเจอกับอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถต่อกรได้หรือตายดีกว่าต้องมาเจอกับอะไรสักอย่างที่มันระบุได้ชัดเจนขนาดนี้แม้นั่นจะเป็นความคิดบ้าๆในสายตาของคนปกติก็ตาม

    “เดี๋ยวก่อน!!

    ไม่ทันได้พูดมากไปกว่านั้นก็ถูกฉุดกระชากต้นแขนแล้วกระโดดลงแม่น้ำลึกเบื้องหน้าทันที!

     

    1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

     

    “จะพาฉันไปไหน?”

    ไลออนส่งเสียงถามด้วยความสงสัยหลังจากได้รู้ชื่อกันเรเนซองส์ก็หายออกไปด้านนอกอีกครั้งแต่คราวนี้เร็วกว่าทุกทีมันกินเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำก่อนที่เขาจะกลับมาด้วยท่าทีร้อนรนที่ไม่ได้แสดงออกมานักแต่ไลออนก็สังเกตได้จากคิ้วที่ขมวดกันของอีกฝ่ายและแววตาขุ่นมัวไม่สบอารมณ์

    ก่อนที่เรเนซองส์จะเดินไปข้างหลังแล้วเส้นพลาสติกที่ใช้มัดแขนเขาไว้จะหลุดออกจากกันเพราะโดนตัดโดยมีดสั้นในมือเรเนซองส์

    ไลออนขยับแขนมาด้านหน้าแล้วยืดเส้นกล้ามเนื้อจนกระดูกลั่นกร๊อบเขารู้สึกสบายมากกว่าตอนที่ถูกพันธนาการมือทั้งสองข้างไว้เยอะแต่กระนั้นก็ยังคงงุนงงว่าทำไมเรเนซองส์ถึงยอมปล่อยให้มือเขาเป็นอิสระ

    คงเพราะท่าทางสงสัยของไลออนที่แสดงออกมาทำให้เรเนซองส์หันมาตอบทั้งที่ยังขมวดคิ้วอยู่แต่คงไม่ใช่เพราะความรำคาญใจที่มีต่อไลออน

    “เราต้องไปจากที่นี่ แกคงเดินเองได้นะ”

    เรเนซองส์พูดก่อนจะเหลือบตามองแผลเย็บสดขนาดใหญ่กลางลำตัวท่อนบนพร้อมๆกับประโยคหลังที่เขาเอ่ยออกมา

    “แผลแค่นี้”

    ไลออนพูดแล้วลุกขึ้นยืนหลังจากที่นั่งมานาน ความปวดระบมที่เขาเกลียดยิ่งกว่าความเจ็บแล่นแปล๊บไปตามรอยแผลก่อนจะกระจายเป็นวงกว้างแทบจะทำให้ทั้งลำตัวท่อนบนเขาปวดหนึบจนต้องเผลอขมวดคิ้วอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่มือซ้ายยกขึ้นคว้าพนักพิงเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งพิงตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาพยุงไม่ให้ล้มลงไปอย่างน่าขายหน้า

    เรเนซองส์มองนิ่งๆเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดขึ้นมาหน้าตาย

    “ต้องให้อุ้มมั้ย?”

    “ตลกตายล่ะ”

    ไลออนตอบด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นอย่างไม่พอใจนัก จะว่าไปตั้งแต่ได้คุยกันเขาไม่เคยรู้สึกพอใจเรเนซองส์เลยนี่นา? ไลออนคิดอย่างสงสัยเล็กน้อยแต่ก็เท่านั้น เขาเดินไปทางเสื้อของตัวเองที่ถูกถอดวางรวมกันกับเสื้อเกราะกันกระสุนข้างผนังประตูนั่น

    เขานั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วหยิบเสื้อของตัวเองขึ้นมา ด้านหน้ามันขาดแหว่งเป็นเหมือนรอยกรีดทแยงมุมใหญ่ๆจนไม่น่าจะใส่ได้ เขาหยิบขึ้นมาพิจารณา แต่ถ้าไม่ใส่มันเขาก็ไม่มีเสื้อให้ใส่แล้วน่ะสิ? เฮ้อ

    จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างยื่นมาตรงหน้า

    ไลออนไล่มองตามมือของคนที่จับสิ่งนั้นและเหมือนจะรอให้เขารับอยู่ความสงสัยเหมือนจะฉายชัดอยู่บนหน้าของเขาชัดเจนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากถามเองเรเนซองส์ก็ตอบออกมาก่อน

    “เสื้อแกมันขาดขนาดนั้นใส่ก็เหมือนไม่ใส่ เอาตัวนี้ไปมันน่าจะช่วยปิดแผลแกได้”

    ไม่รอให้ไลออนรับเรเนซองส์ก็วางผ้าหรืออะไรสักอย่างในมือนั่นโปะไว้บนหน้าของไลออนอย่างจงใจแต่ไลออนก็ไม่ได้พูดหรือต่อว่าอะไรกลับกันเขายกมือทั้งสองข้างขึ้นจับสิ่งที่อยู่บนหน้าแล้วเอาออกมาคลี่ดู

    ปรากฏว่ามันเป็นเสื้อคอวีสีดำตัวใหญ่ขนาดเท่าผู้ชายที่มักจะออกกำลังกายบ่อยๆจนมีกล้ามเนื้อให้ได้เห็นแต่จากเมื่อครู่ที่มันวางโปะอยู่บนหน้าเขากลิ่นมันไม่เหมือนที่ใส่แล้ว เหมือนกับถูกเก็บไว้เพื่อรอใครใส่แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครใส่มันเลย แค่เหมือนถูกซักไว้และไม่ได้ใส่นานเท่านั้นเอง

    ไลออนไม่ใช่คนเรื่องมากขนาดที่จะใส่เสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะใส่ไม่ได้หรือไม่ใช่สิ่งที่ควรใส่ร่วมกันเท่านั้น

    ไลออนสวมเสื้อสีดำอย่างไม่ช้าหรือเร็วนักเพราะยังปวดแผลอยู่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะยกเสื้อเกราะขึ้นสวมทับอีกที

    ไม่ใช่เพราะว่ามันกันกระสุนได้แต่ในกระเป๋าเสื้อเกราะมันมีของจำเป็นมากเกินกว่าจะถือได้ต่างหากจะเอาใส่กระเป๋ากางเกงก็หนักเปล่าวิ่งลำบากอีกต่างหาก(ลางสังหรณ์ว่าอาจจะต้องวิ่งจริงๆน่ะนะ)

    “แกจะเอานั่นไปด้วยเรอะ?”

    เรเนซองส์ถามเหล่ตามองสิ่งที่อาจจะเป็นภาระในภายหลัง(เสื้อเกราะ)

    “มันจำเป็น”

    ไลออนที่ยืนขึ้นแล้วและแม้ไม่มองคนถามก็ยังรู้ว่าเรเนซองส์หมายถึงอะไรเขาตอบทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากเสื้อเกราะเพื่อจัดให้มันไม่โดนแผลเขานักและเพื่อจะไม่ให้มันมาเกะกะเขามากด้วย

    ไลออนหันไปมองเรเนซองส์ที่กำลังเปิดประตูเพื่อจะออกไปยังด้านนอกก่อนที่คนที่ยังคงยืนจับลูกบิดไว้จะหันมาทางเขาแล้วพยักพเยิดหน้าออกไปทางประตูเชิงว่าให้ตามออกไปไลออนพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินตามเรเนซองส์ออกไปทันที

    แต่ถึงจะเดินออกประตูมาแล้วทางกลับไม่ได้สว่างมากนักเขาเดาว่านี่คงจะเป็นใต้ดินแต่สิ่งหนึ่งที่สงสัยคือทำไมตอนเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตอนเรเนซองส์เปิดประตูแสงนี้มันดูเหมือนจ้าจังนะ?

    เพราะสว่างขึ้นนั่นทำให้เขามองอะไรๆได้ชัดเจนขึ้นรวมถึงใบหน้าด้านข้างของคนด้านหน้าที่ยืนแฉลบไปทางขวานิดหน่อยนั่นทำให้ไลออนเห็นเค้าโครงหน้าของเรเนซองส์ได้ชัดเจนกว่าเดิมแต่ที่ทำก็มีเพียงแค่เหลือบตามองเท่านั้น

    จนดินมาได้เรื่อยๆเหมือนเรเนซองส์จะพาเขาเดินขึ้นไปด้านบนเจอประตูอีกบานก่อนที่เรเนซองส์จะเปิดมันออกคราวนี้เป็นแสงสว่างจ้าจริงๆ

    ไลออนที่เดินตามออกมาต้องหยีตาลงด้วยความที่ไม่ได้เห็นแสงสว่างแบบนี้มานานในความรู้สึกเขายกมือขวาขึ้นป้องตาโดยอัตโนมัติเงยหน้ามองท้องฟ้าสีสดใสด้านบน

    เมื่อเริ่มปรับสายตาให้ชินกับความสว่างนี่ได้ทำให้เขาเห็นอะไรที่มันชัดขึ้นกว่าเดิม

    จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้จริงๆว่าเรเนซองส์มีผมสีน้ำตาลแดงที่มันดูคล้ายกับสีเพลิงยามแสงอาทิตย์ตกกระทบและดวงตาเกือบจะขวางแต่ประดับด้วยความคมคายไว้ชัดเจนนั้นเป็นสีเทา

    เรเนซองส์เป็นผู้ชายที่ตัวสูงกว่าเขานิดหน่อยและมีผิวสีเหมือนเนื้อที่เป็นสีเนื้อจริงๆ เค้าโครงรูปหน้าก็เป็นดั่งเช่นดวงตาที่แม้จะเรียบเฉยแฝงด้วยอารมณ์ของคนใจร้อนแต่ก็มีความคมคายประดับไว้อยู่ ถ้าเอาตรงๆไม่สาธยายให้มันมากความ เรเนซองส์ก็จัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาดีทีเดียว

    แม้เขาจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ก็ไม่ได้กระดากอายอะไรที่จะพูดว่าเรเนซองส์เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเข้าขั้นการยอมรับความจริงนั่นก็เป็นกฎข้อหนึ่งที่เขาตั้งให้ตัวเองก่อนจะตัดสินใคร

    และไลออนเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเรเนซองส์หันมามองเขาเช่นกัน

    “จะมองอีกนานมั้ย?”

    เรเนซองส์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่มีอารมณ์ใดปนอยู่เลยเหมือนแค่ถามให้ไลออนรู้ตัวว่ามองอีกฝ่ายนานแค่ไหนแล้ว

    “จะให้ไปไหนน่ะ?”

    ไลออนที่เฉไฉทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่มองอีกคนจนเหมือนจะเสียมารยาทเขาหันไปมองทางตรงด้านหน้า

    “เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

    ระหว่างพวกเขาจึงเกิดความเงียบขึ้นปนกับเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่ดังรวมกันบ้างสลับกันบ้าง แล้วไลออนก็นึกอีกเรื่องขึ้นจนได้อีกครั้ง

    “ว่าแต่นายพาฉันไปไว้ที่นั่นทำไม?” ไลออนหมายถึงห้องใต้ดินที่เหมือนเรเนซองส์จะจับเขาไปขังไว้

    “เชลย”

    นั่นทำให้ไลออนขมวดคิ้วงุนงงได้

    “นายว่าอะไรนะ?”

    เรเนซองส์หลับตาลงแล้วถอนหายใจก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงโทนปกติคือทุ้มต่ำแบบผู้ชายและราบเรียบของตัวเอง

    “ฉันจะจับแกไปเป็นเชลย พอใจรึยัง?” ไลออนขมวดคิ้วลงอีกครั้ง

    จับเป็นเชลยเนี่ยนะ? มันหมายความยังไงล่ะนั่น ดูแล้วหมอนี่ก็ไม่น่าใช่คนของพวกนั้นนี่นะ...

    ไลออนหมายถึงพวกกองกำลังติดอาวุธของประเทศที่รุกรานประเทศทุระกันดารไร้ทางสู้อย่างประเทศนี้

    เรเนซองส์ที่รู้ตัวว่ากำลังถูกพิจารณาอยู่จากคนข้างหลังทำเพียงมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดแก้ต่างอะไรไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม

    ไลออนไม่เข้าใจคำว่าเชลยของเรเนซองส์ว่ามันเป็นยังไงกันแน่...สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่าเรเนซองส์ช่วยหรือจับตนมาเพื่ออะไร

     


    เดินไปสักพักเรเนซองส์ก็พาเขามายืนหน้าโบสถ์แห่งหนึ่งที่มันดูจะร้างไร้ผู้คนแต่หากไลออนไม่ได้คิดไปเองเขาคิดว่าเขาเห็นเงาคนยืนมองมาทางพวกเขาจากด้านในกระจกใสของโบสถ์ที่สามารถมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นภายในได้

    เรเนซองส์พาเขาเดินเข้าไปในโบสถ์โดยที่ไม่หันมาตอบข้อสงสัยของเขาและเหมือนจะไม่กลัวว่าไลออนอาจจะหนีเลยทั้งๆที่ไลออนเดินอยู่ข้างหลังแท้ๆ

    แอ๊ดดดด..

    เสียงประตูใหญ่หน้าโบสถ์เปิดเข้าไปส่งเสียงเสียดสีกับพื้นให้เสียดแทงใจชอบกล

    “พาใครมาด้วยน่ะ? เรซ”

    เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นมาจากทางขวามือให้ทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาใหม่หันไปมองโดยอัตโนมัติ เรเนซองส์ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยโดยที่แทบไม่ได้ต่างจากสีหน้าเดิมเลยแต่เหมือนบุคคลที่สามที่ว่าจะสังเกตเห็น

    “ผู้เคราะห์ร้ายที่เก็บได้กลางทาง”

    “ผู้เคราะห์ร้ายใส่เสื้อเกราะกันกระสุนแถมยังมีอาวุธ?”

    ไลออนคิดว่าตัวเองเก็บอาวุธได้แนบเนียนแล้วนะ คงไม่ใช่ว่าเรเนซองส์รู้แล้วทำเป็นไม่รู้หรอกน่า...

    “ฉันให้มันเก็บไว้เอง หมอนี่ถูกพวกนั้นตามล่า”

    ดูจากคำตอบเรเนซองส์น่าจะรู้อยู่แล้ว แม้ไลออนจะคิดว่าตัวเองเก็บอาวุธได้แนบเนียนขนาดไหนลึกๆแล้วเขาก็แอบคิดเหมือนกันว่าไม่มีทางที่คนคนนั้นจะไม่รู้ เขาสลบไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้แถมหมอนั่นยังถอดเสื้อแล้วทำแผลให้การไม่รู้ว่าเขาซ่อนอาวุธไว้นี่สิแปลกกว่า

    “เหอะ นายเลยช่วยมันงั้นสิ”

    มันเป็นน้ำเสียงตัดพ้อที่ดูไม่พอใจแปลกๆ

    พูดถึงบทสนทนานั้นแล้วบุคคลที่สามที่ไลออนเห็นคนๆนี้เป็นผู้ชายอายุน่าจะประมาณวัยเดียวกับเขาหรือเรเนซองส์ลักษณะท่าทางดูเจ้าอารมณ์ผมสีดำไม่เป็นทรงนักยาวประมาณต้นคอผิวขาวแบบคนยุโรปตัวสูงกว่าไลออนหรือเรเนซองส์ซะอีกตอนนี้ชายคนนั้นกำลังยืนกอดอกพร้อมมือขวาที่มีปืนกลชนิดหนึ่งอยู่ในมือขมวดคิ้วด้วยท่าทางเหมือนโดนขัดใจนั่นเองก็ทำให้ไลออนหงุดหงิดแปลกๆเช่นกัน

    “ฉันเปล่าช่วย”

    เรเนซองส์เองก็ยืนยันคำเดิมว่าตัวเองไม่ได้ช่วยคนด้านหลังซึ่งคำตอบนั้นมันทำให้ชายคนนั้นขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมส่วนไลออนก็รู้สึกปลงแปลกๆ

    “จะอะไรก็ช่าง หมอนี่มันไม่ควรเข้ามา”

    ชายคนนั้นพักขาข้างหนึ่งแล้วเชิดหน้าขึ้นตามองลงมาที่ไลออนอย่างดูถูกดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด

    เรเนซองส์เหลือบหางตาไปมองคนด้านหลังตัวเองที่เริ่มทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ไป ก่อนที่เรเนซองส์จะหันมาทางชายคนนั้นแล้วพูดตอบอีกครั้ง

    “ไม่ต้องห่วง แค่มาเอาของเดี๋ยวก็ไป”

    แล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อทันทีโดยไม่รอฟังคำถามหรือสนใจว่าใครจะเดินตามมาหรือไม่

    “นายจะไปไหนเรเนซองส์?”

    ชายคนนั้นหันขวับไปทางเรเนซองส์ทันทีที่เจ้าตัวพูดจบแววตาประกายความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม มันก็แน่ล่ะในสถานการณ์อย่างนี้ใครมันจะมาหัวเราะร่ายิ้มเป็นคนบ้าอย่างไอ้บ้าคนหนึ่งได้ล่ะ

    แต่เรเนซองส์ที่เดินไปแล้วไม่ได้ตอบอะไร ชายคนนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางไลออนแทนก่อนจะถามคำถามที่ไลออนเองก็ไม่รู้คำตอบ

    “พวกนายจะไปไหนกัน?”

    ไลออนมองนิ่งๆก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ไม่รู้เหมือนกัน”

    แทบจะทันทีที่ตอบไปชายคนนั้นขยับเข้ามาประชิดตัวไลออนทันทีจนทำให้ผู้ชายที่นับว่าสูงแล้วอย่างเขาต้องเงยหน้ามองเมื่อคนตรงหน้ามันสูงขนาดที่ว่าหัวของเขาอยู่แค่ปลายคางมันเท่านั้นเอง

    “จะถามอีกครั้ง พวกนายจะไปไหนกัน?”

    ชายตัวสูงเหลือบมองมาที่ไลออนด้วยแววตาวาวโรจน์แถมยังดูส่องประกายประหลาดๆอีกเมื่อยืนอยู่ใกล้ๆแบบนี้ มันเป็นดวงตาสีครามที่มีประกายบางอย่างแบบที่ไลออนเคยเห็นครั้งแรก คนปกติคงกลัวแต่เขากลับหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูก

    “ฉันไม่รู้”

    ไลออนก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเหลือบตาขึ้นมองกดเสียงลงต่ำโดยสัญชาตญาณอย่างไม่ยอมแพ้

    ในสายตาของคนอื่นบรรยากาศของทั้งสองคนมันดูมีแรงกดดันแปลกๆจนไม่มีใครอย่างเข้าไปใกล้ ใช่แล้วที่นี่ไม่ได้มีแค่ไลออน เรเนซองส์ หรือชายคนนี้แค่สามคนแต่ยังมีอีกหลายคนที่เหมือนไลออนจะยังไม่รับรู้

    ในที่สุดบรรยากาศที่สร้างมากดดันกันเองของทั้งสองคนก็ต้องจบลงเมื่อมีมือมาจับเข้าที่ไหลคนตัวสูงกว่า

    “พอน่า นายจะไปทำแบบนั้นกับทุกคนที่เข้ามาที่นี่ใหม่ไม่ได้นะนอร์ธ”

    เสียงนั้นมันฟังดูเหนื่อยหน่ายและขบขันมากกว่าที่จะเป็นของคนที่จะมาห้ามจริงๆไลออนหันไปมองพร้อมๆกับคนที่เหมือนจะพยายามข่มเขา ภาพของคนที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นคนที่ตัวสูงกว่าเขาอีกแล้ว แต่น่าจะแค่ประมาณ 3 นิ้วเท่านั้น

    “เห็นหน้ามันแล้วหงุดหงิดนี่หว่า”

    ชายที่ชื่อนอร์ธทำหน้ายุ่งชายตาเหลือบมองไลออนที่ยังขมวดคิ้วแต่น้อยกว่านอร์ธก่อนที่ไลออนจะหลับตาแล้วหันผละจากคนตรงหน้าไปสังเกตรอบๆ

    เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารอบตัวเขามีคนไม่น้อยกว่าสิบคนที่เหมือนส่วนที่ยืนมองมาทางพวกเขาตรงๆคือพวกที่ถือปืนกลกับส่วนที่เหมือนจะแอบๆมองเขาจากหลังเสานั่นส่วนใหญ่มีแต่เด็กที่อายุไม่น่าจะเกิน 16-17 ทั้งนั้นนั่นทำให้ไลออนเอียงคออย่างสงสัยเล็กน้อย

    ไหนบอกว่าเคลียร์ผู้รอดชีวิตหมดแล้วไง...

    ไลออนคิดไปถึงคำพูดของเพื่อนในหน่วยที่ได้คุยกับเขาก่อนที่จะไม่ได้คุยกันอีกหลังจากนั้น

    “เฮ้ย ไลออน

    นั่นทำให้ไลออนหันไปทางต้นเสียงแทบจะทันที ตั้งแต่ตื่นมาก็เพิ่งได้ยินคนเรียกชื่อเขานี่แหละ และในที่นี้คนที่รู้ชื่อเขาก็มีเพียงคนเดียว

    สิ่งที่ได้กลับมาหลังจากหันไปหาเรเนซองส์ที่เพิ่งเดินกลับมาจากประตูหนึ่งของโบสถ์คือหลอดแก้วที่ใหญ่เท่ากับนิ้วชี้ของไลออนหนึ่งหลอดและปืนกลมืออีกหนึ่งกระบอกซึ่งจากชนิดที่ดูแล้วน่าจะเป็น เฮคแลร์อุนด์คอค MP5 โดยมีแม็กกาซีนถูกโยนตามมาติดๆจนไลออนเกือบจะทำหลอดบรรจุของเหลวสีอำพันใสนั่นตกซึ่งถ้าเป็นไปได้จริงๆเขาก็อยากจะแกล้งทำตกเหมือนกัน

    “แกต้องใช้พวกมัน ยานั่นอยู่ที่แกหนึ่งหลอดกับที่ฉันอีกห้า ถ้าแกทำตกหรือหายแกต้องชดใช้กับราคาของมัน”

    เรเนซองส์พูดดักขึ้นมาเหมือนจะรู้ว่าในอนาคตไลออนจะแอบเอายาของเขาไปโยนทิ้ง

    ไลออนขมวดคิ้วแวบนึงกับคำพูดของคนชอบสั่งแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นก่อนจะเอื้อมมือไปเก็บหลอดยานั่นไว้หลังกระเป๋าเสื้อเกราะ

    “เฮ้ย ยานั่น หรือว่า...”

    นอร์ธเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนตกใจหรือตื่นตะลึงพอจะนึกหาสาเหตุที่ทำให้ไม่ชอบหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั่นได้แล้ว

    นอร์ธหันไปหาเพื่อนตัวเองแล้วพูดใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “นี่หมอนี่มันติดเชื้อมาแกก็ยังจะช่วยมันมาเป็นภาระเนี่ยนะ ทำไมไม่ปล่อยมันทิ้งไว้”

    “หนึ่งฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ช่วยและสองหมอนี่มีประโยชน์”

    การสนทนาของทั้งสองคนเกือบจะดูราบรื่นถ้าไม่นับรวมอารมณ์ที่เหมือนเริ่มปะทุนั่นไปด้วยแต่สิ่งที่ทำให้มันไม่ราบรื่นจริงๆคือหัวข้อสนทนาต่างหาก

    “ติดเชื้อ? หมายความว่ายังไง?”

    ไลออนหันไปทางเรเนซองส์ที่ไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรตนเลยสักนิดเรเนซองส์แค่เพียงหันมามองเมื่อโดนถามแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาหันไปพูดกับคนที่ยืนข้างๆนอร์ธต่อ

    “แมร์รี่ พอจะช่วยดูให้หน่อยได้รึเปล่าตอนที่ไม่อยู่?”

    “จะไปไหนล่ะ?”

    “ต้องไปสะสางธุระนิดหน่อย อาจจะนาน ระหว่างนั้นช่วยคุมให้หน่อยนะ”

    เรเนซองส์อาจจะหมายถึงคนในโบสถ์หรือไม่ก็นอร์ธคนนั้นก็ได้

    “รับทราบครับ”

    แมร์รี่ผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มผิวซีดและตาสีน้ำตาลอ่อนตอบรับยิ้มๆตามแบบฉบับของตัวเองก่อนจะหันไปจับไหล่นอร์ธที่ทำท่าเหมือนจะโต้แย้งอะไรให้สงบลง

    “ไปได้แล้ว”

    เรเนซองส์หันไปพูดกับไลออนโดยไม่สนสายตาไม่พอใจที่ถูกส่งมาแล้วเดินนำออกไปพร้อมกับชักปืนลูกซองในมือตัวเองเสียงดังโดยไม่สนใจว่าเชลยที่เขาจับมาจะเดินตามออกไปหรือเปล่า

    ไลออนที่รู้จักเรเนซองส์อยู่คนเดียวทำท่าจะเดินตามออกไปถ้าเกิดว่าไม่มีเสียงคนเรียกไว้ซะก่อน

    “เฮ้! ฉันชื่อแมร์รี่ นี่นอร์ธ(นอร์ธทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ไลออน) ส่วนนาย?” แมร์รี่เว้นประโยคเพื่อให้เจ้าของชื่อตอบเองทั้งที่รู้อยู่แล้วจากประโยคที่เรเนซองส์คุยกับคนคนนี้

    “ไลออน” ไลออนตอบไร้ท่าทางอยากสร้างสัมพันธ์ไมตรีฉันท์มิตรอย่างชัดเจน ก็ไม่รู้จะทำไปทำไมยังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกอยู่ดี...

    “หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ”

    แต่คำพูดของแมร์รี่ที่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มผูกสัมพันธ์นั่นมันสวนกับความคิดของไลออนอย่างชัดเจนจนเขาเองก็อดอึ้งเล็กๆไม่ได้แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปนอกเสียจากเสียงตอบรับในลำคอสั้นๆ

    “อืม”

    ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินก้าวเท้ายาวๆตามเรเนซองส์ที่เดินทิ้งระยะไปพอสมควรแล้วออกไป

     


    “นั่นมันอะไร?”

    ไลออนที่เดินตามหลังเรเนซองส์ในระยะสามเมตรส่งเสียงถามขึ้นมาโดยไม่ขยายความอะไรอีกเพราะดูเหมือนเรเนซองส์เองก็เข้าใจความหมายของคำถามนั้นอยู่แล้ว

    “ก็แค่ผู้หลบภัยที่ไม่มีใครหาตัวเจอ ออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลยได้แต่อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ”

    เรเนซองส์เองก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบเฉยและแสดงท่าทางไม่อยากพูดอะไรให้มันมากกว่านี้อย่างชัดเจนไลออนจึงไม่ถามต่อแต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีคำถามอะไรเหลืออยู่ในหัวเลย ไลออนแค่เปลี่ยนหัวข้อของคำถามเท่านั้น

    “แล้วหมายว่าความว่ายังไงที่ฉันติดเชื้อ?”

    “...”

    เรเนซองส์ไม่ตอบตามคาด

    ไลออนเองก็ไม่ใช่คนที่จะละความพยายามได้ง่ายๆเขารู้ว่าเรเนซองส์กำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับเขาอยู่แต่หมอนี่ไม่ยอมพูดออกมาก็เท่านั้นเอง และถึงไลออนจะไม่ใช่คนที่ละความพยายามง่ายๆแต่เขาก็ไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เช่นกัน

    ทางเดียวที่อยากรู้ถ้าไม่ถามคนปากหนักนั่นคือต้องคิดเอง

    ไลออนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าที่ประเทศนี้มีเชื้ออะไรระบาดไม่ว่าจะเชื้อโรคหรือเชื้อซอมบี้อย่างในหนังซึ่งอย่างหลังไม่ใช่แน่แต่ถ้าพูดถึงการติดเชื้อแบบที่ไม่ใช่โรคก็คงเหลือแต่การแพร่เชื้อแบบต้องสร้างบาดแผลให้เหยื่อหรือปลูกถ่ายอวัยวะหรืออาจจะเป็นฉีดยาซึ่งไลออนก็มั่นใจอีกเช่นกันว่านอกจากยาประหลาดๆของคนเบื้องหน้าเขาก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย พูดถึงเรื่องของกินยาขมนั่นมันเป็นอย่างเดียวและอย่างแรกที่เขาได้กระเดือกลงท้องนี่นะมิน่าถึงได้หิวแปลกๆ กลับเข้าเรื่องอีกครั้งถ้าไม่ใช่การถูกฉีดยาหรือปลูกถ่ายอวัยวะที่ไลออนจำไม่ได้ว่าเคยทำก็คงเหลือแต่การถูกสร้างบาดแผลสินะ

    และแผลเดียวที่เขาได้ตั้งแต่มาที่นี่และเป็นแผลที่ใหญ่มากเสียด้วยจนตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อยู่มันอยู่ที่กลางอกและหน้าท้องเขาแผลที่โดนกรงเล็บของหมาป่า

    นั่นทำให้ขาที่กำลังก้าวเดินของไลออนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเดินอย่างปกติซึ่งเรเนซองส์ที่จับความผิดปกติได้แม้จะอยู่ด้านหน้าเหลือบหางตามามองคนข้างหลังเป็นระยะๆ

    ไลออนมองตรงไปทางเรเนซองส์ที่เหมือนจะกำลังเหลือบมองตนแล้วก็ต้องคิดหนักอีกครั้ง

    คงไม่ใช่ว่าเขาติดเชื้อหมาป่าอย่างในหนังหรอกนะ?...มันคงไม่หลุดโลกขนาดนั้นหรอกมั้ง?....

     

    โฮกกกกกกก!!!!!

     

    จู่ๆเสียงร้องคำรามก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆจนทำให้ทั้งสองคนที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนนั้นสะดุ้งอย่างตกใจก่อนเรเนซองส์จะหันไปทางหนึ่งที่น่าจะเป็นต้นเสียงก่อนจะหันหลังกลับมาทางคนด้านหลังที่กำลังทำหน้าเหมือนเป็นกังวลกับเสียงนั้นสายตาก็เฉมองไปทางที่เรเนซองส์เพิ่งละสายตาไป

    “ออกแรงสักหน่อยนะ”

    ในทีแรกไลออนเองก็งงกับคำพูดนั้นก่อนจะเข้าใจในไม่กี่วินาทีต่อมาเมื่อเสียงเหมือนสิ่งมีชีวิตหลายขากำลังวิ่งและที่สำคัญเสียงมันใกล้มาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนมันสั่นสะเทือนอยู่ด้านหลังนี้เองทั้งๆที่เสียงร้องคำรามนั่นมันมาจากทางขวามือแท้ๆ

    ไลออนหันไปมองด้านหลังตนที่แรงสั่นสะเทือนหยุดลง เขาเห็นบางอย่างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากระยะน่าจะประมาณ 30 เมตรได้...

    สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ มีเขี้ยวเล็บและลักษณะท่าทางเหมือนสัตว์ไม่พอมันมันมีจำนวนที่ไม่ต่ำกว่า 10 ตัวด้วยซ้ำ...

    “วิ่งซะ!!!

    เสียงของเรเนซองส์แล่นเข้าสู่โสตประสาทโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากมายไลออนออกตัววิ่งไปด้านหน้าทันทีพร้อมกับคนด้านหน้าที่เหมือนจะกำลังจัดการกับอาวุธของตนแล้วชะลอความเร็วลงให้มาอยู่ในระดับเดียวกับไลออนก่อนจะหันมาพูดบางอย่าง

    “เตรียมอาวุธของแกให้ดี! เพราะแกจะไม่ได้เจอแค่ไอ้พวกนั้นแน่ ไอ้ตัวที่ตามแกกับไอ้พวกทหารที่มันทำลายที่นี่เป็นพวกเดียวกัน ถ้าไม่อยากจบแบบเละๆก็ใช้ขากับมือมากกว่าปากซะ!

    ตามที่ไลออนเข้าใจเรเนซองส์คงจะหมายถึงว่าให้เขาหยุดพูดหยุดถามแล้ววิ่งไปพร้อมๆกับใช้ปืนในมือให้เป็นประโยชน์และที่เรเนซองส์พูดถึงขาก่อนนั่นอาจจะหมายถึงให้เขาวิ่งมากกว่าสู้จะดีกว่า ไลออนพยายามตีทุกคำพูดของเรเนซองส์ออกมาให้เป็นประโยชน์ซึ่งไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดความหมายในประโยคนั่นคือถ้าไม่อยากตายเร็วก็หนีจะดีกว่าซึ่งชายชาติทหารอย่างไลออนก็ไม่อยากจะปฏิเสธนักหรอกว่ามันเป็นคำพูดที่ดีไม่น้อย

    สถานะของเขาในตอนนี้เหมาะกับจะเป็นทหารมากกว่าCIAจริงๆสินะ...

    เรเนซองส์เอี่ยวตัวไปด้านหลังพร้อมกับลั่นไกปืนลูกซองออกไปไลออนได้ยินเหมือนสุนัขร้องและเงียบหายไปพอหันไปดูแม้จะมีหมาป่าตัวใหญ่ยืนสองขานับสิบแต่เขาก็เห็นว่ามีตัวที่นอนอย่างไม่ค่อยเป็นท่าด้านหลังกองทัพเพื่อนของมันซึ่งนั่นทำให้ไลออนฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้...

    ด้วยความอยากจะพิสูจน์ไลออนจึงหันไปด้านหลังและกราดลูกกระสุนปืนกลใส่พวกหมาป่าโดยพยายามเล็งไปที่หัวเขาได้ยินพวกมันร้องโหยหวนอย่างทรมานพอหันกลับมาวิ่งแล้วหันไปก็เห็นมีควันลอยขึ้นมาซึ่งพอจะทำให้เขาเดาได้

    “นี่กระสุนเงินเหรอ?”

    เรเนซองส์หันมาหาไลออนด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นโบว์แล้วพูดเสียงดัง

    “เพิ่งบอกไปเองนะว่าให้ใช้ขากับมือให้มากกว่าปาก!

    แม้จะไม่ได้รับคำตอบ ไลออนก็พอจะเข้าใจแล้ว

    เขาคงต้องพยายามประหยัดกระสุนแพงๆนี่ไว้แม้จะมีเติมอยู่ถึง 5 แมกกาซีนแต่กับปืนกลถึงสิบแมกฯในไม่ถึง 10 นาทีมันคงหมดเกลี้ยงถ้าใช้อย่างไม่เห็นค่า

    นั่นเป็นเหตุผลที่เรเนซองส์เลือกปืนลูกซองหรือเปล่านะ?

     

    “ไลออน!!!

    จู่ๆเสียงของเรเนซองส์ก็เรียกดังขึ้นจนแทบจะเป็นตะโกนนั่นทำให้ไลออนรู้สึกตัว

    เขาหันไปมองทางซ้ายมือที่มีเสียงแปลกๆบางอย่างดังขึ้นเป็นเสียงเหมือนเครื่องยนต์ที่จากความรู้สึกแล้วมันอยู่ไม่ไกลเกิน 5 เมตรด้วยซ้ำ

    ไลออนรู้สึกเหมือนจะช็อคตอนเห็นรถที่มักจะใช้ขนทหารเข้าออกสนามรบอยู่ในระยะประชิด ใกล้ซะจนเขานึกว่ากำลังจะถูกชนถ้าไม่มีแรงกระแทกจากด้านหลังให้พุ่งไปข้างหน้าแล้วล้มลงกับพื้นดินแดงซะก่อน

    เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วในอกราวกับจะหลุดออกมาความรู้สึกต่อมาคือเจ็บบริเวณหน้าท้องส่วนที่มีแผลใหญ่รู้สึกเหมือนแผลฉีกตอนที่ล้มไลออนนิ่วหน้าลงแต่ก็ต้องแทบสะดุ้งเมื่อถูกกระชากไหล่ให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมแรงบีบและเสียงตะคอก

    “เหม่ออะไรของแก!! อยากตายอนาถเพราะไม่ได้ดูว่ามีรถมารึเปล่าหรือไง!!? ฉันพาแกมาเพื่อใช้ประโยชน์ไม่ใช่เพื่อให้ตาย! ลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อสิว่ะ!!

    ไลออนเพิ่งเห็นมุมเดือดจัดของเรเนซองส์ก็ตอนนี้แหละตอนถูกตะคอกใส่ก็เผลอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะแถมยังลืมว่าตัวเองเจ็บแผลมารู้สึกตัวอีกครั้งตอนวิ่งต่อได้หลายนาทีต่อจากนั้นแล้ว

    ไลออนจะหันไปบอกเรเนซองส์ว่าแผลเปิดถ้าหางตาไม่เหลือบไปเห็นด้านหลังว่ามีพวกกองทหารติดอาวุธซึ่งเป็นประเทศที่เขาเรียกว่าประเทศรุกรานวิ่งตามมาอยู่ มันดูตลกยังไงไม่รู้ที่เห็นพวกหมาป่าตัวใหญ่พวกนั้นวิ่งตามหลังพวกทหารที่สำคัญเป้าหมายของพวกมันเหมือนจะเป็นพวกเขาทั้งสองคน

    ไลออนเริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว รู้สึกเหมือนพวกมันจับจ้องมาทางเขาราวกับว่าหมายมั่นว่าจะจับให้ได้ ไม่ใช่จับเพื่อกิน(?)หรือฆ่าแต่เหมือนเพื่อจะพาไปทำอะไรสักอย่างซึ่งไม่น่าจะดีกับตัวเขาพอมองไปทางเรเนซองส์ความรู้สึกที่ว่าถ้าพวกนั้นจับเขาทั้งสองคนได้เรเนซองส์จะไม่รอด...

    มันอะไรกันว่ะ?...

    ไลออนคิดเมื่อพอสังเกตดูอีกครั้งทำไมตอนที่เขากำลังคิดอยู่ภาพทั้งหมดมันดูช้าลง ช้ามากแม้กระทั่งตัวเขาเองแต่ความคิดของเขาและดวงตาของเขามองทั้งหมดได้ชัดเจน ภาพดูจะมืดลงเหมือนอยู่ในห้วงอะไรสักอย่างถึงอย่างนั้นสิ่งที่ชัดเจนก็มีเพียงพวกเขาและสิ่งที่กำลังขยับอยู่เท่านั้น เสียงของสิ่งต่างๆรอบตัวก็ดูจะเงียบลงไปสงัดกลายเป็นเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเขาเอง เป็นเสียงที่ก้องในหัวไปมาจนทำให้ตาพร่ามัว

    ฉับพลันโลกทั้งโลกก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติดังเดิม รีบเร่ง ร้อนรน วุ่นวาย หนวกหู และน่ารำคาญ...

    ไลออนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเลือดสีแดงสดจากแผลที่ฉีกนั่นมันกำลังไหลลงมาตามหน้าท้องซึมผ่านเสื้อที่ใส่ไหลลงมาตามขากางเกงและหยดลงบนพื้นตลอดทางยาวที่เขาวิ่งผ่าน

    แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่วิ่งอยู่ด้านข้าง

    แต่เรเนซองส์ก็ไม่ใช่คนที่สนใจชีวิตใครนักแม้นั่นจะเป็นคนที่เขาบอกว่าพามาเพื่อใช้ประโยชน์ก็ตามตราบใดที่เจ้าตัวมันเองยังไม่พูดออกมา

    เรเนซองส์หันไปมองรอบด้านและด้านหลังตัวเองเห็นเลือดสีแดงสดหยดลงพื้นเป็นทางยาวและเหมือนเจ้าของเลือดนั่นจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เหมือนไลออนจะจมอยู่ในห้วงอะไรสักอย่างทั้งที่อุตส่าห์ให้ปืนกลไปแต่ตั้งแต่ที่ไลออนยิงไปครั้งแรกหลังจากนั้นก็ไม่ยิงอีกเรเนซองส์รู้สึกเสียของอย่างมากถ้าเอามาแล้วไม่ใช้จะเอามาเพื่ออะไรแม้ว่ากระสุนมันจะแพงขนาดไหนเขาก็ห่วงชีวิตตัวเองมากกว่าใจหนึ่งถึงได้ฝากชีวิตไว้กับปืนกลในมือของไลออนที่ควรจะเลิกคิดอะไรในหัวแล้วใช้มือซะบ้าง

    แม้ว่าไลออนจะหน้าซีดราวกับคนจะล้มให้ได้ทุกเวลาเรเนซองส์ก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี อยากจะฉกปืนกลนั่นมาจากมือไร้ประโยชน์นั่นซะเดี๋ยวนี้

    เรเนซองส์หันไปมองทางด้านหน้าแล้วนึกขึ้นได้อีกครั้ง

    ทางนี้มัน...

    “เฮ้ย! ไลออน!

    เรเนซองส์เรียกชื่อคนที่ไม่ทำประโยชน์อะไรให้เขาสักอย่างนอกจากเป็นภาระเป็นครั้งที่สามของวันโดยที่เจ้าของชื่อก็หันมามองเขาเหมือนจะรอให้เขาพูดอยู่

    “กลั้นหายใจซะด้วยล่ะ”

    จากที่ไม่รู้เรื่องอยู่แล้วไลออนยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่ก่อนจะเข้าใจเมื่อหันไปเห็นทางด้านหน้า

    ใช่ มันอาจจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้พวกเขารอดจากการตามล่าของพวกหมาป่าสองขากับมนุษย์อีกเกือบยี่สิบโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมากกว่านี้

    แต่ไลออนเหนื่อยเกินกว่าจะกลั้นใจตามที่เรเนซองส์บอกได้ทัน...

    “เดี๋ยวก่อน!!

    ไม่ทันได้พูดมากไปกว่านั้นก็ถูกฉุดกระชากต้นแขนแล้วกระโดดลงแม่น้ำลึกเบื้องหน้าทันที!

     

    ปัจจุบัน

    ตูมมม!!!

    เสียงเหมือนของตกน้ำตูมใหญ่นั่นทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมขึ้นมาสูงเกือบสองเมตรก่อนที่มันเกือบจะสงบลงหากนั่นมันไม่ใช่ทางน้ำเชี่ยว

    อุ๊บ!..อึก

    เสียงสำลักและเผลอกลืนน้ำใต้ผิวน้ำไปไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากเจ้าของเลือดที่พอแผลที่เพิ่งเปิดสดๆโดนน้ำบริเวณนั้นก็ปนไปด้วยของเหลวสีแดงแทบจะทันทีในขณะที่ไลออนตะเกียกตะกายกำลังจะขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อหาอากาศเข้าปอดก็ถูกดึงไว้โดยมือของคนที่กระชากต้นแขนเขาลงมาโดยไม่ปรึกษากันก่อน(แม้จะเตือนไปก่อนหน้าแล้วก็ตาม)

    ไลออนพยายามจะสะบัดให้หลุดโดยสัญชาตญาณหากเขาไม่รีบขึ้นเหนือผิวน้ำซะเดี๋ยวนี้เขาได้ตายจริงๆแน่

    แต่มือที่จับแขนเขาซะเหนียวแน่นนั่นบีบแรงๆจนไลออนรู้สึกปวดหน่วงๆไม่รู้ว่าเจ้าของมือมันรู้รึเปล่าว่าใช้แรงแบบไหนอยู่แต่เรเนซองส์ก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆเขาดึงไลออนลงเมื่ออีกคนจะว่ายขึ้นไปจนทั้งสองหันมาเผชิญหน้ากัน

    ใช่ว่าเรเนซองส์จะไม่รู้ว่าไลออนไม่ได้กลั้นหายใจก่อน วิ่งมาอากาศก็สูดได้ไม่เต็มปอดแล้วยังจะให้สูดอากาศเข้าตามด้วยกลั้นใจภายในเวลาไม่ถึง 2 วินาทีไม่แปลกที่ไลออนจะทำไม่ได้เสียเลือดไปตั้งขนาดนั้นด้วยแต่ไอ้การตะเกียกตะกายจะขึ้นท่าเดียวนี่เขาก็ยอมไม่ได้เหมือนกันไม่งั้นแล้วจะกระโดดลงมาเพื่ออะไร ขืนพวกมันยังตามมาอยู่จะเป็นพวกเขาเองนั่นแหละที่ทำอะไรเสียเปล่าแถมโดนจับอีกอย่างน้อยก็ขอให้น้ำเชี่ยวนี่พัดไปให้ไกลๆกว่านี้หน่อยเถอะ

    แต่เหมือนไลออนจะเริ่มไม่ไหวจริงๆ

    จากที่ไม่ได้กลั้นใจอยู่แล้วอากาศที่พอจะมีเองโดยอัตโนมัตินั่นก็เริ่มหมดสังเกตจากฟองอากาศที่เริ่มลอยขึ้นเหนือหัวแล้วสุดท้ายเพราะยังถูกจับแขนไว้อยู่ไลออนก็สำลักน้ำออกมาอีกครั้งจนตอนนี้เหมือนจะกลืนน้ำเข้าไปเต็มๆและดูเหมือนใกล้จะสลบจริงๆ

    ไลออนที่เริ่มไม่มีแรงจะตะเกียกตะกายหรือสะบัดแขนให้หลุดเริ่มหยุดมืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมยกขึ้นมาป้องปากกับจมูกโดยสัญชาตญาณแต่ก็ต้องปล่อยเมื่อตัวเขาเองที่ทนไม่ไหว

    เปลือกตาปิดลงอย่างคนเหนื่อยล้าและหมดแรงริมฝีปากอ้าออกปล่อยฟองอากาศให้ลอยออกไปร่างกายส่วนอื่นๆก็ปล่อยให้ลอยไปตามแรงเคลื่อนที่ของน้ำก่อนจะรู้สึกว่าถูกจับต้นคอดันขึ้นริมฝีปากที่เผยอออกเหมือนถูกดันให้ปิดลงด้วยสัมผัสนิ่มๆก่อนจะรู้สึกว่ามีอากาศให้หายใจได้อีกครั้ง

    ไลออนลืมตาขึ้นมาอย่างฝืนๆช้าๆสิ่งแรกที่เห็นคือ...สาหร่าย? ไม่สิ สาหร่ายที่ไหนบ้างสีแบบนี้ดูดีๆแล้วนั่นเป็นเส้นผมต่างหาก เส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ลอยเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนที่ของน้ำพลิ้วไหวไปมาดูน่าจะนิ่มมือ แต่มันอยู่ใกล้เกินไปรึเปล่า?

    ไลออนหลับตาและลืมตาอีกครั้งนอกจากเส้นผมที่เขาเห็นเป็นสิ่งแรกแล้วก็คือเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องเดาว่าคือใครตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ก็มีแค่คนเดียวที่อยู่กับเขามาตลอด...หือ?

    มันใกล้ไปจริงๆด้วย คนเราถ้าหน้าจะใกล้กันจนตาแทบพร่ามัวขนาดนี้มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างหรอก

    หมอนี่ช่วยเขาอีกแล้ว...

    ไลออนยังรู้สึกว่าความใกล้นี่มันยังเนิ่นนาน...นานจนกินเวลาหลายนาทีการทำแบบนี้มันส่งอากาศจากอีกคนไปยังอีกคนสลับกันไปมาใต้น้ำได้ถ้าคนส่งอากาศคนแรกอึดพอมันจะมีทางเป็นชั่วโมงได้แต่ในกรณีของเรเนซองส์นี่เขาก็ไม่แน่ใจจนตอนนี้มันก็น่าจะนานหลายนาทีแล้วนะถ้าขึ้นไปเหนือผิวน้ำคงถูกน้ำเชี่ยวพัดมาไกลแล้ว

    สัมผัสที่ริมฝีปากถูกผละออกไปพร้อมกับดวงตาสีเทาของเรเนซองส์ที่ถอยออกไปจนมองเห็นได้ทั่วทั้งใบหน้าลืมขึ้นมองเขานิ่งใต้น้ำโดยที่ไลออนก็มองกลับไปด้วยความนิ่งเรียบเหมือนคนไม่คิดอะไรเช่นกันก่อนที่เรเนซองส์จะพาว่ายขึ้นไปเหนือผิวน้ำโดยมีไลออนว่ายตามไปติดๆ

     

     

    “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก...ฮ่า”

    ไลออนนั่งหอบหายใจเอนหลังพิงโขดหินข้างแม่น้ำที่อุตส่าห์ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์เขาเผลอกลืนน้ำในแม่น้ำนั่นไปซะหลายอึก

    เรเนซองส์นั่งพิงอยู่อีกด้านติดๆกันไม่รู้ว่าเขากลืนน้ำเข้าไปด้วยหรือเปล่าถึงได้ไอโขลกขลากออกมาซะยกใหญ่แถมยังจามอีก

    หมอนี่คงไม่ใช่คนที่ป่วยง่ายขนาดนั้นหรอกนะ...

    ไลออนที่นั่งพักผึ่งตัวกับแดดเงยหน้ามองท้องฟ้าสดใสไม่เข้ากับอารมณ์ เลือดที่ไหลหยุดไปแล้วตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ตัวแต่บางทีหลังจากนี้คงอักเสบเพราะโดนน้ำแถมมันก็ไม่ได้สะอาดนักอีกด้วย

    อีกความคิดหนึ่งที่อยู่ในหัว

    ไลออนกำลังคิดอยู่ว่าตัวเองควรจะพูดออกไปดีไหม

    “...”

    “...”

    จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่เรเนซองส์ที่ควรจะต่อว่าเขาที่ไม่ยอมกลั้นใจพลอยพาเขาให้เดือดร้อนไปด้วยหรืออาจจะเป็นตอนที่เขาพยายามตะเกียกตะกายอย่างน่าสมเพชตอนนี้เรเนซองส์กลับทำเพียงนั่งเฉยๆ

    หรือเขาจะมองเรเนซองส์ผิดไป?

    “...ขอบใจ”

    “เรื่องอะไรล่ะ”

    เรเนซองส์พูดสวนขึ้นมาแต่ในประโยคกลับไม่ได้แฝงอารมณ์ความสงสัยไว้เลย

    “ก็เรื่องใต้น้ำนั่นล่ะ”

    “มันมีตั้งสองสามเรื่องนะ”

    ตอนนี้ไลออนชักจะหงุดหงิดแล้วสิเหมือนเรเนซองส์พยายามบีบให้เขาพูดยังไงอย่างนั้น

    “เอาเป็นว่าขอบใจที่แบ่งอากาศให้แล้วกัน”

    “แบ่งอากาศ? ตอนไหนกันนะ”

    ไลออนชักสีหน้าอย่างไม่พอใจหันไปมองเรเนซองส์ที่ยังนั่งทำหน้าตายได้อีก

    “นายจะให้ฉันพูดใช่มั้ย?”

    “ก็เปล๊า”

    ตอบแบบนี้ใครเชื่อก็โง่เต็มทน ไลออนคิดพลางหันกลับมานั่งที่ตัวเองดีๆแล้วยกมือขึ้นเกาหัวที่เปียกด้านหลังของตนรู้สึกกระดากอายที่จะพูดจริงๆ

    เขารู้ว่านั่นมันคือการช่วยชีวิตแต่ควรจะใช้คำว่าอะไรให้เหมาะดีนะ?

    ไลออนคิดอย่างไม่รู้ตัวว่าถูกแอบเหลือบมองจากคนด้านข้าง

    “ไม่จำเป็นต้องพูดแต่ขอถามอะไรหน่อย”

    ไลออนเหลือบมองคนที่พูดขึ้นมาก่อนแล้วพูดตอบแม้นั่นจะไม่ใช่คำถาม “ว่ามาสิ”

    เรเนซองส์เหลือบมองอีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้ละไปมองทางอื่นเขามองค้างอยู่อย่างนั้นแล้วหันมามองหน้าไลออนตรงๆเอ่ยพูดคำถามออกไปด้วยใบหน้าตายด้านเรียบเฉย

    “นั่นครั้งแรกหรือเปล่า?”

    “....”

     


    TBC.Episode 3 Next page

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------

    มุม Talk of Akatsuki

    ไฮย์ เบบี๋ย์~ มันไม่วายนะ ไม่วายจริงเจร๊งงงงงง!! ตอนนี้เขียนมาเพื่อนสนองวูบตัวเองที่นึกขึ้นได้ตอนไปฟังผลสอบก่อนวันประกาศจริงหรือก็คือเมื่อวันจันทร์(14/09/15)ที่ผ่านมา วันนั้นไปทดลองสอบกับคอมของม.3 แล้วเพื่อนมันก็เป็นสาววายไงคิดไรไม่รู้ทำเราคิดตาม 5555555 กลายเป็นอย่างนี้ไปได้ แต่มันไม่วายนะไม่วายจริงเจร๊งงงงงง(คนเรียกร้องก็ไม่แน่555555)เพื่อนอ่ะเพื่อน ความสัมพันธ์แบบเพื่อนแถมไม่มีนางเอกช่างน่าสุขใจยิ่งนัก ไว้เจอกันตอนหน้า บั้ยบัยย์เบบี๋ย์~

    หมายเหตุ : วิบัติเพื่อเสียงและอารมณ์

    ป.ล.ขอโทษนะคะเราไม่แน่ใจว่ามีคำผิดหรือเปล่าตรวจหลายรอบอยู่ เราไม่รู้ว่าถ้าแก้คำผิดมันจะไปแจ้งเตือนคนที่กดติดตามหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามันแจ้งแล้วกดเข้ามาอ่านไม่เห็นตอนใหม่ขึ้นแสดงว่าเราแก้คำผิดนะขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้ลำบาก

     

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------

    แถมท้ายตอน

     

    “ไม่ตามไปงั้นหรือ?”

    คำถามถูกส่งออกมาจากนายทหารคนหนึ่งซึ่งมีปืนกลสะพายไว้ด้านหลังโดยตั้งแต่แรกเขาไม่ได้เอาออกมาใช้เลยทั้งๆที่ถ้าเป้าหมายเป็นคนอื่นคงพรุนไม่เหลือซากไปแล้ว

    “ไม่ล่ะ”

    คำตอบถูกส่งออกมาจากหมาป่าตัวใหญ่แถมยืนสองขาที่คนปกติคงเรียกว่ามนุษย์หมาป่ามันมองไปตามทิศทางการไหลของแม่น้ำด้วยแววตามีเลศนัยชอบกล

    “ท่านดูสนใจมนุษย์ผู้นั้นยิ่งนัก”

    นายทหารคนเดิมผู้ซึ่งมีหมวกสวมอยู่บนหัวแทบจะปิดบังใบหน้าครึ่งบนตั้งแต่ดวงตาขึ้นไปเกือบหมดทำให้เขาดูมีความลึกลับแบบแปลกๆ

    “คงอย่างนั้น”

    มนุษย์หมาป่าตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอเล็กๆหรี่ตาคมปราดเปรียวของหมาป่าลงเล็กน้อยเมื่อแลเห็นแม่น้ำถูกปนเปื้อนไปด้วยเลือดของคนที่เขาตาม

    มนุษย์หมาป่าที่ตัวใหญ่กว่าทุกตัวในที่นี้หันไปทางหนึ่งซึ่งมีหยดเลือดสีสดของมนุษย์ที่เขาสนใจหยดตามทางไม่นานก็มีนายทหารหลายคนเข้าไปบริเวณนั้นย่อตัวลงและเก็บหยดเลือดนั่นใส่หลอดแก้วทุกหยดที่เห็นและพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

    “ดูแล้วท่านอยากนำเขามาอยู่ข้างกายใช่หรือไม่?”

    นายทหารคนเดิมถามอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจเพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องกลัว มนุษย์หมาป่าตัวใหญ่เหลือบตาลงมองเขาซึ่งยกคงถูกเงาหมวกปิดไว้ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากจนเขี้ยวแหลมคมโผล่ออกมา

    “เจ้ารู้ใจข้าเสมอแล้วยังจะถามอีกนะ”

    นายทหารไม่ตอบอะไร

    “ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าเองก็สนใจเขาไม่ใช่หรือไง?”

    มนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ถามอย่างรู้ทันแต่เขาไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร

    หากใครอยากได้ก็ต้องแย่ง หากใครชนะก็ไม่มีสิทธิมายุ่งอีก ตอนนี้มนุษย์ที่พวกเขากำลังสนใจนั่นยังไม่มีใครเป็นเจ้าของฉะนั้นการจะหวงไม่เข้าเรื่องนั่นจึงเป็นอะไรที่ดูจะงี่เง่ามาก

    นายทหารยกมือซ้ายขึ้นขยับปีกหมวกด้านหน้าโดยที่ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มไว้ได้เขาเผยอยิ้มออกมาอย่างคุมไม่อยู่ดวงตาสีแปลกตาวาวโรจน์ภายใต้เงาหมวกเหลือบมองหยดเลือดที่กำลังถูกเก็บเข้าหลอดนั่นอย่างสนใจ

    “ท่านเองก็รู้ใจข้า”

    ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงติดจะเจ้าเล่ห์ มนุษย์หมาป่าตัวใหญ่แสยะยิ้มกว้างมองลงไปในน้ำที่มีเลือดสีสดเจือจางอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่

    “กลิ่นเลือดช่างหอมหวนจริงๆ นอกจากพวกเราแล้วข้าก็ไม่อยากให้เผ่าพันธุ์ใดมายุ่งกับมนุษย์นั่นอีกเลย”

    มนุษย์หมาป่าร่างใหญ่พูดเหมือนเสียดายแต่ใจเขาเองก็ตั้งความหวังไว้แต่แรกแล้วว่าต้องนำมนุษย์ผู้นั้นมาอยู่ใต้อาณัติให้ได้

    มนุษย์ที่กล้าคิดจะทำร้ายเขาตั้งแต่แรกนั่นมันช่างน่าสนใจจริงๆ....

    “เขาพิเศษกว่ารสชาติที่ดีไม่ใช่หรือท่าน?”

    นายทหารถามเหมือนสงสัยทั้งที่ฝีปากแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างรู้ทันนั่นทำให้มนุษย์หมาป่าร่างใหญ่ถอนหายใจพรืด

    “เจ้านี่รู้ทันข้าเสมอเลยนะ”


    จากนั้นทั้งสองก็พากันหัวเราะในลำคออย่างเย็นยะเยือก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×