ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -หัวใจเร้นรัก-

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 578
      6
      21 เม.ย. 55

    หัวใจเร้นรัก: ในนามปากกา จินดาปาตี 


            “เกิดเรื่องบ้านี่ขึ้นได้ยังไง ทำไมไม่มีใครเคยบอกผมว่าคุณปู่เป็นโรคหัวใจ!” เตวิช ภูติธัชตวาดเอาเรื่องกับคนในบ้านทันทีที่ออกจากห้องพักฟื้นปรานต์ ภูติธัช ผู้เป็นปู่ลงมาถึงห้องรับแขกอันโอ่อ่าชั้นล่าง

            ชายหนุ่มกระชากถอดเสื้อคลุมออกเขวี้ยงไปทางหนึ่งหล่นลงบนศีรษะคนขับรถที่สะดุ้งโหยงลนลานพับเก็บไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา คุณหนู ของบ้าน

            “ลุงโอภาส” เตวิชไล่เบี้ยคนสนิทปรานต์เป็นคนแรก

    ชายร่างสันทัดวัยห้าสิบปีคนนี้ทำงานกับปรานต์ตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นตั้งแต่เลขาฯ ไปกระทั่งทนายความประจำตระกูลช่วยจัดการทุกสิ่งตามที่ปรานต์สั่ง ดังนั้นไม่มีทางเลยที่คนทำงานใกล้ชิดขนาดนี้จะไม่รู้เรื่องโรคหัวใจ

            โอภาสยืนกุมมือตัวลีบรวมกลุ่มอยู่กับคนทำงานในบ้านคนอื่น ๆ นึกอยู่แล้วว่าวันหนึ่งระเบิดจะต้องมาลงที่เขา ปรานต์ตรวจสุขภาพประจำปีไม่เคยขาด และพบว่าเป็นโรคหัวใจเมื่อห้าปีก่อน แพทย์ประจำตัวคอยดูแลทั้งทางด้านคำปรึกษาและยาอย่างดี อาการภายนอกจึงปกติ แต่ในปีหลังมานี้ทั้งสภาพเศรษฐกิจ วัยที่สูงขึ้น บวกกับความเครียดห่วงทั้งธุรกิจและหลานชายเพียงคนเดียวทำให้อาการยิ่งทรุดหนัก โอภาสร่ำ ๆ จะกระซิบบอกเรื่องนี้กับเตวิชอยู่หลายครั้งติดที่คำสั่งเป็นคำสั่งตายของปรานต์ที่ห้ามไม่ให้บอกหลานชายเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่าเขาเนรคุณ เจอคำนี้เข้าไปคนกตัญญูรู้คุณข้าวแดงแกงร้อนอย่างโอภาสหรือจะกล้า

            “เอ่อ...”

            “เอ่ออะไร” เตวิชตะคอก เสียงดังสนั่นบ้าน นัยน์ตาดุกร้าวจ้องหน้าโอภาสอย่างเอาเรื่อง ลุกขึ้นจากโซฟาราคาแพงตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่วนสูงร้อยแปดสิบเศษของเขาข่มโอภาสที่ยืนหน้าซีดเหลือตัวนิดเดียว หากเทียบอายุกันแล้วเตวิชรุ่นลูกรุ่นหลานโอภาสทีเดียว แต่ในความเป็นนายกับบ่าว ทายาทคนเดียวของตระกูลภูติธัชกับคนสนิทของปรานต์ เทียบชั้นกันไม่ได้เลย ทุกคนในบ้านทั้งรักทั้งกลัวฤทธิ์เดชคุณฝุ่นมาจากชื่อเล่นใต้ฝุ่น ของเตวิชทั้งสิ้น เมื่อก่อนเตวิชอาจดูเป็นเด็กหนุ่มเอาแต่ใจออกฤทธิ์แค่ไหนก็ยังคงความเป็นเด็กในสายตาคนในบ้าน แต่กลับมาคราวนี้รูปร่างผอม ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสูงสง่าสมส่วน สุขุมขึ้นดุขึ้นจนแทบไม่มีใครกล้าสบตา

            “ท่านห้ามไว้ครับ”

            โอภาสตอบตามความจริง เตวิชไม่ใช่คนโง่ ถ้าขืนปดว่าไม่รู้มีหวังนรกมาเยือน ตอบแล้วนิ่งฟัง หายใจไม่ทั่วท้อง เดาไม่ถูกถึงปฏิกิริยาต่อจากนั้น

            เตวิชนิ่งอยู่นาน...นานราวกับจะไม่พูดสิ่งใดอีกแล้ว อย่างคนกำลังโกรธสุดขีดกับเรื่องราวคาดไม่ถึงนี้ เขาเดินทางไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อสามปีก่อน ใช้เวลาเรียนอยู่สองปีครึ่งก็จบการศึกษาสมใจ อีกครึ่งปีต่อจากนั้นหมดไปกับความเสเพลล้วน ๆ จนปรานต์ที่ตามให้กลับแต่ไม่เคยได้ผลมาทุกครั้งต้องยื่นคำขาดตัดปู่ตัดหลาน

            ไม่นึกเลย กลับมาคราวนี้ หวังจะนำความสำเร็จมาอวดคุณปู่กลายเป็นว่ากลับมาเยี่ยมท่านที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง “ลุงทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม” เสียงถามพร่าสั่นเล็กน้อย “ถ้าผมกลับมาไม่ทันล่ะ หรือจะต้องให้ผมกลับอีกทีตอนงาน...”

            “คุณหนู!” แจ่มจันทร์ แม่บ้านใหญ่ประจำบ้านกรีดร้อง ถลาเข้าเกาะแขนเตวิช เตือนเสียงสั่น “คุณท่านยังนอนอยู่ข้างบนนะคะ อย่าพูดค่ะ”

            ใช่ยังนอนอยู่เพราะปรานต์ดื้อแพ่งจะพักฟื้นที่บ้าน แต่หมอไม่ใช่หรือที่บอกเขาเมื่อครู่นี้ให้ทำใจและร่ำลาท่านเสีย ขอบตาเตวิชร้อนผ่าว ก้อนแข็งแล่นขึ้นจุกลำคอ ข่มเสียงสุดความสามารถ

            “ผมรู้ แต่จำไว้ ถ้าคุณปู่เป็นอะไร ทุกคนรวมถึงป้าด้วย ผมจะไล่ออกให้หมด!” เตวิชประกาศเปรี้ยง สะบัดแขน เดินตึง ๆ กลับขึ้นชั้นบนสวนกันกับนายแพทย์พีรัช

            “เดี๋ยวครับคุณฝุ่น”

            ทั้งสองหยุดสนทนาระหว่างทางขึ้นบันได

            “ครับลุงหมอ”

            “จะเข้าเยี่ยมท่านอีกหรือครับ ผมว่าอย่าเพิ่งดีกว่าให้ท่านพักผ่อนก่อน”

            สีหน้าเตวิชเรืองรองด้วยความหวัง “พูดอย่างนี้แสดงว่าคุณปู่มีสิทธิ์หายหรือครับ”

            ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาสาบานจะไม่ทำให้ท่านหนักใจอีก ขอแค่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่เขาต่อไปเท่านั้น แต่ความหวังก็พลันทลายเมื่อพีรัชส่ายหน้า

            “หัวใจท่านอ่อนแอเต็มที”

            “งั้นก็ไม่ต้องห้าม ผมจะไปอยู่กับคุณปู่” เตวิชเอ่ยอย่างดื้อดึง เดินตรงไปยังห้องพักฟื้นของปรานต์ทันที

            นายแพทย์พีรัชมองตาม เข้าใจและนึกเห็นใจชายหนุ่มด้วยซ้ำ ลงมาถึงชั้นล่างเห็นคนงานในบ้านยืนจับกลุ่มท่าทางเงื่องหงอยก็พอเข้าใจ “โดนหางเลขเข้าล่ะสิ”

            “ใจกลางพายุเลยต่างหากคุณหมอ” โอภาสตอบ

            “กำลังเสียใจก็อาละวาดเป็นธรรมดา”

            “ก็...ครับ” คนเก่า ๆ รู้นิสัยคุณหนูดี แต่เวลาถูกอาละวาดทีมิวายใจฝ่อทุกครั้ง “คราวนี้ขู่ด้วยว่าถ้าท่านเป็นอะไรจะไล่พวกผมออกหมด”

            พีรัชหันมาสบตาแจ่มจันทร์เชิงขอคำยืนยัน

            “จริงค่ะ”

            คนฟังถอนใจยาว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเห็นทีบ้านนี้จะร้าง อาการของปรานต์เกินเยียวยาเสียแล้ว อย่างไรก็ต้องลาจากโลกนี้ไปในอีกไม่นาน

     

            ห้องพักฟื้นเดิมเป็นห้องนอนรับแขก อยู่มุมสุดทางเดินทางด้านซ้าย เป็นอีกห้องหนึ่งที่มองเห็นวิวทิวทัศน์เกือบทั่วคฤหาสน์ เตวิชเปิดประตูห้องเบามือ จรดปลายเท้าถึงเตียงและทรุดนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตัวหนึ่ง มองดูใบหน้าเหี่ยวย่นบนหมอนก็ให้ใจหาย ไม่น่าเชื่อว่าคุณปู่ที่เคยดูอ่อนกว่าวัยมาตลอดกลับทรุดโทรมชรามากถึงเพียงนี้

            ปรานต์กำลังหลับ จังหวะหน้าอกสะท้อนขึ้นลงไม่ค่อยสม่ำเสมอ เตวิชวางมือทับหลังมือผู้เป็นปู่ตั้งใจให้กำลังใจท่านมากกว่าปลุกให้ตื่น แต่คนป่วยเหมือนไม่ได้หลับสนิท ปรานต์ลืมตาขึ้น ดวงตาฝ้าฟางเหม่อมองหลานด้วยแววรักใคร่

            “เจ้าฝุ่น”

            “คุณปู่” เตวิชฝืนส่งยิ้ม

            “ปู่ใกล้เดินทางไกลแล้วละหลาน ย่าเขามารอ” รอยยิ้มจุดขึ้นประดับใบหน้า ปลายนิ้วเหี่ยวย่นชี้ไปทางด้านหลังเตวิช

            ชายหนุ่มหันขวับ ขมวดคิ้วมองความว่างเปล่า ว่ากันว่าคนใกล้สิ้นลมมักเพ้อถึงญาติพี่น้องที่เสียชีวิตก่อนหน้า อาการของปรานต์พานให้คนใจไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่หนัก

            “มีที่ไหนกันครับปู่ ผมอยู่นี่คนเดียว ปู่ต้องหายนะครับ” เตวิชค้าน ใจเสียกับสัญญาณแห่งการลาจาก

            “อย่าหลอกตัวเองเลย ปู่แก่เกินจะอยู่” ปรานต์ยื่นมือไขว่คว้า เตวิชขยับเก้าอี้ยื่นหน้าเข้าใกล้รับสัมผัสจากมือคุณปู่แตะลงบนแก้ม

            ถ้ามองจากสภาพท่าน เตวิชไม่อาจปฏิเสธได้ เขากัดกรามแน่น บีบมือท่าน เถียงเบา ๆ “ยังหนุ่มอยู่ครับ ต่างจากตอนปู่เอาผมขึ้นขี่คอไม่เท่าไหร่เลย”

            อดีตทุกบทตอนระหว่างปู่หลานชัดเจนเสมอแม้ในยามเส้นสายชีวิตกำลังจะแผ่วขาด ปรานต์ฟังแล้วหัวเราะเท่าที่แรงมี ความสุขใจในชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากหลานชายทั้งนั้น ก่อนตายได้เห็นหน้าก็ตายตาหลับ

    “ดื้อเหมือนเคย”

            “งั้นปู่ต้องอยู่ปราบสิครับ”

            “เจ้าฝุ่น ปู่รักเรา” ปรานต์พูดไปอีกทางราวกับท่านจับใจความไม่ค่อยได้แล้ว ทำให้เตวิชยิ่งกลัว

            “ปู่พักเถอะครับ” เผื่อว่าหลับสักตื่นท่านจะดีขึ้น กลับแข็งแรงดังเดิม

            ปรานต์หลับตาลง ท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างเตวิชเห็นแล้วใจหาย ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหน นึกเสียดายเวลาสามปีระหว่างอยู่ต่างประเทศ ถ้ารู้เช่นนี้เขาจะไม่มีวันก้าวออกจากประเทศไทยแม้ครึ่งก้าว

            สายตาคนเฝ้าไข้แปรจากใบหน้าปรานต์มายังกรอบรูปขนาดโปสการ์ดบนโต๊ะวางสิ่งของใกล้หัวเตียง เขาหยิบมันขึ้นจ้องมองภาพถ่ายเก่าแก่ตามกาลเวลา ในนั้นปรานต์ยังหนุ่มนัก ท่านนั่งสง่าบนเก้าอี้หรูหราตัวใหญ่ ยืนขนาบด้านหลังด้วยชายหญิงคู่หนึ่ง...พ่อกับแม่ ส่วนเด็กชายเล็ก ๆ ถูกห่อหุ้มอบอุ่นอยู่ในผ้าอ้อม...หลับปุ๋ยในอ้อมแขนปรานต์

            เตวิชมีความทรงจำเกี่ยวกับบิดามารดาน้อยมาก ตอนท่านทั้งสองเสียชีวิตเพราะประสบจราจลกลางเมืองเกิดขึ้นกะทันหันระหว่างท่องเที่ยวต่างประเทศ เตวิชอายุได้ 3 ขวบ ปรานต์รับหลานชายคนเดียวไว้ในอุปการะ เลี้ยงดูให้ทั้งความรักความอบอุ่นรวมถึงข้าวของเงินทองไม่เคยขาด

            การขาดทั้งพ่อและแม่ไม่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตสำหรับคนรู้ว่ามีและสูญเสียตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ปรานต์เสียอีกที่เป็นทุกสิ่งอย่าง ประคบประหงมทดแทนความเป็นพ่อแม่ของลูกชายลูกสะใภ้อย่างเกินพอ

            ภวังค์ความคิดเตวิชถูกดึงกลับสู่ปัจจุบัน เขาหันกลับมามองหน้าปรานต์ซึ่งไม่เหลือเค้าชายผู้สง่าในรูปภาพ ดู ๆ เหมือนไม้ผุพังใกล้สูญสลายมากกว่าอย่างอื่น ได้แต่ภาวนาถึงปาฏิหาริย์

            “อยู่กับผมนาน ๆ นะครับคุณปู่”

            ทว่าปรานต์ได้ลาจากโลกในคืนนั้นเอง...

     

            คฤหาสน์ตระกูลภูติธัชถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศซึมเซา ศพของปรานต์ได้รับการทำพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เตวิชจัดการเก็บศพคุณปู่ไว้ร้อยวันจึงทำพิธีฌาปนกิจ ตลอดเวลาหลังการเสียชีวิตของปรานต์ เตวิชเคลื่อนไหวราวกับหุ่นยนต์ ไม่ค่อยกินค่อยนอนจนคนในบ้านที่ชายหนุ่มเคยประกาศว่าจะไล่ออกแต่ไม่ถูกไล่ออกสักคนเป็นห่วง

            “คุณหนูขาทานข้าวบ้างเถอะค่ะ” แจ่มจันทร์เคาะประตูห้องนอนเตวิชก่อนถือวิสาสะเข้าห้อง เธอโบกมือไปมาไล่อากาศอับทึบผสมกลิ่นเหล้า เดินมาเปิดม่านและหน้าต่างออกทุกบานให้อากาศถ่ายเท

            ลำแสงแดดยามบ่ายสาดผ่านเข้ามา เตวิชตะแคงตัวหนีทั้งยังดึงหมอนขึ้นปิดหู แจ่มจันทร์ส่ายศีรษะ อาศัยว่าเคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อยจึงกล้าพอดึงหมอนนั้นออกพร้อมกับพยายามรั้งร่างคุณหนูลุกขึ้น

            “เหม็นไปทั้งตัว อาบน้ำเสียหน่อยนะคะจะได้สดชื่น แจ่มทำของโปรดไว้ให้คุณฝุ่นหลายอย่างรีบลงไปทานนะคะ”

            “ไม่หิว” ทิ้งตัวลงนอน

            “คุณหนู ไม่หิวอะไรคะแจ่มว่าไส้มันจะขาดซะก่อนถ้ากินแต่เหล้าแบบนี้ สภาพดูไม่ได้เลย ถ้าคุณท่านรู้ต้องเสียใจแน่”

            เท่านั้นเอง เตวิชลืมตาขึ้น ลุกนั่งผมเผ้ายุ่งเหยิงอีกทั้งหนวดเคราครึ้มไปหมด แต่ในสายตาของแจ่มจันทร์ คุณหนูของเธอยังดูดีเสมอ ดูหรือรูปร่างออกสูงสมาร์ทอย่างกับนายแบบ ปากคอคิ้วคางราวกับพระลักษมณ์เสียแต่พระลักษณ์องค์นี้ชอบทำตาดุ กราดเกรี้ยวเอากับคนใกล้ชิดบ่อยสักหน่อย ขนาดเหม็นกลิ่นเหล้าไปทั้งตัว เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมออกหมดดูรุ่ยร่ายยังหล่อเหลาอยู่นั่นเอง

            อาการนิ่งเงียบอย่างนี้แสดงว่ารู้สึกตัว แจ่มจันทร์รีบชิงโอกาสนี้ตะล่อมต่อ

            “ไปนะคะคนดีของป้า อาบน้ำค่ะ แล้วลงไปทานข้าว อีกชั่วโมงเศษ ๆ จะได้เวลาเปิดพินัยกรรมแล้ว”

            นัยน์ตาคนฟังขุ่นจัดขึ้นทันที “ผมไม่สนใจ”

            สมบัติพวกนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการสูญเสียผู้เป็นที่รักเคารพเพียงคนเดียวในชีวิต แจ่มจันทร์เข้าใจความรู้สึกชายหนุ่มดี เธอเองทำงานรับใช้ปรานต์ตั้งแต่สาวจนอายุเท่านี้ ผูกพันกับตระกูลภูติธัชอย่างมาก เมื่อสูญเสียท่านอย่างไม่มีวันย้อนกลับคืนได้ทุกคนต่างเสียใจ แต่ชีวิตข้างหลังยังต้องดำเนินต่อ จะปล่อยให้คุณหนูซังกะตายต่อไปเห็นจะไม่ดีแน่

            “แจ่มทราบค่ะ แต่เป็นความประสงค์สุดท้ายของคุณท่าน คุณหนูคงไม่อยากขัดใช่ไหมคะ” พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

            แล้วก็ได้ผล เตวิชยอมเดินเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่เตรียมตัวสำหรับการเปิดพินัยกรรม

     

            ถึงเวลาเปิดพินัยกรรม โอภาสในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวทับในกางเกงสแล็กส์เรียบร้อยรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมหน้าด้วยกรรมการบริษัท ภูติธัช จำกัด สามคน แจ่มจันทร์และนายแพทย์พีรัช

            เตวิชเสยผมอย่างเหนื่อยหน่าย ยกมือไหว้กรรมการทั้งสามและพีรัชแล้วนั่งลงกลางวง สั่งโอภาส

            “เปิดให้จบ ๆ ไป”

            โอภาสก้มศีรษะรับ ดึงกระดาษใบสำคัญออกจากซองเอกสารสีน้ำตาล กล่าวนำ “ก่อนอ่านพินัยกรรมผมขอเรียนให้สักขีพยานทุกท่านทราบว่านี่เป็นพินัยกรรมฉบับจริงเขียนด้วยลายมือคุณปรานต์เอง ทุกข้อเป็นความประสงค์ของท่านทั้งสิ้น เมื่อทราบโดยทั่วกันแล้ว ผมในฐานะทนายมีหน้าที่ทำให้ความประสงค์นั้นสำเร็จลุล่วงทุกประการ”

            จากนั้นโอภาสเริ่มอ่านพินัยกรรม ใจความว่า

            พินัยกรรมฉบับนี้ทำขึ้นที่คฤหาสน์ภูติธัช ข้าพเจ้าปรานต์ ภูติธัช มีความประสงค์ถ่ายโอนยกทรัพย์สินดังรายการต่อไปนี้

    1.     ที่ดินทุกแปลงที่ข้าพเจ้าครอบครองอยู่ขอมอบให้ นายเตวิช ภูติธัช

    2.     ตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ภูติธัช จำกัด ขอมอบให้ นายเตวิช ภูติธัช โดยขอให้กรรมการบริษัททุกท่านถือการตัดสินใจนี้เป็นที่สิ้นสุด ให้ช่วยกันดูแลกิจการต่อไปด้วยดีดังที่เคยเป็นมา

    3.     ตำแหน่งประธานมูลนิธิโอบรัก ขอแต่งตั้งให้ นายเตวิช ภูติธัช เป็นผู้ดำรงตำแหน่งคนต่อไป

    4.     เครื่องเพชรเครื่องทองในธนาคารขอมอบให้ นายเตวิช ภูติธัช

    5.     บ้านและที่ดินคฤหาสน์ภูติธัช ขอมอบให้ นายเตวิช ภูติธัช

    6.     สำหรับนายโอภาส และนางแจ่มจันทร์ ขอมอบเงินสดให้คนละ 5,000,000 บาท

    นายโอภาสผู้ทำหน้าที่อ่านพินัยกรรมสบตากับแจ่มจันทร์แวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างซาบซึ้งน้ำตาซึม โอภาสเกรงจะเป็นการขัดจังหวะการอ่านพินัยกรรมก็รีบรวบรวมสมาธิอ่านต่อ แต่ก่อนหน้านั้นแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดเสียวถึงผลที่จะตามมาหลังอ่านจบ

    อนึ่ง นายเตวิช ภูติธัช จะได้รับมรดกตามข้อ3-5ต่อเมื่อแต่งงานกับนางสาวรติมา เนตรรัตน์ อย่างถูกตามตามประเพณีและกฎหมายเท่านั้น หากนายเตวิชไม่ยินยอมตามนี้ให้สิทธิ์ขาดในทรัพย์สินและตำแหน่งประธานมูลนิธิโอบรักตามที่ระบุในข้อ 3-5 ตกเป็นของนางสาวรติมา เนตรรัตน์ แต่เพียงผู้เดียว

     

    “อ่านใหม่ซิ” เสียงสั่งการห้าวต่ำ นัยน์ตาขุ่นขวาง

    “แต่ว่า...” โอภาสรู้สึกถึงลำคอที่บีบหดจนตีบตันไม่สามารถเปิดทางให้น้ำลายไหลผ่านลงไปได้

    “ผมบอกให้อ่านใหม่!” เตวิชฟาดมือกับโต๊ะเปรี้ยง ตะคอกสั่ง สักขีพยานร่วมฟังการเปิดพินัยกรรมสะดุ้งโหยง

    โอภาสหมดหนทางเข้าจำต้องอ่านซ้ำอีกหน เตวิชขมวดคิ้วแน่นขุ่นใจระคนสงสัย

    “นี่มันพินัยกรรมปลอมชัด ๆ คุณปู่ไม่มีวันทำแบบนี้” เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าปู่ซึ่งเป็นที่รักเคารพจะวางเงื่อนไขให้แต่งงานกับผู้หญิงแปลกหน้าชื่อไม่เคยได้ยินหน้าไม่เคยเห็นสักครั้งเพื่อแลกกับการมอบทรัพย์สินเหล่านี้

    “โธ่คุณฝุ่นครับ ผมหรือจะกล้า”

    ข้อนั้นเตวิชรู้ดี โอภาสจงรักภักดีต่อปรานต์มาทั้งชีวิตคงไม่แผลงเอาพินัยกรรมปลอมมาอ่าน เขาไม่เคยสงสัยในความจริงใจของชายวัยกลางคนผู้นี้สักครั้งเดียว

    แสดงว่าเป็นของจริง แต่เกิดอะไรขึ้นถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ยิ่งคิดเตวิชยิ่งหงุดหงิด ทางด้านเงินทอง ตอนบิดามารดาเสียชีวิตเขาได้รับมรดกแล้วส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่กินใช้อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่ต้องทำงานไปทั้งชาติด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่คนโลภจึงไม่ได้สนใจในมรดกคุณปู่มากไปกว่า...

    “รติมาเป็นใคร ผมไม่เคยได้ยินชื่อ”

    “เอ้อ...” โอภาสพยายามอธิบายแต่เตวิชเหมือนถามไปอย่างนั้นเองเพราะยังคงกราดเกรี้ยวต่อไม่ฟังเสียง

    “ใกล้ชิดกับคุณปู่มากน้อยแค่ไหนถึงทำให้คุณปู่เขียนพินัยกรรมบ้า ๆ นี่ขึ้นมาได้ ลุงโอภาสบอกผมมาเดี๋ยวนี้ แม่นี่เป็นพวกรอบจัดมาหลอกล่อคนแก่ให้ยกสมบัติให้ใช่ไหม แล้วทำไมวันนี้เขาไม่มาด้วย อยากเห็นหน้านักไอ้พวกหวังรวยทางลัดเนี่ย”

    “ใจเย็นก่อนสิครับ ฟังผะ...ผม” พูดไม่ทันจบประโยคถูกเตวิชตัดความอีกแล้ว

    ชายหนุ่มลุกพรวด หน้าตาถมึงทึง “รู้จักบ้านแม่คนนี้ไหม”

    “คะ...ครับ”

    เตวิชเหยียดยิ้มเหี้ยม “ดี งั้นพาไปซิ ผมอยากพบว่าที่เจ้าสาวเสียหน่อย อยากเห็นนักหน้าตาผู้หญิงเห็นแก่เงินเป็นยังไง!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×