ตอนที่ 45 : ตอนที่ 44
หนูอิน มาดูอะไรนี่สิ
ผมเรียกลูกน้องที่รัก ตาจับจ้องอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านทบทวนคำสั่งของ ข้างบน ผ่านเมล์ภายใน ไม่รู้เลยว่าตัวเองเรียกอินรินทร์ด้วยน้ำเสียงแบบไหนและทำให้คนฟังต้องก้มหน้าซ่อนสีแดงระเรื่อส่อความรู้สึกยามฟังมากเพียงใดจนอินรินทร์แว้ดกลับมา
นี่คุณ เลิกเรียกฉันว่าหนูอินสักทีได้มั้ย
แล้วผมก็เห็นว่าหน้าสวยใสกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเหมือนสตรอเบอร์รี่สุกตอนเบี่ยงหน้าออกจากจอคอมเพื่อมองอินรินทร์
เขินเหรอ? หรือโกรธ? เรื่องอะไรล่ะ?
คงเพราะกำลังคิดเรื่องงานสมองจึงช้ากว่าปกติจนไม่รู้ว่าผู้หญิงทำหน้าแบบนี้แสดงว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
ทำไมล่ะ?
หนูอิน...เรียกอย่างนี้แล้วผมว่าน่ารักดี ฟังสนิทกว่าอินรินทร์ตั้งมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าติดเรียกหนูอินแทนอินรินทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเริ่มจากวันนั้น...
ขอโทษด้วยนะเชอร์รี่ แต่คนที่พี่ชอบคือหนูอิน
เชอร์รี่ ศิลปินสาวท่าทางขี้อายระคนขี้อ้อนคนนั้น นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะบ้าบิ่นพอสารภาพรักผมอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นกับผมเสมอ และเป็นทุกครั้งที่ผมรู้สึก...อึดอัด
ไม่ใช่รังเกียจแต่เป็นอึดอัดอย่างรู้ว่านิสัยตรงไปตรงมาของตัวเองคงทำให้ต้องตอบออกไปตามความรู้สึกซึ่งคงหลีกเลี่ยงทำร้ายจิตใจฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ความรู้สึกพิเศษอย่างนั้น ผมไม่อยากทำลาย แต่ก็ไม่อาจรับไว้ได้ถ้าใจไม่ตรงกัน
อินรินทร์เดินปัง ๆ ข้ามห้องมาแล้ว ท่าทางเอาเรื่องทีเดียว หล่อนน่าจะได้ส่องกระจกว่าเวลางอนหรือฉุนอย่างนี้หน้าตาเป็นยังไง
ไม่ทำไมแต่ไม่ให้เรียก
อินรินทร์หยุดยืนกอดอก ตามหลักจิตวิทยาเขาว่าหากคู่สนทนากอดอกแสดงว่ากำลังปกปิดบางอย่างหรือก็คือกำลังพูดไม่จริง งั้นที่ไม่อยากให้เรียกก็ต้องมีอะไรสักอย่าง
หนูอิน
ผมแกล้งเรียกอย่างที่ใจอยากเรียกพร้อมรอดูปฏิกิริยา ผลที่ได้รับคือหมัดหนัก ๆ เหวี่ยงฟาดใส่ต้นแขนแบบไม่ยอมพลาดเป้าสักนิด เจ้าของหมัดเล็กแต่หนักแว้ดเสียงดังกว่าเดิม ผมคงเข้าใจว่าถูกโกรธถ้าไม่เห็นหน้าแดง ๆ เพิ่มระดับขึ้น
พูดไม่รู้เรื่อง จะยั่วโมโหกันใช่มั้ยเฮอะ
หนูอิน ผมเรียกซ้ำแล้วรีบลุกขึ้นรวบมือเล็ก ๆ สองมือไว้แน่นป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกทำร้าย แค่นี้ก็ช้ำจะแย่ ต่อไปถ้าไม่มีเหตุให้ขาดจากกันเสียก่อนผมคงน่วมไปทั้งตัวแน่ พอมือถูกยึดสองเท้าอินรินทร์จึงเริ่มทำงานทันทีแต่ไม่ทันผมที่รีบดักคอขึ้นว่า อย่านะ ไม่งั้นโดนแน่
ชิ คิดว่ากลัวเหรอ
คนเก่งของผมลอยหน้า เหวี่ยงเท้ามาอย่างรวดเร็วมือเท้าไวเป็นที่หนึ่งทำให้ผมต้องแกล้งฉกหน้าลงไปใกล้ คนเกเรเสียสมาธิรีบหยุดเท้า ทำคอหดพร้อมกับค้อนอาฆาต
เราใกล้ชนิดถึงเนื้อถึงตัวอีกครั้งจากหลาย ๆ ครั้งตั้งแต่เจอกันวันแรก เวลานี้อินรินทร์จอมพยศยืนอยู่ตรงหน้า มือถูกผมรวบไว้หมด ถ้าเพียงแต่ผมก้มลงไปคงได้ขโมยความหวานจากเรียวปากที่เคยรู้แล้วว่าหอมหวานแต่ก็ไม่ได้ทำกลัวอดใจไม่ไหวทำอะไรมากไปกว่านั้นซึ่งคงไม่เหมาะกับสถานที่และเวลา
ว่าแต่ทำไมหนอ ผมเพียรแสดงออกตั้งมากมาย อินรินทร์ถึงไม่เคยบอกความรู้สึกให้กันฟังชัด ๆ บ้างทั้งที่หัวใจก็บอกว่า
ผมกับอินรินทร์...เรารักกัน
ตอบซิ ทำไมไม่อยากให้เรียก
ฉันจะฟ้องอาปวินท์
ข้อนี้ผมเกรงอยู่เหมือนกัน ถ้าหลานสาวฟ้องเข้าจริงผมไม่รู้จะมีหน้าพูดกับหัวหน้าและรุ่นพี่ที่นับถือยังไง ไอ้เรื่องผมกับอินรินทร์ไม่ได้รู้สึกต่อกันเพียงหัวหน้าลูกน้องอีกต่อไปแล้วนั้นพี่ปวินท์คงรู้อยู่เหมือนกันเพราะข่าวลือสารพัดหนาหูเหลือเกิน ถึงตอนนั้นคิดว่าสิ่งเดียวที่ผมจะทำคงเป็นยืดอกรับมันโต้ง ๆ ทำนองว่า...ใช่ครับผมรักหลานสาวพี่ นั่นล่ะ
ตอบมาก่อน
จะฟ้องป๊า เฮียอิท เฮียเอกแล้วก็แม่ไม่ให้ต้อนรับคุณเข้าบ้าน ไม่ให้ทำกับข้าวให้กิน...
เขินเหรอ ผมสุ่มถามแล้วคำตอบกลับน่าจะเป็นความจริงเพราะอินรินทร์ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ แต่ก่อนอินรินทร์ดูเฮี้ยวกว่านี้ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ลดลงเพียงแต่ผมรู้สึกว่าความหวานมีมากขึ้นในตัวหล่อน ถ้าไม่เพราะความรักทำให้หล่อนเปลี่ยนคงเป็นผมเองที่มองหล่อนด้วยสายตาของคนในโลกสีชมพู หนูอิน ทำไมล่ะ
ไม่มีเค้ากลั่นแกล้งอีกต่อไป ผมถามจริงจังและรออย่างจดจ่อ สิ่งเหล่านั้นคงเข้มข้นพอให้อินรินทร์เลิกโยกโย้ยอมตอบงึมงัมในลำคอ
ก็เรียกอย่างเดียวไม่พอชอบทำเสียงอย่างนั้น
ต่อให้เบากว่านี้ผมก็ได้ยินจึงแปลกใจเต็มที่อย่างคนไม่รู้ตัวจริง ๆ
เสียง? อย่างไหน ว่าไงครับ...หนูอิน
ไม่รู้ อัดเสียงตัวเองฟังดูแล้วกัน คงเขินนั่นล่ะถึงห้ามนักห้ามหนา พยายามสะบัดมือหลุดจนได้แล้วทำเป็นเสียงแข็งถามเข้าเรื่องงาน ไหนคุณว่าจะให้ดูอะไร
ฝากไว้ก่อนก็ได้ ผมเองไม่อยากทำอะไรประเจิดประเจ้อในเวลางานเหมือนกัน
เรื่องงานโปรเจกต์ใหม่น่ะ ผมกดไหล่อินรินทร์ให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเอง ชี้หน้าจอคอมพ์ให้เห็นถึงข้อความในอีเมล์ มันเป็นเมล์จากนายส่งตรงถึงผมเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายให้อินรินทร์ซึ่งถือเป็นลูกน้องโดยตรงฟังอีกทอดหนึ่ง ผลงานอัลบั้มเชอร์รี่ฝีมือโปรดิวซ์ของผมโดยมีอินรินทร์เป็นผู้ช่วยเหมือนอัลบั้มทดลองงานผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก เชอร์รี่ดังเป็นพลุแตกชื่อเสียงติดลมบนมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย งานชิ้นต่อไปผู้ใหญ่จึงวางใจมอบหมายให้อินรินทร์ทำงานคู่กับผมเต็มตัวมากขึ้น รอยยิ้มอินรินทร์กว้างขวางเหมือนดอกไม้บานทันทีที่อ่านจบ ผมเห็นแล้วพลอยมีความสุขไปด้วย นี่คงจะดีใจมากทีเดียว เป็นไง พร้อมลุยงานใหม่หรือยัง
พร้อมค่ะ อินรินทร์พยักหน้าแถมชูกำปั้นดึงข้อศอกเข้าหาตัว เริ่มกันเลยดีมั้ยคะ
งานใหม่ในความรับผิดชอบคือการปั้นศิลปินหน้าใหม่ในวงการเพลงแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงการนายแบบ ปารณัทหรือเรียกที่เรียกติดปากสาว ๆ ทั่วประเทศเพียงสั้น ๆ ว่าณัทได้ถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารแทบทุกเล่มแล้วก็ว่าได้ ความหล่อตามสไตล์ลูกครึ่งเป็นเพียงคุณสมบัติส่วนหนึ่งเมื่อเทียบกับความสามารถด้านดนตรีที่ติดตัวมาแต่เด็ก
ผมกับอินรินทร์อ่านแฟ้มประวัติณัทที่ถูกทำสำเนาไว้สองฉบับสำหรับเราทั้งคู่ ความตั้งอกตั้งใจฉายออกมาจากแววตาที่ผมลอบมองบ่อย ๆ คราวอัลบั้มเชอร์รี่อินรินทร์ทุ่มสุดตัวมาครั้ง หนนี้คงยิ่งกว่า เป็นผู้หญิงที่สุดโต่งคนหนึ่งจริง ๆ
-ก๊อก ๆ ๆ-
เสียงเคาะประตูเพียงสามครั้งดังขึ้นก่อนใบหน้ายิ้มแย้มของเชอร์รี่จะโผล่เข้ามาในตอนผมกับอินรินทร์ละสายตาจากแฟ้มในมือเพื่อมองไปยังต้นเสียง เชอร์รี่แต่งตัวตามคอนเซปต์อัลบั้ม ผมจัดทรงอย่างดี แสดงว่าเพิ่งกลับจากงาน ตั้งแต่ถูกสารภาพรัก นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน
ยุ่งกันอยู่หรือเปล่าคะ
เปล่าจ้ะ เชอร์รี่มาได้ไงเนี่ยคิดว่าวิ่งรอกงานจนขาขวิดอยู่ซะอีกแน่ะ
อินรินทร์รีบชิงตอบก่อน คงรู้ว่าถ้าเป็นผม คำตอบคงเป็น...ใช่ กำลังยุ่ง ก็เรายุ่งอยู่จริง ๆ แต่เพราะคนชิงตอบไม่เคยคลายความรู้สึกผิดคำตอบจึงออกมาแบบนั้น
...ขี้สงสารจริง ๆ นะหนูอิน...
แต่คนถูกสงสารท่าทางเข้มแข็งกว่าอินรินทร์คิดมาก เชอร์รี่มองผมได้เต็มตา เข้ามาจับมือจับไม้อินรินทร์ทั้งยังคุยกระหนุงกระหนิงเหมือนไม่เคยมีเรื่องคืนนั้น
แอบหนีมาค่ะ จะมาฟ้องพี่ต้นฝนกับพี่หนูอินว่าเชอร์รี่โดนแกล้ง ใครกันคะที่รับงานให้เชอร์รี่เยอะแยะขนาดนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
บ่นไปยังงั้นเองใช่มั้ยล่ะ
อินรินทร์ดักคอ ผมคิดเหมือน ๆ กันเพราะหน้าคนบอกว่าเหนื่อยยิ้มแป้นเสียขนาดนั้น น่าปลื้มน้อยเมื่อไหร่ในเมื่อศิลปินบางคนอยู่ในวงการมาหลายปีดีดักแต่ไม่เคยถึงจุดความสำเร็จเท่าเชอร์รี่สักครั้ง
แหมรู้ทัน คิดถึงน่ะค่ะ แวะมาทักทายได้แป๊บเดียว เดี๋ยวเชอร์รี่ต้องไปแล้วเพราะมีงานเทศกาลดนตรีที่พัทยา ไปด้วยกันมั้ยคะ
พอถูกชวนเข้าหน่อยอินรินทร์หันมามองผมตาปรอยเหมือนเด็กอ้อนขอให้พาไปเที่ยว แล้วดูท่าคำตอบของผมคงไม่ถูกใจเท่าไหร่หน้าอ้อน ๆ เลยกลายเป็นบึ้งทันควัน
อยากไปแต่บ่ายนี้พี่กับหนูอินมีนัดน่ะสิ ขอให้สนุกนะเชอร์รี่ งานนี้ศิลปินมาเพียบเลยนี่
ว้าเหรอคะ เสียดายจัง งั้นเชอร์รี่จะสนุกเผื่อนะคะ วันนี้มีนักร้องคนโปรดเชอร์รี่ตั้งหลายคนแน่ะ วงโปรดพี่หนูอินก็ไปพร้อมเชอร์รี่ด้วยนะคะ
แน่นอนว่าเทศกาลดนตรีไม่จำกัดค่ายและแนวนี้ย่อมต้องมีวงคิลร่วมแสดงด้วย ผมเห็นหน้าหงอย ๆ ของอินรินทร์แล้วทั้งสงสารและหมั่นไส้
เจอที่บริษัทยังไม่พอ คิดจะตามไปเชียร์มันถึงขอบเวทีเลยเรอะ!
ผมนัดณัทไว้บ่ายนี้ คุณไม่อยากเจอหรือไง
หน้าหงอยเหมือนต้นไม้ห่างน้ำค่อยชื่นขึ้น เป็นอันว่าผมเอาเรื่องงานที่บังเอิญลงล็อคดึงความสนใจอินรินทร์ออกจากโต้ได้สำเร็จ
ไอ้หล่อ น้องหนูอิน พี่เหน่งลากเสียงเรียกมาแต่ไกลชนิดที่ผมกับอินรินทร์ได้ยินชัดตั้งแต่ก้าวแรกเข้าบริษัท ผมมองหน้าพี่เหน่งแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ หน้าแดงก่ำตาเยิ้มซะขนาดนั้นคงไม่พ้นดริ๊งค์หนักอีกตามเคย ดีอยู่อย่างคือพี่เหน่งแกเป็นมนุษย์แอลกอฮอล์ มีความสามารถในการควบคุมสติพาตัวเองมาทำงานได้อย่างดีทุกครั้งพอ ๆ กับเมาได้ตลอด มาทำงานด้วยกันอีกแล้ว เมื่อไหร่จะแจกการ์ด
แกเอาศอกสะกิดสีข้างผมยิก สีหน้าสีหน้าทวงสัญญาแบบที่ผมเข้าใจได้โดยแกไม่ต้องทวงถาม คงดีทีเดียวถ้าพี่เหน่งปล่อยผ่านไปหรือรอให้เราอยู่ตามลำพังค่อยพูดขึ้นแทนโพล่งออกมาเหมือนกลัวผมเบี้ยว
ว่าไง พี่รอดูคนวิ่งขึ้นลงดอยอยู่นะเว้ย
คะ? ผมล่ะอยากจะคว้าต้นกระบองเพชรใกล้จอคอมพ์เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ยัดปากพี่เหน่งนัก คงกะแกล้งกันเต็มที่ นอกจากแบมแล้วคราวนี้คนที่ผมไม่อยากให้รู้ที่สุดกำลังจะรู้ด้วย...ไม่น่าเลย อินรินทร์ก้าวพรวดเดียวถึงตัวพี่เหน่ง อาการเขินที่เป็นอยู่เมื่อครู่หายวับกลายเป็นความอยากรู้เข้ามาแทนที่ ใครวิ่งอะไรคะพี่เหน่ง
หนูอิน ดีมากถ้าความลับเรื่องพนันขันต่อจะไม่แตก เช้านี้เรายุ่งมากลืมแล้วหรือไง
ใช่ เรายุ่งหัวฟูกันจริง ๆ เพราะในที่สุดคอนเซปต์อัลบั้มณัทก็เสร็จสมบูรณ์หลังนัดพูดคุยกับตัวศิลปินเมื่อเดือนก่อน ฟอร์มทีมงานทุกด้านเตรียมลงมือทำอัลบั้มให้เป็นรูปร่าง
กว่าจะถึงวันนี้ผมกับอินรินทร์ร่วมออกความเห็นในทุกจุด เราเห็นถึงศักยภาพและความสามารถรอบตัวของนายแบบหนุ่มผู้นี้ คนดีแต่หน้าตาเราไม่รู้จะดันยังไงเนื่องจากไม่นิยมขายศิลปินที่หน้าตา แต่พอเจอคนเก่งรอบด้านก็มีเรื่องให้คิดหนักอีกเพราะอยากโชว์จุดเด่นพวกนั้นให้หมดซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากความต้องการของศิลปินแล้ว โปรดิวเซอร์มีหน้าที่มองให้ออกว่าควรให้งานของศิลปินออกมาในแนวดนตรีไหน เมื่อทุกอย่างลงตัวการนัดประชุมทีมงานทั้งหมดอย่างเป็นทางการจึงเริ่มขึ้นซึ่งก็คืออีกครึ่งชั่วโมงถัดจากนี้
พี่เหน่งคงไม่ตอบยาวถึงสามชั่วโมงหรอก ใช่มั้ยคะ
ประโยคแรกแขวะผมแล้วอ้อนพี่เหน่งด้วยประโยคหลัง ผมอยากจะบ้าตาย พยายามขยิบตาใส่หวังให้พี่เหน่งรูดซิปปากแต่ท่าทางแกจะกินลำโพงเป็นอาหารเช้าเลยอดกระจายความลับไม่ได้
อ๋อก็ไม่มีไรมากหรอกน้องหนูอิน คืองี้...
ต่อจาก คืองี้ พี่เหน่งจัดการเล่าเหตุการณ์วันพนันขันต่อเสียหมดเปลือก ผมที่ยืนตรงกลางระหว่างรุ่นพี่ขี้เมาจอมกวนกับลูกน้องที่รักทำได้แค่ถอนใจแล้วเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวมันเลวร้ายเท่าไหร่นักก็ตอนเห็นแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มขึ้นเรื่อย ๆ...เขินอีกแล้ว
เห็นแก่พี่คนนี้ น้องหนูอินบอกพี่หน่อยได้มั้ยว่าไอ้หล่อมันสารภาพรักกับน้องหนูอินหรือยัง
ทีนี้จากชมพูเปลี่ยนเป็นแดงแจ๋เห็นแล้วน่าหอมพิลึก พี่เหน่งรอฟังทำหน้าลุ้นอย่างกับฟังผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลส่วนผมพยายามเงียบให้มากที่สุดเพื่อฟังคำตอบเบาแสนเบาที่ว่า
ไม่รู้ พี่เหน่งถามกันเองสิคะ
แล้วคนไม่ยอมสบตาผมตั้งแต่ฟังพี่เหน่งเล่าจบก็รีบจ้ำอ้าวหนีไปเฉยปล่อยพี่เหน่งระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ๆ อย่างผู้มีชัย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หน้าแดงด้วยคน
เขินอะ
พี่ต้นฝนจะเบี้ยวหนี้ไหมเนี่ย ^^
รู้สึกเหมือนนายต้นฝนโดนทวงหนี้อยู่นะเนี่ย อิอิ
หนูอินเขินน่ารักมากมาย > <